Group Blog
  •  
  •  
  •   
กุมภาพันธ์ 2552

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
 
รักเหนือนิยาม ของตาลอบ-ยายทอง


ใครที่เคยชมรายการ "คนค้นฅน" หรืออาจผ่านตาจากฟอร์เวิร์ดเมล คงเคยสัมผัสเรื่องราวของตายายคู่ทุกข์คู่ยาก ที่ทั้งสองอยู่กันด้วยความรัก ความเข้าใจ และคำสัญญาที่จะรักและดูแลกันตลอดไปจนวันตาย

และบรรทัดต่อจากนี้ เป็นอีกบทบันทึกของหัวใจ ที่ไม่ต้องการคำนิยายใดๆ

นับถอยหลังไปอีกเพียงไม่กี่วันก็จะถึงวัน "วาเลนไทน์" วันซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงออกถึงความรักที่ใครหลายคนให้ความสำคัญ ไม่ว่าใครจะนิยามความรักว่าเป็นของคู่กัน ความเหมือน ความพอดี ความลงตัว

หากแต่นิยามความรักของสองตายายแห่งอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย อย่าง "ตาลอบ" อมร สีสุภเนตร วัย 76 ปี ที่มีต่อ "ยายทอง" นั้น กลับมองว่าวันวาเลนไทน์ที่จะมาถึงนั้น ไม่เคยมีความหมายต่อทั้งคู่เลย เพราะชีวิตรักที่ตาและยายได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมากว่า 50 ปีนั้น ไม่เคยมีวันไหนที่ความรักจะลดน้อยลงไปตามกาลเวลา ทว่า กลับเพิ่มพูนขึ้นสวนทางกับสังขารที่เริ่มจะโรยรา

สำหรับตาลอบวันนี้ มันก็เป็นแค่วันธรรมดาๆ วันหนึ่งเท่านั้น

"ดอกกุหลาบมันจะสู้สิ่งที่เราทำดีให้แก่ทุกวันได้ยังไง มันเทียบกันไม่ได้หรอก ตาไม่เห็นว่ามันจะสำคัญกับชีวิตตรงไหน เพราะถึงไม่มีวันนี้ ยังไงตาก็ยังรักยายเท่ากันทุกวัน" ตาลอบบอกขณะปรนนิบัติภรรยาที่นอนป่วย

สำหรับพื้นเพเดิมของยายทองเป็นคนอำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก ส่วนตาลอบเป็นคนเชียงคาน จังหวัดเลย ปัจจุบันสองตายายอาศัยอยู่ที่บ้านหลังเล็กๆ สภาพเก่าๆ หลังหนึ่งตามลำพังสองคนโดยมีลูกๆ คอยดูแลอยู่ห่างๆ เมื่อมองเข้าไปในบ้านจะสังเกตเห็นว่าบ้านของตาเสมือนเป็นโรงพยาบาลขนาดย่อมๆ เพราะอุปกรณ์ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ในการดูแลยายนั้น ตาได้ดัดแปลงให้เหมือนกับทางโรงพยาบาล ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้ดูแลยายได้อย่างเต็มที่

คงสงสัยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น



ย้อนไปเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ตาลอบซึ่งเป็นช่างตัดผมหนุ่มฐานะยากจนได้พบรักกับยายทอง แม่ค้าขายอาหารที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสาวงามประจำหมู่บ้านในงานรำวงสร้างโบสถ์ที่วัดป่ากลาง อำเภอเชียงคาน หลังจากที่ทั้งคู่คบหาดูใจกันมา 5-6 ปี จนมั่นใจในความรักที่มีให้ต่อกัน ชายหนุ่มจึงเอ่ยปากขอหญิงสาวที่เขารักแต่งงาน เป็นงานแต่งงานที่เรียบง่าย ไม่มีพิธีกรรมใหญ่โตอะไร ไม่มีเงินสินสอดทองหมั้นมากมาย มีเพียงคำมั่นสัญญาที่ชายหนุ่มมอบไว้ให้แก่หญิงสาวที่เขารักว่า จะครองรักและดูแลกันตลอดไปจนกว่าวันสุดท้ายจะมาถึง

ทั้งคู่อยู่กันจนกระทั่งแก่เฒ่า และตลอดเวลาที่ผ่านมา ความรักที่สม่ำเสมอพอที่จะทำให้ชีวิตรักของคนคู่นี้กลายเป็นตำนานรักแท้ที่น่าจดจำ แต่เหมือนมีบททดสอบ จู่ๆ ปี 2538 ยายทองก็ล้มป่วยลงด้วยการเป็นอัมพฤกษ์ทางด้านซ้าย ซึ่งก็พอจะช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง

แต่เมื่อ 6 ปีที่ผ่านมา อาการของยายทองก็กำเริบทรุดหนักลงไปอีก จากอัมพฤกษ์กลายเป็นอัมพาต ไม่สามารถพูดคุยกับตาลอบได้อีก นอกจากส่งเสียงร้องไห้ ซึ่งบางครั้งก็มีแต่เสียงร้อง บางครั้งก็มีแต่น้ำตา ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการสื่อสารเพียงอย่างเดียวที่ตาลอบรับรู้และเข้าใจเสมอว่ายายต้องการอะไร

"ยายเขาร้องไห้ เพราะว่าเขาอยากจะพูดกับเรา แต่เขาพูดไม่ได้ เขาจึงบอกเราด้วยการร้องไห้ออกมา พอตาได้ยินเสียงไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ตาก็จะเดินไปพูดกับเขา หรือไม่ก็ต้องส่งสียงตอบกลับไป ส่วนใหญ่ตาจะบอกเขาว่า อย่าร้องเลย เราอยู่ตรงนี้แล้ว บางทีก็บอกยายว่า เราจะอยู่กับเธอ จะดูแลเธอไปจนกว่าจะตายจากกัน... ที่บอกอย่างนี้เพื่อให้ยายรู้ว่าตาอยู่ใกล้เขาไม่ได้หนีไปไหน"

ปฏิเสธไม่ได้ว่า น้อยครั้งนักที่เราจะได้เห็นภาพฝ่ายชายดูแล ปรนนิบัติฝ่ายหญิง ซึ่งสิ่งที่ตาทำนั้นได้พิสูจน์ให้โลกรู้ว่าความรักของตาที่มีต่อยายนั้นเป็นตำนานความรักอันยิ่งใหญ่ที่ใครๆ ต่างก็แสวงหา

"ตาอยากใช้ชีวิตอยู่กับยายจนวินาทีสุดท้าย เราจะต้องไม่ทอดทิ้งกัน เราต้องมั่นคงต่อกัน ตาสัญญากับยายว่าจะดูแลยายให้ดีที่สุดจนวินาทีสุดท้าย ตาตั้งใจรักษายายให้ดีที่สุด ตาทุ่มเทชีวิตให้ยายทั้งหมด เพราะยายมีความหมายกับตาสุดชีวิตเลย ทุกวันนี้ตายังมีความหวังอยู่ว่ายายจะอาการดีขึ้นและกลับมาพูดกับตาได้เหมือนเคย เราต้องอยู่แบบมีความหวัง เพราะความหวังนี่แหละที่จะทำให้เรามีกำลังใจดูแลยายต่อไปจนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง"

ถึงแม้ว่าบั้นปลายชีวิตอันแสนสุขจะถูกพรากไป และแทนที่ด้วยความทุกข์ทรมานจากอาการเจ็บป่วยของอีกฝ่ายหนึ่ง คำมั่นสัญญาทุกคำที่ตาลอบเคยมอบไว้ให้แก่ยายทองก็ยังไม่มีคำใดหรือตัวอักษรตัวใดเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย



ตลอดระยะเวลา 12 ปีที่ยายทองล้มป่วย แทบจะทุกนาทีของชีวิตตาลอบได้มอบให้แก่การเฝ้าดูแลประคบประหงมยายทองอย่างใกล้ชิด ไม่เว้นแต่ยามหลับหรือยามตื่น การดูแลปรนนิบัติยาย ตาลอบจะทำเพียงคนเดียวทุกครั้ง และตาจะใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อย แม้แต่แพมเพอร์สตาก็จะไม่ใส่ให้ยาย เพราะเกรงว่าจะอับชื้นและทำให้เป็นแผลกดทับได้ ตาจึงไม่เคยเบื่อกับการที่ต้องคอยเช็ดอึ เช็ดฉี่อยู่ตลอดทั้งวัน เสื้อผ้าของยายตาก็จะไม่ซักผงซักฟอกเพราะกลัวยายจะแพ้และเป็นผื่น

ภาพที่ชาวเชียงคานเห็นจนชินตาคือภาพชายชรา ปั่นรถจักรยานที่มีเตียงพยาบาลพ่วงติดอยู่ด้านหน้า โดยมียายนอนลืมตาแน่นิ่งอยู่บนเตียงเคลื่อนไปตามถนนหนทางต่างๆ รถคันนี้เป็นรถที่ตาลอบประดิษฐ์ขึ้นมาเองกับมือ เพราะถ้าจะซื้อเตียงแบบโรงพยาบาลนั้นก็เกินกำลัง ด้วยความที่ตาเคยมีความรู้ทางช่างจึงต่อเตียงพยาบาลขึ้นมาและดัดแปลงต่อเติมให้เตียงนั้นเคลื่อนที่ได้ และมีหลังคาคอยคุ้มแดดคุ้มฝนและมีมุ้งคอยกันยุงและแมลงต่างๆ

ตายังรู้ใจยายดีว่ายายชอบให้ตาพาเที่ยวไปตามที่ต่างๆ ตาจึงมักปั่นเตียงเคลื่อนที่คันนี้พายายไปเที่ยวในที่สำคัญๆ ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นสถานที่พบรักกัน สถานที่ๆ ทำมาหากิน ทั้งนี้ก็เพื่อให้ยายระลึกถึงความหลังอันงดงาม และกระตุ้นความจำ ความรู้สึกของยาย อย่างน้อยๆ ความหลังเหล่านี้ก็เสมือนเป็นน้ำหล่อเลี้ยงความเศร้าหมองของชะตากรรมที่ทั้งคู่ต้องเผชิญอยู่บ้าง

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตาลอบได้พิสูจน์ให้เราเห็นว่าสัญญาที่ชายหนุ่มมอบไว้แก่หญิงสาวอันเป็นที่รักนั้น ไม่ใช่แค่เพียงลมปาก หรือถ้อยคำหวานหู หากแต่เป็นถ้อยคำที่ออกมาจากความรู้สึกข้างในหัวใจจริงๆ...

คำมั่นสัญญา ที่ยังทำอย่างซื่อตรงสม่ำเสมอ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรก็ตาม

ขอบคุณคมชัดลึก..




Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2552 12:30:49 น.
Counter : 710 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

หนาวน้ำค้าง
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ฉันเรียนรู้เพื่ออยู่ เพียงตัวและจิตใจ เป็นมิตรแท้ที่ดีต่อกัน
[Add หนาวน้ำค้าง's blog to your weblog]