สวัสดีเพื่อน ๆ ค่ะ ไม่ได้เข้าห้องครัวนานเลย หยุดไปพร้อมกับการปรับปรุงบล็อกของพวกเรา ... ดู ๆ ก็เหมือนเด็กหยุดเรียนกันนะคะ ... หยุดพักการเล่นบล็อกบ้างก็มีความสุขดี ได้กลับมาเล่นก็มีความสุขอีก เอ๊ะยังงัย ...







วันนี้มาพร้อมกับเค้กเบา ๆ ค่ะ เป็นสูตร coffee cake แบบ low fat ที่ผลออกดีทีเดียวค่ะ นุ่มดี ไม่แห้งเหมือนเค้ก low fat ที่เคยลองทำมา เป็นสูตรประจำบ้านของแม่บ้านท่านหนึ่งที่ส่งมาลงในนิตยสาร Taste of Home ปักษ์พิเศษ Healthy Cooking – December/January 2009




ส่วนผสมเค้ก


1. ไข่ขาว 5 ฟอง
(จากไข่ที่ทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง อย่างน้อย 30 นาที)
2. ผงโกโก้ ¼ ถ้วย
3. น้ำร้อน ¼ ถ้วย
4. น้ำตาล 1 ถ้วย
(แบ่งเป็นสองส่วน ¾ ถ้วย และ ¼ ถ้วย)
5. นมสด 1 ถ้วย
6. น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
7. วนิลาสกัด 1 ช้อนชา
*8. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 ½ ถ้วย
*9. แป้งเค้ก 1 ถ้วย
10. ผงฟู (baking powder) 3 ช้อนชา
11. เกลือ ¼ ช้อนชา


* ตามสูตรใช้แป้งสาลีอเนกประสงค์เพียงอย่างเดียว (2 ½ ถ้วย) นะคะ พอดีวันที่เราทำมีแป้งอเนกประสงค์ไม่พอ เลยใช้แป้งเค้กเพิ่ม ผลออกมาก็ดีเหมือนกัน ก็แล้วแต่นะคะ ... คิดว่าไม่มีผลต่างมาก เพราะตามสูตรใช้ผงฟูเยอะพอสมควรอยู่แล้ว




ส่วนผสม chocolate glaze



1. เนยสด 4 ช้อนโต๊ะ หรือ 56 กรัม
(ตามสูตรใช้วิปครีมที่ตีสำเร็จแบบแช่แข็ง 1 ½ ถ้วย)
2. ช็อคโกแลตแท่ง semisweet 4 ออนซ์ หรือ 120 กรัม สับเป็นชิ้นเล็ก ๆ
3. น้ำเชื่อมข้าวโพด (corn syrup) 1 ช้อนโต๊ะ



เครื่องเคียง

1. สตรอเบอร์รี่ หรือ ราสพ์เบอร์รี่ ประมาณ 500 กรัม หรือตามชอบ
2. ไอศครีม รสที่ชอบ วนิลาดีที่สุดค่ะ
3. วิปครีม ตามชอบค่ะ




วิธีทำ


*สูตรนี้ไม่ได้อุ่นเตาอบนะคะ





*พิมพ์ที่เราใช้เป็นลักษณะแบบนี้นะคะ หรือจะใช้พิมพ์สำหรับทำพาวนด์เค้ก fluted tube pan ขนาด 10 นิ้วตามเจ้าของสูตรก็ได้นะคะ (ดูตามรูปเค้กด้านท้ายบล็อก) ทาเนย หรือ cooking spray พักไว้ค่ะ






1. ผสมโกโก้กับน้ำร้อน ตีให้เข้ากัน แล้วพักไว้ให้เย็น






2. ในอ่างผสมขนาดใหญ่ ผสมนมสด น้ำตาล น้ำมันพืช และวนิลา
ตีให้เข้ากันจนน้ำตาลละลาย พักไว้






3. ผสมส่วนผสมแห้ง คือ แป้ง ผงฟู และเกลือ คนให้เข้ากัน






4. ทยอยเทส่วนผสมแห้งในข้อ 3. ลงผสม ในส่วนผสมนมน้ำตาลในข้อ 2.
ตีด้วยตะกร้อมือ จนได้แบทเทอร์เนียนข้น







5. ตีไข่ขาวด้วยความเร็วสูง เมื่อได้ฟองหยาบให้ทยอยใส่น้ำตาลที่เหลือ (1/4 ถ้วย) ลงไปทีละ 1 ช้อนโต๊ะ จนหมด เมื่อไข่ตั้งยอดแข็ง ก็หยุดเครื่อง เราตีค่อนข้างนานไปหน่อยค่ะ มัวแต่ถ่ายรูป แต่พอไปผสมกับแบทเทอร์แล้วก็ใช้ได้ค่ะ เจ้าของสูตรใช้คำว่า stiff peaks form เราตีว่าให้ได้ยอดตั้งกำลังเหมาะกับสูตรนี้ค่ะ






6. ทยอยแบ่งไข่ขาวที่ได้ ผสมลงในแบทเทอร์ ใช้พายยางผสมในลักษณะสับพายยางขึ้นลง แต่เบามือค่ะ ... อย่วน จากประสบการณ์เราพบว่าการคนผสมแบบนี้ จะช่วยให้ไม่มีฟองอากาศเกิดขึ้นมากในเนื้อแบทเทอร์ค่ะ






7. ตักแบทเทอร์ที่ได้ออกมา 1 ½ ถ้วย (ตามสูตรบอก 2 ถ้วย เราว่ามากไปค่ะ) ผสมกับโกโก้ละลาย ที่เตรียมไว้ในข้อ 1 คนให้เข้ากันด้วยพายยางในลักษณะสับพายยางขึ้นลงเช่นเดิม เบามือ ค่ะ





8. ตักแบทเทอร์ลงพิมพ์สลับสีกัน จนเต็มหมดแบทเทอร์ ใช้ทัพพีขนาดกลาง 2 อัน ขนาดเท่ากันจะดีค่ะ อันหนึ่งสำหรับแบทเทอร์สีขาว อีกอันสำหรับสีโกโก้


เมื่อหมดแบทเทอร์ใช้มีดกวนวนลาย 3-4 สโตรค - อย่าวนหลายรอบมาก
นะคะ เดี๋ยวแบทเทอร์จะเป็นสีโกโก้ไปหมด เราไม่ได้กวนหลายรอบแต่ทำ
แบทเทอร์ส่วนที่เป็นโก้โก้มากไปหน่อยค่ะ สีเลยเป็นโกโก้ซะส่วนใหญ่






9. อบเค้กที่อุณหภูมิ 350 F หรือ 180 C ประมาณ 30 – 35 นาที (แล้วแต่ชนิดของพิมพ์หรือเตาอบที่ใช้ด้วย) ... พอสุกพักไว้ให้เย็นบนตะแกรง แล้วเคาะออกจากพิมพ์ค่ะ ... มีหน้านูนแตกด้วยค่ะ เราเฉือนออกตอนเอาออกจากพิมพ์ อิอิ





วิธีทำ chocolate glaze (วันนี้เราไม่ได้ทำค่ะ)


ตามเจ้าของสูตร เขานำวิปครีมที่ตีสำเร็จรูป 1 ½ ถ้วย กับ ช็อคโกแลตสับ ละลายในไมโครเวฟแล้วราดบนเค้ก ตามรูปนะคะ







แต่เรามีสูตร chocolate glaze ในดวงใจอีกแบบค่ะ ทำด้วยการนำส่วนผสมที่ให้ข้างต้นทั้งหมด ละลายด้วยวิธีการตุ๋น double boiled ด้วยไฟอ่อนไปหากลาง แล้วนำไปราดบนเค้กทั้งที่ยังอุ่น ๆ







วันนี้เราไม่ได้ทำ glaze ค่ะ ชิมดู อร่อยในตัวแล้ว ก็เลยไม่ทำค่ะ







อีกอย่างเห็นรูปแบบพิมพ์แล้ว อยากตกแต่งด้วยการวางสตรอเบอร์รี่ด้านบนมากกว่า ... เราตัดส่วนนูนตรงกลางออกก่อนวางสตรอเบอร์รี่ค่ะ






ราดสตรอเบอร์รี่ด้วย red currant jelly ละลายในในไมโครเวฟแล้วใช้แปรงชุบทาบนสตรอเบอร์รี่ เราว่า red currant jelly ไม่หวานจนเกินไปดี มีรสออกเปรี้ยวนิด ๆ ด้วย






ตัดออกมาชิ้นใหญ่เลยค่ะ เค้กลักษณะนี้ทานกับไอศครีมจะดีค่ะ ....







ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่แวะมานะคะ แล้วเจอกันอีกในบล็อกต่อไปค่ะ ....