Literature is a luxury. Fiction is a necessity.
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2551
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
25 มิถุนายน 2551
 
All Blogs
 
(ทดลองอ่าน) A Great and Terrible Beauty : Gemma Doyle บทที่ 1

เอาบทแรกที่เคยแปลไว้มาให้อ่านกันเล่นๆประกอบรีวิว
เนื่องจากบทแรกนี้เป็น excerpt ที่หาได้ทั่วไปในเน็ท
หวังว่าคงจะไม่มีปัญหาลิขสิทธิ์นะ - _-"

บทที่ 1

21 มิถุนายน 1895
บอมเบย์, อินเดีย

“ช่วยบอกทีเถอะค่ะว่าเจ้านั่นจะไม่ขึ้นโต๊ะอาหารมื้อค่ำวันเกิดหนูเย็นนี้”

ฉันจ้องหน้าอยู่กับงูเห่าซึ่งขู่ฟ่อดไม่หยุด ลิ้นที่เป็นสีชมพูจนไม่น่าเชื่อปราดเข้าออกริมฝีปากอันโหดร้ายขณะที่ชายชาวอินเดียผู้มีดวงตาสีฟ้าขุ่นอย่างคนตาบอดเอียงคอเข้าหาแม่แล้วพร่ำพรรณนาเป็นภาษาฮินดีว่างูเห่านั้นอร่อยเพียงใด

แม่ยื่นนิ้วที่สวมถุงมือขาวไปไล้ต้นคองูตัวนั้น “ว่าไงจ๊ะ เจมม่า ตอนนี้หนูก็อายุสิบหกแล้ว พอจะทานงูเห่าได้หรือยัง”

เจ้าสัตว์เลื้อยคลานนั่นทำให้ฉันขนลุก “ไม่ดีกว่าค่ะ ขอบคุณ”

ชายชราตาบอดชาวอินเดียยิ้มจนเห็นเหงือกแล้วยื่นงูเห่าเข้าใกล้เราอีกทำให้ฉันถอยไปชนชั้นไม้ซึ่งเต็มไปด้วยรูปปั้นเทพเจ้าของชาวอินเดียองค์น้อย รูปปั้นรูปหนึ่งซึ่งแสดงถึงผู้หญิงที่มีแขนมากมายและใบหน้าถมึงทึงหล่นลงพื้น นางคือพระแม่กาลีผู้ทำลายล้าง หลังๆนี้แม่ชอบหาว่าฉันรับนางเป็นนักบุญประจำตัวไปเสียแล้ว ช่วงนี้เราไม่ค่อยถูกกันนัก แม่หาว่าเป็นเพราะฉันเข้าสู่วัยที่เกินทน ขณะที่ฉันป่าวประกาศให้ทุกคนที่ยอมฟังรับรู้ว่าเป็นเพราะแม่ไม่ยอมพาฉันไปลอนดอนต่างหาก

“หนูได้ยินว่าที่ลอนดอน คนเขาไม่ต้องถอดเขี้ยวอาหารก่อนกิน” ฉันว่า เราเดินผ่านชายขายงูเห่าเข้าไปยังกลุ่มคนที่คลาคล่ำอยู่ทั่วทุกตารางนิ้วของตลาดนัดอันพลุกพล่านแห่งบอมเบย์ แม่ไม่ตอบอะไรเพียงแต่โบกมือให้นักเล่นหีบเพลงหมุนกับลิงของเขา อากาศวันนี้ร้อนเหลือทน เหงื่อชุ่มโชกทั่วผิวหนังใต้ชุดผ้าฝ้ายและซับในไปหมด กองทัพแมลงวันซึ่งดูจะรักชอบฉันเป็นนักหนาบินฉวัดเฉวียนอยู่ตรงหน้าไม่หยุดหย่อน ฉันฟาดมือไปยังปีศาจติดปีกตัวหนึ่ง ทว่ามันก็หลบพ้น และฉันเกือบจะสาบานได้ว่าได้ยินเสียงมันเยาะหยันกลับมา ความหดหู่ของฉันยิ่งทับถมขึ้นเป็นทวีคูณ

เมฆหนาดำทะมึนเบื้องบนเตือนว่าถึงฤดูมรสุมแล้ว ฤดูที่ฝนอาจเทลงมาจากฟากฟ้าได้ทุกเมื่อ ทั่วทั้งตลาดฝุ่นคละคลุ้งนั้น ชายโพกหัวเจรจา ส่งเสียง และเสนอส่วนลด ยกผ้าไหมหลากสีให้เราดูด้วยมือสีน้ำตาลกรำแดด เกวียนบรรทุกตะกร้าหวานกระจายอยู่ทุกหนแห่ง เสนอขายทั้งของกินของใช้ ตั้งแต่แจกันทองแดงเพรียวบาง กล่องไม้แกะสลักเป็นลายดอกไม้ละเอียดยิบ จนถึงมะม่วงที่สุกงอมด้วยความร้อน

“อีกไกลไหมคะกว่าจะถึงบ้านใหม่ของมิสซิสทัลบอท เรานั่งรถลากกันไม่ได้หรือคะ” ฉันถามด้วยน้ำเสียงที่ตั้งใจให้แสดงความรำคาญเต็มที่

“วันนี้อากาศดีน่าเดินออก และถ้าลูกช่วยพูดจาให้ดีๆหน่อย แม่จะขอบใจมากนะจ๊ะ”

แม่รับรู้ถึงความรำคาญในน้ำเสียงของฉันได้

สริตา หญิงรับใช้ที่ทนทุกข์อยู่กับเรามานานส่งผลทับทิมให้ด้วยมืออันเหี่ยวย่น “นายหญิง ผลไม้พวกนี้ดีมาก เรานำกลับไปฝากนายผู้ชายดีไหม”

ถ้าฉันเป็นลูกสาวที่ดีก็คงซื้อมันกลับไปฝากพ่อ เฝ้าดูดวงตาสีฟ้าของท่านเป็นประกายสดใสยามหั่นผลไม้สีแดงชุ่มฉ่ำนั้น แล้วใช้ช้อนเงินตักเมล็ดน้อยๆด้านในทานอย่างสุภาพบุรุษชาวอังกฤษทุกกระเบียดนิ้ว

“เดี๋ยวพ่อก็ทำสูทสีขาวเปื้อนอีกหรอก” ฉันบ่นพึม แม่ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างก่อนจะคิดได้แล้วเปลี่ยนเป็นถอนใจอย่างเดิม เราเคยไปทุกที่ด้วยกัน ฉันกับแม่ ทั้งไปเที่ยววิหารโบราณ สำรวจประเพณีท้องถิ่น เข้าชมเทศกาลของพวกฮินดู และตื่นอยู่จนดึกเพื่อเฝ้าดูท้องถนนที่สว่างไสวด้วยแสงเทียน แต่เดี๋ยวนี้แม่แทบไม่พาฉันออกไปไหนเลย ราวกับฉันเป็นคนโรคเรื้อนที่ไร้นิคมอยู่

“พ่อต้องทำเสื้อเลอะแน่ พ่อทำอย่างนั้นทุกทีเลย” ฉันพึมพำเป็นการแก้ตัวแต่ดูจะไม่มีใครสนใจเลยเว้นแต่นักเล่นหีบเพลงมือกับลิงของเขา คอปกสูงประดับลูกไม้ของฉันชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ ฉันโหยหาความเย็นและสีเขียวสดชื่นของอังกฤษซึ่งได้แต่อ่านเจอในจดหมายที่คุณย่าส่งมาเหลือเกิน

จดหมายเหล่านั้นเต็มไปด้วยเรื่องซุบซิบเกี่ยวกับงานเต้นรำในยามน้ำชาและงานราตรี ว่าใครทำให้ใครเสื่อมเสียที่อีกซีกโลก ขณะที่ฉันต้องติดเกาะอยู่ในประเทศอินเดียที่ฝุ่นคลุ้งและแสนจะน่าเบื่อ นั่งดูลิงของนักเล่นหีบเพลงมือโยนผลอินผลัมสลับไปมา อันเป็นกลเดียวกับที่มันเล่นเมื่อปีก่อน



Create Date : 25 มิถุนายน 2551
Last Update : 25 มิถุนายน 2551 18:14:38 น. 6 comments
Counter : 599 Pageviews.

 
“ดูลิงนั่นสิคะ เมมซาอิบ น่ารักจริงๆ!” สริตาพูดเหมือนกับฉันยังเป็นเด็กสามขวบที่เกาะชายส่าหรีนางอยู่เลย ดูเหมือนจะไม่มีใครเข้าใจว่าฉันอายุสิบหกปีเต็มแล้ว และอยากจะ ไม่สิ ต้องการจะไปอยู่ที่ลอนดอน ที่ซึ่งฉันจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ใกล้พิพิธภัณฑ์ งานราตรี และชายที่อายุมากกว่าหกขวบแต่น้อยกว่าหกสิบ

“สริตา เจ้าลิงนั่นเป็นหัวขโมยมืออาชีพที่เดี๋ยวก็จะเข้ามาขอเงินเดือนเธอแล้ว” ฉันถอนใจ และเจ้าสัตว์หน้าขนนั่นก็ไต่มาเกาะอยู่บนไหล่ฉันพร้อมยื่นมือแบออกราวกับรู้จังหวะดี “อยากลงหม้อสตูว์วันเกิดไหมล่ะ” ฉันกัดฟันพูดไป เจ้าลิงคำรามฟ่อด แม่ขมวดคิ้วที่ฉันทำตัวไร้มารยาทแล้วโยนเหรียณลงในกระป๋องของเจ้าของเหรียญหนึ่ง เจ้าลิงยิ้มอย่างผู้ชนะก่อนจะกระโดดข้ามศีรษะฉันหนีไป

พ่อค้านายหนึ่งยื่นหน้ากากแกะสลักที่มีเขี้ยวแหลมและหูช้างออกมา แม่รับมันมาใส่โดยไม่พูดอะไร “ไหนดูซิแม่อยู่ไหน” แม่ว่า มันเป็นเกมที่เราเล่นกันตั้งแต่ฉันเดินได้ เกมซ่อนหาเพื่อทำให้ฉันยิ้มออก เกมอย่างเด็กๆ

“ก็เห็นแต่แม่นั่นแหละ” ฉันพูดอย่างเหนื่อยหน่าย “ฟันก็เหมือนเดิม หูก็เหมือนเดิม”

แม่ส่งหน้ากากคืนพ่อค้า ฉันสะกิดเอาความทะนงอันเป็นจุดอ่อนของท่านพอดี

“และแม่ก็เห็นว่าอายุสิบหกดูจะไม่เหมาะกับลูกสาวคนนี้เอาเสียเลย” แม่ว่า

“ใช่ค่ะ หนูอายุสิบหกแล้ว สิบหก อายุที่เด็กผู้หญิงดีๆส่วนใหญ่ถูกส่งกลับไปเรียนที่ลอนดอนกันหมดแล้ว”ฉันย้ำคำว่า ดีๆ เป็นพิเศษ ด้วยหวังว่าจะช่วยกระตุ้นเตือนความรู้สึกผิดและตระหนักถึงหน้าที่แม่ที่เหมาะสมได้

“ลูกนี้ดูจะเขียวไปหน่อยนะ ฉันว่า” แม่จ้องมะม่วงไม่วางตา การเลือกผลไม้ของท่านนั้นจริงจังเสมอ

“ไม่เห็นมีใครขังทอมไว้ที่บอมเบย์เลย” ฉันตัดสินใจอ้างพี่ชายเป็นทางออกสุดท้าย “พี่ไปอยู่ลอนดอนตั้งสี่ปีเต็ม!
แถมตอนนี้ก็จะเข้ามหาวิทยาลัยแล้วด้วย”

“ผู้ชายไม่เหมือนกันนี่จ๊ะ”

“ไม่ยุติธรรมเลย หนูจะไม่ได้ออกงานสังคม แล้วก็ต้องกลายเป็นยายแก่ขึ้นคานเลี้ยงแมวร้อยตัวที่เอาแต่ดื่มนมจากชามกระเบื้องเคลือบ” ฉันเริ่มโวยวายแล้ว แม้จะไม่น่าดู แต่ฉันก็ไม่อาจห้ามตัวเองได้

“เข้าใจแล้ว” แม่เอ่ยขึ้นในที่สุด “ลูกอยากจะถูกจูงไปตามห้องจัดเลี้ยงในสังคมลอนดอนราวกับม้าพันธุ์ดีให้คนประเมินว่าจะเป็นแม่พันธุ์ที่ดีได้ไหมงั้นรึ ลูกจะยังคิดว่าลอนดอนน่าหลงใหลนักอยู่หรือเปล่าเมื่อตกเป็นเป้าของคำนินทาโทษฐานที่ละเมิดกฎไปเพียงนิดเดียว ลอนดอนไม่ได้สวยงามอย่างที่จดหมายของคุณย่าลูกว่าไว้หรอกนะ”

“หนูจะรู้ได้ยังไงล่ะ ก็ไม่เคยเห็นมันนี่”

“เจมม่า...” แม่ขึ้นเสียงเป็นเชิงปรามแม้ปากจะยังคงยิ้มให้เหล่าคนอินเดียเช่นเคย ต้องไม่ปล่อยให้พวกนั้นคิดว่าสุภาพสตรีชาวอังกฤษอย่างเราใจคอคับแคบเสียจนมาทะเลาะกันอยู่บนถนน เราคุยกันแต่เรื่องดินฟ้าอากาศเท่านั้น และหากอากาศไม่ดี เราก็แกล้งทำเป็นไม่สังเกตเห็นเสีย


โดย: ทินา วันที่: 25 มิถุนายน 2551 เวลา:18:07:02 น.  

 
สริตาหัวเราะอย่างหวั่นๆ “ไม่น่าเชื่อเลยว่าเมมซาอิบจะโตขึ้นเป็นสาวน้อยแล้ว เหมือนว่าเมื่อวานนี้คุณหนูยังอยู่ในเปลอยู่เลย ดูสิ อินทผลัม! ของโปรดของคุณหนู” นางยิ้มกว้างจนเห็นฟันที่หลุดร่วงไปและรอยยับย่นทุกรอยบนใบหน้านั้น อากาศร้อนเหลือเกิน ทำให้ฉันเกิดอยากจะกรีดร้องแล้ววิ่งหนีไปจากทุกสิ่งและทุกคนที่เคยรู้จัก

“อินทผลัมพวกนั้นต้องเน่าในแน่ๆ เหมือนอินเดียไงล่ะ”

“เจมม่า พอได้แล้ว” ดวงตาสีเขียวสดของแม่จ้องมาที่ฉัน ใครๆก็ว่าดวงตาคู่นั้นทั้งหยั่งลึกและชาญฉลาด ฉันเองก็มีตาโตสองชั้นสีเขียวสดใสเหมือนอย่างท่าน พวกอินเดียว่าดวงตาเช่นเราทำให้พวกเขาอึดอัดและหวาดหวั่นราวกับถูกภูตผีเฝ้ามองอยู่ สริตาก้มลงยิ้ม สองมือสาละวนวุ่นอยู่กับการจัดส่าหรีสีน้ำตาลเข้าที่ ฉันรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ดูถูกบ้านของหล่อน บ้านของเรา แม้หมู่นี้ฉันจะไม่รู้สึกว่ามันเป็นบ้านแล้วก็ตาม

“คุณหนูไม่อยากไปลอนดอนหรอกค่ะ มันทั้งมืด ทั้งหนาว แล้วก็ไม่มีเนยกีให้ทาขนมปังด้วย คุณหนูต้องไม่ชอบแน่”

รถไฟลั่นหวูดเข้าสถานีใกล้อ่าวซึ่งทอประกายระยิบระยับ บอมเบย์ มันแปลว่าอ่าวที่ดีแต่ตอนนี้ฉันคิดเรื่องดีๆเกี่ยวกับมันไม่ออกเลย ควันกลุ่มหนาลอยขึ้นจากรถไฟจนสัมผัสเมฆดำทะมึน แม่มองมันลอยขึ้นฟ้าไป

“ใช่ ทั้งหนาวทั้งมืด” แม่เอื้อมมือขึ้นแตะลำคอ ไล้นิ้วไปตามสร้อยคอที่สวมอยู่ ซึ่งเป็นเหรียญเงินอันน้อยสลักลายเนตรแห่งการหยั่งรู้เหนือรูปพระจันทร์เสี้ยว แม่ว่ามันเป็นของขวัญจากชาวบ้าน เป็นเครื่องรางนำโชค ฉันไม่เคยเห็นแม่ถอดมันออกเลย

สริตาแตะแขนแม่ไว้ “ได้เวลากลับแล้วเจ้าค่ะ”

แม่ถอนสายตาจากรถไฟขบวนนั้น และปล่อยมือจากสายสร้อย “จ้ะ ไปกันเถอะ เราต้องสนุกกันแน่ที่บ้านมิสซิส ทัลบอท แม่มั่นใจว่าเธอต้องอบเค้กพิเศษสำหรับวันเกิดลูกไว้แล้ว...”

ชายผู้หนึ่งซึ่งโพกศีรษะด้วยผ้าขาวและสวมเสื้อคลุมสำหรับเดินทางตัวหนาสีดำถลามาจากด้านหลังแล้วชนกับแม่โดยแรง

“ต้องขอโทษนับพันครั้งขอรับ คุณผู้หญิง” เขายิ้มแล้วโค้งต่ำเพื่อขออภัยที่เสียมารยาท เผยให้เห็นชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมประหลาดเช่นเดียวกันทางด้านหลัง และเราสองคนก็ประสานสายตากันอยู่ครู่หนึ่ง เขาอายุมากกว่าฉันเล็กน้อย น่าจะประมาณสิบเจ็ด มีผิวสีน้ำตาล ริมฝีปากอวบอิ่ม และขนตาที่งอนยาวที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ฉันรู้ว่าไม่ควรนึกสนใจหนุ่มอินเดีย แต่ก็ไม่มีโอกาสได้เห็นชายหนุ่มมากนัก ทำให้อดหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้ เขาเป็นฝ่ายถอนสายตาออกไปหันมองผู้คน

“แกควรจะระวังให้มากกว่านี้” สริตาตะคอกใส่ชายที่อายุมากกว่า แล้วเงื้อมมือตั้งท่าจะตี “หวังว่าแกคงไม่ใช่ขโมยนะ ไม่งั้นโดยลงโทษแน่”

“ไม่ใช่ขอรับ ไม่ใช่ เมมซาอิบ ข้าเพียงแต่เป็นคนซุ่มซ่ามนัก” รอยยิ้มของเขาหายไปพร้อมกับทีท่าร่าเริงอย่างคนปัญญาทึบ ก่อนจะกระซิบกับแม่ด้วยสำเนียงอังกฤษไร้ที่ติว่า “เซอร์ซีใกล้เข้ามาแล้ว”

ประโยคนั้นไม่มีความหมายใดสำหรับฉัน มันเป็นแค่เพียงคำพล่ามที่หัวขโมยสมองไวใช้หลอกล่อเรา ฉันกำลังจะพูดกับแม่อย่างนั้นแต่สีหน้าหวาดกลัวที่เห็นทำให้ฉันต้องตะลึง ดวงตาของแม่เบิกกว้างขณะที่หันซ้ายหันขวามองฝูงชนบนท้องถนนราวกับกำลังหาเด็กหาย

“อะไรคะ มีอะไรหรือคะ” ฉันถาม

ชายสองคนนั้นหายไปในทันใด พวกเขากลืนหายไปกับฝูงชน ทิ้งไว้เพียงรอยเท้าบนพื้นฝุ่น “ผู้ชายคนนั้นพูดอะไรกับแม่”


โดย: ทินา วันที่: 25 มิถุนายน 2551 เวลา:18:08:27 น.  

 
เสียงที่แม่ตอบกลับมานั้นแข็งกร้าวราวเหล็กกล้า “ไม่มีอะไรจ้ะ เขาคงเป็นคนเสียสติน่ะ ทุกวันนี้ถนนไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย” ฉันไม่เคยได้ยินแม่พูดแบบนี้มาก่อน เสียงนั้นทั้งกระด้าง ทั้งหวาดกลัว “เจมม่า แม่ว่าแม่ไปหามิสซิสทัลบอทคนเดียวดีกว่า”

“แต่ว่า...แล้วเค้กล่ะคะ” มันฟังดูไร้สาระก็จริงแต่นี่ก็เป็นวันเกิดฉัน และถึงฉันจะไม่อยากใช้เวลาวันนี้ไปกับการนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นของมิสซิสทัลบอท ฉันก็ยิ่งไม่อยากนั่งอยู่กับบ้านคนเดียวทั้งวัน เพียงเพราะคนบ้าชุดดำกับพวกทำให้แม่ตกใจ

แม่กระชับผ้าคลุมไหล่แน่นเข้า “เดี๋ยวค่อนทานเค้กกันทีหลังก็ได้...”

“แต่แม่สัญญาแล้ว...”

“จ้ะ แต่นั่นมันก่อนที่...” แม่เงียบไป

“ก่อนอะไรคะ”

“ก่อนที่ลูกจะทำให้แม่อารมณ์เสียน่ะสิ! จริงๆนะเจมม่า ลูกไม่ควรไปเยี่ยมใครด้วยอารมณ์แบบนี้หรอก เดี๋ยวสริตาจะไปส่งที่บ้าน”

“หนูไม่ได้อารมณ์เสียนะ” ฉันเถียง แต่น้ำเสียงไม่ได้เข้ากับคำพูดแม้แต่น้อย

“ไม่เลย!” ดวงตาสีเขียวของแม่จ้องมาที่ฉัน แววตานั้นฉายบางสิ่งที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน มันคืออารมณ์โกรธแค้นที่แรงกล้าและน่ากลัวจนแทบหยุดหายใจ ทว่ามันก็จากไปอย่างรวดเร็วพอๆกับที่ปรากฏขึ้น และแม่ก็กลับเป็นแม่อีกครั้ง “ลูกเหนื่อยเกินไปแล้ว กลับไปพักเถอะจ้ะ ไว้คืนนี้เราค่อยฉลองกันแล้วแม่จะให้ดื่มแชมเปญนะ”

แม่จะให้ดื่มแชมเปญนะ นั่นไม่ใช่คำสัญญา เป็นแค่ข้ออ้างในการไล่ฉันไปให้พ้นต่างหาก ครั้งหนึ่งเราเคยทำทุกสิ่งร่วมกัน แต่ตอนนี้ แค่เดินตลาดโดยไม่ทะเลาะกันก็ทำไม่ได้เสียแล้ว ฉันกลายเป็นเรื่องขายหน้า เป็นสิ่งที่น่าผิดหวัง ลูกสาวที่แม่ไม่อยากพาไปไหนด้วย ไม่ว่าจะเป็นลอนดอน หรือบ้านของหญิงแก่ที่ชงชาจืดๆก็ตาม

หวูดรถไฟดังขึ้นอีกครั้งทำให้แม่สะดุ้งสุดตัว

“นี่จ้ะ ให้ใส่สร้อยของแม่ดีไหม เอาสิจ๊ะ ใส่เลย แม่รู้ว่าลูกชอบมันมาก”

ฉันยืนนิ่งปล่อยให้แม่สวมสร้อยคอที่ฉันอยากได้มาตลอด ทว่าตอนนี้กลับถ่วงคอฉันไว้อย่างวัตถุที่ส่องประกายอย่างน่ารังเกียจ มันคือสินบน แม่กวาดตามองตลาดนัดฝุ่นคลุ้งอีกครั้งก่อนที่ดวงตาสีเขียวจะกลับมาหยุดที่ฉัน

“ดูสิ ลูกแม่ช่าง...โตเหลือเกิน” แม่ยกมือที่สวมถุงมือข้างหนึ่งขึ้นกุมแก้มฉันค้างไว้ ราวกับจะจดจำมันไว้ด้วยปลายนิ้ว “เจอกันที่บ้านนะจ๊ะ”

ฉันไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาที่เอ่อล้นสองเบ้าตา จึงพยายามคิดหาคำพูดที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่ทำได้ และโพล่งออกไปกลางตลาดเช่นนั้น

“ต่อให้แม่ไม่กลับบ้านอีกเลยหนูก็ไม่สนหรอก”


โดย: ทินา วันที่: 25 มิถุนายน 2551 เวลา:18:09:37 น.  

 
อืม อ่านเเล้วเห็นได้เลยว่า คุณทินาชอบเรื่องนี้นัก สำนวนจะออกไปเป็นตะวันตก ก็เเน่หล่ะเเปลมาจากหนังสืออังกฤษ ผมไม่ค่อยได้อ่านฉบับเเปลเป็นไทย นับได้เลย น่าจะ สองเล่มนะ ไม่นับหนังสือนอกเวลาที่บังคับผมเรียน เเต่อ่านที่คุณเเปลเเล้ว ผมรู้สึก รู้สึก รู้สึก เหมือนได้อ่านภาษาอังกฤษไปในตัวเลย เเม้ตัวอักษรเป็นไทย ถ้าทั้งหมดนี่คุณเขียนเอง ไม่ได้เเปลมา ผมจะซื้อไว้เลยครับ

ไว้ ถ้าเเปลเสร็จ ขอจองซื้อเป็นคนเเรกนะครับ จริงๆ น่าจะไปเป็นนักเเปลนวนิยายมืออาชีพเลยนะครับ เชียร์ๆ

คุณทิน่า น่าจะมีวิสัยทัศน์กว้างนะ เท่าที่ผมดู

ขอบคุณนะครับที่เเบ่งปันชั่วโมงผ่อนคลายความตรึงเครียดจากที่ออฟฟิศ อิอิ


โดย: ฟูลิน IP: 118.175.64.125 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2551 เวลา:10:58:24 น.  

 
เพิ่มเติม หนังสือนอกเวลาที่บังคับให้ผมเรียน ผมก็อ่านไม่เข้าหัวซักเล่มนะ เเต่มะกี้อ่านของคุณมาก็ ยอมรับว่า ชอบครับ

รวมถึงชอบประโยคนี้ด้วย
Literature is a luxury. Fiction is a necessity

เห็นเหมือนกัน


โดย: ฟูลิน IP: 118.175.64.125 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2551 เวลา:11:03:17 น.  

 
อ๋า มีคนแวะเข้ามาด้วยแฮะ

ง่า แปลแล้วเหมือนอ่านภาษาอังกฤษแสดงว่ายังติดกลิ่นนมกลิ่นเนยสินะคะ ต้องแก้ไข ต้องแก้ไข ^_^

ถ้ามีโอกาสได้แปลเรื่องนี้จริงๆก็คงดี (ฝันเฟื่องอีกแล้ว)
แต่ระหว่างนี้อุดหนุนเรื่องอื่นไปพลางๆก่อนดีไหมคะ ^O^

Literature is a luxury. Fiction is a necessity. ก็มันจริงนี่นา เนอะ เนอะ


โดย: ทินา วันที่: 18 พฤศจิกายน 2551 เวลา:4:00:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทินา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




หลังไมค์เชิญทางนี้จ้า
Friends' blogs
[Add ทินา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.