|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
+++ อุ่นเครื่องก่อนตะลุยงานมหกรรมหนังสือฯ +++
อัพblog ครั้งนี้เพื่อเป็นการอุ่นเครื่อง ก่อนงานหนังสือที่กำลังจะจัดขึ้นในช่วงกลางเดือนตุลาคมนี้
ในปีๆหนึ่ง ประเทศไทยจะมีการจัดงานมหกรรมหนังสือระดับประเทศ หลักๆปีละ 2 ครั้งด้วยกัน คือในช่วงเดือนเมษา และเดือนตุลา (ไม่นับงานย่อยอื่นๆ เช่น นายอินทร์บุ๊คแฟร์ หรือ งานหนังสือเด็ก) คุณภิญโญ ไตรสุริยธรรม เจ้าของสำนักพิมพ์ open อันลือชื่อ ได้ให้ความเห็นกับการจัดงานในลักษณะนี้ว่า " เหมือนกับการทำนาปี กับนาปลัง " ซึ่งผมก็ค่อนข้างที่จะเห็นด้วยอย่างที่สุด งานหนังสือ เริ่มต้นจากความตั้งใจที่จะช่วยส่งเสริม กระตุ้นให้คนไทยหันมาสนใจในการอ่านหนังสือกันมากขึ้น แต่โดยลึกๆก็เป็นที่รู้กันว่า ต้องการที่จะช่วยสำนักพิมพ์อิสระเล็กๆ ที่ไม่ได้มีหนังสือ (ที่คาดว่าจะเป็น)best seller วางอยู่บนแผงตามร้านหนังสือ ไม่ได้มีเงินทุนค่าโฆษณาหนาเหมือนสำนักพิมพ์ใหญ่ๆที่จะโปรโมท ได้มีโอกาสมาเปิดบู๊ท เพื่อแนะนำหนังสือที่ปกติจะหลบอยู่ตามซอก เห็นเพียงสันปกบนชั้นในร้านหนังสือ ให้กับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา หรือไม่เคยได้รู้จัก ได้เลือกซื้อเลือกอ่านกัน... บางสำนักพิมพ์ถึงขนาดสามารถอยู่รอดปลอยภัยในธุรกิจนี้ได้ ด้วยงานหนังสือที่จัดขึ้นเพียงปีละ 2 ครั้งนี้ เมื่อเราถอยออกมามองภาพรวม แม้จะยอมรับว่า งานมหกรรมฯ ก็มีส่วนช่วยกระตุ้นให้คนสนใจอ่านหนังสือมากยิ่งขึ้น แต่กระนั้นก็มีผลเพียงแต่เฉพาะกับคนกรุง ที่มีอัตราเฉลี่ยการอ่านหนังสือโดยเฉลี่ยสูงอยู่แล้ว หาได้เข้าถึงคนที่อยู่ต่างจังหวัด หรือคนที่ไม่รู้หนังสือจริงๆไม่.. ผมมีโอกาสได้ร่วมงานกับมติชน 2 ครั้งด้วยกัน... จากที่ได้ทำงาน การที่ได้พบเจอผู้คน ภายในงานตลอดระยะเวลากว่า 12 วัน ทำให้ได้เห็นมุมมองต่างๆ รวมถึงภาพกว้างๆของวงการหนังสือบ้านเราได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ... แม้จำนวนผู้ร่วมงานจะสูงทุกครั้งที่มีการจัดงาน แต่คุณภาพของผู้อ่านกลับไม่ได้สูงตามเลย ซ้ำยังอาจต่ำลงอีกด้วย.. ก่อนอื่นต้องยอมรับก่อนว่า วัฒนธรรมการอ่านของบ้านเรายังไม่เป็นที่นิยมมากนัก ไม่เหมือนกับประเทศอังกฤษ หรือ อเมริกา ที่มีวัฒนธรรมการอ่านค่อนข้างสูง(มาก) โดยปกติแล้วคนอังกฤษจะซื้อหนังสือสัปดาห์ละ 2 เล่ม !! ... ซึ่งเมื่อย้อนกลับมามองที่บ้านเรา ที่มีอัตราเฉลี่ยการอ่านหนังสืออยู่ที่เพียงปีละ 8 บรรทัด !! แล้วยิ่งทำให้เศร้าใจ (แม้ในความรู้สึกตัวเลขนี้จะน้อยเกินความเป็นจริงก็ตาม) สาเหตุอาจจะเนื่องจากว่า วัฒนธรรมของเรานั้น เน้นไปที่การฟังเสียมากกว่ากระมัง.. แม้ว่าคนอ่านจะน้อย แต่กระแสนักเขียน writer ในบ้านเรากลับสูงขึ้นโดยไม่มีที่ท่าว่าจะลดน้อยลง โดยสามารถดูได้จากจำนวนปกที่ออกมาหลายหมื่นปกต่อปี (แม้จะยังห่างไกลกับพี่ใหญ่อย่างอังกฤษ ที่ปีที่แล้วออกหนังสือมามากกว่า 2 แสนปก ให้เลือกอ่านกันไม่หวาดไม่ไหว) หนังสือขายดียังคงเหมือนเดิม และยังคงต้องมีบุคคลที่น่าเชื่อถือแนะนำให้อ่าน หาใช่ความน่าสนใจของตัวหนังสือเองไม่ ถึงขนาดที่ มติชนเองยังต้องติดป้ายไว้เลยว่า "หนังสือที่คุณ สรยุทธ์ แนะนำ" ... อันที่จริง ถ้าพูดกันตามหน้าที่คนขาย ย่อมรู้สึกดีที่มียอดขายสูงขึ้น แต่กระนั้นก็กลับรู้สึกหดหู่ใจทุกครั้ง เมื่อคนมาซื้อหนังสือ โดยที่ไม่ยอมเปิดดูเนื้อหาข้างใน หรือฟังคำอธิบาย(อันที่จริงตอนนั้นก็ชอบ เพราะไม่ต้องเหนื่อย) แต่กลับซื้อเพราะมีคนบอกให้ซื้อ... ป้าคนนึงเดินมาบอกผม "นี่หนังสือที่ออกรายการคุณ สรยุทธ์ เมื่อเช้าใช่มั๊ย" "ครับ" ผมตอบ " งั้นเอาให้ป้าเล่มนึง นี่ถ้าสรยุทธ์ ไม่บอก ไม่ออกมาซื้อหรอกนะเนี่ย" ด้วยความหวังดี ผมบอกป้าว่า " คุณป้าไม่ฟังเนื้อหาข้างในก่อนเหรอครับ" "ไม่ต้องหรอก เสียเวลา" คุณป้าตอบ จากนั้นก็ยื่นบัตรเครดิตให้ผม ... เห้อ !!! สิ่งที่พบนี้ไม่ใช่ปรากฎการณ์ใหม่สำหรับคนไทย เพราะเมื่องานช่วงเมษาปีก่อน ก็เกิดเหตุการณ์ดังว่ากับหนังสือที่เป็นพระเอกในตอนนั้นคือ "An inconvinent truth" ของ อัล กอร์.. เหมือนเป็นการฉายหนังซ้ำเรื่องเดิม เพียงแค่ครั้งนี้เปลี่ยนพระเอกมาเป็น "พระราชพงศาสดาร ร.ศ. 120" และผมก็เชื่อว่าจะเป็นอย่างนี้ทุกครั้งไป.. โดยส่วนตัวแม้จะยอมรับว่า หนังสือทุกเล่มที่แนะนำล้วนแล้วแต่ดีทั้งสิ้น และก็พอมราจะเข้าใจด้วยว่า ในสภาพสังคมที่เร่งรีบในปัจจุบันแทบจะหาเวลาพักไม่ได้ การมีคนมาช่วยกรองให้นั้นก็เป็นสิ่งที่ดี ช่วยประหยัดเวลาไปได้มาก เพราะหนังสือในปัจจุบัน ออกมามากจนเลือกอ่านกันแทบไม่ทัน แต่อย่างน้อยที่สุด เราก็ควรที่จะเปิดดูเนื้อหาสาระข้างในก่อน โดยใช้วิจารณญาณ หรือรสนิยมส่วนตัวในการเลือกหนังสือที่เขาแนะนำเหล่านั้นด้วย ว่าเราชอบ หรือดีจริงๆตามคำกล่าวอ้างหรือไม่.. ปรากฎการณ์นี้ยังส่งผลไปกับหนังสือเล่มอื่นๆ อีกมาก ไม่ว่าจะเป็น the secret ,, My life as a coach ,, มอง CEO โลก ของ วิกรม นับได้ว่าเป็น Power of media อย่างแท้จริง โดยไม่ต้องอิงงานวิจัยจากสถาบันชื่อดังไหนๆ แม้ผู้คนส่วยใหญ่จะมุ่งไปแต่ที่สำนักพิมพ์ชื่อดัง แต่งานหนังสือ ก็ยังช่วยให้คนไทยได้มีโอกาสเปิดโลกของหนังสือได้กว้างไกลกว่าเดิม ทำให้ได้รู้จักนักเขียนอิสระคนอื่นๆ นอกเหนือไปจาก ชาติ กอบจิตติ และ วินทร์ เลียววาริณ ทำให้ได้รู้จักสำนักพิมพอิสระเล็กๆ ที่มักจะตีพิมพ์วรรณกรรมที่สะท้อนสังคม หรือแนวอื่นๆ ที่มักจะถูกร้านขายหนังสือทั่วไปมองว่า " ไม่น่าจะขายดี" ทำให้ต้องถูกซ่อนไว้หลังร้าน แล้วก็กลายเป็นหนังสือที่ขายไม่ดี (จริงๆ) วรรณกรรมชิ้นเอกของโลกหลายเรื่องมีโอกาสได้มาเสนอหน้าให้ผู้คนได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของมัน ไม่ว่าจะเป็นงานเขียนของ ฟิเจอรัล เฮมมิ่งเวย์ ดอสโตเยฟสกี้ การ์เซีย มาร์เกวซ กามู เฮสเส หรือคนอื่นๆอีกมากมาย ที่พร้อมจะเปิดการแสดง ให้ผู้ที่สนใจได้ซึมซับถึงอัธะรสของเรื่องราวภายในหนังสือ เพียงแค่เปิดอ่านมัน การแสดงเหล่านั้นก็จะเริ่มต้นขึ้น.. ผมเชื่อว่า วรรณกรรมต่างๆ เป็นสิ่งที่สะท้อนมาจากสังคมที่เป็นอยู่จริง เป็นสังคมที่มีชนชั้นต่างๆ ที่ในชีวิตจริงเราไม่อาจจะเข้าไปรับรู้ หรือสัมผัสถึงสภาพความเป็นจริงของสังคมนั้นๆได้ด้วยตัวเองอย่างแท้จริง วรรณกรรมจะเป็นสะพานคอยเชื่อมโยงถ่ายทอดทำให้เราได้มองเห็นความพิกลพิการในโลกของเรา ที่มีทั้งความโสภา และโสมมในเวลาเดียวกัน สิ่งต่างๆที่เราเห็น อาจเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวนึงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกอันเน่าเฟะใบนี้... ทำให้ผมมั่นใจได้ว่า ไม่ว่าโลกของเราจะหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเท่าไหร่ ผมก็ยังจะมีหนังสือดีๆ ให้ได้อ่าน รวมถึงมีภาพยนตร์ดีๆให้ได้ดู มีเพลงเพราะๆให้ได้ฟัง อยู่อย่างต่อเนื่องไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เปรียบได้ดั่งวรรณกรรม (รวมถึงศิลปะแขนงต่างๆ) ตีเส้นคู่ขนานไปตลอดกับ ความเป็นไปของโลก.. บทสรุปของงานหนังสือฯ สะท้อนให้เห็นว่า การจัดงานมหกรรมหนังสือ ยังไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง แม้จะช่วยให้คนสนใจออกมาซื้อหนังสือ แต่มองอีกด้านก็เหมือนการขุดหลุมให้เราตกไปในวังวลนั้นโดยไม่ตั้งใจ เพราะคนจะรอออกมาซื้อหนังสือกันเพียงปีละ 2 ครั้ง ซึ่งสิ่งนี้ หาได้เป็นการช่วยปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน ให้เกิดเป็นวัฒนธรรมการอ่านของคนไทยขึ้นมาอย่างแท้จริงไม่ อีกทั้งงานนี้ก็มีผลแต่กับเฉพาะคนกรุงเทพเท่านั้น ซึ่งไม่ได้เป็นการตอบโจทย์ที่แท้จริงของปัญหาที่เกิดขึ้น การกระจายความรู้สู่พื้นที่ต่างจังหวัด และพื้นที่ห่างไกลต่างหาก ที่ควรจะเป็นโครงการลำดับต้นๆที่ควรจะเกิดขึ้น.. เป็นประเด็นปัญหาที่ยังต้องช่วยกันส่งเสริม และแก้ไขกันต่อไป ..
Create Date : 01 ตุลาคม 2551 |
|
37 comments |
Last Update : 2 ตุลาคม 2551 1:59:08 น. |
Counter : 790 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: beer87 2 ตุลาคม 2551 1:46:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: แม่ไก่ 6 ตุลาคม 2551 9:22:22 น. |
|
|
|
| |
โดย: grappa 10 ตุลาคม 2551 9:32:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: veerar 20 ตุลาคม 2551 0:20:38 น. |
|
|
|
| |
โดย: teansri 20 ตุลาคม 2551 0:37:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: แพรวา (peacepair ) 20 ตุลาคม 2551 8:19:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: plely 20 ตุลาคม 2551 10:15:38 น. |
|
|
|
| |
โดย: bo (bow_relax ) 20 ตุลาคม 2551 10:34:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้าหู้เองจ่ะ (fifty-four ) 20 ตุลาคม 2551 13:09:11 น. |
|
|
|
| |
โดย: โสมรัศมี 20 ตุลาคม 2551 17:43:28 น. |
|
|
|
| |
โดย: sysee 20 ตุลาคม 2551 18:45:28 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้าตุ้ย (amornsri ) 20 ตุลาคม 2551 19:48:42 น. |
|
|
|
| |
โดย: โสดในซอย 20 ตุลาคม 2551 21:31:39 น. |
|
|
|
| |
โดย: ต้อม การ์ตูนล้อ, (TOM_KATOON99 ) 21 ตุลาคม 2551 0:36:36 น. |
|
|
|
| |
โดย: Tentty 21 ตุลาคม 2551 18:50:38 น. |
|
|
|
|
|
|
|
เห็นคนหยิบหนังสือของเราขึ้นมาอ่าน
ยิ่งถ้าได้เห็นรอยยิ้มของเขาด้วย
มีความสุขกว่าได้รับเช็คค่าเหนื่อยครับ