การเตรียมเด็กเข้าโรงเรียนอนุบาล
การเข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาลนั้น ในสังคมปัจจุบันดูเป็นสิ่งจำเป็น และทุกครอบครัวจะส่งเด็กเข้าไปเรียนในโรงเรียนอนุบาลกันเกือบทั้งหมด แม้แต่ในชนบทหรือในครอบครัวที่มีฐานะทางเศรษฐกิจไม่ดีนักก็ยังต้องจัดหาโรงเรียนอนุบาลให้กับลูก
หลายครอบครัวมีความคิดว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องหาโรงเรียนอนุบาลดีๆให้กับลูก แม้จะมีค่าเล่าเรียนที่แพงมาก แม้จะอยู่ไกลจากบ้าน ก็พยายามที่จะจับจอง ช่วงชิง ใฝ่หาสถานที่นั้นให้ลูกไปเรียนให้ได้ ด้วยคำพูดที่เล่าลือกันว่าสอนดี มีชื่อเสียง วิชาความรู้ดี มีเปอร์เซนต์ที่จะไปสอบเข้าระดับชั้นประถมปีที่ 1 ของโรงเรียนดังๆได้มาก
โดยไม่ได้พินิจพิจารณาว่าโรงเรียนที่ว่าดีนั้น มีดีอะไร มีดีอย่างไร
โดยไม่ได้พินิจพิจารณาว่าองค์ประกอบอื่นที่จะพาลูกไปเรียนนั้นเหมาะสมหรือไม่ เช่น ระยะทางของโรงเรียนกับบ้านไกลใกล้เพียงใด การเดินทางสะดวกหรือไม่ ค่าเล่าเรียนแพงมากน้อยอย่างไร
โดยไม่ได้พินิจพิจารณาว่าธรรมชาติของเด็กวัยอนุบาลนั้นเป็นอย่างไร ระบบร่างกาย ระบบกล้ามเนื้อ ระบบสมองและการเรียนรู้ ธรรมชาติของอารมณ์และสังคมของลูกตัวน้อยๆเป็นอย่างไร
เมื่อไม่ได้พิจารณาปัจจัยต่างๆให้ถูกต้อง ให้ตรงกับความเป็นจริงและมีความระหว่างเด็กวัยอนุบาลกับโรงเรียนอนุบาล การส่งลูกเข้าไปเรียนในโรงเรียนอนุบาลก็จะได้ผลไม่เต็มที่ หรือไม่ได้ผล หรืออาจเกิดผลเสียก็ได้
ในฐานะที่ทำงานเป็นจิตแพทย์เด็กก็พบปัญหาที่เกิดจากการเรียนของเด็กวัยอนุบาลนี้บ่อยๆ เราลองมาพิจารณาธรรมชาติของเด็กอนุบาลเป็นอันดับแรกว่าธรรมชาติเขาเป็นอย่างไร
ความจริงชื่อของเด็กวัยอนุบาลก็บอกความหมายในตัวอยู่แล้วว่าเป็นวัยที่ยังต้องคอยเลี้ยงดู คอยระวัง คอยรักษา ในภาษาอังกฤษเขียนว่าเป็นระยะ pre-school child คือเป็นระยะก่อนวัยเรียน ชื่อก็บอกในตัวว่าเป็นระยะก่อนวัยเรียน ไม่ใช่เป็นระยะที่จะเรียนอย่างเด็กวัยเรียนซึ่งเริ่มตั้งแต่ประถมศึกษาปีที่ 1 เป็นต้นไปจนถึงประถมศึกษาปีที่ 6
ธรรมชาติทางด้านจิตวิทยาพัฒนาการของเด็กวัยอนุบาล กำหนดช่วงอายุไว้คือ 3-5 ปี
วัยนี้เป็นวัยที่มีพัฒนาการของกล้ามเนื้อดีขึ้นพอสมควร ชอบเล่นปีนป่าย ซน อยู่ไม่นิ่งเท่าใดนัก แม้ว่าจะวิ่งเล่นและซนมากก็ตาม แต่การประสานงานของกล้ามเนื้อเล็กยังไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะกล้ามเนื้อมือยังไม่มีทักษะเต็มที่ ดังนั้นการใช้มือในงานที่ละเอียดประณีตจึงยังทำได้ไม่ดีนัก การเขียนหนังสือ การระบายสี การปั้นดินน้ำมัน เด็กพอทำได้แต่ไม่ถนัดนัก
ในด้านอารมณ์และสังคม เด็กวัยอนุบาลโดยธรรมชาติเป็นเด็กที่ร่าเริง เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น อยากรู้อยากเห็น อยากแสดงออก ชอบอวดให้คนอื่นรู้ว่าตนมีความสามารถ ชอบเล่น ซึ่งการเล่นของเด็กถือว่าเป็นกิจกรรมและเป็นปัจจัยที่สำคัญในการพัฒนาด้านจิตใจ สติปัญญา สังคม และความมั่นใจในตนเอง ตำราบางเล่มเน้นมากว่า การเล่นคือการเรียนของเด็กวัยอนุบาล ไม่ใช่เน้นการเรียนในชั้นเรียน แต่เน้นการเรียนรู้ควบคู่กับกิจกรรมการเล่น
ในวัยนี้ด้วยการที่มีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เด็กจึงมีพฤติกรรมที่ดื้อดึง และปฏิเสธบ่อยครั้ง ซึ่งจริงๆแล้วไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นเด็กดื้อ เพียงแต่เป็นธรรมชาติของเด็กวัยอนุบาลเท่านั้น ถ้าเราเข้าใจเขา ผ่อนปรนบ้าง สอนให้เข้าใจด้วยท่าทีที่หนักแน่น ส่วนใหญ่แล้วเด็กก็จะปฏิบัติตามเราได้เป็นอย่างดี
อารมณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของเด็กวัยนี้คือ อารมณ์วิตกกังกลต่อการแยกจากพ่อแม่ ซึ่งจริงๆแล้วเป็นอารมณ์ตามธรรมชาติและเป็นปกติของเด็กวัยนี้ แต่บังเอิญที่วัยนี้เป็นวัยที่ต้องเริ่มเข้าโรงเรียนอนุบาล เมื่อเด็กต้องแยกจากบ้านไปโรงเรียน เด็กจึงมีปฏิกิริยาต่อการไปโรงเรียนมากหน่อย โดยเฉพาะช่วงต้นๆของการไปโรงเรียน
สำหรับด้านสติปัญญา เด็กวัยอนุบาลเรียนรู้คำศัพท์ต่างๆได้อย่างมากและรวดเร็ว เข้าใจเครื่องหมายและสัญลักษณ์ต่างๆได้ แต่อย่างไรก็ตาม ยังเป็นวัยที่ไม่พร้อมเต็มที่ที่จะเรียนหนังสืออย่างในเด็กวัยประถมศึกษา
ในเมื่อเด็กระยะก่อนวัยเรียนเป็นวัยที่จำเป็นจะต้องเข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาล ผู้ปกครองและครูในโรงเรียนอนุบาลจึงจำเป็นที่จะต้องเข้าใจธรรมชาติตามพัฒนาการของเด็กวัยนี้เพื่อจะได้จัดแจงจัดเตรียม สิ่งต่างๆให้เหมาะสมกับธรรมชาติของเด็ก ซึ่งถ้าเราเตรียมและจัดสิ่งต่างๆให้เหมาะสมแล้ว ก็จะเป็นการส่งเสริมพัฒนาการเด็กได้อย่างดียิ่ง ปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรมก็จะไม่เกิดขึ้น
แนวทางในการเตรียมเด็กเพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาล พอจะรวบรวมเป็นประเด็นต่างๆได้ดังนี้คือ
1. ช่วงที่เป็นเด็กเล็กๆก่อนเข้าโรงเรียน ผู้ปกครองไม่ควรใช้คำว่า "โรงเรียน" หรือคำว่า "ครู" เป็นคำพูดที่ใช้ในการขู่เด็ก เพราะจะทำให้เด็กมีทัศนคติและความจำว่าโรงเรียนและครูเป็นสิ่งน่ากลัว
2. ควรเลือกโรงเรียนที่อยู่ใกล้บ้าน และเป็นโรงเรียนที่มีกระบวนการจัดการเรียนรู้ในลักษณะเตรียมความพร้อมร่วมไปกับการเรียนรู้ ไม่ใช่เน้นเรื่องการเรียนรู้ในชั้นเรียนเป็นหลัก
3. ควรพาเด็กไปเยี่ยมชม ไปเที่ยวโรงเรียนที่เราเลือกให้ลูก เพื่อให้เด็กคุ้นเคยกับสถานที่ สัก 2-3 ครั้ง ถ้าได้พบกับครูด้วยก็จะยิ่งดี ทำให้เมื่อถึงวันที่ต้องไปเรียนเด็กจะปรับตัวได้ง่ายขึ้น
4. เมื่อถึงวันไปโรงเรียน ผู้ปกครองควรอยู่เป็นเพื่อนลูกเพียงช่วงสั้นๆ และถือโอกาสฝากครูให้เด็กแลเห็นด้วยว่าพ่อแม่ได้ฝากลูกไว้กับครูที่พ่อแม่รู้จัก ซึ่งจะทำให้ลูกรู้สึกอุ่นใจ มั่นใจ เมื่อฝากกับครูแล้ว พ่อแม่แยกจากลูกไปด้วยท่าทางที่สงบสบาย เหมือนเป็นกิจวัตรตามปกติ อย่าแสดงท่าทางหรือพูดในลักษณะเป็นห่วงหรือกังวลใจ
5. ในช่วงรับกลับจากโรงเรียนไปบ้านควรรับให้ตรงเวลา ในกรณีที่ไปรับล่าช้ามากควรให้ญาติคนอื่นไปรับแทน ไม่ควรปล่อยให้ลูกอยู่โรงเรียนกับครูจนนานมากเกินไป เพราะจะทำให้เด็กกังวล และไม่วางใจต่อพ่อแม่ ซึ่งจะเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กวิตกกังวลต่อการไปโรงเรียนอนุบาลแล้ว เกิดปัญหาไม่อยากไปเรียน
6. พ่อแม่ควรใช้เวลาช่วยดูแลเอาใจใส่กิจกรรมบางอย่างที่โรงเรียนให้ทำส่งครู เป็นการช่วยแบบแนะนำไม่ให้ช่วยทำไปเสียทุกอย่าง
7. วัยนี้ยังไม่ควรเน้นเรื่องเนื้อหาการเรียนเป็นประเด็นหลัก แต่ควรเน้นกิจกรรมการเล่นหรือกิจกรรมอื่นๆ เช่น ศิลปะ ดนตรี เป็นต้น เพื่อให้เกิดความแจ่มใส เบิกบาน เชื่อมั่นตนเอง เข้ากับคนอื่นๆได้ดี และมีการแสดงออกของพฤติกรรมอย่างเหมาะสม
ประเด็นเหล่านี้จะช่วยให้เด็กปรับตัวต่อการไปโรงเรียนอนุบาลได้เป็นอย่างดีและจะเป็นฐาน เป็นความรู้สึกที่ดีๆ ต่อการไปโรงเรียนที่จะติดเป็นทัศนคติของเด็กไปจนโต
Create Date : 13 มีนาคม 2551 |
|
0 comments |
Last Update : 17 มีนาคม 2551 20:55:52 น. |
Counter : 885 Pageviews. |
|
|
|