ปวดหลังป้องกันไม่ยาก
เนื่องจากผู้เขียนในขณะนี้ป่วยเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการรักษาตัวที่ร.พ.ชลประทานโดยการทำกายภาพบำบัด เป็นอะไรที่เจอกับตัวเองจริงๆ ไม่คิดว่าจะมาเป็นในวัยนี้ 40 ต้นๆ เมื่อก่อนคิดว่าน่าจะเกิดกับผู้สูงอายุ (แต่เลยหลักสี่ก็ไม่ใช่น้อยนะคะ หุหุ เผลอแปบเดียวเอง ปาเข้าไปหลักสี่แล้ว)
อาการที่เข้ามารักษาตัวคือ มีอาการเหมือนวิ่งเป็นเส้นแปลบจากเอวลงขาเลยค่ะ สืบเนื่องมาจากการอุ้มลูกในวัย 1 ขวบ กะอีก 2 เดือนเศษ น้ำหนักก็ประมาณ 9 โลกว่าเอง ไม่ได้อ้วนเลย แต่ไม่ทราบเกิดผิดพลาดอีท่าไหน ถึงมีอาการเช่นนี้ไปได้ จากการสอบถามของคุณหมอและนักกายภาพ ก็พอจะประเมินได้ว่า เกิดจากการที่อุ้มลูกขึ้นจากพื้นโดยใช้การโน้มตัวลงมาอุ้มจากพื้น โดยมิได้นั่งยองๆลงไปอุ้ม ซึ่งทางกายภาพบอกว่าเป็นท่าอุ้มที่ผิดผิดค่ะ ไม่ว่าจะยกของหนักขึ้นมาจากพื้นหรือการอุ้มเด็กขึ้นมาจากพื้น ท่าที่ถูกต้องคือ ต้องย่อตัว ยกของให้ชิดตัว แล้วยกหรืออุ้มขึ้นมาด้วยกำลังขา การก้มลงหยิบของหนักหรืออุ้มเด็กในลักษณะเข่าเหยียดตรง ทำให้ปวดหลังได้ อีกอย่างหนึ่งก่อนที่จะอุ้มลูก ก็มีอาการปวดหลังมาแล้วประมาณ 1 เดือน โดยลักษณะที่เป็นคือ หลังตึงก้มหรือแม้แค่โน้มตัวไปข้างหน้ายังปวดเลย ก้าวขาไม่ค่อยจะออก นั่งก็จะปวด ยืนก็ปวด แต่เคยมีอาการแบบนี้ นานๆทีปีละครั้ง จะเป็นสักครั้ง เคยไปหาคุณหมอ ท่านก็บอกว่าเป็นกล้ามเนื้ออักเสบ กินยาแล้วก็หายไป ดังนั้นพอมีอาการนี้อีก ก็เลยจัดแจงซื้อยาตัวเดิมกินเอง ก็ปวดๆหายๆ เป็นพักๆ โดยก่อนจะอุ้มลูกในวันนั้นก็ยังปวด หลังตึงอยู่ แต่ด้วยความรักลูก เค้าอยากให้เราอุ้ม ก็เลยฝืนอุ้มเค้าขึ้นมาโดยที่ตัวเองก็ปวดหลังพอสมควร โดยที่ไม่ได้เรียกให้คนในบ้านคนอื่นมาอุ้มแทนเราที่ปวดหลังอยู่ ดังนั้นผู้เขียนเลยอยากเอาประสบการณ์ตรงจากตัวเองมาเขียนเล่าเป็นอุทาหรณ์ สำหรับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ให้ฟังกันค่ะ
ตอนนี้เลยอยากรวบรวมข้อมูลความรู้ มาเผื่อแผ่กัน เผื่อว่าอาจจะช่วยมิให้เกิดอาการดังเช่นที่ผู้เขียนเล่ามาค่ะ อาจจะเป็นเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ ให้ระมัดระวังตัวจากท่าทางการเคลื่อนไหว ผิดท่าหน่อยนึงก็อาจจะเป็นกันได้ค่ะ คือเมื่อเช้านี้ก็ไปทำกายภาพตามปกติค่ะ ได้ยินกายภาพเค้าคุยกับคุณแม่ผู้ป่วยเห็นว่าเป็น case ที่น่าสนใจเลยอยากจะมาเล่าให้ฟังกันค่ะ คือ case นี้ บังเอิญว่าตัวเองนอนหันหลังกระตุ้นหลังด้วยไฟฟ้าอยู่แต่หูได้ยินคุณแม่ผู้ป่วยคุยกับนักกายภาพให้ฟังว่า ผู้ป่วยซึ่งเป็นลูก อายุน่าจะ 20 ต้นๆ ได้ยินคุณแม่บอกว่า อายุเลย 20 แล้วเบิกค่ารักษาพยาบาลไม่ได้ พอดีว่าคุณแม่เป็นพยาบาล คุณพ่อเป็นข้าราชการกรมชลประทาน(มั้ง) อาการที่เป็นเกิดจากการที่คุณลูกจาม ในลักษณะกึ่งกำลังลุกจากที่นอนกึ่งจะนั่ง แค่นั้นเองค่ะ เกิดอาการปวดหลังเลย คุณหมอบอกว่าเป็นกระดูกสันหลังเคลื่อนค่ะ โห! ดูซิคะไม่น่าเชื่อเลย ฟังแล้วยังอึ้งไปเลย แค่จามเนี่ยยังทำให้กระดูกสันหลังเคลื่อนได้เลยค่ะ นี่ล่ะค่ะ เลยอยากมาเล่าให้ฟังว่า การที่ร่างกายคนเราเคลื่อนไหวผิดท่าผิดทางไผหน่อยเดียว ก็อาจจะทำให้เป็นโรคที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้จริงๆ
ขณะที่ผู้เขียนมาเขียนบอกเล่าประสบการณ์ของตัวเองอยู่นี้ก็รักษาตัวอยู่ที่ร.พ.ชลประทาน เป็นวันสุดท้ายแล้ว จะกลับบ้านในวันพรุ่งนี้ คือวันที่ 21 มิ.ย. ไปรักษาตัวที่บ้านต่อค่ะ แต่คุณหมอก็ยังนัดให้มาทำกายภาพบำบัดต่อเนื่องค่ะ ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะดีขึ้นอีกแค่ไหน อ้อ! ลืมบอกไปว่า การทำกายภาพสำหรับโรคหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทของที่นี่ คือ การดึงหลัง , การใช้คลื่นไฟฟ้ากระตุ้น , การอบด้วยไฟฟ้า (ได้ยินเมื่อเช้านี้เองแว่วๆว่าเป็นเครื่อง Microwave ถ้าผิดพลาดก็ขออภัยด้วยนะคะ) ระหว่างอยู่ร.พ.ก็มีโอกาสได้อ่านแผ่นพับของทางร.พ. เกี่ยวกับการปวดหลัง เห็นว่าน่าจะเป็นความรู้เล็กๆน้อยๆ ก็เลยเอามาลงให้ผู้อ่านได้อ่านกันค่ะ แต่คงจะไม่มีรูปภาพประกอบนะคะ เพราะตัวต้นฉบับของทางร.พ.ก็ดำอ่ะค่ะ เอาเป็นว่านึกภาพตามเอาละกันนะคะ (สงสัยว่ากว่าจะพิมพ์จบก็คงจะปวดหลังด้วยอ่ะค่ะ แต่ก็จะพยายามพิมพ์ให้จบนะคะ แหะแหะ) ปวดหลังป้องกันไม่ยาก (เรียบเรียงโดย นพ.พีระชัย ดำรงวานิช)
โรคปวดหลังพบได้บ่อยรองจากโรคปวดหัว เมื่อคุณอายุมากอาจจะต้องเผชิญกับโรคนี้ คิดป้องกันตอนนี้จะได้ไม่เป็นโรคปวดหลัง
สาเหตุ
โรคปวดหลังนั้นมีสาเหตุมากมาย ได้แก่เป็นโดยกำเนิด , อุบัติเหตุ , เนื้องอก , ติดเชื้อ , อักเสบ , โรคกระดูกพรุน , โรคในช่องท้อง , โรคกระดูกสันหลังเสื่อม แต่สาเหตุที่เป็นกันมาก และสามารถป้องกันรักษาได้คือ
โรคกระดูกสันหลังเสื่อม
เกิดเนื่องจาก น้ำหนักตัวมาก , ท่าทางที่ไม่เหมาะสม , ขาดการออกกำลังกาย ทำให้ ลงพุง , เอวแอ่นมาก , หลังค่อมมาข้างหน้า
คนที่ลงพุง น้ำหนักที่มากขึ้น คูณกับพุงที่ยื่นมาด้านหน้า ทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องออกแรงดึงมากขึ้น การดึงเป็นเวลานานๆ ทำให้กระดูกสันหลังเสื่อมเร็ว ทำให้ปวดหลังได้ ท่าทางที่ไม่เหมาะสม หลังจะค่อมทำให้เอวแอ่นมากขึ้น การที่เอวแอ่นมากขึ้นทำให้ช่องทางออกของเส้นประสาทแคบลงเส้นประสาทถูกเบียดมากขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ปวดหลัง เอวแอ่นอยู่เป็นเวลานานๆ ทำให้หมอนรองกระดูกรับน้ำหนักไม่สมดุลกันจึงเกิดการเสื่อมของหมอนรองกระดูก ซึ่งมีผลทำให้กระดูกสันหลังเสื่อมตามมา
การรักษา ที่ดีที่สุด คือป้องกันสาเหตุ ได้แก่
1. ลดน้ำหนักตัว ไม่ใช่การอดอาหาร แต่เป็นการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ งดเว้นการกินอาหารที่มีแคลอรี่สูงมากเกินความจำเป็น เช่น ดื่มน้ำหวาน กินจุกจิกระหว่างมื้อ 2. ท่าทางที่เหมาะสม
ท่ายืนที่ถูกต้อง คือ แขม่วท้องอกผายไหล่ผึ่งเอวแอ่นน้อยที่สุด ถ้าต้องยืนเป็นเวลานานควรมีที่พักเท้า การยืนห่อไหล่ พุงยื่น ทำให้เอวแอ่นมาก ปวดหลังได้
ท่านั่งที่ถูกต้อง สันหลังตรงพิงพนัก เก้าอี้สูงพอดี และควรมีที่พักแขน การนั่งห่างจากโต๊ะมากทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานมาก
ท่านั่งที่เหมาะสม ในการพักผ่อน ควรเอียง 60 องศาจากแนวตั้ง มีส่วนหนุนหลัง มีที่วางแขน ทำด้วยวัสดุนุ่มแต่แน่น
ท่านั่งขับรถที่ถูกต้อง หลังพิงพนัก เข่างอเหนือระดับตะโพก การนั่งห่างเกินไป ทำให้เข่าต้องเหยียดออก กระดูกสันหลังตึง
ท่ายกของที่ถูกต้อง ควรย่อตัว ยกของให้ชิดตัวแล้วยกด้วยกำลังขา การก้มลงหยิบของในลักษณะเข่าเหยียดตรง ทำให้ปวดหลังได้
ท่าถือของที่ถูกต้อง ควรให้ชิดตัวที่สุด การถือของห่างจากลำตัวทำให้กล้ามเนื้อหลัง ทำงานหนัก ปวดหลังได้
ท่าเข็นรถที่ถูกต้อง ควรดันไปข้างหน้า ออกแรงกล้ามท้อง การดึงถอยหลังจะออกแรงที่กล้ามเนื้อหลังเป็นเหตุให้ปวดหลัง
ท่านอน ที่นอนควรจะแน่น ยุบตัวน้อยที่สุด ไม่ควรใช้ฟูกฟองน้ำหรือเตียงสปริง เพราะหลังจะจมอยู่ในแอ่ง ทำให้กระดูกสันหลังแอ่น ปวดหลังได้
นอนคว่ำ จะทำให้กระดูกสันหลังแอ่นมากที่สุด โดยเฉพาะระดับเอว ทำให้ปวดหลังได้
นอนหงาย ทำให้หลังแอ่นได้เล็กน้อย ควรใช้หมอนข้างใบใหญ่หนุนใต้โคนขา จะช่วยให้กระดูกสันหลังไม่แอ่น
นอนตะแคง เป็นท่านอนที่ดี ควรใช้ขาล่างเหยียดตรง ขา บนงอ ตะโพกและเข่ากอดหมอนข้าง
3. การออกกำลังกาย กระดูกสันหลังปกติรับน้ำหนักมากอาจทรุดได้ แต่นักกีฬายกน้ำหนักกระดูกไม่ทรุดเพราะมีกล้ามเนื้อท้องแข็งแรง เปรียบเสมือนมีลูกบอลคอยช่วยรับน้ำหนักไว้ การออกกำลังกายที่คนปกติควรทำเป็นประจำได้แก่
ท่ากอดเข่า ยกหัวจนคางชิดเข่าพร้อมกับเบ่งลมในท้อง เป็นการยึดกล้ามเนื้อหลัง ลดการแอ่นของเอว ทำให้ช่องประสาทกว้างขึ้น ควรทำประมาณ 5 นาที
ท่ายกศีรษะและลำตัว ควรยกขึ้นลงประมาณ 30 ครั้ง ควรทำขึ้นลงประมาณ 30 นาที
ท่ายกขาขึ้นลงทีละข้าง เป็นการออกแรงกล้ามเนื้อหน้ากระดูกสันหลัง เอ็นยึดกล้ามเนื้อตะโพกและเส้นประสาท ทำให้กระดูกสันหลังมั่นคงขึ้น และช่วยเนื้อเยื่อที่กดเส้นประสาทลดน้อยลง ควรทำเพิ่มขึ้นวันละนิดจนถึงประมาณ 100 ครั้ง การทำหักโหมมากทันที อาจทำให้เสียวที่เส้นประสาทได้
การออกกำลังกายยังมีอีกหลายท่า แต่บางท่าอาจเป็นอันตรายต่อกระดูกสันหลัง จึงควรได้รับคำปรึกษาจากผู้ชำนาญก่อน
การรักษาวิธีอื่นๆ ยังมีอีกมากมาย ได้แก่ การกินยา , การใช้เครื่องพยุงหลัง , การทำกายภาพบำบัดวิธีต่างๆ โดยการดึงหลัง การนวดด้วยความเย็นความร้อนคลื่นเสียง มีข้อดีข้อเสียต่างๆ กันแต่ท่านไม่ควรทดลองหากมีอาการดังนี้
1. กลั้นอุจจาระ ปัสสาวะลำบาก 2. กล้ามเนื้ออ่อนแรงเป็นส่วนมาก 3. อาการค่อยๆ เป็นมากขึ้นเรื่อยๆ 4. อาการเป็นอยู่นานไม่ดีขึ้นบ้างเลย 5. อาการเป็นๆหายๆชีวิตไม่เป็นสุข
อาการเหล่านี้ เป็นข้อบ่งชี้ที่ต้องการผ่าตัด โดยการเจาะผ่ากระดูกสันหลังเพื่อเอาพยาธิสภาพออก โอกาสเสี่ยงย่อมมีอยู่บ้าง แต่ปัจจุบันมีความปลอดภัยสูงมาก หากกระทำโดยศัลยแพทย์ผู้ชำนาญ
Create Date : 20 มิถุนายน 2551 |
Last Update : 20 มิถุนายน 2551 19:13:04 น. |
|
7 comments
|
Counter : 2935 Pageviews. |
|
|
|
ข้อมูลดีมากและเป็นประโยชน์
ดิฉันก็เป็นๆหายๆ ทรมานมากน่ะค่ะ