|
|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
"พิฉวน หรือหมัดผ่า" ของมวยสิ่งอี้ |
|
"พิฉวน หรือหมัดผ่า" ของมวยสิ่งอี้ ตามที่ข้าพเจ้าได้รู้เรียนมา โดยเชา หมัดทศพืช 30 ตุลาคม 2558 . ท่าพิฉวนเป็นท่าแรกของมวยสิ่งอี้ทุกสาย เป็นหนึ่งในสามแม่ท่าที่สำคัญ คือ "พิ" "จวน" และ "เปิง" (อีกสองท่า คือ "เผ้า" กับ "เหิง" เกิดขึ้นภายหลัง เพื่อให้ครบตามหลักอู่สิง หรือหลักห้าธาตุ (ไม่ขออธิบาย)) . พิฉวนสังกัดธาตุทอง แสดงสัญลักษณ์ขวาน การเคลื่นไหวขึ้น และตกลง สัมพันธ์อวัยวะภายใน คือ ปอด อวัยวะภายนอก คือ สบักซ้ายและขวา รูปมือแผ่ออกอันเป็นการเผยการคว้าจับ อย่างกรงเล็บอินทรี อกห่อ ศอกจม ข้อมือตั้ง แสดงหกประสานภายนอกช่วงบน คือ เอวส่งไปไหล่ ไหล่ส่งไปศอก ศอกส่งไปมือ (หกประสานภายในไม่ขออธิบาย เพราะยังไม่ใช่สาระสำคัญในตอนนี้) . การสำแดงท่าพิฉวน ต้องมี "ยิงจวอ" (鹰捉; Yīng zhuō) หรือท่าคว้าจับอย่างนกอินทรี . ท่ายิงจวอเป็นท่าฝึกที่เน้นในหลักการสี่คำ คือ "ฉิ(ยก) - จวน (ทะลวงขึ้น) - ลั่ว (ตก) - ฟาน (พลิกกลับ) อย่างการโจมตีของนกอินทรี และการ "หด และยืด" หรือ สู - จ่าน โดยสำแดงพลัง (จิ้ง) จากศูนย์กลางลำตัว . ฉิ คือการยกจากเส้นกลางลำตัว ดุจยกแขนผ่านอากาศหนาทึบ . จวน คือการยิงแขนท่อนหน้าออกไป สู่เส้นกลางลำตัวระดับกึ่งกลางอก ในลักษณะหมัดง่ายขึ้นสู่ระดับหน้า และห่างจากระดับหน้าหนึ่งช่วงแขน เวลาตีแขนขึ้นต้อง ตีจมูก กล่าวคือ เมื่อยิงหมัดขึ้นจนสุดและหยุด หมัดจะรีคอยด์กลับมาเหมือนตีจมูกตัวเอง อุปมาเหมือนน้ำพุที่มีแรงดันสูงจากพื้น แล้วถูกแรงโน้มถ่วงโลกดึงกลับมา . เมื่อแขนยืดออกไปแล้วก่อให้เกิดการบิดกลับ ของท่อนแขนบนและล่าง เรียกว่า ลั่ว และ ฟาน คือ ตกและพลิกกลับ กระบวนการนี้เกิดขึ้นอย่าง ต่อเนื่องกันเป็นวงจรสามารถป้องกันการโจมตีใบหน้า และลำตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการป้องกัน แบบพื้นฐานที่สำคัญที่สุดอันนำไปสู่ท่าชั้นสูงอื่นๆ . เมื่อถึงกระบวนการนี้ มือล่างจะเคลื่อนขึ้นในลักษณะเดียวกัน ในลักษณะจ้วน หรือทะลวงขึ้น แขนเสียดสีแขนจนกระทั่งมือทั้งสองไปพบกัน กล่าวคือ มือหนึ่งทะลวงขึ้น อีกมือหนึ่งกดลง มือหน้าจะพลิกกลับ มือหลังจะคว่ำ (ในลักษณะถูกัน) เมื่อถึงตอนนี้จะเป็นการดึงมือกลับ และตีมือออก ตรงจุดนี้ ปรมาจารย์ หยวนเตา อธิบายว่า ออกแรงตีมือเดียวเหมือนฉีกผ้าไหม . กล่าวคือ มือหนึ่งโจมตีออก มือหนึ่งดึงเข้า กระบวนการนี้จึงจะครบวงจร ฉี ลั่ว จวน ฟาน การตีจะเหมือนการยกขึ้นและตกลงอย่างขวาน มือล่างจะกลับสู่สะดือในลักษณะเกี่ยวเกาะ . การก้าวเท้าต้องสัมพันธ์ต้องสัมพันธ์กับการตี จึงจะตีได้หนัก เป้าที่ตีคือร่างกายช่วงบน ผู้ฝึกมวยสิ่งอี้ระดับอาจารย์ในอดีต สามารถตีดึงและตีคู่ต่อสู้ที่ใบหน้า และศีรษะจนคอหัก หรือตบลงที่หน้าอกหัวใจฉีกขาด หรือตบลงที่ไหปลาร้า หรือแขนจนหัก ซึ่งกระบวนการนี้จะขาดฉีลั่วจ้วนฟ่านไม่ได้เลย . สาระสำคัญอีกประการหนึ่งของมวยสิ่งอี้ในท่าพิ และทุกท่าคือ ตีแล้วต้องหยุด หมายถึง ตีแล้วต้องไม่ถลำตัว มือต้องรักษาระดับ เท้า เข่า เอว สะโพก ลำตัว ต้องอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง จึงจะเรียกว่าหยุด เมื่อพลังเข้าที่จึงทำท่าซ้ำต่อไป แบบนี้จึงจะเรียกว่ามวยสิ่งอี้อย่างแท้จริง . ท่าพิเป็นท่าที่สำคัญ ปรมาจารย์ยุคก่อนหลายท่าน ฝึกท่านี้ท่าเดียวเป็นเวลาสามปี ก่อนที่จะได้รับอนุญาตฝึกท่าอื่น ปัจจุบันบางสายก็คงเป็นเช่นนั้น แม้แต่ผู้ฝึกระดับสูงเองก็ตาม การฝึกประจำวัน หรือการฝึกพลัง (จีเปิ่นกง) ท่าพิก็เป็นท่าที่ฝึกประจำ และมันสามารถแสดงได้ว่า ใครมีฝีมือ หรือไม่ใช่ . - จบ ภาพประกอบ ปรมาจารย์ซุนลู่ถัง แห่งมวยสิ่งอี้ตระกูลซุน แสดงท่าอู่สิง หรือหมัดห้าธาตุ ได้แก่ พิ จวน เปิง เผ้า เหิง
Create Date : 01 พฤศจิกายน 2558 |
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2558 12:13:57 น. |
|
0 comments
|
Counter : 770 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|