Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
16 กรกฏาคม 2552
 
All Blogs
 

หนังญี่ปุ่น Departures ศักดิ์ศรีรางวัลออสการ์ภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศที่เหนือชั้นกว่า Slumdog



เทรนด์หนังเกาหลีที่มาแรงในยุคนี้ บางทีทำให้เรามองข้ามหนังดีๆ จากประเทศที่เคยเฟื่องด้วยหนังคุณภาพระดับโลกอย่าง..ญี่ปุ่น

แต่การประกาศผลรางวัลออสการ์ที่ผ่านมา ก็ได้ทำให้ศักดิ์ศรีของประเทศที่เคยเป็นผู้นำหนังยอดเยี่ยมของเอเชียกลับมาอีกครั้งอย่างภาคภูมิ และไม่ใช่แค่นั้น หนัง Departures เรื่องนี้ยังกวาดรางวัลตุ๊กตาทองของญี่ปุ่นไปถึง 10 รางวัล ซึ่งแน่นอน..รวมถึงหนังยอดเยี่ยม และผู้กำกับยอดเยี่ยม

เรื่องราวของศิลปะโบราณในการจัดการ (แต่ง)ศพในแบบญี่ปุ่นแท้ คือแกนในการนำเสนอเรื่องที่เผยความประณีตของประเพณีญี่ปุ่นในการดูแลเอาใจใส่ผู้ตายก่อนที่จะส่งไปสู่สัมปรายภพได้อย่างน่าทึ่ง (ทำให้อดนึกถึงหนังทีวีซีรี่ส์ Six feet Under ของอเมริกันไม่ได้ แต่ความงดงามของการจัดการศพในสไตล์ญี่ปุ่นนั้น ดูเหนือชั้นอยู่มากมาย)

ตัวเอกของเรื่องซึ่งมีแบคกราวนด์ในฐานะนักเชลโล่มืออาชีพ แต่วิกฤตเศรษฐกิจได้ทำให้ต้องพลิกผันตัวเองกลับกลายมาเป็นนักแต่งศพมืออาชีพอย่างบังเอิญ เพียงความเข้าใจผิดในความหมายบนโฆษณาชิ้นเล็กๆ กับคำว่า Departures ซึ่งอาจแปลได้สองความหมายว่า ผู้เดินทาง หรือ “ผู้จากไป”

หนังได้นำเสนอความแยบยลในการเขียนบทชีวิตพระเอกของเรื่องที่แบกปมของการที่ถูกทิ้งโดยพ่อของตัวเองตั้งแต่เด็ก โยงใยเข้ากับเรื่องราวของศิลปะการแต่งศพ ที่ช่วยสอนบทเรียนชีวิตครั้งสำคัญให้กับ Daiko พระเอกของเรื่องคนนี้ ซึ่งยังโชคดีที่เขาได้ภรรยาที่ดีและหันกลับมาช่วยเขาได้ค้นพบส่วนที่หายไปของชีวิตในที่สุด

และด้วยปัจจัยสำคัญของตัวเอกในเรื่องซึ่งต้องทั้งเล่นเชลโล่เก่ง และต้องกลายเป็นนักแต่งศพมืออาชีพด้วยในขณะเดียวกันนั้น ได้ทำให้ Masahiro Motoki พระเอกของเรื่องต้องใช้เวลาเตรียมตัวนับเป็นปีๆ สำหรับการฝึกฝนดนตรี และเรียนรู้พิธีการที่ถูกต้องตามประเพณีแต่งศพของญี่ปุ่นโบราณ อีกทั้งผู้กำกับภาพยนตร์ Yōjirō Takita ยังต้องลงลึกเข้าไปศึกษาความเป็นไปของพิธีกรรมแต่ละแห่งอย่างละเอียด เพื่อเข้าไปเก็บอารมณ์และบรรยากาศของพิธีศพแบบญี่ปุ่นแท้ ซึ่งบางกรณีก็เป็นเรื่องลับเฉพาะต้องห้ามยากแก่การนำเสนอ ทำให้เขาไม่มั่นใจอยู่ว่าจะได้รับการยอมรับและประสบความสำเร็จแค่ไหน



แต่ผลลัพธ์ที่ออกมา คิดว่าเขาคงหายเหนื่อยไปแล้ว..เพราะแค่ออกฉายที่ญี่ปุ่นแห่งเดียว ก็กวาดเงินไปแล้วกว่า 61 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ แถมยังกวาดรางวัลท้องถิ่นเกือบทุกสถาบัน ยังไม่รวมเทศกาลหนังนานาประเทศอีกมากมาย

หนังนำเสนออย่างประณีตด้วยการเล่าเรื่องอย่างมีอารมณ์ขัน แต่แฝงด้วยอารมณ์ดราม่าที่ลึกซึ้ง จังหวะจะโคนนิ่มนวลมีคลาส ตัวแสดงเล่นได้อย่างมีชีวิตชีวาเป็นธรรมชาติมากๆ โดยเฉพาะ Masahiro Motoki ซึ่งคว้ารางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมไปครองนั้น ได้โชว์ฝีมือเชลโล่อย่างสมจริง และได้โชว์ขั้นตอนการแต่งศพอย่างที่มืออาชีพต้องชิดซ้าย สะท้อนให้เห็นความทุ่มเทของคนในวงการหนังญี่ปุ่นที่เอาจริงเอาจัง

การถ่ายทำด้วยฝีมือระดับรางวัล ยอดเยี่ยมไปตั้งแต่การถ่ายภาพจัดแสง ที่ดูได้บรรยากาศสมจริงโดดเด่นจากหนังญี่ปุ่นทั่วๆ ไป ได้เห็นความสวยงามของชนบทญี่ปุ่นพร้อมกับพิธีศพซึ่งเป็นศิลปะเฉพาะตัวที่หาไม่ได้จากชนชาติใด และต้องนับถือจริงๆ กับกลวิธีในการเล่าเรื่องจนเราอินเข้าไปกับเนื้อหา เชื่อและยอมรับโดยปริยายกับอาชีพการแต่งศพนี้ว่าเป็นผลงานระดับศิลปินชั้นครูเลยทีเดียว โดยมีองค์ประกอบของอารมณ์ความรู้สึกของครอบครัวผู้ตายที่มีต่อผู้ที่จากไป คอยสอดแทรกสร้างความซาบซึ้งประทับใจกับคนดูให้ได้รับรู้ถึงความสำคัญของพิธีนี้ ซึ่งส่งผลต่อจิตใจของคนที่ใกล้ชิดอย่างมากมาย

และยังนับว่าเป็นความชาญฉลาดยิ่งของฝีมือการเขียนบทของ Kundo Koyama ที่ผูกเรื่องราวความสัมพันธ์อันร้าวฉานของพระเอกกับพ่อ ซึ่งเขาพยายามหลีกเลี่ยงที่จะคิดถึง (แต่ก็หนีมันไปไม่ได้ในที่สุด) กับโครงเรื่องหลักของการแต่งศพ สะท้อนความงดงามของประเพณีที่ให้ข้อคิดเรื่องชีวิต และส่งผลให้ตัวเอกได้ควานหาตัวเองจนพบ ตัวละครอื่นๆ รอบข้าง อย่างเช่นภรรยาที่แม้จะมีความขัดแย้ง หรือ ตัวเจ้าของบริษัทแต่งศพซึ่งเหน็ดเหนื่อยกับการหาคนที่เข้าใจศิลปะชนิดนี้เข้ามารับช่วง ต่างช่วยสนับสนุนและเป็นแรงจูงใจให้เรื่องราวได้คลี่คลาย

อาจจะมีการเล่าเรื่องบางฉากที่ยังคลุมเครือกับความรู้สึกคนดูอยู่ หรือวิธีดำเนินเรื่องบางช่วงที่ยังรู้สึกพร่องๆ ไปบ้าง อย่างเช่น ช่วงที่พระเอกของเรื่องต้องเรียนรู้ขั้นตอนและศิลปะในการแต่งศพ น่าจะให้เวลากับตรงนั้นอีกสักหน่อย ให้เห็นความพยายามและความยากของประณีตศิลป์ชนิดหนึ่งที่แทบหาดูไม่ได้แล้ว เรื่องก็จะดูหนักแน่นขึ้น เท่าที่เห็น.. ใช้เวลาไปกับอารมณ์ขันของการออกงานครั้งแรกของพระเอกที่แสนจะทุลักทุเล หรือ เบื้องหลังความเป็นไปของผู้คนรอบข้างที่เกี่ยวข้อง แต่ก็ต้องยอมรับว่า บทบาทของคนเล่านั้นล้วนมีอิทธิพลต่อเรื่องราว และพฤติกรรมของตัวเอกทั้งสิ้น มิได้เขียนขึ้นมาอย่างล่องลอยเป็นชูรสเท่านั้น ทุกอย่างถูกกลั่นกรองมาแล้วอย่างประณีตเฉกเช่นศิลปะการแต่งศพในเรื่องยังไงยังงั้น

และที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือฉากจบของเรื่อง ทำได้อย่างทรงพลัง จนเราเหมือนถูกตรึงอยู่กับที่ รับความรู้สึกของตัวแสดงที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างห้ามไม่ได้ เข้าใจถึงความรัก..ความผูกพันของคนในครอบครัว ที่สะท้อนภาพผ่านศิลปะแห่งความตายนี้ ประกอบจิกซอว์ชิ้นสุดท้ายคืนให้กับชีวิตของ Daiko ตัวเอกของเรื่อง..ตัวแทนของมนุษย์อย่างเราๆ อีกมากมายหลายคน



Departures นับเป็นหนังที่มีองค์ประกอบของการกำกับ การแสดง การถ่ายทำ จังหวะการตัดต่อ ผสมผสานได้กลมกลืนเป็นอันมาก แม้กระทั่งเพลงบรรเลงประกอบ ซึ่งเรียบเรียงอย่างประณีตในสไตล์คลาสสิค ก็ฟังโดดเด่นสะดุดหู แต่กลมกลืนเข้ากับบรรยากาศของเรื่อง ช่วยพาอารมณ์ของคนดูไปให้ถึงซึ่งจุดประทับใจของแต่ละฉาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพลงเดี่ยวเชลโล่ ซึ่งเป็นประหนึ่ง Theme song ที่ให้อารมณ์ได้ลึกซึ้งจับใจ..สะท้อนความรู้สึกของพระเอกที่ผูกพันกับพ่อได้อย่างชัดเจน

เป็นหนังเรื่องหนึ่งในน้อยเรื่องที่ดูแล้วต้องน้ำตาไหลไม่รู้ตัว ไม่ใช่ด้วยความเศร้าหรอกนะ แต่เป็นความประทับใจ และตื้นตันใจในความงดงามของความเป็นมนุษย์ ที่มีทั้งดีทั้งร้ายผ่านเข้ามาในชีวิตหนึ่ง ได้เห็นการเรียนรู้ของคนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ ที่ไม่ได้เลิศเลอเพอร์เฟ็ก และต้องได้รับบทเรียนชีวิตกันถ้วนทั่ว แต่สิ่งสำคัญที่หลงเหลืออยู่คือ หนังได้ให้ความหวังอันดีงามแก่คนดู.. ให้มองโลกในแง่ดี และมีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป

ทำให้แอบคิดไปถึงพิธีรดน้ำศพแบบไทยๆ ที่ขาดความประณีตในการจัดการเป็นที่ยิ่ง สมควรที่เราน่าจะนำตัวอย่างที่ได้เห็นนี้นำมาปรับปรุงพิธีการให้ดูเป็นเกียรติแก่ผู้ตายมากขึ้น พลิกผันอารมณ์เศร้าให้คีนสู่ความรู้สึกดีๆ ของการร่วมส่ง "ผู้ที่จากไป" สู่สุคติภพด้วยภาพสวยงามครั้งสุดท้าย...

และทัศนคติในการเห็นสรีระของผู้ที่จากไป..ได้เปลี่ยนไปอย่างประหลาด หลังจากได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้

ถ้าจะให้เปรียบกับหนังออสการ์ Slumdog Millionaire แล้ว เรื่องนั้น..เผลอๆ เป็นได้แค่ละครหลังข่าว....

ตั้งแต่ Atonement เป็นต้นมา เห็น Departures นี่แหละ สมควรแก่ดาว 5 ดวง ..เอาไปเลย....




 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2552
23 comments
Last Update : 17 กรกฎาคม 2552 0:33:49 น.
Counter : 10640 Pageviews.

 

สวัสดียามเช้าครับพี่หมี

เป็นหนังอีกเรื่องที่อยากดูมากครับ










 

โดย: กะว่าก๋า 16 กรกฎาคม 2552 8:36:58 น.  

 

ดีมากเลยค่ะเรื่องนี้ เศร้าแบบไม่รุนแรงหวือหวา แต่ซาบซึ้งไปกับหลาย ๆ ฉาก รวมถึงมีตลกได้อย่างไม่น่าเชื่อ ที่ชอบที่สุดคือที่คุณลุงคนนึงพูดถึงคุณป้าเจ้าของร้านอาบน้ำที่ตายว่า "แล้วเจอกันนะ"

 

โดย: hamuhamoo 16 กรกฎาคม 2552 10:16:19 น.  

 

เริ่ดค่ะคุณพี่!!! ชอบ....

หนังน่ะชอบอยู่แล้ว แต่ชอบบทวิจารณ์พี่จ้ะ

เอ้า เมาธ์เรื่องหนังนะ ตอนดู มันมีฉากหนึ่งที่ตอนแรกไม่เข้าใจว่าจะใส่มาทำไม เอาไว้สวยๆ เหรอ คือฉากที่พระเอกเล่นเชลโลบนคันดิน กลางท้องทุ่ง ฉากหลังเป็นท้องฟ้ากว้างใหญ่ ซ้วย-สวย มีนกบินไปมา พอออกจากโรง ค่อยๆ ทบทวน (หนังดีๆ จะเป็นหยั่งงี้เนอะ คือดูจบแล้ว แต่ในใจ ในหัวเรา ยังไม่ยอมจบ แบบว่าดูอิ่ม+โดนหนังกระแทกจนเบลอร์ อะไรเงียะ) พอทบทวนแล้ว ถึงได้ get แถมยังอยากกลับไปดูฉากนี้ใหม่

คือพระเอกเนี่ย ฮีมีแผลเหวอะหวะในใจแต่เด็กว่าพ่อทิ้งไปใช่ปะ แล้วโมเมนต์ที่สลักปักตรึงอยู่ในความทรงจำที่แสนหวาน ก็คือตอนเล่นเชลโล่แล้วมีพ่อนั่งชื่นชมอยู่ เป็นช่วงความสุขที่สุดในชีวิต ก่อนพ่อจะทิ้งแม่ไป (นอกเหนือจากฉากเก็บหิน ที่เป็นความสุขอีกฉาก) หนูเลยเข้าใจว่า การเล่นเชลโล่ก็เสมือนเยียวยาบาดแผลในใจ เพราะฮีก็ยังคงรัก คิดถึง โหยหาความรักจากพ่อตลอดเวลา ผ่านไป 30 กว่าปี แผลก็ยังไม่หาย มีแต่จะบ่มลึกอยู่ข้างใน เพราะงั้นเวลาคิดถึงพ่อ สิ่งเดียวที่จะทำได้ก็คือเล่นเชลโล่ อะไรแบบเนียะ แถมยังต้องมาเล่นในที่กว้างๆ คล้ายจะระบายปลดปล่อยความอัดอั้นที่เก็บกักข้างในออกมา

พี่ว่าไหม?

อีกฉากที่อยากกลับไปดูสีหน้าพระเอกอีกทีคือ ตอนยืนบนสะพาน มองดูลำธาร และเกาะแก่งที่เคยมาเก็บหินกับพ่อ อยากดูฮีทำสีหน้าเจ็บปวดอะ (my sadistic pleasure ฮ่าๆๆๆ)

เห็นด้วยกับพี่ที่ว่าฉากสุดท้าย สุดยอดมากกกกกกกกกกก โอ๊ย ตอนดูนะพี่ น้ำตาไหลเผาะๆๆๆ พี่เห็นตอนพระเอกเอามือลูบไล้ใบหน้าพ่อ แล้วก็บีบๆๆ มั้ย กล้องจับภาพแค่มือ แต่โห...ความรู้สึกมันถ่ายทอดอยู่ในนั้นหมดเลย ทั้งความรัก ความโหยหา ความเจ็บปวด ความเศร้าสร้อย ความเสียดาย แล้วฮีก็น้ำตาร่วงทีละหยดๆ ดูแล้วจะตายเอา เลิศมากๆๆ สมควรได้เลย รางวัลตุ๊กตาทองเนี่ย (อยากเอาตัวเองใส่พานเป็นรางวัลให้พระเอกมากๆ แต่ไม่รู้เค้าจะนึกว่าโดนลงโทษหรือเปล่า)

ความไม่ได้ระวังของตัวเอง ก็เลยเที่ยวไปบอกใครต่อใครว่าหนังเรื่องนี้ได้ตุ๊กตาทองญี่ปุ่นถึง 14 ตัว แบบว่าอ่านจากไหนจำไม่ได้ แล้วก็ไม่ได้เช็คข่าว เอาเข้าจริงถึงเพิ่งได้เห็นจากโปสเตอร์ว่าแค่ 13 แล้วก็เป็นแค่ nominations และจริงๆ ได้แค่ 10 รางวัลใช่มั้ยพี่ เห็นพี่เขียนอยู่

แต่เอาเถอะ แค่นี้ก็ถือว่าเลิศมากพอแล้ว รางวัลแต่ละรางวัล ฆ่าคนอื่นตายทั้งนั้น

สุดท้ายนี้ ขอบคุณสำหรับรีวิวฮ่ะ xoxo

 

โดย: นู๋ปรี IP: 58.8.184.29 16 กรกฎาคม 2552 15:16:09 น.  

 

ยังไม่ได้ดูเลย นักศึกษาที่คุยกันบ่อย ๆ เวลาเจอหน้าก็ชอบถามว่าอาจารย์ไปดู Departure มาหรือยัง

ถามทุกวัน 555

 

โดย: I will see U in the next life. 16 กรกฎาคม 2552 15:39:25 น.  

 

พี่หมีๆ ขอเมาธ์พระเอกต่ออีกหน่อย

ก่อนอื่น เอาลิงค์นี้มาแปะหน่อย เค้าไม่ว่าใช่ปะ 55555 (ดูแล้วอย่าเอ็ดไป เพื่อนส่งมาให้)

//www.imagebam.com/gallery/5321b220c95ba109987184cb44bfedf3/

อันนี้อีกอัน แบบว่าลามก เลยหาจนเจอเอง 5555 66666
//media.photobucket.com/image/shibugakitai/TenshiGackt/JGN.jpg

มาจากบล็อกนี้ฮ่ะ (ซุกซนๆ เหอๆๆๆ)
//tenshi-gakuto.livejournal.com/19907.html

เพราะรูปเซ็ตข้างบนเนี่ย ส่งกระจายในแก๊งค์ เลยเพิ่งรู้จากเพื่อนว่าพระเอกคือหนึ่งในอดีตสมาชิกวง โชเนนไต อันโด่งดัง ตอนนั้น(หรือแม้แต่ตอนนี้) ก็ไม่ได้เคยเลิฟ หรือบ้าคลั่งอะไรหรอก ที่จริงไม่เคยอะไรเลยด้วยซ้ำ พอเพื่อนบอก เลยรีบไปหาข้อมูลใหญ่เลยอะจ้ะ อ๊าย เกิดจะมาหลงรักเค้าเอาตอนแก่เนี่ย ...เฮอ....

แล้วก็โป๊ะจนได้พี่ ปรากฏว่าไม่ใช่วง โชเนนไต จริงๆ คือวง shibugakitai แบบว่าเนี่ย-ถ้าไม่คัน ไม่เช็คข้อมูลก่อน ก็คงไม่รู้อยู่ดี แต่ไงทั้งสองวงนี้ก็ดังอยู่ในยุคเดียวกันเลย คือยุค 80's (รีพลายฟ้องอายุมั่กๆ)

สุดท้ายนี้ หวังว่า คนเข้ามาอ่านบล็อกพี่คงไม่ติดโรคตากุ้งยิงกลับไปนะ 55555 44444

 

โดย: นู๋ปรี IP: 58.8.184.29 16 กรกฎาคม 2552 16:45:12 น.  

 

น้องหมิงก๋า..สมควรไปดูอย่างยิ่งจ้ะ อย่ามัวคุยโทรสับเพลินล่ะ..

ขอบคุณที่แวะเวียนมานะครับ คุณ hamuhamoo

แทงคิวจ้า หนูปรี อย่างน้อยเราก็มี something in common ที่จะแชร์กันได้นะ

หนูช่างคิดดีนะ กับฉากบนโปสเตอร์เนี่ย จริงๆ คุณพี่รู้สึกว่ามันโดดๆ เหมือนกันกับสไตล์เรื่อง แต่เหมือนกับว่า ผู้กำกับเขาเป็นคนชอบ Symbolic ทั้งเชลโล่ และก้อนหิน ถือเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของหนังทีเดียว

ฉากนั้นในความเห็นของพี่หมี มันคือสัญลักษณ์หนึ่งที่บ่งบอกอิสระเสรีของการปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการสู่โลกกว้างของอีตาพระเอก เชลโล่สำหรับตัวเขาเปรียบเสมือนจิตวิญญาณ(ของตัวเองที่ผูกพันกับพ่ออย่างที่หนูว่า) แล้วเวลาที่ผ่านไปเขาก็ได้เปิดโลกทัศน์จากการที่ได้ไปทำงานกับครอบครัว"ผู้จากไป" ได้เรียนรู้ความรู้สึก ความสัมพันธ์อันมีค่าของมนุษย์ ที่มักจะมารู้ตัวเอาเมื่อสายเสียแล้ว... เหมือนกับเขาได้เติบโตเรียนรู้ชีวิตไปพร้อมๆ กัน (เห็นได้จาก situation ของแต่ละพิธีการตัดสลับกับฉากเล่นเชลโล่กลางท้องทุ่ง) ซึ่งดนตรีประกอบได้แสดงพลังของมันออกมาอย่างเต็มที่ในตอนนี้ คุณพี่กลับมาดูซ้ำฉากนี้ก็ยังได้ความรู้สึกเต็มตื้นประทับใจเหมือนเคย

นี่แหละ ที่เรียกว่าฝีมือจริงๆ ..ถ้าประพันธกรทางดนตรีของเราตีโจทย์แตกได้แบบนี้ รับรองแม่นาคไม่ว่าเวอร์ชั่นไหนก็ดูแล้วปลื้มทั้งนั้น.. (อุ๊ย ไม่ได้แขวะนะจ๊ะ)

มีบางฉากบางตอนเหมือนกันที่ยัง cloudy เป็นปริศนาในใจสำหรับคุณพี่อยู่ อยากให้หนูปรีช่วยพี่หมีวิเคราะห์วิจารณ์สักหน่อย นั่นคือ ช่วงที่ตาพระเอกเพิ่งกลับมาจากทำงานหนแรกอันหนักหนาสากรรจ์ มากินข้าวกับเมียก็พาลจะอ้วกไปอีก แต่แล้ว อยู่ดีๆ เมื่อได้สัมผัสกับมือศรีภรรยา ก็เกิดอารมณ์ขึ้นมากระทันหัน แล้วก็จุดๆๆๆ ในครัวตอนนั้น...(อันเป็นแรงจูงใจให้เกิดผลลัพธ์อื่นตามมา...)

หนูคิดว่าฉากนั้นเขาอยากบ่งบอกอะไรกับเราน่ะ ช่วยแจ้งแถลงไขคุณพี่เอาบุญหน่อยเถอะ อยากรู้ว่าจะคิดตรงกันไหม....

 

โดย: พี่หมี (Bkkbear ) 16 กรกฎาคม 2552 18:05:15 น.  

 

อ้อ..เกือบลืมพูดถึงไปนิด หนูปรีจำได้เปล่าที่ยัยเลขาเล่าถึงเรื่องที่ตัวเองเคยทิ้งลูกมาก่อน แล้วรู้สึกผิดอย่างมาก เลยพยายามผลักดันให้พระเอกกลับไปรับ (ศพ)พ่อ ซึ่งเหมือนกับลูกชายยายเจ้าของ Bath house ที่ไม่เคยเหลียวแลช่วยเหลือแม่เลย แล้วมารู้ตัวเอาเมื่อสาย ซึ่งคุณพี่คิดว่ามันคือ Key message สำคัญที่กำลังบอกเราว่า มนุษย์เรานั้น ล้วนทำผิดพลาดมากมายกับชีวิตมาทั้งนั้น บางครั้งอยากจะกลับไปแก้ไขก็ได้แต่สายไปเสียแล้ว ดังนั้น ถ้ามีโอกาสที่จะทำอะไรดีๆ กับคนที่เรารัก ก็รีบทำเสียเถอะ อย่าปล่อยให้มันผ่านไปโดยไร้ค่า

ซึ่งตรงนี้แหละที่พี่หมีคิดว่ามันเป็น Theme ที่ชาญฉลาดอย่างมากในการนำเสนอผ่านศิลปะแห่งความตายเช่นนี้

....................................................

อุ๊ย OMG!!!!!!!!!!!!!!!

ลิงค์อารายของมานกานเนี่ย...อ๊ากกสสส

โอ..มายกร๊อดด เด็ดเจงๆ แหม ดาราญี่ปุ่นเขากล้าหาญชาญชัยมาแต่ไหนแต่ไรเนอะ พระเอกบ้านเรา แหม้..มาทำหนีบๆ มันต้องใจถึงแลกหมัดไปเรยแบบเนี้ยะ...

วงนี้ไม่รู้จักเนอะ โชเนนไตพอนึกออก สมัยนั้น ตานี่คงยังเอ๊าะๆ อยู่ เลยขอถ่ายเก็บไว้เป็นเกียรติประวัติเป็นแน่แท้....

 

โดย: พี่หมี (Bkkbear ) 16 กรกฎาคม 2552 18:19:14 น.  

 

อ้อ น้องดอง พี่หมี recommend ว่าสมควรไปดูเป็นอย่างยิ่ง อยากรู้เหมือนกันว่าน้องมีความเห็นเป็นเช่นไร...

 

โดย: พี่หมี (Bkkbear ) 16 กรกฎาคม 2552 18:22:53 น.  

 

สวัสดียามเช้าครับพี่หมี







 

โดย: กะว่าก๋า 17 กรกฎาคม 2552 7:55:05 น.  

 

ไม่ใช่ "ปรัชญา" หรอกพี่
เป็น "ปัดยา" น่ะครับ

อิอิอิ

 

โดย: กะว่าก๋า 17 กรกฎาคม 2552 12:02:56 น.  

 

ฉากปริศนาที่พี่หมีว่า นู๋คิดงี้ฮ่ะ พระเอกไปทำศพมาครั้งแรกใช่มะ แล้วก็เกิดอาการช็อค ช็อคแบบหลุดโลกเลย เพราะมันมาทั้งรูป ทั้งกลิ่น ทั้ง

สัมผัส ประสาทรับรู้ทั้งตา จมูก กาย และใจพังพินาศแหลกลาญ เพราะไม่เคยเจออะไรงี้มาก่อน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของคนทั่วไปนะพี่ ชาว

บ้านอย่างเราๆ ที่ไม่เคยเจอศพแบบใกล้ชิดนี่แหละ อย่าว่าแต่ศพตายขึ้นอืดมาหลายวันเลยคุณพี่ หนูว่านะ แม้แต่ศพธรรมดา เราเจอก็คงต้องมี

แหยงๆ มั่งล่ะน่า

ความหลอนที่เจอกับคนเดินดินในสภาพตายหลายวันมันเลยโหมกระหน่ำเข้าใส่จนขวัญกระเจิง พอกลับมาบ้าน เจอเมียทำกับข้าว เห็นซากศพไก่

เลยทนไม่ได้ ถึงกับอ้วกออกมาอีก การที่พระเอกเข้าไป xxx กับเมียนั่น หนูมองว่ามันคงไม่ใช่เซ็กส์หรอก แต่เป็นความโหยหาสิ่งมีชีวิตมากกว่า พี่

เห็นใช่ไหมว่าเขาลูบไล้วนเวียนไปมาทั้งเนื้อทั้งตัว ราวกับอยากจะกลืนกิน สูดดมกลิ่น และอื่นๆ อีกทุกอย่าง เพียงเพื่อตอกย้ำกับตัวเองว่านี่คือ

ของจริง พยายามเรียกสติตัวเองให้กลับมาสู่โลกที่จับต้องได้ พยายามดึงตัวเองกลับออกมาจากความหลอนจากการเจอศพอะพี่ ฉากนี้หนูว่าเขาก็

เล่นเก่งมากๆ เลย

ที่ห้องเฉลิมไทยพันทิพก็มีคนตั้งกระทู้ถามประเด็นนี้เหมือนกัน ตอนแรกว่าจะเข้าไปตอบ แต่พออ่านๆ ไป มีรีพลายหนึ่ง เขาตอบไว้ดีแล้ว หนูเลย

ไม่ได้แจม พี่หมีลองเข้าไปอ่านดูสิ อันนี้ฮ่ะ

เอ่อ แล้วตกลง พี่กับหนูคิดเหมือนกันไหมคะ ฉากนี้น่ะ

 

โดย: นู๋ปรี IP: 125.25.108.36 17 กรกฎาคม 2552 23:07:08 น.  

 

ลืมแปะกระทู้ อันนี้ฮ่ะพี่หมี

//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A8078900/A8078900.html

 

โดย: นู๋ปรี IP: 125.25.108.36 17 กรกฎาคม 2552 23:10:26 น.  

 

เอ...ก๊อปที่ตัวเองเขียนใน notepad มาแปะ แล้วทำไมบรรทัดขาดๆ วิ่นๆ ไม่รู้

เดี๋ยวลองแปะจาก Word นะพี่

ต่อฮ่ะ...

จะเล่าให้ฟังว่า หนูเคยขอเข้าไปดูเขาผ่าชันสูตรศพด้วยล่ะ ของจริงเลยพี่ แบบว่าจะเข้าไปปลงอสุภะแหละ ก็ได้คิดอะไรกลับมาเยอะเหมือนกันนะ แต่ไม่หลอน ไม่งั้นคงกลับมาเอ็นจอยรูปโป๊ และหนังลามกไม่ได้ ฮิๆ

ได้ดูหมดเลยพี่ ทุกขั้นตอน ทุกกระบวนการ จะจาระไนให้ฟังนะ มีผ่ากะโหลกศีรษะ นึกภาพนะพี่ เหมือนผ่าแตงโมออก 1 เสี้ยวอะ แนวเหนือคิ้ว ไปถึงขมับทั้งสองข้าง ผ่าจรดกับแนวด้านบนลงมา พอเอาฝากะโหลกออกมา อ้อ..ลืมไป หนังไม่ได้ผ่าออกนะคะ เขาปลิ้นเอาหนังออกมาพับมาบนหน้าค่ะ จากนั้น ก็เอาสมองออกมา ชั่งน้ำหนัก อะไรก็ว่าไป ส่วนท่อนร่างกาย ก็ผ่ากระดูกหน้าอกเป็นตัววี (มีดที่ใช้ผ่า คมมากกกก ค่ะ ดูเขาเลาะแล้วทำไมมันทำ ง้าย-ง่าย) แล้วก็เอาอวัยวะเครื่องในโน่นนี่นั่น ออกมาชั่งน้ำหนักค่ะ รู้สึกคนตายจะเสียชีวิตด้วยโรคอะไรเกี่ยวกับลำไส้นี่แหละ เลยต้องวินิจฉัยนิดนึง พอตรวจทุกอย่างหมดแล้ว ก็เอาใส่กลับเข้าไปเหมือนเดิมค่ะ หน้าก็พับขึ้นไปเหมือนเดิม กลายเป็นศพใหม่เอี่ยมเหมือนเดิม เพื่อจะส่งกลับไปให้ญาติทำพิธี ญาติไม่มีทางรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับศพบ้าง ไม่ได้เห็นอย่างที่เราเห็นหรอกค่ะพี่

นี่แหละค่ะพี่ขา ที่หนูบอกว่า ไปดูมาก็ได้คิดอะไรเยอะเลย แต่เล่าแค่นี้พอนะคะ ไม่งั้นจะนอกประเด็นหนังแระ ส่วนที่หนูเอาเรื่องนี้เล่าให้ฟังก็เพราะว่า จากเหตุการณ์นั้น เลยพอจะเข้าใจความรู้สึกพระเอกตอนไปทำศพคุณป้าตายขึ้นอืดมาสามวัน อะไรงี้ค่ะ (แต่อันนั้น sense ของพี่พระเอกต้องโดนทะลุทะลวงมากกว่าหนูแน่ๆ เพราะสภาพคงไม่สวยงาม แอนด์กลิ่นคง smell welcome สุดริด ขณะที่ของหนูเอง เป็นแค่ศพฉีดยา ซึ่งถึงขนาดนั้น คือตาเห็นรูป กับกายสัมผัส – คือคุณหมอบอกให้ลองจับเนื้อหนังศพดูอะค่ะ - เป็นการแหย่แค่ต่อมประสาทสัมผัสสองอย่างเท่านั้น ก็ยังเรียกว่าสุดๆ แร้ว....)

ตอนดูผ่าศพเสร็จ กลับออกมา เราหิว พี่ผู้หญิงที่ไปดูผ่าศพด้วยกันก็ชวนกันไปกินมื้อกลางวัน ยังมีแซวกันเล่นๆ เลย ไปกินก๋วยจั๊บกันเหอะ ...คุณพี่หมีขรา...ให้หนู กินก๋วยจั๊บใส่เครื่องในตอนนั้นเลย หนูก็กินไม่ลงเหมือนกันนะคะ 55555 ก็แหม-ไส้ ตับ ปอด หัวใจ ฯลฯ เราเห็นมาหมดเลย เพิ่งเห็นหยกๆ ด้วย เลือดก็มี ก็ไหลออกมาตามธรรมชาติของมันนั่นแหละ (แต่เขามีตะแกรงรอง มีวิธีจัดการที่ดีค่ะ)

แล้วเลยนึกเปรียบเทียบไปถึงอีกเรื่องคือ พวกพนักงานในห้องนิติเวช วันหนึ่งๆ เขาต้องผ่าศพเป็นหลายสิบ หลวงพี่ที่เคยเข้าไปดูก็มาเล่าให้ฟัง (อันนี้ รพ.ตำรวจ แต่ตอนหนูไปดู หนูไปที่ รพ.ภูมิพล หลายปีแล้ว แต่คงไม่ต่างกัน) หลวงพี่เล่าว่า เจ้าหน้าที่ที่ผ่า ผ่าไปเขาก็กินข้าวไปด้วยเฉ๊ย แบบว่า อะ-หิวแล้ว ลุกไปกินข้าว ชามข้าวก็วางไว้แถวนั้นแหละ เสร็จแล้วก็ผ่าศพต่อ อะไรเงียะ เนี่ย..เห็นมั้ยพี่ ประสาทสัมผัสชินชาแล้วไง เห็นจนไม่รู้สึกอะไรแล้ว ก็เหมือนอวัยวะชิ้นหนึ่งทำนองนั้น

แต่บรรยากาศที่ รพ.ตำรวจ ว่าไปแล้ว ฟังจากที่เล่า ก็ไม่น่าพิศมัยนัก เพราะกลิ่นเอย อะไรเอย ต้องมีมากๆๆๆ แล้วศพก็ไม่ใช่ตายเรียบร้อยเสียเมื่อไร คุณพี่คะ รพ.ตำรวจใช่มั้ยคะ ศพต่างๆ ก็มาจากทั่วทุกสารทิศ ตายจากอุบัติเหตุมั่ง ไฟไหม้มั่ง ฆาตกรรมมั่ง โน่นนี่นั่น ทุกรูปแบบสารพัด ศพคงไม่สวยนัก บวมอืดก็คงมี หรือบางเคสก็ต้องรีบผ่าด่วน เพราะเป็นเรื่องของการสืบสวนอาชญากรรม ฯลฯ คงบันเทิงใจอยู่หรอก แต่เจ้าหน้าที่ผ่าศพ เค้าก็คงไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว ไม่เหมือนคุณพี่พระเอกของเรา... (หาทางกลับมาที่หนังถูกจนได้ ค่อยยังชั่ว)

อ้อๆๆๆ คุณพี่ขา อีกนิส...ตอนหนูไปดูเขาผ่าศพ ขออนุญาตเขาถ่ายรูปเก็บไว้ด้วย รูปชุดนั้น หนูก็มีนะ ยังเก็บไว้เลย คุณพี่อยากดูปะ ประกอบการรีวิว Departures จะได้เข้าใจพระเอกได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น 55555

 

โดย: นู๋ปรี IP: 125.25.108.36 17 กรกฎาคม 2552 23:19:39 น.  

 

หมายเหตุ - รีพลายนี้มีสปอยล์ ใครยังไม่ดู ห้ามอ่าน

ลืมไปอีกอย่าง

จะบอกว่า หนูชอบประเด็นที่พี่พูดถึง ความสัมพันธ์ของมนุษย์ ที่ว่ามีค่า แล้วคนเรามักจะคิดขึ้นได้เมื่อสายแล้ว เพราะฉะนั้น ในเวลาที่ยังไม่จากกัน ถ้าทำดีได้ ก็จงรีบๆ ทำเสีย อย่ารอ

ตอนดูหนังจบ หนูก็ลืมคิดถึงเรื่องนี้เลย พอพี่บอกอย่างนี้เลย get ค่ะ เออ หนังมันทำได้สมบูรณ์จริงๆ ด้วย เป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาใส่มาในฉากทำศพเกือบทุกรายเลยนะคะ เลิศมาก ตั้งแต่ฉากแรกที่พ่อแม่มีลูกเป็นกะเทย รายที่เมียตาย แล้วก็แต่งหน้าให้เมียสวย จนตาผัวหายโกรธที่สองคนมาสาย ฉากคุณยายของหลานๆ ฉากคุณป้าโรงอาบน้ำที่ยาวไปถึงฉากเผา โดยมีคุณลุงกับลูกชายมาดู จนถึงฉากยอดเยี่ยมฉากสำคัญตอนจบ

รายละเอียดความสัมพันธ์ของตัวละครเล็กๆ พวกนี้ ทำได้ดีหมดเลยค่ะ เนื้อเรื่องแน่นมากๆ เลิศๆๆๆๆ

 

โดย: นู๋ปรี IP: 125.25.108.36 17 กรกฎาคม 2552 23:31:09 น.  

 

เผอิญได้คุยเรื่องนี้กับพี่แพทของหนูพอดี...เห็นตรงกันอยู่อย่างว่า ประเด็นของฉากนี้มันไม่ใช่สูตร 1+1=2 มันอาจจะไม่จำเป็นต้องชัดเจนมีเหตุผลไปทุกเรื่อง ก็เหมือนปล่อยให้มันคลุมเครือไปอย่างนั้นแหละ ให้คนดูซึมซับเข้าใจกันไปเอง

แต่ที่หนูปรีตีความมานั้น คุณพี่ก็มองไม่ต่างกันเท่าไร ซึ่งหนูได้มองอย่างละเอียดละออ (เพราะอินกะอีตาพระเอกซ้า...คงแอบจิ้นตัวเองเป็นศรีภรรยาอยู่ตอนนั้นอะจิ ) และอธิบายได้ความรู้สึกลึกซึ้งดีกว่าคุณพี่มาก

หากแต่พี่หมีมีความรู้สึกว่า ผู้กำกับเล่าเรื่องตรงส่วนนี้รวบรัดไปนิด การทอดจังหวะความรู้สึกของพระเอกที่มีต่อความสับสนในจิตใจมันยังไม่ทันให้คนดูได้ตั้งตัว มันเปลี่ยนแปรอย่างรวดเร็วจนเหมือนคนไร้สติ จนสื่อออกมาเหมือนสัญชาตญาณดิบ และอย่างที่ว่า เขาคงไม่คิดจะให้ฉากนี้เคลียร์อยู่แล้ว ปล่อยให้มันตะคุ่มๆ อย่างนี้ไปนั่นแล

เพียงแต่เรารู้สึกตะหงิดๆ เพราะเราไม่ค่อยเข้าใจปมทางจิตวิทยาเบื้องลึกของตัวเอก และคนที่มีบุคลิกแบบเขาจะมาทำอะไรแบบนี้ มันขัดๆ ความรู้สึกอยู่ และที่สำคัญ มันส่งผลที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง และเกิดจุดหักเหในเรื่องทีหลัง (Melodrama ซ้าไม่มี) เลยทำให้เรารู้สึกว่า เอ่อ ชะตาชีวิตคนเนี่ยมันบังเอิ๊น บังเอิญอะนะ

 

โดย: พีหมี (Bkkbear ) 18 กรกฎาคม 2552 2:42:24 น.  

 

เกือบลืมต่อเรื่อง Departures ภาคสยองขวัญ..อื๋ยยยย

คุณน้องปรีจ๋า คุณพี่คงไม่ต้องไปปลงอสุภะมัสดุถึงขนาดนั้นหรอกจ้ะ เพราะโดยส่วนตัว ตัวเองก็เข้าใจความตายโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แล้วก็มิได้เปี่ยมด้วยราคะจริต จนต้องเอาอสุภะเข้ากำราบ และก็ได้แง่คิดดีๆ จากหนังว่า การส่ง"ผู้ที่จากไป"สู่สัมปรายภพด้วยภาพสุดท้ายที่สวยงามนั้น มิได้เป็นเรื่องเสียหายขัดกับหลักธรรมทางพุทธศาสนาแต่ประการใด เป็นการ imply กรรมวิธีที่ให้ผลทางจิตวิทยาต่อผู้ที่เกี่ยวข้องหันมามองโลกในแง่ดีต่อกันมากกว่า เหมือนอย่างที่เห็นๆ ในหนังนั่นแหละจ้ะ

หูยย แต่หนูบรรยายซะละเอียดยิบยับได้อารมณ์ S&M มากกก แถมเก็บรูปไว้ชมอีก... อ๊ากกส ไม่ทราบว่าเป็นรสนิยมส่วนตัวป่าวจร๊า...

ล้อเล่นนาจ๊ะ ช่างเป็นคนเอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติอย่างไม่น่าเชื่อ สมแล้วกับที่ได้ไปแสวงบุญมาทั่ว ขอให้จำเริญๆ เถิด

 

โดย: พี่หมี (Bkkbear ) 18 กรกฎาคม 2552 2:56:15 น.  

 

ไม่เคยชอบดูหนังญี่ปุ่นเลย ไม่ชอบการเดินเรื่อง แต่อ่านแล้วอยากดูเรื่องนี้ครับ ต้องลองดูซะหน่อย บรรยายซะอยากดูเลยครับ

 

โดย: JohnV 19 กรกฎาคม 2552 11:41:23 น.  

 


วันนี้เพิ่งอัพบล็อกครับ

มีเมนูอาหารป่าแปลก ๆ มาชวนชิมครับ

ความอัตคัดในสถานการณ์หนึ่ง ทำให้สัตว์แปลก ๆ ที่ไม่คาดคิดว่าจะใช้เป็นอาหารได้

กลายมาเป็นเมนูจานเด็ดได้ที่ติดตรึงอยู่ในความทรงจำมาตราบจนทุกวันนี้ครับ...

 

โดย: ลุงแว่น 19 กรกฎาคม 2552 20:07:49 น.  

 

พ่อกับแม่ไม่ตามใจหรอกครับพี่หมี
แต่อาก๋ง อาม่า อาแปะ อาอึ้ม
เลี้ยงซะหมิงหมิงจะเป็นเทวดาอยู่แล้วครับ 55555

ผมคิดว่าการได้ดูแลลูกด้วยตัวเอง
เป็นความจำเป็นนะครับ

แต่หลายคนคงไม่คิดแบบนี้
โดยเฉพาะถ้ามีเหตุผลเรื่องปากท้องมาเกี่ยวข้อง


ความแตกต่างที่เห็นชัดที่สุดก็คือ การที่ลูกได้อยู่กับพ่อแม่ตลอด
พัฒนาการของเด็ก เราจะเห็นชัดครับพี่

กฏหมายลางาน 90 วันของเมืองไทย
มีคนทำได้คงน้องมาก
เพราะส่วนใหญ่เดือนเดียวก็ต้องกลับไปทำงานต่อ
ไม่งั้นเจ้านายไล่ออก

ผมอยากออกเป็นกฏหมายให้แม่หยุดทำงาน 1 ปี
แล้วบริษัทจ่ายเงินเดือนให้จังเลยครับ






 

โดย: กะก๋า (กะว่าก๋า ) 19 กรกฎาคม 2552 21:57:34 น.  

 

ตามไปอ่านแล้วคะรับ สหายแว่น หนุกหนานเช่นเคย..

หุๆๆ พ่อก๋าก้า..น่าจะแจกรางวัลพ่อลูกอ่อนดีเด่นซะให้เข็ด..

 

โดย: หมีบางกอก (Bkkbear ) 21 กรกฎาคม 2552 19:40:36 น.  

 

สวัสดียามสายครับพี่หมี











 

โดย: กะว่าก๋า 29 กรกฎาคม 2552 12:02:39 น.  

 

Hey, you used to write wonderful, but the last several posts have been kinda boring?K I miss your great writings. Past several posts are just a bit out of track! come on!
cheap snapback hats //www.jcobfreight.com/raterequest.asp

 

โดย: cheap snapback hats IP: 94.23.252.21 3 สิงหาคม 2557 20:20:23 น.  

 

Very descriptive blog, I enjoyed that a lot. Will there be a part 2?
mulberry outlet //www.tnsi.com/pinterests.aspx

 

โดย: mulberry outlet IP: 94.23.252.21 12 สิงหาคม 2557 15:43:13 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Bkkbear
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




งานเขียนบทความ บทหนัง เรื่องสั้น และนวนิยายในบล็อกนี้สงวนลิขสิทธิ์โดย Bkkbear (หมีบางกอก) ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539 ห้ามมิให้ดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

Friends' blogs
[Add Bkkbear's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.