คิดดี พูดดี ทำดี เพื่อโลกที่ดีของเรานะคะ
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2551
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
21 พฤษภาคม 2551
 
All Blogs
 

ซินจ่าว...เวียดนาม (5) ค่ะ





ฉลองครบรอบทำบล็อค 1 ปีค่ะ...555
เอาล่ะ คราวนี้จะต้องนำทุกท่านเที่ยวแล้วกลับถึงเมืองไทยให้ได้ค่ะ

 


จากบล็อคล่าสุด เป็นวันที่ 2 ซึ่งครึ่งวันแรกเราก็ไปทัวร์อ่าวฮาลองกัน  ทานข้าวกลางวันบนเรือ แล้วก็ขึ้นฝั่งค่ะ ต้องยอมรับว่าทัศนียภาพของเขาสวยจริง ๆ สมเป็นมรดกโลกเลยค่ะ   เราก็ขึ้นรถโยกเยกกันไปอีกประมาณ 3 ชม. ก็แน่นอนว่า..นั่งรถนานขนาดนี้..พี่จันทร์ก็มีเกล็ดประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสงครามเวียดนามมาให้เราฟังอย่างแน่นอน

 


พี่จันทร์เล่าว่า เมื่อพูดถึงเวียดนาม ทุกคนก็ต้องคิดถึงสงคราม  ซึ่งเป็นสงครามที่ยาวนานที่สุดในโลก คือ 100 กว่าปี    สาเหตุที่สหรัฐอยากเข้ามายึดครองเวียดนาม มี 3 ประการคือ

 


1.        เวียดนามมีทรัพยากรธรรมชาติ

 


2.        เวียดนามเป็นคอมมิวนิสต์

 


3.        เวียดนามติดกับจีน  หากยึดเวียดนามได้ก็จะเข้าไปจีนได้

 



 


 พี่จันทร์เริ่มน้ำตาคลอ.. พวกเราจึงพาเสออกนอกเรื่องเล็กน้อย  คือไพล่ไปถามเรื่อง "เนื้อหมา" เพื่อเปลี่ยนอารมณ์ซะหน่อย  เลยได้ข้อมูลเกี่ยวกับการกินเนื้อหมาที่น่าสนใจค่ะ

 


ชาวเวียดนาม 70% นับถือศาสนาพุทธ   ข้อสังเกตคือ  ชาวพุทธจะไม่รับประทานเนื้อหมา   แต่ประชากรอีกส่วนหนึ่งเป็นชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก  คนกลุ่มนี้จะทานเนื้อหมา



เริ่มมีสมาชิกเรียกร้องขอเข้าห้องน้ำ  แต่ที่เวียดนามไม่มีแวะปั๊มหรอกนะคะ  หากจะเข้าห้องน้ำ ต้องขออาศัยเข้าตามร้านขายของที่ระลึกเอา  พี่จันทร์ก็พาแวะร้านขายสมุนไพรค่ะ

คุณชายเธอเลยลองนวดโดยพนักงานสาวสวยกันสักหน่อย






แล้วก็จะมีซินแสมาช่วยจับชีพจร วินิจฉัยโรคอะไรต่าง ๆ จุดประสงค์หลักก็คือ...คงพอจะเดากันได้...ขายยาสมุนไพรนั่นเองค่ะ แต่พี่จันทร์บอกว่า ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร พวกเราก็เลย...แน่อน..ไม่ซื้อ!!!!




อ้อ...เกือบลืมแน่ะ แหม..มาเข้าห้องน้ำ ไม่มีรูปห้องน้ำได้อย่างไร นี่ล่ะค่ะ ห้องน้ำเวียดนาม มีป้ายติดหน้าห้องด้วยว่า "ห้ามอุจจาระ" ดังนั้น ใครทุกข์หนักนี่ก็คงจะต้องทุกข์ต่อไปนะคะ เวลาทำธุระเบาก็ถ่ายลงไปตรงร่องตรงกลางนั่น เห็นไหมคะ แล้วก็เปิดก็อก ที่พื้นของร่องก็จะมีน้ำไหลออกมาชำระล้างสิ่งสกปรก อื้มมม..เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ค่ะ



กลับขึ้นรถมา ตัวเบากันเชียว หลังจากวิ่งหาสุขากันแล้ว พี่จันทร์ก็เริ่ม lecture ต่อเกี่ยวกับสงครามเวียดนาม แต่พวกเราก็ไม่เคยเบื่อที่จะฟังกันเลย เพราะมันทำให้เรา "In" กับการท่องเที่ยวแต่ละสถานที่มากขึ้นจริง ๆ ค่ะ มาฟังกันต่อเลยนะคะ...

เวียดนามประกาศเอกราชจากฝรั่งเศสในวันที่ 2 กันยายน 1945 แต่ก็ถูกญี่ปุ่นเข้ารุกรานอีก จนกระทั่งญี่ปุ่นแพ้สงครามจากการทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองนางาซากิ ฝรั่งเศสจึงเข้ารุกเวียดนามอีก ชาวเวียดนามจึงลุกขึ้นสู้และได้เอกราชเฉพาะตอนเหนือของประเทศ สหรัฐอเมริกาจึงเข้ามายึดตอนใต้ของประเทศ ในยุคนั้น 1 ใน 3 ของชาวเวียดนามทำงานให้สหรัฐ และถูกเรียกว่า “คนขายชาติ” ส่วนอีก 2 ใน 3 ของประเทศต่อสู้เพื่อขับไล่สหรัฐ โดยความช่วยเหลือจากจีน คนกลุ่มนี้รู้จักกันในนามของ “เวียดกง” นั่นเอง

ปัจจุบัน ครึ่งหนึ่งของประชากรเวียดนามอายุน้อยกว่า 30 ปี ทั้งนี้เพราะประชากรที่จะเจริญเติบโตมาเป็นวัยกลางคนนั้นได้เสียชีวิตในสงครามเสียเกือบหมดสิ้นแล้ว

เวียดนามมีคนพิการจากสงครามและฝนเหลืองค่อนข้างมาก รัฐบาลหางานให้ทำ โดยการทำไม้จิ้มฟันและตะเกียบ

พี่จันทร์เล่าให้ฟังถึงความโหดร้ายของสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่หมู่บ้านเซินหมี ซึ่งมีชาวบ้านถูกฆ่าล้างหมู่บ้านถึง 470 ศพ เพราะสหรัฐสงสัยว่า ที่นี่จะเป็นที่หลบซ่อนของพวกเวียดกง พี่จันทร์เล่าว่า หมู่บ้านนี้โดนโจมตีทั้งทางบกและทางอากาศ มีทหารสหรัฐเข้ามากราดยิงทุกคนไม่เว้นแม้เด็ก ผู้หญิงหรือคนแก่ ยิงจนเหลือเด็กผู้ชายอายุ 7 ขวบแค่คนเดียวร้องไห้อยู่ ทหารคนหนึ่งเอาปืนมาจะจ่อยิง แต่มีเพื่อนทหารอีกคนหนึ่ง มาขอร้องไว้ ว่าให้ปล่อยเด็กคนนี้ไป ปัจจุบันเด็กคนนั้นอายุ 50 ปีแล้ว และเมื่อไม่นานมานี้ เด็กคนนั้นและทหารคนที่ขอชีวิตเขาเอาไว้ ได้มาพบกันจริง ๆ พี่จันทร์บอกว่า ฮอลิวู๊ดมาซื้อพล็อตไปสร้างหนังแล้วนะเนี่ย แต่ไม่ได้มาถ่ายทำที่นี่ เพราะภาพสงครามมันคงสะเทือนใจชาวหมู่บ้านนี้มากเกินไป

ถึงแล้ว!!! ในที่สุดเราก็มาถึง วัดเจดีย์ 11 ชั้นค่ะ ภาษาเวียดนามออกเสียงว่า "วัดเฉินก๊วก" ตรงทางเข้าวัดมีสาวน้อยนางหนึ่ง อดถ่ายรูปไม่ได้สิน่า!!!





วัดนี้มีเอกลักษณ์คือ เจดีย์ทรง 8 เปลี่ยม รวม 11 ชั้น จึงมีพระอยู่ทั้งหมด 88 องค์ สร้างขึ้นใน ค.ศ.541 ปัจจุบันมีอายุ 1,000 กว่าปีแล้ว ในวิหารมีพระพุทธรูปทั้งหมด 100 องค์ องค์ที่ประดิษฐานอยู่สูงที่สุดอัญเชิญมาจากอินเดียค่ะ






ขอลงรูปหมู่อีกสักครั้ง ทำให้หวนรำลึกถึงกลุ่มทัวร์ซินจ่าวของพวกเรานะคะ


จากหน้าวัด ซึ่งอยู่ริมถนน มองข้ามไปจะเห็น "ทะเลสาบตะวันตก" และถนนด้านหน้านี้ เรียกว่าถนนเยาวชน คือที่พลอดรักของคู่รักชาวฮานอย ส่วนมากจะพลอดรักกันบนมอร์เตอร์ไซค์ หรือเช่าเรือถีบไปลอยกลางทะเลสาบ สังเกตว่ารูปจะไม่ค่อยชัด เพราะพยายามซูมยุ่งเรื่องชาวบ้านเขาสุดชีวิต!!! มันเป็นอย่างที่พี่จันทร์บอกจริง ๆ นั่นล่ะค่ะ มากันเป็นคู่ๆ พร้อมด้วยมอร์เตอร์ไซค์ มีกิจกรรมเล่นกัดปากกันอย่างชัดเจนแจ่ม ๆ เห็นแล้วสมาชิกทัวร์ของเราก็เกิดแรงบันดาลใจ อยากจะมาเดินถนนนี้บ้างในยามค่ำคืนของวันนี้ เผื่อจะมีโชคทางด้านคู่รักกับเขาบ้าง...ฮา..ฮา..ฮา





ด้านตรงข้ามของวัด มีอีกทะเลสาบหนึ่ง เรียกว่า ทะเลสาบผ้าไหมขาว เพราะในสมัยโบราณเป็นที่กักขังนางสนมที่ทำผิด และจะต้องทอผ้าไหมให้นางสนมคนอื่น ๆ

เย็นย่ำค่ำแล้ว...ท้องร้องออกมาเตือน พี่จันทร์ก็พาพวกเรามุ่งหน้าสู่ร้านอาหารเย็น ชื่อร้าน ทางลอง (แปลว่า มังกร...อะไรสักอย่างนี่ล่ะค่ะ)





ร้านนี้ก็มีข้าวเคล้าเสียงเพลง ที่บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีเวียดนาม นักร้องสาว ๆ หน้าตาน่ารักดี บรรเลงและร้องเพลงไทยด้วยนะคะ มีเพลงค้างคาวกินกล้วย กับเพลงลอยกระทง ทัวร์ไทยชอบใจกันใหญ่ ร้องเสร็จ ก็จะเวียนเอาหมวกมาใส่ให้ลูกค้าได้ถ่ายรูปกัน สนุกมากค่ะ









อาหารค่ำที่แสนอร่อยก็ผ่านไป คืนนี้มีกิจกรรมที่ทัวร์เวียดนามห้ามพลาด นั่นก็คือชมการแสดงหุ่นกระบอกน้ำ (แปลว่าเชิดจากในน้ำค่ะ) ตรงนี้พวกเราก็คิดกันหัวแตก ว่าถ้าเชิดจากในน้ำ แล้วคนเชิดจะอยู่ตรงไหน แต่พี่จันทร์ไม่ยอมเฉลย บอกให้พวกเราไปสังเกตหาคำตอบกันเอาเอง แต่พี่จันทร์เล่าความเป็นมาของหุ่นกระบอกน้ำว่า

ในสมัยก่อน เวียดนามเหนือมีน้ำท่วมทุกปี ประชาชนเกิดความเครียด จึงคิดหามหรสพบันเทิง จึงเกิดเป็นหุ่นกระบอกที่เชิดจากในน้ำขึ้น พี่จันทร์ให้พวกเราท่องคำว่า “โหรย เนื๊อก” ซึ่งแปลว่า หุ่นกระบอกน้ำ เพราะพรุ่งนี้ เราจะใช้โรงหุ่นกระบอกน้ำเป็นจุดนัดพบเพื่อขึ้นรถ หลังจากพวกเราช้อปปิ้งกันเสร็จ หากหลงทางจะได้ถามทางได้ว่า “โหรย เนื๊อก” ไปทางไหน

พี่จันทร์เล่าว่า คนเชิดหุ่นกระบอกน้ำนั้น ต้องฝึกนานมาก สูงสุดถึง 7 ปี และหุ่นบางตัวก็มีน้ำหนักถึง 20 กก.เลยดีเดียว คงต้องแข็งแรงมากจริง ๆ บิ๊กก็พยายามถ่ายรูปมาให้ดูกันนะคะ เขาห้ามใช้แฟลช บิ๊กก็เลยต้องถือกล้องนิ่ง ๆ ระดับห้ามหายใจกันเลยทีเดียว รูปชัดได้มากที่สุดแค่นี้ล่ะค่ะ



การแสดงมีทั้งหมด 7 ตอนสั้น ๆ ด้วยกัน ในรูปนี้เป็นตอนเกี่ยวเหล่านางฟ้า และการสอบจอหงวน



แสงสีเสียงประกอบก็ใช้ได้เลยนะคะ มีทั้งดนตรี แล้วก็นักร้องประกอบการเดินเรื่อง เราฟังนักร้องไม่รู้เรื่อง แต่เขาจะมีคนคอยสรุปเป็นภาษาอังกฤษอยู่ เราก็คอยฟังตรงนั้น พอจะจับความได้ว่า เครื่องดนตรีชิ้นเอกคือ พิณสายเดียวนั้น เรียกว่า “ดานเบา” เครื่องดนตรีนี้ เดิมให้ผู้ชายเล่นเท่านั้น แต่ต่อมาบรรดาผู้ปกครองของเด็กผู้หญิงทั้งหลายกลัวว่า ผู้หญิงจะไปหลงคารมชายผู้เล่นดานเบา อันเนื่องมาจากเสียงที่ไพเราะเหลือประมาณของดานเบา จึงได้เปลี่ยนมาให้ผู้หญิงเล่นเครื่องดนตรีนี้แทน แต่ได้ถามพี่จันทร์แล้วว่า บิ๊กแปลถูกมั๊ย พี่จันทร์ยืนยันว่าถูกค่ะ

และแล้วเมื่อการแสดงจบลง ก็มาถึงเฉลยว่าหุ่นกระบอกน้ำเชิดอย่างไรหนอ....นักแสดงออกมาจากฉากของหลังค่ะ พอจะเดากันได้ไหมคะ ใช่ค่ะ..หุ่นแต่ละตัวจะมีก้ามที่ขนานไปกับพื้น ก้านนี้จะยาวไปถึงหลังฉาก ผู้เชิดจะยืนจมอยู่ในน้ำเกินหัวเข่าขึ้นมาหน่อยหนึ่ง แล้วก้มตัวลงเล็กน้อย คิดดูสิคะ หุ่นบางตัวหนักเกือบ 20 กก. แถมยังมีก้านยาว ๆ อีก นับถือคนเชิดเลยค่ะ






 

Create Date : 21 พฤษภาคม 2551
2 comments
Last Update : 16 เมษายน 2552 20:12:11 น.
Counter : 2204 Pageviews.

 

welcome back ka P'Big I really miss you blog.
It's very nice.

 

โดย: nok IP: 93.4.104.6 16 เมษายน 2552 22:40:29 น.  

 

ตกลงเราก็ได้ไปเที่ยวเวียดนามทางลัดโดยไม่ต้องเสียเงินเลย ฮิ ฮิ

 

โดย: อรวรรณ IP: 58.137.1.20 17 เมษายน 2552 9:53:32 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Teacherbik
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ไลฟ์สไตล์ธรรมดา สำหรับคนที่ชีวิต
มีมากกว่าการทำงานและหาเงิน
New Comments
Friends' blogs
[Add Teacherbik's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.