ซินจ่าว...เวียดนาม (7) ค่ะ
หลังจากไปชมวิหารวันเมียวแล้ว ก็ถึงเวลาของไฮไลท์ในวันนี้ และที่ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจชาวเวียดนามยุคใหม่ นั่นคือ สุสานประธานาธิบดีโฮจิมิน หรือสุสานลุงโฮค่ะ พลาดไม่ได้นะคะ สำหรับใครที่ไปทัวร์เวียดนาม แต่ขอบอกก่อนว่า ในรอบ 1 ปี จะมีการนำศพลุงโฮไปอาบน้ำยาที่รัสเซีย ในช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค. ดังนั้นในช่วงนั้นสุสานจึงปิดค่ะ อย่ามาช่วงนั้นนะคะ เพื่อประกันความผิดหวัง รถวิ่งผ่านสุสาน เราก็ต้องตะลึงกับคิวซึ่งยาวมาก ๆ ดูสิคะ
เหลือบมองนาฬิกากันแบบขำ ๆ ไม่นานหรอกค่ะ เรารอคิวกันนานแค่ 1 ชม. 20 นาที เท่านั้นเอง แต่ก็คุ้มมากค่ะสำหรับการรอคอย สุสานนี้ตั้งอยู่ที่จัตุรัสบาดิ่ง ทำด้วยหินอ่อน จะมีการผลัดเปลี่ยนทหารยามกันด้วย และคณะเราโชคดีได้ดูพิธีเปลี่ยนทหารยามด้วย ด้านบนเป็นตัวหนังสือประดับด้วยพลอยแดง อ่านได้ว่า ประธานาธิบดีโฮจิมินห์ ส่วนตัวหนังสือทั้ง 2 ด้าน ด้านหนึ่งอ่านได้ว่า ประธานาธิบดีโฮจิมินห์จงเจริญ และอีกด้านหนึ่งอ่านได้ว่า ประธานาธิบดีโฮจิมินห์จะอยู่ในใจชาวเวียดนาม
วันที่ 2 กันยายน 1945 เป็นวันประกาศอิสรภาพของเวียดนาม แม้สงครามจริง ๆ จะยุติในปี 1975 ก็ตาม จึงถือเอาวันนี้เป็นวันชาติ ดังนั้นทุก ๆ วันที่ 2 ก.ย. ที่จัตุรัสแห่งนี้จะมีพิธีสวนสนาม
ในสุดก็ได้เข้าไปในสุสานแล้ว แต่สัมภาระทั้งหมดของเรา ต้องฝากไว้ที่ไกด์ก่อนเข้าสุสาน ห้ามถ่ายรูปใด ๆ ทั้งสิ้น และต้องงดพูด สำรวมกิริยา เพราะสิ่งที่เราเห็นข้างในก็คือ ลุงโฮนอนอย่างสงบอยู่ในโลงแก้ว ลักษณะเหมือนคุณปู่นอนหลับจริง ๆ ค่ะ นักท่องเที่ยวจะถูกนำเดินผ่านไปทางปลายเท้าลุงโฮ ที่เราต้องงดพูดและสำรวมก็เพราะ... เหมือนกับเราเดินผ่านญาติผู้ใหญ่ที่นอนกลางวันน่ะค่ะ เราเป็นหลานก็จะต้องไม่ทำเสียงดัง จะเป็นการกวนให้ท่านตื่นได้
ด้านในสุสานจะมีป้ายทำด้วยทองคำ เขียนว่า ไม่มีสิ่งใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าความเป็นอิสระของประเทศชาติ
เมื่อตอนต้นได้กล่าวถึงการนำศพไปอาบน้ำยาแล้วใช่ไหมคะ การอาบน้ำยาศพที่ว่านี้ ถือได้ว่าเป็นการทำมัมมี่ยุคใหม่เลยทีเดียว ศพอาบน้ำยาแล้วก็อยู่ได้ 1 ปี ลักษณะภายนอกจะเหมือนกับคนนอนหลับทุกอย่าง ตัวจะไม่ซีดขาว ในโลกนี้มีศพอยู่ 3 ท่านเท่านั้น ที่ได้รับการอาบน้ำยาแบบนี้ คือ เลนนิน เหมาเจ๋อตุง และลุงโฮนี่แหล่ะค่ะ
เมื่อออกจากสุสาน พี่จันทร์ก็พาเราไปชมทำเนียบประธานาธิบดี ซึ่งอยู่ถัดไปเองค่ะ ตึกสีเหลืองนี้รัฐบาลสร้างให้ลุงโฮอยู่อาศัย แต่ท่านว่า มันเป็นการสิ้นเปลือง จึงขออยู่เป็นบ้านดีกว่า ปัจจุบันจึงใช้เป็นที่ทำงานของประธานาธิบดีและเป็นที่รับรองแขกบ้านแขกเมือง
ห้องอาหาร ห้องทำงาน และห้องนอนค่ะ ท่านนอนเสื่อ และรับประทานอาหารธรรมดามาก
ห้องนั่งเล่น ซึ่งมีรูปเลนนินิ และโรงรถ ท่านขับเปอร์โยต์ค่ะ
บ้านสีเขียวที่เห็นนี้ เป็นบ้านหลังใหม่ สร้างให้ลุงโฮ ทุกวันท่านจะเดินมารับประทานอาหารแล้วเดินกลับ แม้ฝนตกท่านก็เดินมา คนรับใช้จะนำร่มไปให้ ท่านก็ไม่ยอม ท่านกล่าวว่า ต้องมีคนคนหนึ่งเปียก ไม่ฉันก็เธอ ขอให้เป็นฉันก็แล้วกัน ฟังแล้วประทับใจมากเลยนะคะ บิ๊กว่า..ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกทุก ๆ ท่านมีลักษณะเหมือนกันคือ สมถะและอ่อนน้อมมาก ๆ เลยค่ะ
พี่จันทร์บอกว่า ความรู้สึกที่คนเวียดนามมีให้กับลุงโฮนั้น คล้ายคลึงกับความรู้สึกที่คนไทยมีต่อในหลวงค่ะ คือ รัก ผูกพัน เทอดทูนอย่างที่สุด เปรียบเทียบแบบนี้ คณะทัวร์ของเรา get ทันทีเลยค่ะ
ก้มลงมองดูที่เท้า เจออะไรอย่างหนึ่งน่าสนใจมาก มันเป็นรากต้นไม้ เรียกว่า บุดหมัก ดูเหมือนเทวรูป
ใต้ถุนบ้านใหม่ค่ะ ใช้เป็นที่ประชุมกรรมการพรรค รอบ ๆ มีที่ให้เด็กนั่ง บ้านมี 2 ห้องเท่านั้น คือ ห้องทำงาน ที่มีวิทยุ และห้องนอน มีดอกซ่อนกลิ่น
ระหว่างสงคราม รัฐบาลอยากให้ลุงโฮไปอยู่ต่างจังหวัดเพื่อความปลอดภัย แต่ลุงโฮกล่าวว่า ถ้าประชาชนอยู่ที่ไหน เราก็จะอยู่ด้วย รัฐบาลสร้างจึงสร้างบ้านป้องกันระเบิดให้ เพื่อคุ้มภัยให้ลุงโฮ มีหลังคาหนาถึง 80 ซม. และมีหลุมหลบภัย ซึ่งเข้ามาได้จากในบ้าน
พี่จันทร์เริ่มน้ำตาคลอแล้วค่ะ..เมื่อเดินมาถึง "บ้านอสัญกรรม" ลุงโฮจากโลกนี้ไป เมื่ออายุ 79 ปี ตรงกับวันที่ 2 กันยายน 1979 เวลา 9.47 นาที พินัยกรรมของท่าน กล่าวไว้ว่า ข้าพเจ้าไม่เสียดายที่ต้องตาย แต่ข้าพเจ้าเสียดายที่ไม่ได้อยู่ช่วยปลดแอกให้แก่ประเทศ ท่านเน้นให้รัฐบาลและพรรคคอมมิวนิสต์ต้องสามัคคีกัน พลิกความเศร้าโศกของชาวเวียดนามให้เป็นพลังในการต้านข้าศึก และท่านทำนายไว้ว่า เวียดนามจะได้อิสรภาพในปี 1975 แต่จะเสียเลือดเนื้อ ในรูปเราจะมองเข้าไปเห็นเตียงที่ท่านนอนเป็นครั้งสุดท้ายค่ะ
คำสอนของลุงโฮ รู้สึกจะมี 5 ข้อ แต่บิ๊กจดได้ 3 ข้อนะคะ คือ 1. เยาวชนต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งกินเวลา 5 ปี 2. ต้องช่วยพ่อแม่ 3. ต้องสร้างประเทศ แม้ลุงโฮจะถึงแก่อสัญกรรมไปนานแล้ว แต่หลักการของลุงโฮ ก็ยังถูกสั่งสอนถ่ายทอดต่อไปยังเยาวชนเวียดนามอย่างจริงจังและหนักแน่นค่ะ ชาวเวียดนามจึงรักชาติ และรู้สึกผูกพันกับประวัติศาสตร์ชาติตัวเองอย่างมากค่ะ
เรามาเปลี่ยนอารมณ์กับดีกว่านะค้า....
ตอนนี้เราก็กำลังจะเดินออกนอกบริเวณประวัติศาสตร์แล้วค่ะ ก็พบต้นไม้ลูกผสมค่ะ คือด้านล่างเป็นต้นไทร ด้านบนเป็นต้นมะพร้าว!!!!
จริง ๆ มันก็ไม่ได้อัศจรรย์อะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่มันขึ้นใกล้กันมากเท่านั้นเอง พอโตมา ลำต้นมันก็เลยเบียดพันกันอย่างแยกไม่ออก เป็นสีสันให้ออกจากความโศกเศร้าได้ดีค่ะ
เดินมาอีกนิดเดียว เหงื่อยังไม่ทันออก ก็ถึง วัดเจดีย์เสาเดียวค่ะ วัดนี้ปรากฏอยู่บนธนบัตรเวียดนามด้วยนะคะ วัดนี้ถูกเผามา 3 ครั้งแล้ว หลังที่เห็นปัจจุบันเป็นหลังที่ปลูกใหม่เล็กกว่าเดิมครึ่งหนึ่ง
ผู้สร้างคือกษัตริย์ที่สร้างวัดวันเมียว ท่านทรงปรารถนาได้พระโอรส และฝันเห็นเจ้าแม่กวนอิม ต่อมาท่านจึงได้แต่งงานกับหญิงชาวนา และได้พระโอรส ท่านจึงสร้างเจดีย์ถวายเจ้าแม่กวนอิม มีเสาเดียวเหมือนดอกบัว ด้านในประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิมทำด้วยทองแดง มี 10 กร
เดินมาก็หลายชั่วโมง ท้องก็เริ่มร้องเตือนเราให้สงสารเขาหน่อยเถอะ..เอ้า..จัดให้ อาหารเวียดนามในร้านที่คนเวียดนามก็ไปกินกัน เป็นบุฟเฟ่ต์ค่ะ เมดเล่ย์ให้เห็นบรรยากาศทานอาหารเลยนะคะ
อาหารเวียดนามอร่อยทุกมื้อเลยค่ะ อิ่มแปร้กันแบบไม่หือไม่อือเลยล่ะ
พอเราอิ่มแล้ว ก็ขอเดินไปดูบริเวณที่คนเวียดนามเขาทานบุฟเฟต์กัน ดูซิว่า อาหารของชาวเวียดนามจริง ๆ มันจะเหมือนกับอาหารเวียดนามในบ้านเรามั๊ย
โดยรวมก็เหมือนนะคะ แต่โอ๊ะ..นี่สิ ขนมเบื้องญวนค่ะ ญวนทำจริง ๆ นะนี่
อิ่มแล้วคุณชายขอถ่ายรูปที่หน้าร้านอาหารเขาหน่อย
หมดไปครึ่งวันแล้วค่ะ ... ตอนหน้าจะพาไปวัดเนินหยก ซึ่งมีตำนานปรำปรามากมาย แล้วก็ไปช็อปปิ้งกันแล้วค่ะ...ติดตามนะคะ
Create Date : 18 เมษายน 2552 |
|
3 comments |
Last Update : 19 เมษายน 2552 20:22:10 น. |
Counter : 2222 Pageviews. |
|
|
|
ตั้งใจจะบอกว่าิบิ๊กบรรยายได้อารมณ์มากค่ะ โดยเฉพาะอาหารยั่วน้ำลายดีมาก