|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
Mamma Mia The Musical และ The Movie ความต่างในความเหมือน
ก่อนที่จะได้ไปชม Mamma Mia in Bangkok ก็เผอิญได้คุยกับน้องคนหนึ่ง ที่ทำทีประหลาดใจว่าเรากำลังจะไปดูอะไรเชยๆ โบราณๆ แบบ ABBA และบอกต่ออีกว่า วงก็แก่เฮือกแล้ว แถมแต่งตัวเป็นสีๆ ระบายๆ มาเต้นอีก เราก็เอ๋อไปพักใหญ่.. จนไปถึงบางอ้อก็ตอนที่ถามว่าเล่นที่อิมแพ็คเมืองทองเหรอ เราก็เลยหัวเราะ บอกว่าไม่ใช่คอนเสิร์ตจ้า เป็นมิวสิคัล กระนั้นเขาก็ยังคงทำหน้ามึนๆ อยู่ แต่เราก็คิดอยู่ว่าคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะอธิบายให้เข้าใจว่า Mamma Mia The musical นั้น ไม่ใช่คอนเสิร์ตของวง ABBA! ก็เลยปล่อยให้มึนต่อไป หุๆๆ
แปลกใจว่าโฆษณาที่พยายามออกสื่อกันอยู่โครมๆ เนี่ย มันสื่ออะไรผิดพลาดไปหรือ? ถึงเกิดอาการหลุด..ได้ขนาดนี้ 555
และยังมีอีกหลายคนที่บอกว่า ไม่เคยฟังเพลง ABBA หรือไม่ใช่แฟนเพลง ABBA ถึงไม่ไปดู.. ก็เลยได้ข้อคิดว่า บางคนเขาตัดสินการชมบรอดเวย์มิวสิคัลจากเพลงมากกว่าเนื้อหากระมัง? สำหรับตัวเองไม่ว่าสไตล์ไหน ถ้าเล่าเรื่องได้น่าสนใจ ด้วยโปรดักชั่นที่ดีแล้ว ยินดีไปชมทั้งนั้น เพราะปัจจุบันมิวสิคัลมีทุกยุคทุกสไตล์ตั้งแต่ โอเปร่า ร็อค ดิสโก้ แจ๊สส์ ไปยันฮิปฮอป
ความประทับใจใน Mamma Mia “ละคร”มิวสิคัลเรื่องดังนี้ ถึงจะไม่มากมายเหมือนเมื่อครั้งได้ดูเวอร์ชั่นหนังเป็นครั้งแรก แต่ก็ได้มุมมองน่าสนใจที่แตกต่างอยู่ไม่น้อย อันดับแรก คือ ความรู้สึกร่วมระหว่างคนดูกับบทละครที่แฝงอารมณ์ขันเท่ๆ เก๋ไก๋แบบอังกฤษนั้น มีรายละเอียดเพิ่มเติมมาอีกเยอะพอสมควร ถึงแม้โครงเรื่องจะดำเนินแบบเดียวกับหนัง แต่เพลงต้นแบบที่อัดเข้าไปครบเครื่องถึง 24 เพลง ก็ทำให้มีรายละเอียดของการเล่าเรื่องที่น่าติดตามไปอีกแบบ และที่แน่ๆ แฟนคลับ ABBA ได้ฟังกันเต็มอิ่ม
อย่างที่สองก็คือ การได้เห็นวิธีการดัดแปลงบทหนังจากบทละครต้นแบบที่ทำได้น่าสนใจมากๆ เพราะมีความต่างอยู่มากพอสมควรหลายจุดทีเดียว วิธีการใช้เพลงที่สลับสับเปลี่ยนที่แต่ยังสามารถนำมาสื่อสารได้ความหมายอยู่ ก็ทำได้น่าทึ่ง ซึ่งในส่วนของละคร การค่อยๆ บิลท์อารมณ์เพลงให้แรงขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงจุดก่อนที่จะพักครึ่งแรกนั้น ทำได้ดีมาก เพลง Voulez Vous ดูเป็นจุดสรุปที่ทำได้ถึงพีคดึงอารมณ์คนดูมาจนถึงจุดสูงสุดของมันได้ ขณะที่หนังทำเหมือนแค่ทางผ่าน
ดูจากภาพนิ่งหรือในวิดีโอจะรู้สึกว่าฉากง่ายๆ แบบนี้ไม่น่าสนใจ แต่ถ้าได้ดูของจริง มันจะให้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่งเลยทีเดียว
แต่บางเพลงในหนังก็กลับทำได้ดีกว่า อย่างเช่น เพลง Honey Honey ในหนังดูสนุกและได้ความรู้สึกกว่ามาก หรืออย่าง Dancing Queen หนังก็ทำได้อินชนิดอยากลุกขึ้นมาเต้นตาม คงเพราะการตีความของหนังได้แต่งแต้มลูกเล่นและมุกครื้นเครงเพิ่มเติมได้แพรวพราว แถมได้โชว์ความสวยงามของโลเคชั่นบนเกาะกรีกได้อิ่มตา และที่แน่ๆ เราว่าเพราะระบบเสียงด้วยส่วนหนึ่ง เพราะในหนังฟังกระหึ่มดูสมบูรณ์แบบด้วยระบบดอลบี้ดิจิทัล ส่วนเพลงในเวอร์ชั่นละครที่รัชดาลัยไม่ทราบด้วยเหตุผลกลใด คือ ปราศจากมิติความลึกของดนตรีอย่างที่ควรจะเป็น ปัญหาเกิดจากคุณภาพของอุปกรณ์ หรือว่า วิธีการผสมเสียง (Sound Mixing) กันแน่?
ดนตรีอิเล็กโทรนิคพ็อพสไตล์ ABBA นั้นจริงๆ เล่นกันไม่กี่ชิ้น แต่ดูเหมือนจะคอนโทรลคุณภาพเสียงได้ไม่ดีเท่าที่ควร ตอน Overture มาซะแรง และกระด้างหูเกิน จนเราไม่อยากเชื่อว่านี่คือมิวสิคัลที่เป็นอินเตอร์แนทชัลแนลทัวร์มาจากอังกฤษ และทุกอย่างฟังเป็นโมโนไปหมด มันเลยขาดความลึกในการวางตำแหน่งเสียงเครื่องดนตรีแต่ละชิ้น แล้วพอถึงเวลาต้องเข้าเรื่อง เพลง I had a dream ซึ่งต้องเล่นเบาก็เลยกลายเป็นเงียบซ้า ตามมาด้วย Honey Honey ก็ง้องแง้งเป็นอันมาก...กว่าจะมาค่อยๆ บิลท์ก็ค่อนเรื่องไปแล้ว
ฟังๆ ดูเขาอาจจงใจให้เป็นเช่นนั้น แต่บางครั้งมันเบาเกินจนดึงอารมณ์คนดูไว้ไม่อยู่ ยกเว้นพอถึงฉากที่เป็น Showstopper นั่นแหละ ถึงจะใส่กันเต็มๆ ถ้าเป็นเราคงจะให้ความสำคัญกับระบบเสียงอย่างมากๆ กว่านี้ ต้องทำให้ทั้งโรงได้มิติของสเตริโอให้ได้ อย่างน้อยต้องไม่แพ้หนังเลยทีเดียว เพราะเพลงที่ร้องกันเบาๆ หรือมีบทพูดขั้น จำเป็นต้องทำให้ได้อารมณ์เท่าเทียมกันตลอด ไม่ใช่ขึ้นๆ ลงๆ อย่างนี้ ดูแล้วหงุดหงิดเล็กๆ
ลองมาชม Mamma Mia The Musical ในเวอร์ชั่นเยอรมันกันมั่ง
แต่ความน่าดูของละครก็คืออารมณ์สดๆ ของคนเล่น และความสามารถในการร้องซึ่งแต่ละคนทำได้มาตรฐานดีเท่าเทียมกัน (ยกเว้นแม่ทันย่า ตอนต้องโซโล่เพลงของตัวเอง Does Your Mother Know? กลับฟังไม่รู้เรื่อง ร้องเบาสู้ดนตรีร็อคไม่ไหวจนจับคำไม่ได้) รวมถึงพระเอกในบทแซม Cameron Blakely ซึ่งร้องได้ดีมาก ฟังแล้วปลื้ม (ขณะที่เพียซ บรอสแนนในหนังถูกวิจารณ์ว่าเสียงเหมือนโคฟาร์มโชคชัย หุๆๆ แต่เราว่าเขาโอนะ เอาตัวรอดได้ด้วยแอ็คติ้งมีระดับ)
แต่ตัวแม่ดอนน่ากลับเฉยๆ แฮะ เราชอบเมอรีล สตรีปในหนังมากกว่าเยอะ เพราะเธอแสดงได้ขั้นเทพแถมร้องได้ถึงบทมากๆ อย่างว่าแหละ อาจจะเพราะความดีของหนังก็คือการได้เข้าไปสัมผัสถึงอารมณ์ตัวละครได้ล้ำลึกกว่า แล้วดาราแต่ละคนก็ตีบทกันได้เข้าขากันสุดๆ ในส่วนนี้เราจะชอบเวอร์ชั่นหนังมากกว่า ยิ่งฉากสำคัญ The winner takes it all ต้องยกให้แม่เมอริลไปเลย ในละครเราจะรู้สึกเหมือนเพลงมันยาวไป รวมทั้งแอ็คติ้ง บล็อกกิ้งที่ดูตายๆ ยังไงไม่ทราบ (ต้องถามคนนั่งที่แพงๆ กระมัง เหอๆ ไอ้เราดันอยู่ซะไกลลิบ)
ฉากเพลง Under Attack ที่หาดูได้เฉพาะในเวอร์ชั่นมิวสิคัลเท่านั้น
แต่ความดีของฉากแดนซ์ที่บรรดา Ensemble ทั้งหลายได้โชว์กันอย่างสนุกสนานพรมเป็นระยะๆ นั้น ก็ทำให้เวอร์ชั่นละครดูมีชีวิตชีวาจับต้องได้กว่ามาก ซึ่งแน่นอนเป็นฉากชูรสสำคัญสำหรับมิวสิคัลอยู่แล้ว และที่ต้องชื่นชมก็คือ วิธีการออกแบบฉากที่ทำดูง่ายๆ แต่ล้ำด้วยความคิดสร้างสรรค์ เพียงแค่ผนังโค้งๆ สองชิ้นที่หมุนไปหมุนมา สามารถเปลี่ยนเหตุการณ์และเรื่องราวได้มากมายมหัศจรรย์ ด้วยไลท์ติ้งที่ชาญฉลาด ดูมีสไตล์เกร๋..เป็นอันมาก เป็นการออกแบบแนวสัญลักษณ์ที่ทำได้เวิร์คต่างจากหนังซึ่งจะเป็นเรียลลิสติกมากๆ ได้เห็นทะเลใสสีครามและธรรมชาติบนเกาะกรีก ได้ความประทับใจไปคนละแบบ
และฉากจบที่มีคอนเสิร์ตแถมท้าย ละครก็ให้ความรู้สึกร่วมที่สดและดีกว่าในหนังแน่นอน บรรดาตัวแม่ตัวพ่อทั้งหลายและหางเครื่องออกมาสวิงกันได้สุดเหวี่ยง ขำที่แม่ดอนน่าพยายามพูดภาษาไทย (แบบฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง) แต่ก็ทำให้คนดูอินกรี๊ดได้อย่างมัน รอบที่ดูฝรั่งมากันเยอะพอๆ กับคนไทย มีกันทุกวัยและก็แสดงอารมณ์เอ็นจอยกันหนุกหนาน ดูอะไรกะฝรั่งก็มันตรงนี้แหละ ไม่ต้องหนีบ (เหมือนคนไทยที่นั่งข้างๆ เฮ้อ..เล่นเอากรี๊ดไม่ออกไปเล็กน้อย)
เผอิญได้เจอเพื่อนฝรั่งที่พาแฟนคนไทยมาชมรอบเดียวกัน ปรากฏว่าเขาดูเป็นรอบที่สามแล้ว และดูจะชื่นชอบเวอร์ชั่นละครมากกว่า เขาบอกว่าไม่ชอบหนังเอาเลย? ส่วนเพื่อนบางคนที่ไปดูละครที่สิงคโปร์มากลับไม่ค่อยปลื้ม ซึ่งก็ไม่มีโอกาสได้ซักไซ้ลงลึกมากนัก แต่คนพวกนั้นเป็นแค่คนดูพื้นๆ ธรรมดา คงได้แค่เช็คทัศนคติในการชมคร่าวๆ
อย่างไรก็ตาม เราก็ชื่นชอบทั้งสองเวอร์ชั่นแหละ ด้วยอารมณ์การนำเสนอที่ประทับใจไปคนละแบบ นักศึกษาด้านภาพยนตร์สมควรจะได้ดูทั้งสองเวอร์ชั่น เพราะจะทำให้ได้เห็นวิธีการดัดแปลงบทละครมาเป็นหนังได้อย่างน่าสนใจมากๆ
Create Date : 28 สิงหาคม 2552 |
|
14 comments |
Last Update : 29 สิงหาคม 2552 14:49:10 น. |
Counter : 1139 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: I will see U in the next life. IP: 58.9.175.244 28 สิงหาคม 2552 10:52:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 28 สิงหาคม 2552 11:10:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: น้องต๊ะเองคร้าบบบ IP: 125.25.229.185 28 สิงหาคม 2552 23:41:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 29 สิงหาคม 2552 8:10:36 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 5 กันยายน 2552 11:06:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 6 กันยายน 2552 11:55:31 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 6 กันยายน 2552 13:01:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: พี่หมี (Bkkbear ) 6 กันยายน 2552 14:48:42 น. |
|
|
|
| |
โดย: JohnV 6 กันยายน 2552 15:36:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 7 กันยายน 2552 20:13:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 8 กันยายน 2552 11:41:00 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]
|
งานเขียนบทความ บทหนัง เรื่องสั้น และนวนิยายในบล็อกนี้สงวนลิขสิทธิ์โดย Bkkbear (หมีบางกอก) ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539 ห้ามมิให้ดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
|
|
|
|
|
|
|
ขอบคุณสำหรับการเล่าสู่กันฟังนะครับ