Group Blog
 
 
มีนาคม 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
13 มีนาคม 2553
 
All Blogs
 

เรื่องสั้น - "ชุบตัว" โดย หมีบางกอก


เขายืดแขนออกไปบิดขี้เกียจด้วยความเมื่อยขบ นี่เขานั่งนานมาแค่ไหนแล้ว...

เป็นวันหยุดที่ไม่ค่อยนึกอยากหยุดเท่าไร..แปลก ถ้าอยู่เมืองไทยคงดีใจแทบแย่....หรือว่าเขากำลังสนุกกับงานใหม่ที่สถานทูตจนไม่นึกอยากกลับบ้าน ?

เปล่าหรอก.. ที่จริงแล้วเขาไม่อยากกลับบ้านมาเจอใครบางคนมากกว่า...ซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองหน่อยน่า...

มองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ คลิกผ่านๆ ไป หน้าเว็บบอร์ดของไทยเห็นมีแต่กระทู้กระหน่ำดารานักร้องจอมลวงโลก แทนที่จะได้ไปถ่ายหนังฮอลลีหวูดอย่างที่โม้ไว้ กลับได้ไปถ่ายใน “ฮ่องกรง” แทนจากคดีฉ้อโกงทรัพย์

ความคิดสะดุดกึก.. เอ..เราเข้าข่ายมั่งหรือเปล่านี่?

สะบัดหน้าเหมือนพยายามไล่ความคิดสับสนออกจากสมอง มองไปทางหน้าต่าง นั่นเขาคงไม่ได้ตาฝาด หิมะกำลังตก...

ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน เขาวิ่งออกมาคว้าเกล็ดหิมะแรกที่เริ่มโปรยลงมาอย่างตื่นเต้นราวกับเด็กเพิ่งได้ของเล่นใหม่ หมุนตัวไปรอบๆ กางแขนออกเหมือนจูลี่ แอนดรูวส์ ตอนกำลังจะร้องเพลง The Sound of Music บนเนินเขาเขียวขจีแห่งเมืองซอลสเบิร์ก

เขาหายใจเอาอากาศเย็นยะเยือกเข้าไปเต็มปอด ควักโทรศัพท์มือถือออกมายกขึ้น..ถ่ายรูปตัวเองเห็นฉากหลังเป็นรถโตโยต้าคัมรีคันใหม่ (จริงๆ มือสอง) จอดเท่อยู่หน้าบ้าน พร้อมหิมะกำลังโปรยปราย อา..รู้สึกตัวเองไฮโซไม่เบา..ต้องรีบส่งไปให้แม่ดู

คลิกดูภาพตัวเองที่เพิ่งถ่ายไป ..เท่เข้าท่าอยู่..หนุ่มสุรินทร์ในชุดเสื้อไหมพรมหนานุ่มพร้อมผ้าพันคอหลากสี ดูๆ ไปคล้ายเซเล็บอยู่กลายๆ

“พี่เอก...พี่เอก”
เสียงแหลมๆ ดังมาจากประตูหน้าบ้าน

จินตภาพอันบรรเจิดพลันต้องหล่นวูบลงมาเหมือนลูกมะพร้าวห้าวที่แก่คาต้นหล่นตุบลงมาแถวริมชายหาดบางแสน

สาววัยยี่สิบปลายๆ ในชุดเสื้อคอกระเช้า ยืนตัวสั่นอยู่ที่หน้าประตู กวักมือหยอยๆ...
“จิ๋มหิวแล้วอะ...มาทำอะไรกินกันเหอะ”

เขายกมือกุมขมับ
“เสื้อโคทมีทำไมไม่ใส่..เดี๋ยวก็ปอดบวมตายหรอก”

หล่อนผลุบหายเข้าไปแป๊บหนึ่ง กลับมาพร้อมเสื้อโอเวอร์โคทตัวหนา โบกมือเรียก...
“มาเร็วๆ สิพี่.. จิ๋มตีไข่ไว้แล้ว”

“ก็ทอดไปเลยสิ”

“ไม่เอา..เดี๋ยวไหม้อีก..”
ว่าแล้วหล่อนก็ผลุบหายเข้าไปในบ้าน

เขาถอนใจเฮือก ส่ายหน้าไปพลางเดินไปพลาง นึกแช่งชักหักกระดูกตัวเองที่เลือกหล่อนมาเป็นภรรยาจำเป็น ถ้าไม่เพราะตำแหน่งทางการทูต เขาคงไม่คิดหาเหาใส่หัวตัวเองเป็นแน่แท้ นี่เขาจะต้องเป็นทั้งพ่อบ้าน พ่อครัว และพ่ออะไรต่อมิอะไรอีกนานแค่ไหน เอาเถอะ ยังดีที่ไม่ต้องเป็นพ่อจริงๆ ของลูก

แค่คิดก็ขนหัวลุก ตื่นมาเตียงนอนไม่เคยเก็บ เสื้อผ้าไม่เคยรีด อาหารทุกมื้อกลายเป็นฝีมือของเขา ถ้าหล่อนต้องเป็นแม่ของลูกจริงๆ แล้ว ...ไม่กล้านึกเลย...

วันก่อนเพื่อนรุ่นพี่ที่สถานทูตถือวิสาสะพรวดพราดเข้ามาถึงห้องนอน
“นี่ห้องนอนเอกเหรอ...”
อาการจีบปากจีบคอถามดูจะเกินอาการชายแท้

เขาขมวดคิ้วนิดๆ แต่ก็พยักหน้า
“ทำไมนอนเตียงเดี่ยวล่ะ แล้วเมียไปนอนที่ไหน?”

เขาอึ้งไปชั่ววิบตา
“เขานอนอีกห้องนึง..”

หนุ่มใหญ่หน้าหวานรองพื้นเนียนกริบทำหน้าฉงน
“อะไรนะ นอนคนละห้อง”

เขากระแอม
“คือ...ผมเป็นคนนอนกรน..ดังมากอะครับ เขานอนไม่หลับ ก็เห็นใจเขาน่ะครับ”

เพื่อนใหม่ทำสีหน้าราวกับนางร้ายละครหลังข่าว
“อะนะ...เห็นว่าเพิ่งแต่งงาน”

แล้วมันกงการอะไรของมรึงฟระ... แต่สีหน้ายังยิ้ม
“แล้วพี่ล่ะครับ แต่งมากี่ปีแล้ว?”

ชะงักไปเล็กน้อย
“ก็เพิ่งสองปีแหละ ก่อนมาอยู่ที่นี่หน่อยเดียว”

“ทำไมยังไม่มีลูกซักทีละครับ”

เธอยกมือท้าวสะเอว เชิดหน้า
“เฮอะ...”
เหมือนนึกขึ้นได้ รีบเอามือลงไขว้หลัง
“ครือ...งานมันยังยุ่งๆ เพิ่งมีครอบครัว ไม่อยากรีบ.. กลัวไม่มีเวลาเลี้ยงลูกน่ะ”
เหมือนสมองพยายามเรียบเรียงหาเหตุผล..แต่จับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก

เขาอมยิ้ม
“แล้วพี่นอนด้วยกันป่าวครับ”

ขมวดคิ้วเหมือนรู้ทันคำประชดสองแง่
“นอนห้องเดียวกันสิ เตียงคิงไซส์ใหญ่ยักษ์”

เขาพยักหน้า หัวเราะหึๆ
“อ้อ จะได้มีที่เหลือเฟือ นอนกันคนละมุม”

หนุ่มใหญ่เผลอตัวค้อน
“จ้า...พี่ไม่ได้นอนกรนอย่างเธอนี่”

คุณเธอยังคงเจ้ากี้เจ้าการเดินเข้าห้องโน้นออกห้องนี้ พร้อมคำวิจารณ์ไม่ขาดปาก โชคดีนะที่ภรรยาผู้แสนดีของเขาออกไปช็อปปิ้งที่ซูเปอร์มาร์เก็ต มิฉะนั้น จะต้องคอยตอบคำถามบ้าๆ แทนอีกมากมายมหาศาล

เขานึกย้อนกลับไป.. ถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา มันจะลุ่มๆ ดอนๆ แค่ไหนก็ตาม มันก็ยังมีความสุข (บนความทุกข์) อยู่บ้าง ถึงแม้ว่า จิม แฟนชาวอเมริกันของเขาที่ต้องเดินทางไปประเทศโน้นประเทศนี้ตลอดเวลา โดยแทบไม่มีโอกาสใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกัน และทำให้เขามีอาการทางประสาทถึงกับต้องพึ่งโปรแซคก็ตาม แต่มันก็ยังรู้สึกได้ถึงตัวตน เหมือนได้ยืนบนเวทีละครบรอดเวย์ ร้องเพลง I am what I am จากละครเรื่องดัง La Cage aux Folles

แต่..มันอาจเป็นแรงผลักดันสำคัญเช่นกัน ที่ทำให้เขาเหนื่อยหน่ายจนตัดสินใจทิ้งชีวิตเดิมๆ ที่เมืองไทย ยอมแปลงกายสวมบทมาเป็นนักการทูตที่มีครอบครัวอันแสนสุขไว้คอยออกงานออกการรับแขกเหรื่อ ..นี่หล่อนจะออกไปทำอะไรเปิ่นๆ ให้เขาหน้าแตกอีกหรือเปล่าเนี่ย... นี่ขนาดเป็นญาติกันและได้รับการแนะนำกันมาอย่างดีแล้วนะ

หรือนี่กำลังเข้าตำราหนีเสือปะตะเข้อย่างที่เขาว่ากัน หนีจากปัญหาหนึ่งมาเจอกับอีกปัญหาหนึ่ง?

หลังจากเช็ดจานใบสุดท้าย เขาชะโงกมองไปที่ระเบียง หล่อนกำลังนั่งเหม่อมองออกไปที่ป่าสนรอบด้าน ภูมิประเทศเมืองนอกมันก็ดีอย่างนี้เอง ขับรถออกมานอกเมืองหน่อยหนึ่งก็ได้สัมผัสกับธรรมชาติจริงๆ เมื่อไรบ้านเราจะมีไอเดียในการอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างจริงจังเสียที

เขาถอนใจ ถึงตอนนี้แล้วเขาเริ่มรู้สึกว่าสัญญาที่เซ็นกันไว้มันจะมีความหมายสักกี่มากน้อย 3 ปีที่นี่ และอีกกี่ประเทศที่จะต้องทรานเฟอร์ไป ..เพียงแค่สองเดือน ชีวิตคู่แบบเฟคๆ ก็เริ่มออกฤทธิ์แล้ว นี่เขาเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า? ไม่หรอกน่า หล่อนก็น่าจะได้ผลประโยชน์คุ้ม ไม่งั้นหล่อนคงไม่ตกลงปลงใจยอมทิ้งชีวิตที่เมืองไทยมาอยู่กับเขาหรอก

เขาเปิดประตูออกไป ลมหนาวเย็นยะเยือกพัดเข้ามา
“จิ๋ม ไม่หนาวเหรอ...เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”

หล่อนยิ้มจืดๆ
“หิมะสวยดีนะพี่..”

เขาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เงียบไปพัก
“จิ๋ม...พี่กำลังนึกว่า...”

หล่อนพูดโดยไม่หันกลับมา
“เราคิดถูกหรือเปล่าใช่ไหมพี่”

เขาอึ้ง...หล่อนหันกลับมา
“เอาเถอะ เผลอๆ วันนึง..มันอาจจะกลายเป็นว่า เราต้องมาเป็นครอบครัวกันจริงๆ”

เขาเงียบ หล่อนหัวเราะหึๆ เหมือนประชดตัวเอง
“แต่แรกจิ๋มก็คิดว่า จิ๋มจะลืมเขาได้โดยมาเริ่มชีวิตใหม่ที่นี่”

หล่อนเมินหน้าออกไปมองโปรยหิมะที่เริ่มหนาตา
“ตอนนี้ จิ๋มเริ่มเข้าใจแล้ว..ว่าพี่เอกรู้สึกยังไง...”

ทั้งสองนั่งนิ่งไปพักหนึ่ง
“สัญญาที่เราเซ็นกันไว้ ดูท่ามันจะไม่ใช่แค่ 3 ปีอย่างที่คิดใช่ไหมคะ”

“จิ๋ม..พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเราคิดผิดหรือถูกที่เอาชีวิตมาแลกกับสังคมใหม่แบบนี้”
หล่อนหัวเราะหยันๆ
“จิ๋มว่ามันไม่ได้แลกหรอกค่ะ เราเอามันมาขายมากกว่า...”

หล่อนหันกลับมามองตาเขา
“เราตัดสินใจมาก็ด้วยเรื่องผลประโยชน์ล้วนๆ...”

“มันเป็นอนาคตนะ จิ๋ม... โอกาสอย่างนี้ในชีวิตจะมีสักกี่ครั้ง”
“นั่นเพราะเราตีค่าชีวิตของเราเป็นวัตถุไปหมดน่ะซีคะ”

เขาอึ้งไป...
“แต่จิ๋มก็เข้าใจค่ะ...มันสายเกินกว่าเราจะกลับตัวได้แล้วตอนนี้ ภาระความรับผิดชอบต่อผู้คนอีกมากมายมันค้ำคออยู่ โดยเฉพาะพี่เอก..”

หล่อนลุกขึ้นหันมาตบบ่าเขาเบาๆ
“คนในโลกนี้ที่ทำยิ่งกว่าเรามีอีกเยอะแยะไม่ใช่เหรอคะ...”

ว่าแล้วก็หันกลับ เปิดประตูระเบียงเดินเข้าไปข้างใน

เขายังคงนั่งนิ่ง แทบไม่รับรู้ถึงปุยหิมะที่เริ่มปลิวเข้ามาจับเส้นผม

หรือเขากำลังขายจิตวิญญาณตัวเองไปแล้ว...

เหมือนกับอีกหลายๆ คนในโลกวัตถุนิยมนี้




 

Create Date : 13 มีนาคม 2553
1 comments
Last Update : 13 มีนาคม 2553 10:14:14 น.
Counter : 386 Pageviews.

 

น่าสงสารนะ ชิวิต..

 

โดย: TEE IP: 63.76.233.2 16 มีนาคม 2553 3:19:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Bkkbear
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




งานเขียนบทความ บทหนัง เรื่องสั้น และนวนิยายในบล็อกนี้สงวนลิขสิทธิ์โดย Bkkbear (หมีบางกอก) ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539 ห้ามมิให้ดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

Friends' blogs
[Add Bkkbear's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.