Mamma Mia! มิตรภาพ..ความรัก..เสียงเพลง(ของ ABBA) ..และพ่ออีก 3 คน!!!
หลังจากฟังเสียงร่ำลือของบรรดาไฮซ้อทั้งไทยทั้งฝรั่งที่ปลื้ม Mamma Mia! ในภาคมิวสิคัลมาหลายเพลา ก็ได้มีโอกาสยลของจริงในภาคหนังด้วยฝีมือดารารุ่นลายครามทั้งหลาย (เอ...หนังไทยมีโอกาสเอาดารารุ่นเดอะมากระโดดโลดเต้นร้องระบำทำเพลงแบบนี้มั้ยเนี่ย จะได้รีบไปสมัคร..5555) ซึ่งนำโดย Meryl Streep ดาราออสการ์เจ้าบทบาทที่พลิกผันมารับบทโรแมนติกคอมเมดี้แถมร้องเพลงกระหน่ำทั้งเรื่อง และเธอก็ทำได้เริ่ดซะด้วย!
สาเหตุที่เธอได้รับเลือกเพราะความที่เธอเป็นแฟนตัวยงของ Mamma Mia! ภาคมิวสิคัลมาก่อน จากความประทับใจที่ได้รับหลังชมละคร ทำให้เธอลงทุนเขียนไปชื่นชมผู้สร้างมิวสิคัลเรื่องนี้โดยตรง และแน่นอน..ใครจะเหมาะกับบทดอนน่าเท่ากับเธอใน Mamma Mia! ภาคจอเงิน
หลังจากได้ชม Mamma Mia! ภาคหนังจนจบและเดินออกมา ..กว่าจะรู้ตัว..ก็เพิ่งรู้ว่ายังฮัมเพลง Dancing Queen ของ ABBA และยิ้มอยู่คนเดียวมาตลอดทาง (และยังฮัมต่อแม้กระทั่งยืนทำธุระส่วนตัวอยู่ในห้องน้ำ...)
ใครอยากสัมผัสถึงความสุขในช่วงเวลา 108 นาทีกับหนังเพลงซึ่งร้อยเรียงจากบทเพลงของ ABBA วงสองชายสองหญิง ชาวสวีดิชในช่วงปี 70 ซึ่งมีเพลงฮิตดังๆ มากมายในช่วงนั้น รีบมาชมภาพยนตร์เรื่องนี้กันเถิด อย่างน้อย ..ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งหายากยิ่งในยุคม็อบอาละวาดนี้ ก็ยังสามารถหาซื้อได้ด้วยเงินเพียงร้อยกว่าบาท...
เล่าเรื่องให้ฟังพอคร่าวๆ แล้วกัน เพราะมีหลายบล็อกอยู่ที่เล่าแจ้งแถลงไขเนื้อเรื่องไว้ไม่น้อย นึกทึ่งอยู่เหมือนกันว่าฝรั่งมันช่างสรรหา แค่ชอบเพลงของ ABBA ก็นำมาร้อยเป็นเรื่องได้เป็นวรรคเป็นเวร เรื่องราวครอบครัวอลเวงนั้นมีอนุสนธิมาจากสมัยฮิปปี้ยังเฟื่อง คุณแม่ดอนน่า (Meryl Sreep) ได้ไปแอบซ่ากับผู้ชายต่างแบบ 3 คนในเวลาไล่เลี่ยกัน (อุ๊ย..ถ้าเป็นสมัยก่อน สงสัยหนังเรื่องนี้เรทอาร์เป็นแน่ ถ้าพาลูกสาวไปดูจะอธิบายยังไงกานเนี่ย..) ซึ่งผลพวงก็คือ แม่สาวน้อยโซฟี (Amanda Seyfried) ลูกสาวคนโปรด ซึ่งแอบไปเจอไดอารี่เก่าของแม่ เลยแอบเชิญสามหนุ่มสามมุมที่มีสิทธิ์เข้าวินความเป็นพ่อมาในงานแต่งงานของตัวเองซะเลย โดยคุณแม่เองก็ไม่ทราบและไม่ได้นึกเลยว่าความอลเวงมันจะหล่นตุบมากลางงานแต่งงานเช่นนี้
บรรยากาศ (ที่เชื่อว่า) จะได้สัมผัสจากภาพยนตร์มากกว่าละครเพลงก็คือ ธรรมชาติอันงดงามตื่นตาของทะเลและเกาะในประเทศกรีซ ซึ่งให้สีสดใสของประกายน้ำสีครามตัดกับฟ้าใสสีสวย และสไตล์ที่บ่งบอกความเป็นท้องถิ่น หากน่าเสียดายอยู่บ้างที่ตัวหนังให้ความสนใจกับรายละเอียดของบรรยากาศ..ประเพณี และผู้คนชาวกรีก(บ้านนอก) น้อยไปนิด ทำให้เราชาวไทยหัวดำทั้งหลายที่ไม่เคยไปกรีซมาก่อน ไม่ค่อยเก็ตกับบรรยากาศเท่าที่ควร
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง..คนงานชาวกรีกในโรงแรมของดอนน่า รายละเอียดของแคแรคเตอร์ตัวละครพวกนี้ล้วนว่างเปล่า ทำตัวเป็นแค่คอรัสโผล่ออกมาคอยร้อง(เต้น)เป็นลูกคู่ให้ตัวเอกพอแก้เลี่ยน... ซึ่งจริงๆ จะยอมให้หนังยาวกว่านี้อีกสักหน่อยก็ไม่น่าจะเป็นไร แจกบทเล็กๆ น้อยๆ ให้คนดูได้รู้จักกับวิถีชีวิตของตัวประกอบชาวกรีกที่ผูกพันกับตัวเอกในเรื่อง ก็จะทำให้รู้สึกอินและมีชีวิตชีวาได้มากกว่านี้
และคงเนื่องจากได้ อัด บทเพลงของ ABBA เข้าไปอย่างเพียบชนิดแทบจะกลายเป็น Discopera คือ ต้องร้องกันเป็นระวิงแทบจะไม่มีบทพูด เพราะเพลงแนวดิสโก้ที่แอ๊บบ้าแต่งไว้นั้น มีมากมายล้านเจ็ดสิบเอ็ดแสน ก็เลยต้องแจกแจงให้ตัวละครได้ร้องกันถ้วนหน้า คงกลัวว่าหนังจะยาวเกินเหตุไปกระมัง..แหม หนังเพลงจะยาวสักหน่อยก็คงไม่เป็นไรดอก.. The Sound of Music ยังยาวร่วม 3 ชั่วโมง และต้องมีพักครึ่งเวลา
ที่น่าสนใจยิ่งคือ การแคสต์ตัวแสดงที่ได้ดารา(อาวุโส) เด็ดๆ ทั้งหลาย ตั้งแต่พ่อทั้งสาม อันได้แก่ Pierce Brosnan, Colin Firth และ Stellan Skarsgård...ไปจนถึงแก๊งค์สามสาวซ่า (วัยดึก) ทั้ง Meryl Streep, Julie Walters และ Christine Baranski....ซึ่งทำได้ลงตัว และต่างมีความสามารถในการร้องเพลงได้สมบุคลิก แม้บางคนจะไม่ใช่นักร้องมาแต่ไหนแต่ไรอย่างเช่น เพียซ บรอซแนน หรือ คอลลิน เฟิร์ธ แต่เขากลับทำได้ดีเกินคาดโดยใช้ความสามารถทางการแสดงผสมผสานได้อย่างน่าทึ่ง ทำให้เห็นได้ว่า มิวสิคัลที่ดี..บางครั้งตัวแสดงบางคนไม่จำเป็นต้องร้องเก่งมาก หากผู้กำกับรู้จักเลือกเพลงที่เหมาะและดึงศักยภาพในการแสดงมาประกอบได้ลงตัว ก็ทำให้ดูลื่นเข้ากับเรื่องได้อย่างไม่เสียอารมณ์
และน่าเสียดายที่ทิ้งบทตัวประกอบ 2 สาว เพื่อนของโซฟีไปซะงั้น ทั้งๆ ที่ปูมาอย่างดีในตอนต้น และทั้งๆ ดูเหมือนพยายามเล่าเรื่องเปรียบเทียบกับเพื่อนสาว (วัยดึก) ทั้งสองของคุณแม่ดอนน่ามาโดยตลอด ความสำคัญกลับไปตกอยู่กับบทบาทของ Julie Walters และ Christine Baranski ซึ่งต่างตีบทได้กระเจิง ทั้งร้องทั้งเต้น ทั้งแจกมุกฮาได้เหมาะเจาะ นับเป็นความสำเร็จของการแคสต์ตัวแสดงที่เวิร์คมาก หนังคงจืดไปถนัดถ้าขาดชูรสจากแม่สองสาวขาใหญ่คู่นี้ ส่วนแม่สาวน้อยโซฟีตัวเอก กับ สกาย แฟนหนุ่ม (Dominic Cooper) ต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้น่ารักสมบท และความดีของทั้งคู่คือ ร้องเพลงได้ไพเราะน่าฟังระรื่นโสตประสาทเป็นอันดี
น่าสนใจที่ตัวผู้กำกับ Mamma Mia! นี้เป็นผู้หญิง ซึ่ง Phyllida Lloyd ดูจะเข้าใจในมิตรภาพของสาวน้อยสาวใหญ่ได้ลึกซึ้งกว่าผู้กำกับชาย เราจึงได้เห็นความเป็น feminist ผสานอยู่ในองค์รวมของหนังได้อย่างชัดเจน เพราะวิธีเล่าเรื่องสะท้อนมุมมองของผู้หญิงที่ต้องเผชิญปัญหา..ต้องต่อสู้ชีวิตด้วยตัวเอง (โดยไม่รู้ว่าผู้ชายคนไหนใน 3 คนเป็นพ่อของลูก?) ที่เด่นที่สุดฉากหนึ่งก็คือ ฉากเพลง The winner takes it all ซึ่ง เมอรีล สตรีป ได้ถ่ายทอดความรู้สึกเบื้องลึกของผู้หญิงต่อ เพียซ บรอสแนน ได้ดีเยี่ยมทั้งลีลาการร้องและแอ็กติ้งที่หายห่วง
แปลกใจอยู่หน่อยว่า..เพลงของ ABBA ที่นำมาเล่าเรื่องทั้งหมด ยังคงบุคลิกในการเรียบเรียงดนตรีในสไตล์เดิมทุกกระเบียด สำเนียง ABBA ยังอยู่ครบถ้วนกระบวนความ (ตั้งแต่สมัยเป็นละครเพลง) แต่แรกเราก็นึกว่ามันจะเข้ากับบรรยากาศธรรมชาติของกรีกตรงไหนหว่า แต่พอดูๆ ไปแล้วก็โอ..อยู่ อาจเพราะความคุ้นเคย..เพราะเรารู้จักเพลงของ ABBA เกือบทุกเพลงกระมัง ไม่รู้น้องๆ หลานๆ ยุคนี้ฟังแล้วจะเป็นไงมั่ง...
รู้สึกตะหงิดๆ เล็กน้อยกับไตเติลช่วงท้ายที่กลายมาเป็นคอนเสิร์ตย่อยๆ ของสามสาวสามหนุ่ม(ใหญ่) ซึ่งมีเพลง Dancing Queen และ Waterloo มาปิดท้าย ดูล้นๆ อยู่พิลึก ถ้าอยากมีของแถมเป็นโชว์เกร๋ไก๋ก็น่าจะทำเป็น Medley เพลง ABBA ที่ไม่เคยใช้ในเรื่องก็น่าจะดีกว่า ยังมีอีกเยอะแยะให้ถลุงนิ...
หนังเพลง Feel Good ไม่ใช่หาดูได้ง่ายๆ ในโลกอันเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดขัดแย้งเช่นทุกวันนี้ หลังจากดูจบ ..ก็เพิ่งได้คิดว่า...อย่าเพิ่งหมดศรัทธาในโลกบูดๆ เบี้ยวๆ ใบนี้เลย...ความงามในมนุษยชาตินั้นยังคงหลงเหลืออยู่...แค่มิตรภาพ...ความรัก..และเสียงเพลง ก็เหลือจะพอ (โดยไม่ต้องมีพ่อถึง 3 คน)....
Create Date : 31 สิงหาคม 2551 |
|
11 comments |
Last Update : 15 ตุลาคม 2551 16:52:39 น. |
Counter : 1531 Pageviews. |
|
|
|
แม๋ ๆ ดูหนังบ๊อยบ่อย อิจฉาๆ
ช่วงนี้น้องโนะไม่ได้ดูหนังโรงเลยจ้ะ
เปร้วจายไม่อยู่ง่ะ ไม่อยากไปดูคนเดียว
หนังเรื่องนี้ก็น่าดูน้า เห็นว่าดั๊ง ดัง
เพลงประกอบก็นะ ไม่เชิงว่าชอบหรอกจ้ะ (ปกติไม่กรี๊ดลุงป้าแอ๊บบร้าเลยอ่ะ)
แต่ มา ม่ะ มี ย่ะ ได้ยินทีไรก็มักจะเผลอยิ้ม ไม่รู้เหมือนกันว่าทำมายอ่ะค้าบ