|
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
3 ตุลาคม 2552
|
|
|
|
เฉลย: พฤติกรรม
เฉลยเรื่อง พฤติกรรม
อ่านตรงนี้ก่อน !! มันมีสองเรื่องที่หนังสือแต่ละเล่มเขียนไม่เหมือนกัน 1. มีกบตัวหนึ่งกินผึ้ง A แล้วโดนพิษจนลิ้นพอง หลังจากหนังมันก็ไม่ยอมกินแมลงวัน B ที่มีลักษณะคล้ายผึ้ง A อีก เป็น classical conditioning หรือ trial & error ? 2. การฝึกสัตว์ในคณะละครสัตว์ เป็น classical conditioning หรือ trial & error
จริงๆเรื่องพวกนี้ เขียนอยู่ใน textbook อย่างชัดเจน และหลังจากที่พี่ได้ไปถามอาจารย์หลายๆท่าน ก็พูดอย่างที่พี่กำลังจะบอก คือเราต้องรู้ความหมายของพฤติกรรมทั้ง 2 อย่างให้แจ่มแจ้งเสียก่อน 1. classical conditioning (หนังสือเรียนหรือข้อสอบจะเรียก "การมีเงื่อนไข") คือสัตว์เรียนรู้ที่จะนำสิ่งเร้าสองสิ่ง มาสัมพันธ์กัน (เรียกสิ่งเร้ามีเงื่อนไขและไม่มีเงื่อนไข) ยกตัวอย่างเช่นการทดลองของพาฟลอฟ หมาก็เรียนรู้ที่จะนำเสียงกระดิ่งมาสัมพันธ์กับอาหาร พอมีเสียงกระดิ่งมาอย่างเดียวมันก็นึกว่าต้องมีอาหารมาด้วยแน่ๆ เลยน้ำลายไหล 2. trial & error (หนังสือเรียนหรือข้อสอบจะเรียก "การลองผิดลองถูก") คือสัตว์เรียนรู้ที่จะนำการกระทำของมันไปสัมพันธ์กับผลที่จะได้รับ ยกตัวอย่างง่ายๆก่อน - ไส้เดือนในกล่องรูปตัว T เรียนรู้ว่าถ้าไปทางซ้ายจะมีไฟฟ้าช้อต ไปทางขวาดีกว่า - หนูในเขาวงกต เรียนรู้ว่าถ้าเกิดเดินไปทางนี้ๆ สุดท้ายแล้วจะมีอาหาร ไปทางนี้ดีกว่า ซึ่งผลที่มันได้รับเนี่ย อาจจะไม่ดี (punishment) หรือดี (reward) ก็ได้ การกระทำไหนที่มีแนวโน้มได้รับ reward ก็จะเพิ่มการกระทำนั้น หรือถ้าได้รับ punishment ก็จะลดการกระทำนั้น
เอาล่ะ มาดูกบกับผึ้งและแมลงวัน หลายๆหนังสือเขียนว่ามันมีเงื่อนไข จริงๆแล้วมันไม่ใช่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆเลย เหตุการณ์นี้เป็นการลองผิดลองถูกนะ เพราะอะไร ? ดูเผินๆเหมือนกับว่า กบเรียนรู้ที่จะเอาแมลงวัน B มาสัมพันธ์กับผึ้ง A ใช่ไหม แต่จริงๆคือไม่ใช่อย่างนั้น มันไม่ได้จับ B มาสัมพันธ์กับ A แต่มันเรียนรู้ว่า ถ้าเกิดกิน A หรืออะไรที่คล้ายๆ A แล้วจะทำให้ลิ้นบวม อย่ากินเสียดีกว่า ดังนั้นถ้าเกิดมีแมลง C, D, E, F, G,
, Z หรืออะไรก็ตามแล้วดันมีรูปร่างคล้าย A มาหามัน มันจะกินไหม? คำตอบก็คือไม่ มันเรียนรู้ว่าถ้าเกิดกินอะไรที่คล้ายๆ A แล้วจะทำให้ลิ้นบวม ถ้าเกิดเป็น classical conditioning จริง มันต้องกิน A ที่มีพิษ พร้อมๆกับ B, C, D,
, Z ที่ไม่มีพิษพร้อมๆกันหลายๆครั้งต่างหาก แต่นี่มันจับเอาการกระทำ (กิน A) มาสัมพันธ์กับผลที่ได้รับ (ลิ้นบวม) นะ
ส่วนการฝึกสัตว์ หนังสือหลายๆเล่มก็บอกว่าเป็น classical conditioning ซึ่งไม่ใช่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆอีกเหมือนกัน เป็น trial & error นะ ใน textbook เขียนไว้ชัดเจนสุดๆเลย เหตุผลเพราะเมื่อสัตว์ลองผิดลองถูกทำอย่างที่ผู้ฝึกต้องการ (เช่นให้โลมาจุ๊บปากเรา) เราก็จะให้รางวัลกับมัน (เช่นให้ปลา) มันก็จะเรียนรู้ที่จะเอาการกระทำ (จุ๊บปาก) มาสัมพันธ์กับผลที่ได้รับ (ปลา) ต่อไปมันก็จะจุ๊บปากเราได้แม้ไม่มีปลาก็ตาม หรือถ้ามันทำไม่ถูกใจ เราก็จะตีมัน มันก็จะเรียนรู้ว่าต่อไปอย่าทำแบบนี้นะ ไรเงี้ย
หลายๆเล่มเขียนผิด บอกว่าสองเหตุการณ์นี้เป็นการมีเงื่อนไข อาจเป็นเพราะว่า trial & error นั้นมีอีกชื่อว่า operant conditioning หรือ instrumental conditioning (แต่หนังสือเรียนไม่ใช้คำนี้) พอเห็นว่ามีคำว่า conditioning เข้าหน่อย ก็เลยบอกว่ามันเป็นเงื่อนไข ผิดนะ !! การมีเงื่อนไขของหลักสูตรไทยคือ classical conditioning เท่านั้นครับ พี่เคยจำเรื่องนี้แบบผิดๆเข้าไปทำข้อสอบเอนท์ ทั้งๆที่เคยเรียนอย่างถูกๆมาแล้วในค่าย ด้วยเหตุผลที่ว่า เอาน่ะ..ยังไงเค้าก็เป็นดอกเตอร์เชียวนะ ผลท้ายสุดคือพี่ทำผิด TT จนนึกอยากจะเขียนหนังสือเล่มนี้ออกมาเนี่ยแหละ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โอเค มีน้องยังไม่เข้าใจ อธิบายอีกรอบ
เงื่อนไขต้องเอาสิ่งเร้าสองอันมาสัมพันธ์กัน เอานี้รู้แล้วใช่ไหม ช้างไชโยกับเอเชี่ยนเกมส์ ...อันนี้ใช่ พระเกี้ยวกับจุฬา ...อันนี้ใช่ เครื่องหมายดาวกับรถเบนซ์ ...อันนี้ใช่ เมฆครึ้มกับฝนตก ...อันนี้ใช่ เสียงกระดิ่งกับอาหารของหมา ...อันนี้ใช่อย่างแน่นนอนที่สุด
เรามีตัวละครสามตัว กบ ผึ้งมีพิษ และแมลงวันไม่มีพิษที่คล้ายผึ้ง ถ้าเป็น classical conditioning น้องและอาจารย์หลายคนจะบอกว่า ผึ้งมีพิษ และแมลงวันไม่มีพิษที่คล้ายผึ้ง ...อันนี้ใช่ มันดูจะสมเหตุสมผลมากๆๆๆ แต่น้องลองคิดดูให้ดี น้องแน่ใจจริงๆหรอว่า พอแมลงวันที่ไม่มีพิษบินมาอะ กบมันเรียนรู้จริงๆว่า แมลงวันที่ไม่มีพิษนี้มีความสัมพันธ์กับผึ้งตัวนั้น มันไม่รู้หรอก ถ้าเกิดมีแมลงอีกล้านชนิดบินเข้ามา แต่ลายดันเหมือนผึ้งตัวนั้น กบมันจะรู้จริงๆหรอว่า แมลงต่างๆเหล่านั้นมันสัมพันธ์กับผึ้งตัวนั้น เพราะในสายตาของกบ "แมลงวัน คือ ผึ้ง" เพราะ "แมลงวัน เลียนแบบ ผึ้ง" คนเรากำลังคิดไปเองว่า ครั้งแรกกินผึ้ง ครั้งสองไม่กินแมลงวัน แต่กบกำลังคิดว่า ครั้งแรกกินผึ้ง ครั้งสองไม่กินผึ้ง และครั้งต่อๆไปฉันก็จะไม่กินผึ้งนี้หรอก (ถึงน้องจะรู้ก็ตามว่านั่นคือแมลงวัน แต่กบมันไม่รู้นิน้อง เพราะแมลงวันมันพรางตัว และการพรางตัวนั้นประสบผลสำเร็จ เพราะกบดันคิดว่ามันเป็นผึ้งจริงๆ) มันจึงรู้แค่ว่า กินแบบนนี้ ลิ้นจะพอง ...เป็นลองผิดลองถูก เหมือนกับการที่ หนูเดินไปทางนี้ ได้อาหาร ...ลองผิดลองถูก ไส้เดือนไปทางนั้น โดนช๊อต ...ลองผิดลองถูก
__________________________________________
โจทย์ นางสาว A เดินกลับบ้านในที่เปลี่ยว เจอขอทานใส่เสื้อแดงกางเกงเหลืองผมเผ้ารุงรัง เทอเดินไปให้ตังค์ แล้วโดนปล้น วันถัดมานางสาว A เดินกลับบ้านในที่เปลี่ยว เจอขอทานใส่เสื้อแดงกางเกงเหลืองผมเผ้ารุงรัง เทอกลัวมากแล้ววิ่งหนีไป
น้องคิดว่าเป็นอะไร ก. มีเงื่อนไข ข. ลองผิดลองถูก
.... ถ้าตอบ ก. น้องต้องกลับไปอ่านเรื่องลองผิดลองถูกใหม่ ถ้าตอบ ข. น้องถูก ..ใช่มันเป็นลองผิดลองถูก นางสาว A เรียนรู้เป็นอย่างดีว่า ขอทานแต่งตัวยังงี้ในที่เปลี่ยว มันอันตรายสำหรับฉัน แล้วถ้าพี่บอกว่า ขอทานวันที่สองอะ มันคนละคนกับวันแรกนะน้อง น้องจะเปลี่ยนคำตอบเป็นมีเงื่อนไขไหม แล้วให้เหตุผลว่า "อ้าวพี่ ก็เทอเรียนรู้ไงว่าคนที่สองมันสัมพันธ์กับคนแรก" จิงเหรอ? เทอแยกได้จริงๆเหรอ????? มีแต่พี่กับน้องเท่านั้นแหละที่รู้ว่ามันคนละคน โจทย์เรื่องกบก็เหมือนกัน มีแต่คนแต่งโจทย์กับเด็กเท่านั้นแหละที่รู้ว่ามันมีผึ้งมีพิษกับแมลงวันไม่มีพิษ ตัวกบซึ่งเป็นผู้เรียนรู้ มันรู้ได้ขนาดนั้นจริงเหรอ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 1 1. ผิด ถ้าดูเส้นกราฟของพฤติกรรมแบบต่างๆพบว่า reflex จะพบในโพรทิสต์มากสุดด้วยซ้ำไป 2. ถูก critical period ถูกกำหนดโดยพันธุกรรม อย่างลูกเป็ดเดินตามมาหลังออกจากไข่ก็ถูกกำหนดไว้ว่ามีเวลาเท่านั้นเท่านี้ชั่วโมงนะ หลังจากนั้นก็จะไม่เดินตามแล้ว 3. ถูก orientation เป็นการตอบสนองต่อปัจจัยทางกายภาพเพื่อการดำรงชีวิต ยกตัวอย่างเช่น taxis, kinesis 4. ผิด รีเฟลกซ์ต่อเนื่องพบมากสุดในแมลง 5. ถูก เมื่อเชื่อมโยงกับเรื่องระบบนิเวศจะพบว่าการสื่อสาร (communication) หรือพฤติกรรมทางสังคม (social behavior) คืออันเดียวกัน จัดเป็นความสัมพันธ์ในระดับประชากร (intraspecific interaction) ซึ่งสามารถสื่อสารกันได้สี่วิธีในสัตว์ คือเสียง สารเคมี ท่าทาง และการสัมผัส 6. ผิด การบินเป็นสัณชาตญาณ พอถึงเวลาหนึ่งที่มัดกล้ามเนื้อต่างๆเจริญพอก็จะบินได้เอง 7. ถูก เพราะการร้องเพลงต้องอาศัยพฤติกรรม imprinting เวลาอยู่ในฝูง 8. ผิด ไส้เดือนในกล่องรูปตัว T ที่มีไฟฟ้าช้อตก็เรียนรู้ได้ เพราะการเรียนรู้เริ่มตั้งแต่ในหนอน 9. ถูก เต้นเป็นเลขแปด (waggle dance) บอกได้สามข้อมูล ส่วนเต้นเป็นวง (round dance) บอกได้แค่ว่า มีอาหารอยู่ใกล้ๆ 10. ผิด ฟีโรโมนต้องมาจากต่อมมีท่อ ฟีโรโมนไม่ใช่ฮอร์โมน 11. ถูก การฝึกสัตว์ใช้พฤติกรรมแบบลองผิดลองถูก อ่านบนสุดของหน้านี้ดูอธิบายเอาไว้แล้ว
ตอนที่ 2 1. kinesis กุ้งเต้น (ตอบสนอง) ไม่สัมพันธ์กับทิศของสิ่งเร้า (ความชื้น) 2. taxis แมลงเม่าบิน (ตอบสนอง) สัมพันธ์กับทิศของสิ่งเร้า (แสง) 3. chain of reflex เกี่ยวกับสัณชาตญาณต่างๆของสัตว์ 4. imprinting ฝังใจในกลิ่นของสถานที่เกิด 5. taxis ค้างคาวบิน (ตอบสนอง) สัมพันธ์กับทิศของสิ่งเร้า (โซน่าร์) 6. chain of reflex เกี่ยวกับสัณชาตญาณต่างๆของสัตว์ 7. habituation อีกาไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้า (หุ่นไล่กา) ที่ไม่มีประโยชน์ 8. classical conditioning เรียนรู้ที่จะนำสิ่งเร้าสองอย่างมาสัมพันธ์กัน (พระเกี้ยว และ จุฬา) 9. kinesis พารามีเซียมเคลื่อนมั่วๆ (ตอบสนอง) ไม่สัมพันธ์กับทิศของสิ่งเร้า (ฟองแก๊ส) 10. trial & error ไส้เดือนเรียนรู้ที่จะนำการกระทำ (การเคลื่อนที่) มาสัมพันธ์กับผลที่จะได้รับ (ถูกช้อต) 11. chain of reflex เกี่ยวกับสัณชาตญาณต่างๆของสัตว์ 12. chain of reflex เกี่ยวกับสัณชาตญาณต่างๆของสัตว์ 13. chain of reflex เกี่ยวกับสัณชาตญาณต่างๆของสัตว์ 14. trial & error คางคกเรียนรู้ที่จะนำการกระทำ (กิน B หรืออะไรที่คล้ายๆ B) มาสัมพันธ์กับผลที่จะได้รับ (โดนพิษ) อ่านเพิ่มได้ข้างบนหน้านี้ 15. imprinting แมลงหวี่ฝังใจต่อกลิ่นที่มันเกิด 16. habituation ลูกหมาไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้า (เครื่องบิน) ที่ไม่มีประโยชน์ 17. habituation ชาวบ้านไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้า (คำพูดของเด็กเลี้ยงแกะ) ที่ไม่มีประโยชน์ 18. kinesis พลานาเรียว่ายน้ำ (ตอบสนอง) ไม่สัมพันธ์กับทิศของสิ่งเร้า (แสงสว่าง) 19. reasoning ลิงใช้เหตุผลแก้ปัญหา แม้ไม่เคยทำมาก่อน 20. reflex ตอบสนองโดยทันทีทันใดผ่านระบบ SNS (ดูเรื่องระบบประสาท) 21. kinesis แมลงสาบวิ่งไปมา (ตอบสนอง) ไม่สัมพันธ์กับทิศของสิ่งเร้า (ขาโต๊ะ) 22. chain of reflex เกี่ยวกับสัณชาตญาณต่างๆของสัตว์ 23. chain of reflex เกี่ยวกับสัณชาตญาณต่างๆของสัตว์ 24. imprinting ลูกเป็ดฝังใจกับสิ่งแรกที่มันเห็นหลังออกจากไข่ 25. habituation เด็กหญิงไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้า (การทำโทษของฝ่ายปกครอง) ที่ไม่มีประโยชน์ 26. classical conditioning คุณแม่เรียนรู้ที่จะนำสิ่งเร้าสองอย่างมาสัมพันธ์กัน (ฟ้าครึ้ม กับ ฝนตก) 27. trial & error หนูเรียนรู้ที่จะนำการกระทำ (วิ่งในเขาวงกตไปในทิศที่ถูกต้อง) มาสัมพันธ์กับผลที่จะได้รับ (อาหารที่ทางออก)
ตอนที่ 3 1. ง. ทั้งสามข้อเป็นหลักของ chain of reflex ข้อ b) เรียกว่า FAPs (fixed action pattern) 2. ข. เป็นข้อสอบเอนท์ที่อะไรก็ไม่รู้ ตามสัณชาตญาณนกตัวผู้ ถ้าเกิดได้ยินเสียงนกตัวอื่นในเขตของตน มันจะโจมตีนะ ไม่ใช่เข้าไปทักทายแบบว่า สวัสดีครับคุณชื่ออะไรครับ ไรเงี้ย -*- 3. ง. ไม่ได้ใช้สมองส่วน cerebrum แสดงว่าไม่ใช้การเรียนรู้และจดจำสิ่งต่างๆ ก. ถูก ต้องเรียนรู้และจดจำฝังใจ ข. ถูก ต้องเรียนรู้และจดจำว่าอะไรที่ไม่มีประโยชน์ ค. ถูก ต้องเรียนรู้และจดจำว่าอาหารจานนี้กินแล้วอร่อยสุดยอด ง. ผิด การกระตุกขาหนีเมื่อเหยียบตะปูใช้ reflex arc ผ่านไขสันหลังเท่านั้น โดยมี neuron ที่เกี่ยวข้องอย่างน้อยสามตัว 4. ข. นกเพนกวินเกิด classical conditioning นำสิ่งเร้าที่ไม่มีเงื่อนไข (ปลา) มาสัมพันธ์กับสิ่งเร้าที่มีเงื่อนไข (การผิวปากของนายปิติ) ก. ผิด ไม่ใช่การปรากฎตัว แต่เป็นการผิวปาก ข. ถูก ถ้าเกิดผิวปากแล้วไม่มีอาหารให้ มันก็จะเรียนรู้ว่าตอบสนองไปก็ไม่มีประโยชน์ ค. ผิด การกินปลา เป็นสัญชาตญาณ ไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้ ง. ผิด สลับกัน ต้องไม่มีเงื่อนไข และมีเงื่อนไข 5. ง. ข้อ ก. ถึง ค. ถูก เป็นประโยชน์ของ imprinting อย่างเช่น เดินตามแม่ หรือร้องเพลงร่วมกับฝูง ก็จะทำให้อยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างถูกต้องตามครรลอง แต่ข้อ ง. ไม่เกี่ยว ถ้ามีสิ่งเร้าที่ก่อผลเสียก็ต้องมีสัณชาตญาณอื่นๆมาจัดการสิ
Create Date : 03 ตุลาคม 2552 |
Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2553 22:06:50 น. |
|
9 comments
|
Counter : 19970 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: MangMao IP: 119.42.103.106 วันที่: 7 ธันวาคม 2552 เวลา:20:30:50 น. |
|
|
|
โดย: :) IP: 118.172.27.35 วันที่: 8 ธันวาคม 2552 เวลา:8:19:12 น. |
|
|
|
โดย: เต๊น (ตัวตุ่นตามัว ) วันที่: 8 ธันวาคม 2552 เวลา:15:32:57 น. |
|
|
|
โดย: Nokyoong IP: 119.46.217.215 วันที่: 29 กันยายน 2553 เวลา:20:05:16 น. |
|
|
|
โดย: RaDisa IP: 61.7.191.60 วันที่: 23 มกราคม 2554 เวลา:22:10:52 น. |
|
|
|
โดย: Mc IP: 58.11.61.13 วันที่: 21 กันยายน 2554 เวลา:21:04:37 น. |
|
|
|
โดย: ใหม่ IP: 183.89.70.245 วันที่: 14 กันยายน 2555 เวลา:21:30:17 น. |
|
|
|
โดย: หนูน้อยหมวกเหลือง IP: 125.24.111.118 วันที่: 6 พฤศจิกายน 2556 เวลา:23:23:36 น. |
|
|
|
โดย: Loss pN IP: 171.98.197.244 วันที่: 30 ธันวาคม 2557 เวลา:10:40:40 น. |
|
|
|
| |
|
|
มิสเตอร์คัสตาร์ด |
|
|
|
|
ที่พี่เขียนข้างบนผมยังงงๆ อ่ะ แฮะๆ
คือว่า
trial & error มันจะเรียนรู้ทันทีกับสิ่งที่มันทำไปแล้ว ว่ามันจะไม่ทำแบบเดิมอีก คือเอาเบี่ยงพฤติกรรมไปในกรณีที่เป็นสิ่งที่ไม่ดี
แล้ว classical conditioning มันจะต้องใช้เวลาในการเรียนรู้พักหนึ่ง ว่าถ้ามีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น อีกสิ่งต้องตามมา หรือเปล่าครับ
55+ พี่คับผมงงแล้ว ไม่เข้าใจอย่างแรงอ่ะครับ