Welcome to blogGang Tanasak
Group Blog
 
 
กันยายน 2551
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
13 กันยายน 2551
 
All Blogs
 

คำถามว่าเป็นจริงหรือไม่ กับพฤติกรรมคนนี้

เป็นพฤติกรรมของผู้จงรักภักดีที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง แต่สมควรจะกระทำตามหรือไม่ เป็นเรื่องที่ทุกคนพึงใช้วิจารณญาณของตนเอง เพราะขึ้นอยู่กับมโนสำนึก และสำนึกใฝ่ดี ใฝ่ต่ำของแต่ละคนว่ามีมากน้อยแตกต่างกันอย่างไร
เริ่มจาก....
1. ขายเสื้อ “เราจะสู้เพื่อในหลวง” เพื่อเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้กับทักษิณ ชินวัตร ที่บังอาจถอดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ออกจากช่อง 9 อ.ส.ม.ท. แหล่งข่าวจากโรงงานผลิตเสื้อ “เราจะสู้เพื่อในหลวง” เปิดเผยว่าสนธิ สั่งผลิตเสื้อจากหลายโรงงาน แต่รวมกันแล้วไม่น้อยกว่า 1 ล้านตัว ราคาต้นทุนแขนสั้น 40 บาท แขนยาว 60 บาท ราคาขายแขนสั้น 150 บาท แขนยาว 200 บาท ประมาณการกันว่ารายได้จากการขายเสื้อ “เราจะสู้เพื่อในหลวง” ไม่น่าจะน้อยกว่า 200 ล้านบาท
ขณะนี้เงินจำนวนนี้ ไปนอนอยู่ในธนาคารแห่งหนึ่งในฮ่องกงแล้ว สนธิ ผลิตเสื้อ “เราจะสู้เพื่อในหลวง” ออกมาขาย เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ การแตกความสามัคคีของคนในชาติ ทั้งๆ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์ให้คนไทยรู้รักสามัคคี และไม่เผชิญหน้ากัน นี่เป็นการอ้างความจงรักภักดีที่น่าประหลาดใจ
แต่ที่น่าประหลาดกว่านี้ก็คือ รายได้จากการขายเสื้อ “เราจะสู้เพื่อในหลวง” มีการทักท้วงกันมากว่า มีการแอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ผลิตสินค้าออกจำหน่าย เข้าข่ายหลอกลวงผู้ซื้อ ว่าเป็นการสมทบทุน “สู้เพื่อในหลวง” แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นการทำธุรกิจ หาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ทั้งไม่ได้ขอพระบรมราชานุญาต ทั้งไม่ได้นำเงินทูลเกล้าถวายฯ ทั้งไม่ได้ตอบคำถามประชาชนว่าเงินที่ได้มานำไปใช้จ่ายอย่างไร จากการแอบอ้างสถาบัน บางคนเปรียบกับเสื้อคุณทองแดง ที่มีการผลิตขึ้นมาขายโดยหน่วยงานบางหน่วยงาน ยังต้องขอพระบรมราชานุญาต และรายได้ที่เกิดขึ้น ก็นำขึ้นทูลเกล้าถวาย แต่สนธิ กลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อคำถาม คำทักท้วง และคำทวงถาม เรื่องเงินที่ได้จากการขายเสื้อ เหมือนกับว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เพราะเงินอุดหู
เปิดประเด็นโจมตี ทักษิณ ชินวัตร ไม่เคารพสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการทำตัวเสมอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กรณีทำบุญประเทศไทย ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ วัดพระแก้ว ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด และหลงเชื่อว่า นายกฯทักษิณ บังอาจทำตัวเสมอพระเจ้าอยู่หัว ทั้งๆที่เป็นการกล่าวหาใส่ร้าย โดยปราศจากข้อเท็จจริง และเป็นการกล่าวหาโดยที่ไม่รู้ระเบียบประเพณี หรือรู้แล้วแต่แสร้างทำเป็นไม่รู้ ปิดบังข้อมูลที่เป็นจริงไว้ นำเสนอข้อมูลที่เป็นเท็จ เพื่อให้ประชาชนคนไทย เกลียดชังเข้าใจผิด ต่อนายกฯทักษิณ การแสร้งโง่และโกหกของสนธิ ในเรื่องนี้ ทำให้เดือดร้อนกันไปหมด และในที่สุดต้องเดือดร้อนไปถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลังจากที่สำนักราชเลขาธิการ และสำนักพระราชวัง จัดทำหนังสือชี้แจงแล้ว แต่สนธิ ก็ยังคงนำเสนอข้อมูลเท็จ ที่คิดขึ้นมาเอง จินตนาการเอง ไม่ยอมรับฟังคำชี้แจงของสำนักพระราชวัง กระทั่งความเข้าใจผิดของประชาชนที่มีต่อนายกฯทักษิณ ลุกลามไปจนทั่วประเทศ
สุดท้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2548 ว่า “ไม่ผิด” จึงทำให้ประชาชนคลายความคลางแคลงใจต่อนายกฯทักษิณ ลงได้ แต่ สนธิ หาได้นำพาต่อพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ ทำเหมือนไม่ได้ยิน ไม่รู้ไม่ชี้กับพระราชดำรัส ไม่ทุกข์ ไม่ร้อนกับ ข้อกล่าวหาของตัวเอง ที่ใส่ร้ายผู้อื่น จนทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ลุกลามขยายวงกว้างไปทั่วประเทศ
ไม่มีคำขอโทษ ไม่มีคำชี้แจงจากสนธิ แม้แต่คำเดียวว่าเอาข้อมูลจากไหนมากล่าวหาให้ร้ายนายกฯทักษิณ มีแต่การสร้างประเด็นใหม่ๆ เพื่อขยายความบาดหมางใจ ความไม่พอใจในหัวใจประชาชนที่มีต่อนายกฯทักษิณ ให้เพิ่มขึ้นอีก
การชุมนุมใหญ่ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2549 และการอ่านคำถวายฎีกาให้ทรงใช้พระอำนาจแก้ไขปัญหา ซึ่งมีตอนจบของคำถวายฎีกา ว่า “ปวงข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอกราบบังคมทูลถวายฎีกาต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เพื่อทรงพระกรุณาปัดเป่าทุกข์ยากของอาณาประชาราษฎร์ อันเกิดจากน้ำมือของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สุดแท้แต่พระองค์จะทรงพระกรุณาวินิจฉัย ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวายชีวิตด้วยความจงรักภักดีต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ผู้ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจคนไทยทั้งชาติ และขอปฏิญาณตนว่าจะต่อสู้เพื่อปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พิทักษ์รักษาสิทธิผลประโยชน์ของคนไทยทั้งชาติ เพื่อมิให้อธรรมอ้างความชอบธรรมแสวงหาผลประโยชน์ จนกว่าชีวิตจะหาไม่”
สนธิ ทำให้ทุกคนที่ร่วมชุมนุมลานพระบรมรูปทรงม้า และผู้ที่ชมการถ่ายทอดเหตุการณ์ทางโทรทัศน์ ต้องตกตะลึงกับลีลาการอ่านคำถวายฎีกาด้วยท่าทางที่ไม่มีใครเคยพบเคยเห็นมาก่อน กล่าวคือ มีทั้ง ชี้นิ้ว ชี้หน้า ชี้กราด เท้าเอว ตะโกน ซึ่งเป็นอาการที่คนไทยทั่วไปไม่ใช้ และรับไม่ได้กับการถวายฎีกา ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงเกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์มากมายถึงความไม่เหมาะสมของสนธิ ที่กระทำต่อเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณาท้ายหนังสือถวายฎีกา กลับปรากฎว่ามีชื่อผู้ถวายฎีกา เพียง 2 คน คือ นายสนธิ ลิ้มทองกุล และ นางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ แต่กลับประกาศว่าเป็นฎีกาของประชาชนคนไทยทั้งชาติทั้งแผ่นดินไม่พอใจและได้รับความเดือดร้อนจากการทำงานของนายกฯทักษิณ ชินวัตร
หลังจากการถวายฎีกา ที่หน้าบ้านพักพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และ หน้าประตูพระบรมมหาราช วัง เสร็จสิ้นลง นักวิชาการ และประชาชนจำนวนมาก เสนอให้มีการสลายตัว และยุติการชุมนุมชั่วคราว เพื่อรอพระบรมราชวินิจฉัย แต่สนธิ กลับไม่สนใจที่จะรอพระบรมราชวินิจฉัย กำหนดวันชุมนุมขับไล่รัฐบาต่อทันที เพราะเห็นว่ากระแสกำลังขึ้น ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การถวายฎีกาของคนไทย ที่จะมีการดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อกดดันให้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยทางใดทางหนึ่ง ไม่ว่าจะมีผู้คัดค้าน ทัดทานอย่างไร สนธิ ก็ไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง และเดินหน้าต่อ จนทำให้เกิดคำถามขึ้นมากมายว่าสนธิ ถวายฎีกาเพื่ออะไร ต้องการใช้การถวายเป็นฎีกา เป็นเครื่องมือสร้างข่าว และปลุกระดมมวลชน เพื่อให้เกิดสัญลักษณ์การเผชิญหน้าระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับ รัฐบาล แค่นั้นใช่หรือไม่ แท้จริงแล้วสนธิ ไม่ได้สนใจผลของการถวายฎีกาเลยแม้แต่น้อย จะทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยหรือไม่ สนธิ ก็ไม่รู้สึกทุกข์ร้อน ขอแค่เพียงได้ถวายเป็นสัญลักษณ์ของการเปิดฉากต่อสู้ยกใหม่กับทักษิณ ชินวัตร ก็เพียงพอแล้ว
แต่ที่น่าสนใจก็คือ นับแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2549 ที่ได้มีการถวายฎีกาไป สนธิ ก็ไม่เคยกล่าวอ้างถึงฎีกานั้นอีกเลย และไม่สนใจติดตามด้วยว่าทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยอย่างไร หรือไม่ ทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน นึกอยากจะยื่นก็ยื่น นึกอยากจะเลิกก็เลิก ทำราวกับว่าการถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีค่าเสมอเพียงการส่งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันให้ผู้อ่านทั่วไป นึกอยากส่งก็ส่ง นึกอยากจะเลิกส่งก็เลิก นี่คือพฤติกรรมของผู้จงรักภักดีแบบสนธิ ลิ้มทองกุล
การสร้างกระแสเรียกร้องให้ทรงใช้พระราชอำนาจตามมาตรา 7 แห่งรัฐธรรมนูญ เพื่อเผด็จศึกทักษิณ ชินวัตร ให้พ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ให้ได้ ทั้งๆ ที่การคัดค้าน ทัดทาน ทักท้วงจากนักวิชาการจำนวนมาก ว่าเป็นการไม่สมควรที่จะสร้างกระแส กดดัน เรียกร้องให้ใช้พระราชอำนาจ เพราะไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย และเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ แต่ สนธิ ลิ้มทองกุล ก็เพิกเฉยกับเสียงคัดค้านทุกเสียง และเดินหน้าต่อ ปลุกระดมประชาชน ให้เข้าชื่อ ให้ร่วมส่งเสียง ให้ทรงใช้พระราชอำนาจตามมาตรา 7 เพื่อโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่
การเรียกร้องนายกรัฐมนตรีพระราชทาน ดังกระหึ่มไปทั่วฟ้าเมืองไทย เพราะสนธิ ชักนำให้ประชาชนเข้าใจผิด ว่าเป็นสิ่งที่ถูก และเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่จะทรงทำอะไรก็ได้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 7 ให้อำนาจมากมาย
กว่าประชาชนทั่วประเทศจะรู้ว่าการเดินตามสนธิ เป็นสิ่งที่ผิด ขัดรัฐธรรมนูญ มิหนำซ้ำ ยังก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อพระมหากษัตริย์อีกด้วย ก็ต่อเมื่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัส ว่าการเรียกร้องมาตรา 7 เป็นการทำให้พระองค์ท่านทรงเดือดร้อน และไม่เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย ท่านจะไม่พระราชทานนายกรัฐมนตรี นั่นล่ะ ประชาชนจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าเดินผิดทางมายาวไกลมาก
แต่สนธิ ก็ไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวกับพระราชดำรัส และความเดือดร้อนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และยังไม่ทันที่พระราชดำรัสจะถูกตีพิมพ์เป็นตัวหนังสือ เผยแพร่ต่อประชาชนทั่วไป สนธิ ให้สัมภาษณ์สวนทางพระราดำรัส ทันที ซึ่งคัดลอกมาจากเวปไซต์ผู้จัดการออนไลน์ ดังนี้
“ผู้สื่อข่าวถามว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงตรัสว่า มาตรา 7 เรื่องการ ขอนายกฯ พระราชทานไม่สามารถใช้ได้ นายสนธิ กล่าวว่า “มาตรา 7 พระองค์ท่านก็บอกว่าพระองค์ท่านใช้ยาก เพราะพระองค์ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ แต่พระองค์ท่านก็ไม่ได้ บอกว่าพระองค์ท่านจะไม่ใช้
เมื่อถามต่อว่า แต่กระแสพระราชดำรัสของพระองค์ท่านไม่ต้องการที่จะทำเกินหน้าที่ นายสนธิ กล่าวว่า ถูกต้อง แต่ว่า ต้องมีคนรับสนองพระบรมราชโองการ ก็แสดงว่าถ้ามีคนรับสนองพระบรมราชโองการ พระองค์ก็พร้อมจะใช้
ต่อข้อถามถึงข้อเรียกร้องที่กลุ่มพันธมิตรเรียกร้องนายกฯพระราชทาน จะเดินหน้าต่อหรือเปลี่ยนแปลงอย่างไรหรือไม่ นายสนธิ กล่าวว่า “เราก็เดินเหมือนเดิม เพราะเราก็ ยังยืนยันว่าการต่อสู้ครั้งนี้เรายืนหยัดเพราะการเลือกตั้งไม่เป็นประชาธิปไตย เราก็อยากรู้เหมือนว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะโมฆะหรือเปล่า”
เมื่อถามว่า จะทบทวนบทบาทการชูเรื่องมาตรา7 หรือไม่ นายสนธิ กล่าวว่า “เรายังรวมอยู่ในทุกบทบาท เพราะตนคิดว่าถ้ามีคนรับสนองพระบรมราชโองการก็ชูได้ ทำไมจะชูไม่ได้”
ก่อนจะจบท้ายการสัมภาษณ์ว่า "มันแข็งกร้าวตรงไหน และตนก็เห็นด้วยว่าที่จะให้ทุกอย่างอยู่ในระบอบรัฐสภา แต่ถ้า นายกฯ และรัฐบาลชุดนี้ลาออกก็ใช้มาตรา 7 ได้ เพราะมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ" ก็อย่างนี้ล่ะ ถ้อยคำวาจา และการแสดงออกของผู้จงรักภักดีอย่างสนธิ ลิ้มทองกุล
สนธิไม่ใช่เพียงแค่กุเรื่องไม่เคารพสถาบันพระมหากษัตริย์ หากแต่เกินเลยไปถึงขั้น คิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ กันเลยทีเดียว เมื่อประมวลการพัฒนาทางความคิดของสนธิ ลิ้มทองกุล จากวันเริ่มต้นต่อสู้กับทักษิณ ชินวัตร จนถึงวันนี้ จึงไม่อาจสรุปเป็นอื่นได้ นอกจากว่า “สนธิ กำลังใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเครื่องมือหาประโยชน์ให้แก่ตัวเอง และเป็นอาวุธประหัตประหารศัตรูของตนเอง โดยหามีความจงรักภักดีอย่างแท้จริงไม่” ความจงรักภักดีแบบสนธิ ลิ้มทองกุล จึงเป็นความจงรักภักดีจอมปลอม ที่ต้องเร่งกำจัดให้สิ้นซากจากแผ่นดินไทย ก่อนที่ประเทศไทยจะลุกเป็นไฟเพราะบุคคลผู้นี้
แม้มิได้ เป็นหงส์ทนงศักด์ ก็จงรับเป็นโนรีที่หรรษา
แม้มิได้เป็นน้ำพระคงคา ก็จงเป็นธารใสที่ไหลเย็น
แม้มิได้เป็นภูผาหิมาลัย จงพอใจเป็นจอมปลวกทีแลเห็น
แม้มิได้เป็นคืนพระจันทร์เพ็ญ ก็จงเป็นวันแรมที่แจ่มจาง.......

ขอแสดงความนับถือเจ้าของบทความ
ครรลองคลองธรรม

//webboard.news.sanook.com/forum/?topic=2493616.msg12267107#msg12267107

ควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน




 

Create Date : 13 กันยายน 2551
0 comments
Last Update : 5 ตุลาคม 2551 10:11:00 น.
Counter : 230 Pageviews.


ธนศักดิ์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

พ่อของแผ่นดิน ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

Friends' blogs
[Add ธนศักดิ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.