เมษายน 2555

2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
ทรายสิเน่หา (...๓...)
ตอนที่ ๓

พระราชวังมฤคทายวันหรือชื่อโดยเต็มคือพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน เป็นพระตำหนักที่ประทับริมทะเล ลักษณะของพระตำหนักนั้นเป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยผสมยุโรป ตัวพระตำหนักเป็นอาคารไม้ใต้ถุนสูง สร้างด้วยไม้สักทองทั้งพระตำหนัก และยังมีแนวระเบียงยื่นทอดยาวลงสู่ทะเลกว้างเป็นที่สำหรับสรงน้ำ พระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่ในบริเวณค่ายพระรามหก

วาลิกาอ่านจากใบสูจิบัตรเกี่ยวกับพระราชวังมฤคทายวัน ดวงตากลมฉายด้วยความตื่นเต้นระคนตื่นตากับพระราชวังมฤคทายวันตรงหน้า จากที่เธอเห็นนั้น ตัวพระราชวังใช้โทนสีเหลืองนวลอ่อน สีหลังคาเป็นสีแดงสดแต่สีนั้นซีดจางเนื่องจากกาลเวลา ส่วนที่เป็นหน้าต่างของพระตำหนักนั้นทาสีฟ้าสดใส เพียงแค่เห็นจากตรงนี้เธอก็รู้สึกได้ถึงความตระการตา

“ยืนจ้องแบบนี้ เข้าไปดูใกล้ ๆ ดีกว่า” เสียงภานุกรเรียกสติของวาลิกาที่กำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์ให้กลับมา

“อืม” วาลิการับคำ เดินตามภานุกรไปยังทางเข้า

ภานุกรยื่นบัตรเข้าชมพระราชวังให้กับคนตรวจบัตรตรงทางเข้า ชายหนุ่มเดินนำเธออย่างคนรู้ทาง เขาพาเธอเดินผ่านใต้ถุนสูงของพระตำหนักพร้อมบอกกับเธอว่าจะต้องขึ้นในทางที่เจ้าหน้าที่จัดไว้ให้

เมื่อมาถึงจุดทางขึ้น เจ้าหน้าที่สาวคนสวยในชุดไทยประยุกต์กล่าวอธิบายให้กลุ่มนักท่องเที่ยวซึ่งรวมทั้งวาลิกาและภานุกรได้รับทราบเกี่ยวกับการวางตัวในการเข้าชม อันดับแรกต้องถอดรองเท้าซึ่งที่นี่มีบริการแจกถุงพลาสติกไว้สำหรับใส่รองเท้า แต่สำหรับคนที่อยากมีของที่ระลึกติดไม้ติดมือไปก็มีถุงผ้าดิบสำหรับใส่รองเท้า อันดับสองสำหรับคนที่แต่งตัวไม่เรียบร้อยอาทิ เช่น ใส่กางเกงกระโปรงเหนือเข่าจะต้องสวมผ้าถุงโดยใช้บัตรประชาชนเป็นตัวแลก อันดับสามจะมีห้องบางส่วนที่ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปจะมีป้ายแจ้งเตือนให้ทราบไว้ด้านบนอยู่แล้ว และอันดับสุดท้ายคือห้ามส่งเสียงดังบนตัวพระตำหนักเด็ดขาด

ที่จริงกฎข้อบังคับทั้งหลายเหล่านี้ยังมีมากมายอีกหลายข้อ วาลิกาเห็นมันอยู่ที่ป้ายด้านหน้าตอนภานุกรซื้อบัตรเข้าชม

เจ้าหน้าที่สาวยังย้ำอีกครั้งว่าที่นี่คือพระตำหนักส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์จะต้องรักษากิริยาท่าทางให้เหมาะสม ห้ามส่งเสียงดังเอ็ดตะโรเด็ดขาด

นักท่องเที่ยวทุกคนพยักหน้ารับรู้ถึงกฎข้อบังคับ เจ้าหน้าที่สาวจึงเปิดทางให้กับนักท่องเที่ยวเพื่อขึ้นชมพระตำหนัก วาลิกาถอดรองเท้าแล้วเดินเข้าไปรับถุงพลาสติก เธอหันหลังมองหาภานุกร

ภานุกรเดินเข้ามาหาเธอพร้อมยืนถุงผ้าดิบที่ด้านหน้าสกรีนรูปกวางสองตัว เธอคิดว่าน่าจะเป็นแม่กวางกับลูกกวาง เพราะกวางนั้นไม่มีเขาและเป็นตัวใหญ่หนึ่งตัว ตัวเล็กหนึ่งตัว

“เอารองเท้าใส่ถุงพลาสติกก่อนแล้วค่อยใส่ไปในถุงผ้าดิบ” เขาบอกว่าถุงผ้าดิบนี้เขาให้เธอ

“ขอบคุณ” เธอกล่าวขอบคุณเขาเบา ๆ สำหรับของที่ระลึกชิ้นแรกที่มาหัวหินของเธอ

รองเท้าสองคู่จึงถูกใส่อยู่ในถุงผ้าดิบที่มีถุงพลาสติกรองรับไว้ชั้นหนึ่ง ชายหนุ่มแย่งมันจากมือวาลิกาไปถือเสียเอง เมื่อวาลิกาเดินขึ้นผ่านบันไดวนมานั้น หูของเธอได้ยินเสียงดนตรีไทยลอยละล่องปนมากับสายลมของท้องทะเล

“เสียงดนตรีไทย ?”

“กลุ่มดนตรีไทยของพวกเด็ก ๆ น่ะคุณ พวกเขาจะมาเล่นเพื่อเพิ่มบรรยากาศในการชมพระราชวัง” ภานุกรอธิบายให้กับหญิงสาวฟัง

ภานุกรยังอธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชวังมฤคทายวันประหนึ่งตัวเองเป็นไกด์ประจำของพระราชวังมฤคทายวันให้กับเธอฟังอีกมากมาย มีห้องมากมายบนตัวพระตำหนัก เช่น ห้องโถงใหญ่ ห้องบรรทม เป็นต้น แต่เห็นที่จะโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของที่แห่งนี้คงหนีไม่พ้นระเบียงที่ทอดยาวลงสู่ทะเล ซึ่งส่วนนี้จะไม่สามารถเดินผ่านได้ มีเชือกผูกพร้อมป้ายแขวนห้ามเอาไว้ วาลิกาจึงได้แต่ทอดสายตามองทางเดินบนระเบียงยาวเท่านั้น ทุกอย่างล้วนเป็นของโบราณทั้งนั้นแม้กระทั่งสวิตช์ไฟ รูปร่างสวิตช์ไฟแบบโบราณนี้มีลักษณะกลมคล้ายกริ่งมีตัวเปิดปิดแบบขึ้นลง เธอคิดว่าเป็นเอกลักษณ์ดี

สงบดี วาลิกาคิด

รู้สึกว่าจิตใจอันสับสนวุ่นวายราวกับคลื่นพายุโหมกระหน่ำโรมแรงของเธอ บัดนี้กลับสงบลงดั่งพื้นน้ำนิ่งไร้สายลมจับต้อง

วาลิกาสูดลมหายใจลึกเข้าปอด พยายามเก็บภาพแสนสวยงามลงในความทรงจำ

ความทรงจำอันสวยงามที่มีเพียงตอนนี้เท่านั้นที่จะได้เห็นมัน เพราะหลังจากที่ออกไปจากที่นี่แล้ว เธอจะต้องหวนกลับคืนสู่ความจริงดั่งฝันร้ายอีกครั้ง

“คุณจะเดินไปดูเรือนท่านเจ้าพระยาฯ ตรงโน้นหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามขณะกำลังเดินออกจากตัวพระตำหนัก

วาลิกาส่ายหน้า ตอนนี้เธอรู้สึกเหนื่อยและกระหายน้ำ “ฉันอยากกินน้ำ”

“น้ำเหรอ มีร้านขายของตรงที่จอดรถ งั้นกลับกันเลยไหม ?” ภานุกรสังเกตอาการของวาลิกาที่ดูเหมือนจะซึมเศร้ามากกว่าเดิมยิ่งกว่าก่อนมาเสียอีก

“เอาน้ำแดงใส่น้ำแข็งค่ะป้า” วาลิกาสั่งป้าร้านขายน้ำ หันไปถามภานุกรว่าจะเอาน้ำอะไร ซึ่งชายหนุ่มบอกว่าขอแค่น้ำเปล่า

“หา กินน้ำอัดลมไม่ได้” เธอทวนคำพูดของชายหนุ่มที่บอกกับเธอว่าตัวเองกินน้ำอัดลมไม่ได้ พิลึกคนอะไรกินน้ำอัดลมไม่ได้ เกิดสมัยไหนกันแน่พ่อคุณ

“มับแสบในปาก ผมไม่ค่อยชอบ” เขาบอกเหตุผลให้กับเธอ ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วที่เขาไม่ชอบน้ำอัดลมกินแล้วมันซ่าส์ในปากรู้สึกแปลกพิลึก เขาเลยไม่ชอบ

“แปลกมาก”

“ผมว่าดีออกจะตายกินน้ำเปล่า ไม่เหมือนใครกินน้ำแดง จนสีน้ำมันติดที่ปากอย่างกับนางยักษ์”

“หา” วาลิกาลูบปากตัวเอง หันไปส่องหน้าตัวเองกับกระจกรถข้างตัว

“นี่ คุณอย่าไปส่องรถของคนอื่นสิ ที่ผมพูดเมื่อกี้ล้อเล่น” ภานุกรหัวเราะกับท่าทางทำอะไรไม่ถูกของคนถูกทักว่าเป็นนางยักษ์

“คุณ !?” คนโดนหลอกหันขวับส่งสายตาคาดโทษให้กับคนหลอก

“เชื่อคนง่ายอย่างนี้ ระวังโดนหลอกนะ” เขายังอดขำกับท่าทางของหญิงสาวไม่หาย โดยหารู้ไม่ว่าคำพูดของเขานั้น เข้าไปกระทบจิตใจของวาลิกาเข้าอย่างจัง

ใช่สิ เธอเป็นคนหลอกง่าย เป็นผู้หญิงโง่ที่โดนน้องสาวและคนรักตลบหลัง เพราะเชื่อใจ! ไว้ใจ! ถึงโดนหลอกต้มจนเปื่อย จนตรอกอย่างนี้

ความเงียบสงัดโรยตัวระหว่างคนทั้งสอง

ไม่มีเสียงค้านจากหญิงสาว ทำให้อมยิ้มขำของภานุกรหุบยิ้มลง มองหน้าของสีหน้าของวาลิกาที่แสดงเจ็บปวดออกมาอย่างชัดเจน ดวงตากลมโตสั่นระริกหากไม่ได้สั่นจากความกลัวเหมือนที่เขาเคยเห็น แต่สั่นเครือคล้ายคนจะร้องไห้

“คุณ !?” ภานุกรตกใจกับอาการคล้ายคนจะร้องไห้ของวาลิกา “เป็นอะไร ? ผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า?”

วาลิกาส่ายหน้าไม่ตอบคำถามของชายหนุ่ม

จากนั้นตลอดทางที่กลับมา วาลิกาไม่ได้พูดอะไรอีกเลย เธอนั่งเบนหน้าหนีมองไปแต่ข้างนอกตัวรถ พยายามรักษาสีหน้าให้เรียบเฉยมากที่สุด น้ำตาที่จะไหลออกมาได้ทุกเมื่อ หญิงสาวพยายามกลั้นไว้สุดฤทธิ์ ไม่ให้น้ำตาออกมาให้ใครเห็น ไม่ให้ใครเห็นว่าเธออ่อนแอ

เธอจะต้องเข้มแข็ง ทางข้างหน้านั้นมีอะไรที่โหดร้ายมากกว่านี้รออยู่

หญิงสาวไม่พูด ภานุกรจึงได้แต่เหลือบมองวาลิกาเป็นระยะขณะขับรถกลับ

เธอไม่ตอบคำถามเขานั่นเป็นสิทธิ์ของเธอ

เมื่อเธอไม่บอก เขาจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้


แฟ้มเอกสารบางทิ้งตัวลงบนโต๊ะทำงานอย่างแผ่วเบา เรียกความสนใจจากชายวัยกลางคนที่ก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารตรงหน้าอยู่

“นี่อะไร ภานุกร ?” ชายวัยกลางคนเงยหน้าเอ่ยถามภานุกรผู้เข้ามาส่งแฟ้มเอกสารทั้งที่มันไม่ใช่หน้าที่ของชายหนุ่มเลย

“ผมควรต้องถามคุณลุงมากกว่า ว่ามันคืออะไร” ภานุกรเลื่อนแฟ้มเอกสารให้กับปณตผู้มีศักดิ์เป็นลุงเขา

ปณตเปิดแฟ้มอ่านดูรายละเอียดข้างใน เอกสารหลายแผ่นด้านในนั้นเป็นการแจงละเอียดเกี่ยวกับรายรับและร่ายจ่ายในช่วงเวลาที่ผ่านมาซึ่งเขาเป็นคนเซ็นอนุมัติ บนกระดาษเอกสารมีวงกลมสีแดงมาร์คไว้ทั่ว พร้อมทั้งแก้ไขจำนวนตัวเลขทั้งหมดไว้บนด้านวงกลม

“รอยแดงนี่หมายความว่าอะไร?” ปณตถามอย่างคนไม่เข้าใจ

“คุณลุงไม่รู้ ?” เสียงภานุกรตวัดเสียงสูงถาม คนเป็นลุงพยักหน้าเล็กน้อย ภานุกรมองปณตอย่างเคลือบแคลงสงสัยติดใจอะไรบางอย่าง แต่เมื่อค้นหาความจริงจากคนเป็นลุงไม่ได้จึงอธิบายเกี่ยวกับเอกสารฉบับนี้ให้ปณตฟัง “รายรับรายจ่ายอันนี้เป็นของร้านค้าของเรา ผมพบว่าราคาขายของมันไม่ตรงกับความเป็นจริง ราคาขายที่แจ้งมาในนี้มันไม่ตรงกับราคาขายข้างล่าง”

“พวกพนักงานมันกล้าตั้งราคาโก่งขนาดนี้เชียวหรือ” ปณตเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
“ใช่ ผมเลยมาถามคุณลงว่ารู้เรื่องนี้หรือเปล่า” คิ้วหนาของภานุกรขมวดเข้าหากันราวจะเค้นความจริง เพราะเขารู้นิสัยของคนเป็นลุงดี

ปณต เป็นคนไม่รู้จักพอ

“จะไปรู้ได้ไง ฉันก็ทำตามหน้าที่ ตรวจดูเอกสารก็เห็นว่าราคามันปกติดี ใครจะไปรู้ว่าข้างล่างมันโก่งราคาขนาดนี้” ปณตตอบ

“ก็ดี ผมจะได้เบาใจขึ้นมาหน่อย เพราะนี่ถึงจะเป็นการโกงแบบเล็กๆน้อย แต่เมื่อโลภจะคิดโกงแล้วผมว่ามันคงไม่หยุดแค่นี้แน่ เรื่องนี้ผมจะจัดการเอง” ภานุกรบอกกับปณตว่าเขาจะไล่พนักงานที่รู้เห็นกับเรื่องนี้ออกให้หมด

“จะถอนวัชพืชมันต้องถอนให้ถึงรากถึงโคน คุณลุงคงไม่ว่าอะไรผมที่ไล่พนักงานออกไปตั้งหลายคน” เขาย้ำประโยคแรกที่ตีความหมายได้สองแง่สองง่ามให้กับคนเป็นลุง ซึ่งปณตก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเป็นสิทธิ์ของภานุกรอยู่แล้ว

สิทธิ์ของผู้บริหารสูงสุดของคอนโดเทลคุปตาภาแห่งนี้ คนเป็นกรรมการบริหารอย่างปณตย่อมไม่สามารถค้านได้

เมื่อลับหลังภานุกร แววตาเรียบเฉยของปณตแปรเปลี่ยนเป็นแววตาคับแค้นอาฆาตชายหนุ่มทันที รู้ตัวว่าโดนชายหนุ่มหลอกถอนหงอกไปหลายเส้น

“คนอย่างแกไม่คู่ควรกับคอนโดเทลแห่งนี้หรอก”

ภานุกรออกมาจากห้องทำงานของปณต สีหน้าของเขาเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม การโก่งราคาข้าวของทั้งหมดนี้ พนักงานพวกนั้นมีหรือจะตั้งราคาขายเกินกว่าความเป็นจริงได้เกือบเท่าตัว ถ้าไม่มีคนหนุนหลังอยู่

คนที่จะมีอำนาจในการสั่งการแบบนี้ได้ในที่นี้ก็มีแค่เขากับปณตเท่านั้น

“อ้าว พี่ภานุมาหาพ่อหรอ” เสียงหวานกระเซ้าตามแบบฉบับปริยาภัทรทักขึ้นพร้อมวงแขนบางคว้าเข้าที่ต้นแขนเขา

“ภัทร บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าทำแบบนี้” ภานุกรมองแขนบางที่คล้องต้นแขนเขาอยู่

“ถือตัวจริง” ถึงปริยาภัทรจะพูดอย่างนั้นแต่ก็ไม่ยอมคลายวงแขน

“จะเข้าไปหาคุณลุงไม่ใช่หรอ เห็นท่านบอกว่าจะออกไปข้างนอกนี่” คำพูดของเขาทำให้ปริยาภัทรยอมคลายวงแขนออกทันที

“ตายแล้ว ลืมไปเลย ภัทรกะว่าจะมาขอรถพ่อออกไปขับข้างนอก พี่ภานุสนใจไปกับภัทรไหม?” ปริยาภัทรถามเสียงหวาน

คำตอบที่ได้จากภานุกร คือ ไม่ ปริยาภัทรชักสีหน้าไม่ได้ดั่งใจให้ภานุกรเห็น ชายหนุ่มไม่มีท่าทีเดือดร้อนอันใด หญิงสาวผู้มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องจึงโมโหงอนใส่ชายหนุ่มเดินลงส้นเท้าหนักเข้าไปในห้องของปณต
ภานุกรถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย

เสียงปิดประตูปึงปังพร้อมกับเสียงเดินกระแทกส้นเท้าลงพื้นบ่งบอกถึงนิสัยของผู้มาใหม่ได้เป็นอย่างดีว่าเป็นคนระงับอารมณ์ไม่เป็น ยิ่งด้วยเห็นสีหน้าแล้วนิสัยทุกอย่างที่คาดไว้ดูมันจะชัดเจนยิ่งกว่าเดิม

“โมโหอะไรมาอีก ยัยภัทร” ปณตถามลูกสาว

“ก็พี่ภานุน่ะสิพ่อ” ภานุกรไม่เคยมีท่าทีแสดงว่าสนใจในตัวเธอแม้แต่น้อย ไม่ว่าเธอจะใช้วิธีอะไร หว่านล้อมสารพัด ชายหนุ่มตรงหน้าก็ไม่เคยเหลียวมองเธอในฐานะอื่น

นอกจากน้องสาวเท่านั้น !

“พ่อบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปยุ่งกับมัน” ปณตกดเสียงต่ำลง

“ภัทรบอกกี่ครั้งแล้วให้พ่อเลิกคิดเรื่องนี้ซะ มันไม่ดียังไงถ้าเกิดภัทรแต่งงานกับพี่ภานุทรัพย์สินก็ไม่มีวันออกไปจากคุปตาภาวงศ์ แถมฝ่ายโน้นเขาก็มีเงินทองล้นหลาม พ่อเองก็จะได้เสวยสุขบนกองเงินกองทองที่ใช้ทั้งชาติก็ไม่มีวันหมด” ปริยาภัทรคลี่ยิ้มหวานให้กับความฝันของตัวเอง เธอหวังไว้อย่างนั้นเสมอ

หวังมาหลายปีจนเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว !

“ยัยภัทร !” ปณตตวาดคนเป็นลูกสาวด้วยความโมโห

“อย่ามาทำหน้าดุใส่ภัทรอย่างนั้น พ่อเกลียดพี่ภานุ แต่ภัทรรักเขา” ปริยาภัทรเองก็ขึ้นเสียงใส่คนเป็นพ่อเช่นกัน ปณตกัดฟันอย่างโมโหกับความไม่ได้ดั่งใจของตัวเอง เขาเลี้ยงลูกคนนี้แบบตามใจเกินไป...

“แกจะไหนไปก็ไป” ปณตตัดบท ไล่ปริยาภัทรออกไปจากห้อง เพราะรู้ดีว่าขืนให้ลูกสาวแสนดีของเขาคนนี้อยู่ในห้องต่อไป ห้องทำงานนี้จะต้องลุกเป็นไฟอย่างแน่นอน

“เอากุญแจรถพ่อมาให้ภัทรก่อน ภัทรจะออกไปเที่ยวข้างนอก” ปริยาภัทรว่าพร้อมแบมือขอกุญแจรถของพ่อเธอ

“แกจะออกไปไหนอีก พ่อไม่ให้ไป ปริยาภัทรแกก็รู้ดีว่าช่วงเวลานี้มันเป็นช่วงเวลาอะไร แกจะสร้างเรื่องไม่ได้อีกแล้วนะ ขืนเกิดเรื่องอีกล่ะ คราวนี้แกอดได้มรดกส่วนของแกแน่ พ่อขี้เกียจช่วยปิดเรื่องยุ่งวุ่นวายที่แกก่อให้ปวดหัวได้ไม่วายเว้นวัน”

ปริยาภัทรเม้มปากอย่างขัดใจ

“อะไรขอแค่นี้ก็ไม่ให้ อยู่ที่นี่อย่างกับติดเกาะไม่มีอะไรให้สนุกเลย เอามา” เธอบังคับให้ปณตเอากุญแจรถออกมา

“พ่อไม่ให้แก”

“เชอะ ! ไม่ให้ก็ไม่ให้ ภัทรไปขอพี่ภานุก็ได้” พอปริยาภัทรเอ่ยชื่อภานุกรเลยทำให้ปณตเลือดขึ้นหน้าอย่างเหลืออด

เขาห้ามกี่ครั้งลูกสาวคนนี้ก็ไม่เคยเชื่อฟัง

“ยัยภัทร ! พ่อบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าไปยุ่งกับภานุกร พ่อไม่ชอบ แกเองก็รู้ อย่าไปยุ่งกับมันครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่พ่อบอกกับแก ถ้าขืนแกยังไม่เชื่อฟังพ่ออีกบัตรเครดิต พ่อจะสั่งระงับให้หมด ดูซิว่าแกจะทำยังไงต่อ” ปณตขู่ รู้ดีว่าเงินเป็นสิ่งที่ปริยาภัทรขาดไม่ได้

ทำไมพ่อเธอถึงไม่ชอบภานุกรนัก

เธอรักเขา อยากได้ทั้งหมดที่เขามี เขาเป็น ปริยาภัทรนึกถึงแผนการที่เธอเคยคิดรองรับไว้ว่าจะทำ หากทุกอย่างที่เธอลงทุนลงแรงไม่สัมฤทธิ์ผล ซึ่งตอนนี้มันคงได้เวลาที่เธอต้องงัดมันขึ้นมาใช้เสียแล้ว

เมื่อพี่ภานุไม่ยอมเป็นของเธอ เธอก็จะทำให้เขาเป็นของเธอให้จงได้!

“ก็ได้ ไม่ปงไม่ไปมันแล้วข้างนอก เพราะพ่อคนเดียวเลยที่ทำให้ภัทรตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด พ่อไม่ชอบพี่ภานุนักใช่ไหม ได้ ! ปริยาภัทรคนนี้เองที่จะทำให้พ่อต้องยอมรับพี่ภานุในฐานะสามีของภัทรเอง !”

“ยัยภัทร !” เสียงเรียกจากปณตหาทำให้ลูกสาวหันหลังกลับมาไม่ ตระหนกตกใจกับสิ้นคิดของปริยาภัทร

ไม่รู้ว่าลูกไม่รักดีคนนี้ของเขาจะสร้างความปวดหัวให้เขาอีกมากเท่าไร


เสียงคลื่นกระทบเข้าฝั่งเป็นระยะเป็นจังหวะ ทำให้คนนั่งอยู่ริมทะเลต้องตกอยู่ในห้วงภวังค์ความคิด ภานุกรเงยหน้าขึ้นมองอาคารตึกคอนโดเทล สายตาเขาหยุดมองบริเวณห้องพักห้องหนึ่ง

ห้องหมายเลข 606

หลังจากกลับพระราชวังมฤคทายวันเขาก็ไม่ได้พบกับวาลิกาอีกเลย ดูเหมือนเธอจงใจหลบหน้าเขา และเขาเองก็ไม่มีเวลาว่างพอที่จะดักรอเธอ มีเรื่องมากมายที่เขาต้องจัดการสะสาง ภานุกรสังหรณ์ใจชอบกลอย่างบอกไม่ถูกเกี่ยวกับเรื่องของลุงปณต

ช่วงนี้ต่างเป็นช่วงที่ภานุกร ปณต และทุกคนในตระกูลคุปตาภาวงศ์ต้องระวังเนื้อระวังตัวเป็นพิเศษ จะสร้างเรื่องเสียชื่อให้กับตัวเองไม่ได้เด็ดขาด

ตามคำสั่งของผู้อาวุโสสูงสุดของคุปตาภาวงศ์โดยมีส่วนแบ่งมรดกเป็นเครื่องต่อรอง

คุณตาของเขา ท่านได้ทำการแบ่งสรรมรดกให้ลูกหลานในตระกูลคุปตาภาวงศ์อย่างเที่ยงธรรม หากแต่มีเงื่อนไขอันเป็นเชิงดัดนิสัยลูกหลานที่ไม่ได้ความบางส่วนให้อยู่ในร่องในรอย

นั่น คือ ระยะเวลาตลอดหนึ่งปีคนในตระกูลคุปตาภาวงศ์จะต้องไม่สร้างเสียชื่อให้กับตระกูลแม้แต่เพียงเรื่องเดียว

สาเหตุที่ปณตไม่ชอบเขา เนื่องจากเขาไม่ใช่คนของคุปตาภาวงศ์อย่างแท้จริง เป็นแค่หลานนอกซึ่งแม่ของเขาเป็นน้องสาวของปณตที่ไปแต่งงานกับพ่อของเขา

ตามความจริงภานุกรไม่ได้หวังเงินทองอะไรจากคุปตาภาวงศ์ ที่เขาต้องการคือการได้ถือสิทธิ์เป็นเจ้าของคอนโดเทลคุปตาภาอย่างเด็ดขาด

คอนโดเทลแห่งนี้เป็นสิ่งที่พ่อและแม่ของเขาสร้างมากับมือ แต่เนื่องจากกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้นเป็นของคุณตา หากเขาต้องการคอนโดเทลแห่งนี้จะต้องเข้าร่วมเงื่อนไขการแบ่งมรดกของตระกูลคุปตาภาวงศ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่แห่งนี้เป็นที่ความทรงจำของพ่อและแม่

เขาจะไม่มีทางยอมเสียมันให้กับคนอื่นเด็ดขาด โดยเฉพาะลุงปณต

“คุณภานุกร น้ำส้มคั้นค่ะ” พนักงานเสิร์ฟของคอนโดเทลยกบริการน้ำส้มมาให้ชายหนุ่ม ภานุกรกล่าวขอบใจพนักงานเสิร์ฟ ยกน้ำส้มขึ้นมาดื่ม แล้วนั่งชมบรรยากาศของชายทะเล

ภาพของวาลิกาแว่บเข้ามาให้ความคิดของเขาอีกครั้ง
วาลิกาเหมือนแก้วใสเปราะบาง เพียงเขาแตะนิดเดียวมันก็ร้าวเสียแล้ว ไม่รู้ว่าวันนั้นเขาไปพูดอะไรไม่เข้าหูเธอ เธอจึงแสดงท่าทางอย่างนั้นออกมา

เจ็บช้ำอะไรกันมากันแน่ วาลิกา ?

รอบตัววาลิกาเหมือนมีกำแพงสูงกั้นปิดตายไม่มีช่องว่างกว้างพอสำหรับให้เขาแทรกตัวไป ไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นที่เข้ามาในชีวิตเขาซึ่งเข้ามาเพียงหวังหลอกเอาสมบัติพัสถานของเขาเท่านั้น อาจจะเป็นเพราะเธอไม่รู้ว่าเขาเป็นใครจึงไม่สนใจ

เขาเชื่อใจเธอรู้สึกว่าเธอไม่เหมือนกับคนอื่น

เธอไม่เหมือนกับผู้หญิงที่เขาเคยพบเจออย่างแน่นอน

เธอ...?

“หือ ?”

ภานุกรขยี้ตาเมื่อเขามองภาพตรงหน้าไม่ค่อนชัดเจน พร่ามัวอย่างไรชอบกล เขาตบหัวของตัวเองเมื่อรู้สึกว่ามันมึนตื้อขึ้นมา รู้สึกว่าหนังตาของเขาหนักอึ้งลืมตาตื่นไม่ไหว

อาการแบบนี้

เหมือนคนง่วงนอน? ทั้งที่มันยังไม่ถึงเวลานอน

เขาถูกวางยา !

ภานุกรคิดได้เช่นนั้น ความรู้สึกเฮือกสุดท้ายเขาได้ยินเสียงพนักงานสองสามคนคุยกันเอ่ยชื่อบุคคลที่เขาคุ้นเคย

ปริยาภัทร !?



( โปรดติดตามตอนต่อไป )






Create Date : 01 เมษายน 2555
Last Update : 1 เมษายน 2555 18:34:57 น.
Counter : 365 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

S.kang
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]