เมนูผัดกะเพรากระเพาะปลาใส่ไก่ ว่าแต่...กระเพาะปลาคืออะไรน้า?...แล้วทำมาจากอะไร?
| | | | |
| พอดีแน๋วได้ซื้อกระเพาะปลาแห้งมาเก็บไว้ที่บ้านอาทิตย์กว่าแล้วค่ะ ไม่รูั้จะทำอะไรทานดี คือมีเมนูมากมายหลายอย่างอยู่ในหัวค่ะ แต่ก็...ไม่อยากทำ กลัวนั่นกลัวนี่ (ก็บอกคนอ่านเค้าไปตรงๆจิว่าหล่อนกล้วอ้วนน่ะ - -")
คือถ้่าเป็นเมนูที่ใช้กระเพาะปลาเป็นส่วนประกอบหลักมักจะเป็นพวกอาหารจีน ซึ่งอย่างที่รู้ๆกันก็คือจะใช้แป้งกับน้ำมันค่อนข้างเยอะ
ก็พอดีได้คุยกับคุณชาลี (sierra whiskey charlie) คุณชาลีก็เลยช่วยคิดเป็นเมนูแกงจืดกระเพาะปลาให้ แต่ตอนนี้แน๋วกำลังรู้สึกเบื่อเมนูแกงจืดอยู่ค่ะ เพราะเมื่อช่วงก่อนแน๋วเป็นแผลร้อนในที่ริมฝีปาก ทำให้ทานอาหารไม่ค่อยได้ ก็ได้แกงจืดนี่แล่ะค่ะประทังชีวิต ช่วงนี้ก็เลยของดแกงจืดนิสนุง เหะๆ
ก็คิดไปคิดมาก็มาสรุปที่ยำกระเพาะปลาแล้วกัน กะจะยำแบบไทยๆที่เอากระเพาะปลามาลวกนิ่มๆแล้วราดน้ำยำ จะไม่ทำแบบยำ 3 กรอบ เพราะนั่นต้องเอากระเพาะปลาไปทอดอีกที ซึ่งแน๋วไม่อยากใช้น้ำมันเท่าไหร่ค่ะ
แต่เมื่อวานได้อ่านเม้นท์ของป้าต่าย(Katai_Akiko) บอกว่าได้ใบกระเพรามาจากตลาด chaina town ก็เลยปิ๊งไอเดียว่า น่าจะทำผัดกะเพรากระเพาะปลาเน๊าะ คงจะอร่อยดีเหมือนกัน อิอิ แต่ยังไม่เคยลองทำเลย จริงๆแล้วแน๋วก็เคยเห็นเมนูที่คล้ายๆกันนะ คือ เมนูกากหมูผัดกระเพราของคุณชาลี (sierra whiskey charlie) คิดว่ากระเพาะปลารสชาติมันน่าจะคล้ายๆกับกากหมู โดยเฉพาะถ้าทอดให้กรอบๆ แค่คิดน้ำลายก็สอแย้ววววว อิอิ แต่ของแน๋วคงไม่เอาไปทอดหรอกค่ะ คงทำผัดกระเพาะปลาแบบนิ่มๆนี่แล่ะ อยากจะลองทำดูด้วยว่าจะออกมาเป็นยังไง
ก่อนจะเริ่มแนะนำส่วนผสมของเมนูนี้ ขอเกริ่นนำเกี่ยวกับกระเพาะปลาก่อนนะคะ ว่ามีที่มาที่ไปยังไง แล้วทำมาจากอะไร | |
|
|
| | | | |
| | | | |
| "กระเพาะปลา"
ที่มา::
คอลัมน์ เก็บเรื่องมาเล่า ชนา ชลาศัย ข่าวสดรายวัน วันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6832 หน้า 23
จากข้อมูลนิตยสาร "ครัว" ฉบับส.ค.บอกว่า เอกสารโบราณของจีนหลายชิ้น เปรียบกระเพาะปลาหรือ "ยาเปา" เป็น "โสมทะเล" และถือเป็นเครื่องบรรณาการที่หัวเมืองแถบชายฝั่งทะเลจะต้องจัดถวายแด่พระเจ้าแผ่นดินจีนมาตั้งแต่สมัยราชอาณาจักรถัง
ในเอกสารประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรถังฉบับใหม่ "ซินถังซู" เรียบเรียงโดยโอวหยังซิวและคณะในสมัยเป่ยเว่ย (ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11) บันทึกว่า แคว้นอู๋ (เมืองซูโจวในปัจจุบัน) จัดส่งยาเปา 7 ชั่งมาถวายทุกปี
ขณะที่ในหนังสือ "ฉีหมิง เย่าซู่" ของเจี่ยซือเส ชาวราชอาณาจักรเป่ยเว่ย (ค.ศ.386-543) ก็กล่าวถึงการแปรรูปและการกินกระเพาะปลาจากถุงลมปลาสือโส่ว (หรือปลาหวงหวี-yellow croaker)
จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ชาวจีนรู้จักกินกระเพาะปลามานานกว่า 1,600 ปีแล้ว
กระเพาะปลาแท้จริงแล้วหาใช่กระเพาะจากปลาไม่ หากนำมาจากถุงลมปลาที่ถูกมองว่าไร้ค่า คนจีนนำมาแปรรูปจนกลายเป็นของกิน "มีระดับ" ผู้คนหลงใหลในรสชาติมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
กระเพาะปลาได้จากถุงลมปลากว่าสิบชนิด เช่น ปลาอึ่งฮวยฮื้อ ปลาอึ่งตุงฮื้อ ปลาตงหั่วชิ้ม ปลาคาร์พจีนหลายชนิด เช่น เฉาฮื้อ หลีฮื้อ เป็นต้น รวมทั้งปลาไหลทะเล ปลากะพง ปลาเหมี่ยงฮื้อ
กระเพาะปลาชั้นเลิศที่สุดมาจากถุงลมปลาหวงฉุนหวี (chiness bahaba) ซึ่งเป็นปลาเมี่ยงฮื้อชนิดหนึ่งที่ทางการจีนขึ้นบัญชีเป็นสัตว์สงวนของชาติ กระเพาะปลาจากถุงลมปลาชนิดนี้เรียกว่า จินเฉียนเจียว หรือกิมจี่กา ในสำเนียงแต้จิ๋ว ถ้ามีคุณภาพดี ราคาสูงหลายหมื่นบาทต่อกิโลกรัมเลยทีเดียว
สิ่งเดียวที่พอจะเทียบชั้นกระเพาะปลาชนิดนี้ได้ก็คงมีแต่โสมเก่าเก็บนานปีเท่านั้น
ตลาดในฮ่องกงเรียกกระเพาะปลาโดยรวมว่า ฮวาเจียว (huajiao) และจำแนกออกเป็นหลายชนิดตามคุณภาพ ขณะที่คนแต้จิ๋วจำแนกคร่าวๆ เป็น 2 ชนิด คือ กระเพาะปลาสำหรับเป็นยา เรียกว่า หื่อกา (he ga) และสำหรับใช้ทำอาหาร เรียกว่า หื่อเผีย (he pio)
สำหรับบ้านเรา เมนูที่ดูจะคุ้นหน้าคุ้นตาและคุ้นลิ้นคนไทยที่สุดก็เห็นจะเป็นกระเพาะปลาน้ำแดง ส่วนใหญ่มาจากปลาไหลทะเลที่ทอดพองตามแบบแต้จิ๋ว มีชื่อเรียกเช่น อี่เช็ง, ตือกัง หรือจากปลาอื่นๆ หรือจับเผีย กระเพาะปลาเหล่านี้ราคาไม่แพงนัก จึงเป็นที่นิยมในบ้านเรา
เป็นความรู้เล็กๆ น้อยๆ สำหรับผู้สนใจ นิตยสาร "ครัว" ฉบับนี้มีสูตรกระเพาะปลาหลายอย่างให้ลองทำด้วย | |
| |
| | | | |
| | | | | ส่วนนี้เป็นข้อมูลย่อๆจาก answers.com นะคะ
ถุงลม (swim bladder, gas bladder, air bladder) เป็นถุงที่มีผนังยืดหยุ่นและมี gas อยู่ภายใน ซึ่งอยู่บริเวณส่วนบนของช่องว่างลำตัว อวัยวะนี้มีหน้าที่ควบคุมการลอยตัวของปลา และในปลาบางชนิดเจ้าถุงลมที่ว่านี่ก็ยังทำหน้าที่เกี่ยวกับการได้ยินอีกด้วย กล่าวคือ...เป็นตัวรับและตัวสร้างเสียงค่ะ
และเนื่องจากว่าไม่ใช่ว่าปลาทุกชนิดที่จะมีถุงลม บางชนิดก็ไม่มีค่ะ อย่างเช่น ฉลาม grey nurse shark และปลาบางชนิดอื่นๆ ปลาที่ไม่มีถุงลมพวกนี้จะใช้อวัยวะอื่นๆในการช่วยลอยตัวแทนถุงลมค่ะ เช่น ตับ ปลาบางชนิดจะมีตับที่มีน้ำมันขนาดใหญ่ (1 ใน 5 ของน้ำหนักตัว) ซึ่งน้ำมันในตับนี้จะมีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำ ก็เลยทำให้ลอยตัวได้ และยังมีกระดูกอ่อนที่มีน้ำหนักเบากว่าพวกปลากระดูกแข็ง อีกทั้งยังมีรูปร่างเฉพาะเพื่อช่วยในการลอยตัวด้วยค่ะ
| |
|
| | | | |
| | | | |
| สรุปสั้นๆ ง่ายๆ และได้ใจความเลยก็คือ...
กระเพาะปลา หรือที่เรียกกันว่าตามบรรจุภัณฑ์ว่า Fish Maw ถึงแม้จะได้ชื่อเรียกว่า...กระเพาะปลา แต่ก็ไม่ใช่ส่วนกระเพาะของปลาที่ใช้ในการย่อยอาหาร แต่เป็นถุงลมของปลา ที่ช่วยควบคุมการลอยตัวของปลา
การนำถุงลมปลามาเเปลงโฉมเป็นกระเพาะปลาแห้งที่ขายๆกันตามท้องตลาดก็คือ จะลอกเอาเส้นเลือดและกล้าเนื้อออกให้หมดแล้วจึงนำไปทอดให้พองๆค่ะ
การเลือกซื้อกระเพาะปลา ตรงนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่จะนำมาทำอาหารค่ะ เพราะไม่ว่าจะเป็นกระเพาะปลาแบบใหญ่ หรือแบบเล็กต่างก็สามารถนำมาใช้ทำอาหารได้เหมือนกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกำลังเงินในกระเป๋าและความพึงพอใจส่วนบุคคลค่ะ อิอิ
(สมัยนี้กระเพาะปลาแท้ๆหายากค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้เค้านิยมใช้หนังหมูนำมาทำเป็นกระเพาะปลาแทน ถ้าดูจากภายนอกแทบจะแยกไม่ออกเลยค่ะ ว่าอันไหนหนังหมู อันไหนกระเพาะปลา ต้องลองทานเท่านั้นถึงจะรู้ แต่บางคนเค้าก็ชอบทานหนังหมูมากกว่ากระเพาะปลาของแท้กันนะคะ เพราะไม่มีกลิ่นคาวปลา กระเพาะปลาแท้ๆจะมีกลิ่นคาวมากๆ ถ้าล้างไม่ถูกวิธีเผลอๆอาจจะต้องทิ้งทั้งหม้อเลยก็ไ้ด้ค่้ะ ส่วนใหญ่คนจีนเค้าถึงเอามาตุ๋นผสมกับเครื่องยาจีนเพื่อดับกลิ่นคาวปลากันค่ะ)
กระเพาะปลามีหลายเกรด หลายราคาแล้วแต่ความอร่อย เช่น เนื้อนุ่มฟู เนื้อบาง เนื้อเหนียวนุ่ม และยังขึ้นอยู่กับขนาด และคุณภาพของกระเพาะปลาอีกด้วยค่ะ (เคยอ่านเจอค่ะว่ากระเพาะปลาชั้นดี ต้องได้จากจากผนังถุงลมปลาที่หนา ไม่รู้จริงเท็จประการใดนะคะ)
ปกติกระเพาะปลาที่ได้ จะได้จากถุงลมของปลามังกร ปลาจวด ปลากระพง ปลาริวกิว ปลาไหลทะเล แต่กระเพาะปลาที่มีราคาเเพงที่สุด คือ กระเพาะปลามังกร เรียกว่า "เหมี่ยนฮื่อ" ซึ่งช่วยบำรุงกำลังวังชาได้ดี และกระเพาะปลาที่ได้มาจากปลาน้ำลึกที่อยู่ในตระกูลของปลากุเลาก็จะมีราคาแพงมากเช่นกัน
แต่ที่เราๆท่านๆได้รับประทานกันบ่อยๆตามท้องตลาดนั้นก็คือ กระเพาะปลากระพงค่ะ หาได้ง่ายที่สุดแล้ว และราคาก็ไม่แพงมากด้วย พอจะซื้อหามารับประทานกันได้โดยที่ไม่สะเทือนกระเป๋ามากนัก อิอิ
| |
| |
| | | | |
| | | | |
กระเพาะปลาตามความเชื่อชาวจีน (ข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตค่ะ)
กระเพาะปลา มีสรรพคุณในการเสริมหยิน บำรุงเซลล์และเนื้อเยื่อ ทำให้เนื้อเยื่อแข็งแรงและกระชับ บำรุงไต บำรุงกระดูก เส้นเอ็น ที่แน่ๆคือมีโปรตีนและไขมัน เสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย ให้พลังงาน แก้อาการตกเลือด เป็นยาอายุวัฒนะ โดยเฉพาผู้ที่เพิ่งให้กำดเนินบุตร..มักนิยมรับประทานหลังคลอด..อาจเป้นเพราะให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกายค่ะ
กระเพาะปลาที่ดีจริงต้องเป็นกระเพาะปลาน้ำลึก เพราะกระเพาะปลาจะทำงานไม่หยุด ยิ่งเก็บนานยิ่งมีพลังจักรวาลมาก การกินกระเพาะปลาก็เพราะต้องการเอาพลังจักรวาลให้มาอยู่ในตัวเรา ส่วนกระเพาะปลาน้ำตื้น หากินในที่ราบไม่มีพลังเทียบเท่า ในกระเพาะปลานี้พบว่ามีสารคาซิเลตซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง แม้จะยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าสารนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร (เช่นเดียวกันหูฉลาม)
แต่คนจีนก็เชื่อว่ากระเพาะปลาจะช่วยให้ร่างกายอบอุ่น เลือดลมไหลเวียนดี ทำให้มีพละกำลัง จึงนิยมรับประทานกันในหน้าหนาวเช่นกัน และจัดเป็นอาหารบำรุงร่างกายอย่างดีค่ะ | |
|
| | | | |
| | | | |
| สำหรับท่านไหนที่กลัวเรื่องสารตะกั่วตกค้างในกระเพาะปลาแน๋วได้หาคำตอบมาให้แล้วนะคะ
กระเพาะปลา เป็นอาหารที่คนไทยนิยมรับประทาน แต่... กระเพาะปลาที่เราเห็นกันทุกวันนี้ มีทั้งของแท้และของเทียม
กระเพาะปลาของแท้ คือ ส่วนที่เป็นถุงลมของปลา ส่วนใหญ่จะเป็นปลาทะเลที่มีขนาดใหญ่ เมื่อได้ถุงลมมาแล้วต้องลอกเอาส่วนที่เป็นเส้นเลือดปลาและกล้ามเนื้อออกให้หมด จากนั้นนำไปทอดจนพอง
กระเพาะปลาที่มีราคาแพงที่สุดนั้น เป็นกระเพาะปลาที่ทำจากถุงลมของปลากะพง ที่คนจีนเรียกว่า เหมี่ยนฮื้อ แต่เนื่องจากกระเพาะปลาเป็นอาหารที่ได้มาจากทะเล ทำให้อาจมีการปนเปื้อนสารตะกั่ว
ตะกั่ว เป็นโลหะหนักที่พบได้ในดิน น้ำ หิน อากาศ และในพืช รวมถึงภาคอุตสาหกรรมผลิตสี โซดาไฟ และพลาสติก ซึ่งโรงงานเหล่านี้จะปล่อยน้ำเสียหรือควันออกสู่สิ่งแวดล้อม อาจทำให้สัตว์น้ำที่อาศัยอยู่นั้นปนเปื้อนสารตะกั่ว
สำหรับพิษของตะกั่ว ทำให้เกิดโรคเรื้อรัง การเกิดพิษต้องใช้เวลานานนับเดือน บางครั้งเป็นปีจึงจะแสดงอาการ
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักท้องผูก อุจจาระมีสีดำ โลหิตจาง คอแห้ง กระหายน้ำ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปัสสาวะมากผิดปกติ และไตอาจพิการได้
ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 98 (พ.ศ.2529) กำหนดให้ในอาหารพบสารตะกั่วได้ไม่เกิน 1 มิลลิกรัม ในอาหาร 1 กิโลกรัม
ฉะนั้นวันนี้เมื่อเราสุ่มตรวจกระเพาะปลาแห้ง จาก 5 ย่านการค้า ในจังหวัดสงขลา เพื่อนำมาวิเคราะห์การปนเปื้อนของสารตะกั่ว
พบว่า ทั้ง 5 ตัวอย่างไม่พบการปนเปื้อนเลย ผู้ที่ชื่นชอบบริโภคกระเพาะปลาคงกินกันได้อย่างสบายใจ
ที่มา:: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 5 มีนาคม 2553
| |
| |
| | | | |
| | | | |
| หลังจากพอจะรู้เกี่ยวกับที่มาที่ไปของกระเพาะปลากันแล้ว เราก็มาเริ่มเมนูที่จะนำมานำเสนอในวันนี้กันดีกว่าค่ะ
วันนี้ขอนำเสนอเมนู... "ผัดกะเพรากระเพาะปลาใส่ไก่สับค่ะ"
กระเพาะปลาที่แน๋วใช้ทำเมนูนี้หาซื้อจากห้างดอกบัวค่ะ ซื้อตรงแผนกของแห้ง เห็นมีัอยู่ 2 แบบนะคะ แบบเล็กกับแบบใหญ่ แบบเล็กรู้สึกว่าจะ 40 กว่าบาทค่ะ แต่แบบอันใหญ่แน๋วซื้อมาราคา 69 บาท ค่ะ น้ำหนัก 100 กรัม
ก่อนอื่นเลยต้องล้างกระเพาะปลาให้สะอาดและปราศจากน้ำมันกับกลิ่นเหม็นหืนก่อนนะคะ เพราะกระเพาะปลาแห้งที่เห็นในห่อนี้เค้าจะทอดมาจนพอง เวลาเราซื้อมาก็ต้องมาทำการชะล้างให้สะอาดก่อนปรุงค่ะ
ขั้นตอนการล้างกระเพาะปลามีมากมายหลกหลายวิธีค่ะ แล้วแต่ความถนัด หรือความชอบเฉพาะแต่ละบุคคล บางคนก็ล้างด้วยเหล้า บางคนก็ล้างด้วยแป้งมัน ส่วนวิธีของแน๋ว ใช้วิธีล้างด้วยแป้งมัน + กับนำไปต้มใส่ขิงแ่ก่อีกทีค่ะ
ขั้นแรก...
แช่กระเพาะปลาในน้ำเกลือ ประมาณ 30 นาทีค่ะ
ตอนที่แช่ก็เอาอะไรที่หนักๆทับไว้ด้วยก็ดีนะคะ เพราะตัวกระเพาะปลาจะลอยน้ำค่ะ อย่างที่รู้ๆกันว่ากระเพาะปลาคือถุงลมปลาที่ช่วยในการลอยตัว เพราะงั้นถ้าอยากให้กระเพาะปลาโดนน้ำทั้งอันก็ต้องหาอะไรทับเอาไว้ค่ะ ของแน๋วใช้ถ้วยแกงนี่แล่ะทับเอาค่ะ น้ำหนักกำลังดี ไม่หนักไม่เบาเกินไป
หลังจากที่กระเพาะปลาเริ่มนิ่มจนเป็นที่พอใจแล้วก็เอามาล้างน้ำสะอาด 2 รอบค่ะ แล้วก็ล้างอีกครั้งด้วยแป้งมัน ถ้าไม่มีแป้งมันจะใช้แป้งข้าวโพดก็ได้ ของแน๋วก็ใช้แป้งข้าวโพดค่ะ เพราะที่บ้านไม่มีแป้งมัน
ของแน๋วล้างด้วยแป้งข้าวโพด 2 รอบค่ะ วิธีล้างก็คือใส่แป้งผสมน้ำ แล้วก็ใช้มือบีบๆตัวกระเพาะปลาค่ะ ขยำๆบีบๆอย่างเบามือนะคะ อย่าให้กระเพาะปลาช้ำ ไม่งั้นเนื้อจะเละ เวลาเอามาปรุงอาหารจะไม่อร่อยค่ะ
หลังจากล้างกระเพาะปลาด้วยแป้งมันเสร็จแล้วก็ล้างด้วยน้ำสะอาดอีกรอบ แล้วค่อยตั้งหม้อต้มน้ำใส่ขิง แล้วใส่กระเพาะปลาลงไปต้มค่ะ แน๋วใช้เวลาไม่นานนะคะ ประมาณ 3 นาทีได้ค่ะ (พอดีแน๋วไม่มีขิงแก่ที่เป็นแง่งๆ มีแต่ขิงซอยก็เลยเอามาใช้แก้ขัดไปก่อนค่ะ)
หลังจากที่ต้มเสร็จแล้ว ก็นำมาล้างด้วยน้ำเกลืออีกรอบค่ะ สังเกตุที่ผิวน้ำดูนะคะว่าน้ำจะใสกว่าครั้งแรก มีน้ำมันลอยออกมาน้อยกว่าครั้งแรกที่เห็นด้วย
เสร็จแล้วก็จัดการชำแล่ะแยกร่างได้เลยจ้าาาา เอาตามชอบเลย จะหั่นหรือจะใช้มือฉีกเอาก็ได้ค่ะ แต่แน๋วขอหั่นดีกว่า ฉีกแล้วรู้สึกว่าเนื้อมันจะเละๆเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยยังไงก็ไม่รู้ค่ะ
พอได้กระเพาะปลาที่ล้างสะอาดพร้อมปรุงแล้ว ก็มาสู่ขั้นตอนการเตรียมเครื่องของที่จะทำผัดกะเพรากันค่ะ
วัตถุดิบและเครื่องปรุงมีดังนี้ค่ะ - ใบกะเพราะ - พริกชีฟ้าแดง - พริกแดง - พริกหยวก - กระเทียม - หอมหัวใหญ่ - เห็ดเข็มทอง - เห็ดนางรมดออกใหญ่ - เนื้อไก่สับ - พริกไทยป่น - ซอสหอยนางรม ของแน๋วใช้เป็นซอสหอยนางรมผงค่ะ - น้ำตาลทราย - ซีอิ้วขาว - ซอสปรุงรส - น้ำมันงา (ปกติเค้าไม่ใส่กันนะคะ แต่พอดีแน๋วติดกลิ่นน้ำมันงาน่ะค่ะ ก็เลยใส่ลงไปด้วย 3 หยด)
ขั้นแรกใส่กระเทียมลงไปผัดในน้ำมันด้วยไฟอ่อน
พอกระเทียมเริ่มร้อนมีกลิ่นหอมก็ใส่ไก่สับลงไปผัดค่ะ และเนื่องจากว่าแน๋วใส่น้ำมันพืชน้อยมากๆ ประมาณ 2 ช้อนชาได้มั้งคะ ก็เลยทำให้ไก่ติดก้นกระทะ เพราะงั้นพอเอาไก่สับลงไปผัดได้แป๊บนึง ก็เปลี่ยนมาใช้ไฟแรง แล้วค่อยๆใส่น้ำเปล่าตามลงไปนิดนึงค่ะ
(หลังจากขั้นตอนนี้ก็ไม่มีรูปประกอบแล้วค่ะ เพราะผัดกะเพราต้องใช้ไฟแรง และต้องรีบผัดให้เร็วที่สุด ก็เลยไม่สามารถถ่ายไปทำกับข้าวไปได้นะคะ ขออภัยเป็นอย่างยิ่ง)
หลังจากผัดไก่ด้วยไฟแรงจนสุกได้ประมาณนึงก็จัดการปรุงรสตามชอบใจเลยค่ะ
เมื่อปรุงรสเข้ากันดีแล้ว ก็ใส่กระเพาะปลาลงไปผัดเร็วๆ แล้วตามด้วยพริกแดง พริกหยวก พริกชีฟ้าแดง เห็ดต่างๆที่เตรียมไว้ คลุกๆทุกอย่างให้เข้ากัน และสุดท้าย ใส่ใบกะเพราค่ะ พอใบกะเพราเริ่มเปลี่ยนสี ก็ปิดไฟได้เลยค่ะ
** สาเหตุที่แน๋วไม่ใส่พริกลงไปผัดพร้อมกระเทียมตั้งแต่แรก เพราะว่ามันฉุนน่ะค่ะ ไม่อยากได้ความฉุน แค่อยากได้รสเผ็ดนิดๆเท่านั้น ก็เลยเอามาผัดตอนท้ายๆค่ะ **
** เวลาผัดกะเพราเน้นว่าต้องใช้ไฟแรงๆค่ะ แล้วต้องรีบผัดให้เสร็จเร็วๆ อย่าทิ้งไว้ในกระทะนานๆ ไม่งั้นจะไม่อร่อยค่ะ ส่วนเรื่องน้ำในผัดกะเพราอันนี้ก็แล้วแต่ความชอบจริงๆค่ะ แต่โดยส่วนมากเค้าจะไม่ใส่น้ำเยอะค่ะ เอาแค่พอขลุกขลิก แต่ไม่ถึงกับแห้งติดจาน แต่แน๋วชอบแบบมีน้ำเยอะนิดนึงนะ เอาไว้ราดข้าว แหะๆ **
** ผัดกะเพรานี้เป็นผัดกะเพราแบบประยุกต์นะคะ เพราะปกติเค้าจะไม่ใส่อย่างอื่นนอกจากใบกะเพราเท่านั้นค่ะ ต้องรีบออกตัวไว้ก่อน ประเดี๋ยวเซียนผัดกะเพราจะท้วงเอาว่าทำไม่ใส่เห็ด ใส่นั่นใส่นี่แล้่วงี๊จะเป็นผัดกะเพราเหรอ อิอิ ** | |
| |
| | | | |
| | | | | เสร็จแล้วค่ะ ยกขึ้นเสริฟตักใส่จานได้เลยค่ะ
ซูมให้ดูใกล้ๆหน่อย
ลองเปลี่ยนถ่ายมุมสูงดูบ้างค่ะ เผื่อจะช่วยให้อาหารจานนี้ดูดีขึ้นมาบ้าง แหะๆ
| |
|
| | | | |
| | | | . | | . | ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามจนจบนะค้าาาา
ปอลิง....กระเพาะปลาที่แน๋วซื้อมาแน๋วเองก็ไม่แน่ใจนะคะว่าเป็นของแท้หรือเปล่า เพราะเวลาที่อยู่ในหีบห่อค่อนข้างดูยากค่ะ
เพราะงั้นเมื่อตัดสินใจคิดที่จะซื้อมาทานแล้วแน๋วก็จะไม่ค่อยอยากสนใจค้นหาคำตอบหรอกค่ะว่าของจริงหรือของปลอม ซื้อมาแล้วก็แกะออกมาทำทานโลด อิอิ เพราะจะเน้นสะดวกและหาซื้อได้ง่ายมากกว่าค่ะ
ของแบบนี้ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลค่ะ อิอิ
| |
| | | | |
| | | | . | | . | ขอบคุณกรอบและบีจีน่ารักๆจากคุณ lozocat ด้วยค่า | |
| | | | |
Create Date : 25 กรกฎาคม 2554 |
|
66 comments |
Last Update : 27 กรกฎาคม 2554 6:21:06 น. |
Counter : 5821 Pageviews. |
|
|
|