ข้าพเจ้าเป็นคนชอบดูหนังเพลงมาแต่ไหนแต่ไรตั้งแต่ยังตัวกระเปี๊ยก คุณพ่อมักจะลากเข้าโรงหนังโน้นออกโรงหนังนี้เป็นประจำ ดูกันเป็นกิจวัตรจนซึมซับเป็นรสนิยมโดยไม่รู้ตัว ดูตั้งแต่หนังเพลงร่วมสมัยในยุคโน้นอย่าง GiBlues, Blue Hawaii ของเอลวิส เพรสลีย์ หรือ The Young Ones, Summer Holiday ของคลิฟริชาร์ด ไปจนถึงหนังที่มาจากละครบรอดเวย์มิวสิคัลอย่าง The Sound of Music,My Fair Lady, Hello Dolly หรือ Oliver! ซึ่งในสมัยนั้นโรงหนังบ้านเราจะเอาใจใส่เรื่องความอลังการตื่นตาเป็นเรื่องเป็นราว หนังเพลงมิวสิคัลแต่ละเรื่องมักจะนำมาฉายด้วยฟิล์มขนาด70 มม. 6 ร่องเสียงแม็กเนติกส่งตรงมาจากอเมริกาไม่ใช่มาก็อปปี้ในแล็บบ้านเราสีกระดำกระด่างเหมือนทุกวันนี้ คุณภาพหายห่วงเรื่องสีสันแจ่มกระจ่าง ระบบเสียงรอบทิศทางก็แสนจะรื่นรูหู ไม่ตูมตามหัวสั่นหัวคลอนเหมือนดอลบี้ดิจิทัล(เทียมๆ) ของยุคนี้ จอหนังของโรงสมัยโน้นก็เน้นความใหญ่ความกว้างเหมือนโรงหนังสกาลาหรือสยามภาวลัย ดูกันเต็มตาเต็มอารมณ์ไม่ใช่ฉายในโรงมินิเธียเตอร์จอจิ๋วๆ แคบเป็นรูหนู สู้ไปนอนกระดิกเท้าดูที่บ้านจะคุ้มกว่า
อย่างไรก็ดี หนังเพลงในยุคนั้นต่างเดินทางมาถึงจุดเสื่อมของความนิยมในช่วงเปลี่ยนสู่ทศวรรษ70 โปรดักชั่นหนังใหญ่ๆ อลังการงานสร้างหาดูได้ยาก ความนิยมของคนดูเปลี่ยนแนวไปสู่หนังสไตล์ Realistic เป็นจริงเป็นจังมากขึ้น มีภาพยนตร์เพลงแปลกๆ ฉีกแนวบางเรื่องฝ่าด่านอรหันต์มาได้บ้างอย่างPhantom of the Paradise ของไบรอัน เดอ พัลมา ซึ่งมาในแนวเสียดสี Phantom of the Operaแต่นำเสนอด้วยดนตรีร็อคร่วมสมัย อย่างไรก็ดี ที่ประสบความสำเร็จเป็นเนื้อเป็นหนังทั้งการต้อนรับของคนดูและบนเวทีออสการ์ก็เห็นจะมีCabaret ของ BobFosse ผู้กำกับที่ก้าวมาจากละครบรอดเวย์นี่แหละ
คาบาเรต์เป็นหนังเพลงเรื่องแรกที่ฉีกขนบการเล่าเรื่องในแนวTraditional ลงสิ้นเชิงชนิดไม่แคร์สื่อ เล่าเรื่องอย่างแยบยลด้วยการเปรียบเปรยฉากบนเวทีในคลับคาบาเรต์กับครรลองชีวิตของตัวแสดงที่ต้องเผชิญในชีวิตจริงในยุคที่เยอรมันถูกครอบครองด้วยลัทธินาซีซึ่งขณะที่ภาพยนตร์เพลงแนว Traditional ก่อนหน้านั้นจะให้ตัวแสดงเป็นคนเล่าเรื่องด้วยเสียงเพลงในเนื้อหนัง และเมื่อวิธีการเล่าเรื่องของภาพยนตร์ยุคใหม่เปลี่ยนไปสู่ความนิยมในสไตล์Realistic คนรุ่นใหม่จะรู้สึกว่าหนังเพลงแนวดั้งเดิมเป็นเรื่องแฟนตาซีและดูแปลกแยกไม่สมจริงกลายเป็นเรื่องขำๆ ไปที่เห็น มาเรีย นางเอกใน West Side Story จู่ๆก็ร้องเพลง Somewhere ขณะที่ร่ำไห้เศร้าโศกต่อหน้าศพ โทนี่คนรักที่ถูกยิงตาย คาบาเรต์จึงกลายเป็นหนังเพลงในแนวใหม่ที่เล่าเรื่องด้วยดราม่าเข้มข้นแต่ยังคงความเป็นมิวสิคัลได้ด้วยฉากเพลงบนเวทีในคลับคาบาเรต์ที่เสียดสีชีวิตจริงคู่ขนานไปกับเนื้อเรื่องหลัก
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องตัดต่อลำดับภาพก็อดย้อนมาถึงหนัง Chicago ไม่ได้ นับเป็นความเหมือนในความต่างจริงๆ นอกจากสไตล์ของเรื่องที่เล่าเปรียบเปรยระหว่างฉากเพลงกับดราม่าเหมือนคาบาเรต์แล้ว ชิคาโก้ยังมีลีลาการตัดต่อที่เฉียบคมหลักแหลมเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคนิคการตัดต่อในยุคหลังสหัสวรรษได้ก้าวไปไกล ลูกเล่นลีลาจึงไม่ธรรมดา จึงไม่น่าแปลกใจว่ารางวัลออสการ์ลำดับภาพยอดเยี่ยมในปี 2002 จึงตกเป็นของชิคาโก้ เช่นกัน แค่ฉากเพลง All That Jazz ที่เปิดเรื่อง ก็จะเห็นได้เลยว่าทั้งจังหวะวิธีเล่าเรื่อง และการสลับซีนเปรียบเทียบ ทำได้อย่างโดดเด่นถึงอารมณ์และบ่งบอกการทำการบ้านมาอย่างดีตั้งแต่เป็นสตอรี่บอร์ด
Pretty section of content. I just stumbled upon your website and in accession capital to assert that I get actually enjoyed account your blog posts. Any way I'll be subscribing to your feeds and even I achievement you access consistently fast. ugg boots with crystal button //www.shayspaniola.com/it-ugg/xDxCJjEXlt/
พี่หมีรู้ลึกรู้จริงในเรื่องเพลง
และละครเวทีจริงๆครับ
สุดยอดครับพี่