Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2552
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
11 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 

Diary of my LIFE ตอนที่ 3 ลมหายใจเฮือกสุดท้าย








หลังจากประสบปัญหาอย่างใหญ่หลวงในชีวิต ทุกข์ต่างๆที่ถาโถมเข้ามาเรื่อยๆ มันทำให้ผมมีมุมมองชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ผมกลับมาเรียนรู้สภาวะภายในจิตใจของตนเอง มาเรียนรู้ทุกข์ที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง ตลอดเวลาที่ร่ำเรียนมาไม่เคยมีที่ไหนที่สอนวิชาการดำเนินชีวิต ไม่สอนวิชาที่ว่าด้วยความทุกข์ ซึ่งทุกคนต้องเจอแน่ๆ สอนแต่วิชาหาเงิน สอนการสะสมเงินทอง ความสุขแปรผันตรงกับเงินทอง มีเงินเยอะ ก็สุขเยอะ แถมยังต้องหาเก็บไว้ใช้ยามแก่ชรา มีสูตรการคำนวณพร้อมสรรพ แต่หลังจากที่ผมเจอเหตุการณ์หลายอย่าง โดยเฉพาะเหตุการณ์มหันตภัยสึนามิ ในห้วงเวลานั้น เงินไม่ใช่คำตอบสำที่สำคัญของการมีชีวิตอยู่ ในช่วงเวลาใกล้ตาย สติที่ตั้งมั่นกับปัจจุบัน และศรัทธาที่มั่นคงในช่วงเวลาปัจจุบันนี้ต่างหากล่ะที่นำพาจิตวิญญาณเราให้รอดพ้นมาได้




ผมได้มีโอกาสไปปฏิบัติภาวนาหลายครั้งกับพระสายปฏิบัติภาวนา แต่ครั้งแรกสุดที่จำได้ไม่ลืมก็คือการเข้าค่ายอบรม ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ ของเสมสิกขาลัย ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ไปหลายวัน ผู้นำปฏิบัติไม่ใช่พระ เป็นวิทยากรแนว NGO ที่ปฏิบัติมานาน และเป็นคอร์สสำหรับคนที่เริ่มต้น เน้นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตของสมาชิกกลุ่ม การทำกิจกรรมกลุ่ม และร่วมปฏิบัติภาวนานั่งสมาธิ และเดินจงกลม ในวันแรกๆทุกคนแนะนำตัวและเล่าประสบการณ์ชีวิตที่เป็นแรงจูงใจให้เข้ามาอบรมในครั้งนี้ ผมก็ร่วมแลกเปลี่ยนด้วย เวลาพูดไปก็รู้สึกจุกในอกตลอดเวลา น้ำตาคลอเศร้าใจในวาสนาของตัวเอง แต่พอคนอื่นๆร่วมแลกเปลี่ยนกันหลายๆคนเข้า เราเริ่มตระหนักว่า มีคนอื่นที่ทุกข์สาหัสกว่าเราตั้งหลายคน บางคนเป็นมะเร็งระยะท้ายๆ แต่หน้าตาแจ่มใสร่าเริง ไม่บอกไม่รู้ว่าชีวิตผ่านอะไรมา บางคนแก่และเดินลำบาก แต่อยากมาเรียนรู้ก่อนที่สังขารจะไม่ไหว แต่บางคนก็เป็นเด็กวัยรุ่น มีปัญหาทะเลาะกับพ่อแม่ ซึ่งเรามองว่ามันเป็นปัญหาเล็กน้อย แต่น้องเค้าถือเป็นปัญหาอันใหญ่หลวงในชีวิต บางคนประกาศตัวเองท่ามกลางสมาชิกในกลุ่มว่าเป็นเกย์ ทุกวันเค้าเก็บกดตลอดจนอายุ 50 กว่าๆแล้วสังคมรอบข้างก็ยังไม่รู้ แต่ตอนนี้ไม่ไหวแล้ว มันเหมือนอกจะแตกตาย มาประกาศในที่ๆคนไม่รู้จักดีกว่า




ในที่สุดผมก็เริ่มรับรู้ว่าผมไม่ได้มีปัญหาหนักเพียงคนเดียวในโลก เพียงแต่ผมเปิดตาเปิดใจรับรู้โลกภายนอก ผมพบว่าผมเป็นแค่คนธรรมดาตัวน้อยๆคนหนึ่งไม่ได้เก่งกาจมาจากไหนเลย คนที่เข้มแข็งกว่าผม สู้ชีวิตกว่าผมมีเยอะแยะไป มีบางรายร่างกายเค้าเป็นหญิงตัวเล็กๆ แต่เค้าเป็นนักสู้ที่น่าเลื่อมใสหลายคน แล้วผมที่มีหลายอย่างที่ดีกว่าเค้าจะมานั่งทุกข์ นั่งโทษโชคชะตาอยู่ทำไม








การเข้าร่วมกลุ่มบำบัดในครั้งนี้ทำให้ผมรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น และนอกจากนี้ก็มีการนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจบริกรรมแล้วแต่ใครเรียนมาจากที่ไหน ไม่บังคับกัน แต่ขอให้นั่งให้ได้นานราวสองชั่วโมงต่อครั้งล้วค่อยพัก ด้วยความที่เราเคยนั่งมาบ้าง แต่ไม่เคยนั่งยาวนานขนาดนี้เลย อาการเจ็บปวดทางกายเค้าแสดงให้เห็นอย่างหนัก นั่งไปสักครึ่งชั่วโมงก็เริ่มเจ็บขามากๆ โดยเฉพาะขาด้านซ้าย เจ็บจนแทบใจจะขาด จิตเราปรุงแต่งอาการทางกายจนมามีผลเจ็บที่ใจ วิทยากรก็บอกให้อดทน ให้นั่งดูจิตเราว่าเค้าปรุงได้มากมายแค่ไหน เวทนาที่กายส่งผลต่อเรามากแค่ไหน ต่อเมื่อไม่ไหวแล้วค่อยเปลี่ยนอริยาบท



ผมเพิ่งมาค้นพบว่าผมติดสุขจนไม่ได้รับรู้ความเจ็บปวดของร่างกายมานานมาก เวลาทำงานปวดเมื่อยก็เปลี่ยนท่าทาง เวลามีไข้ก็หายาลดไข้มาทาน ไม่เคยเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดแท้ๆที่เราไม่ปรุงแต่งเลย ตรงกันข้ามกับเพศหญิง ซึ่งเค้าดูเหมือนจะทนความเจ็บปวดได้มากกว่า เพราะเค้าต้องเจอทุกเดือน ซึ่งบางคนปวดประจำเดือนมากจนต้องแอดมิดเข้าโรงพยาบาล ความเจ็บปวดครั้งนั้นทำให้ผมตระหนักว่าเราปิดบังทุกข์ด้วยการปรนเปรอด้วยสุขมากมายเพียงใด


ผมพยายามจัดการภาวนากำหนดลมหายใจ และดูเวทนาในกายแท้ๆที่แยกออกมาจากจิตที่ปรุงแต่ง ซึ่งไม่ได้ผลเท่าที่ควร ผมยังปรุงแต่งเวทนาในกายบ่อยๆจนทนไม่ไหวต้องเปลี่ยนอริยาบทเสมอจนใกล้จะหมดคอร์สการภาวนา และก่อนวันสุดท้ายของการภาวนา ทางทีมงานจัดให้เราไปเยี่ยมผู้ป่วยที่โรงพยาบาลบำราศนราดูร ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่มีผู้ป่วยเอดส์ระยะสุดท้ายที่รอหมดลมหายใจหลายเตียงมาก ทีมงานได้กำหนดเตียงผู้ป่วยให้เรามาให้กำลังใจ



ผมกับเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งได้รับมอบหมายให้มาเยี่ยมให้กำลังใจผู้ป่วยชายอายุไม่น่าจะเกินสามสิบปี เค้าป่วยเป็นเอดส์ระยะสุดท้ายและวันนั้นเป็นวันสุดท้ายของเค้า ซึ้งตรงกับช่วงเวลาที่เราไปเยี่ยมพอดี ขณะที่เราเข้าไปหาเค้านั้นเห็นญาติที่อยู่ข้างเตียงหน้าเศร้าและเหนื่อยล้าคาดว่าคงทำใจได้แล้ว แต่ผู้ป่วยหายใจเร็วและแรงมาก ไม่เป็นจังหวะ ตาถลน น้ำตาและน้ำมูกไหล ตัวเกร็ง ทางพยาบาลเตรียมจะปิดม่านแล้ว ผมและเพื่อนไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะเค้าคงปล่อยคนไข้แล้ว รอเวลาอย่างเดียว เพื่อนที่ไปด้วยเค้าก็พูดปลอบประโลมให้เตรียมใจละสังขารไปสู้ภพใหม่ แต่เค้ากระวนกระวายไม่หยุด ผมไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่สัมผัสตัวเค้าและเริ่มสังเกตุจังหวะการหายใจ อยู่ๆก็มีความคิดแว่บมาในใจให้นำเค้าตามลมหายใจเพื่อตั้งสติก่อนตายโดยเปล่งเสียงกำหนดลมหายใจ หายใจเข้า พุทธ หายใจออก โธ กำหนอพุทโธร่วมกับผู้ป่วย เพื่อนผมเห็นดังนั้นเค้าก็ช่วยกำหนดร่วมกัน ส่งแรงใจไปให้เค้าผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปอย่างมีสติ เค้าจะได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี ผมและเพื่อนรับรู้ได้ว่าผู้ป่วยสงบลง หายใจเป็นจังหวะมากขึ้น ผมแผ่ส่วนบุญส่วนกุศล ให้เค้าไปดี หลังจากนั้นอีกไม่นานพยาบาลเค้าก็มารูดม่านปิดผู้ป่วยและแยกเราออกมา


เหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นผมยังจำได้เสมอไม่มีวันลืม แต่เป็นความทรงจำที่ดี และเป็นการเห็นความสำคัญของเวลาที่สำคัญที่สุดเวลาเดียว คือ “ปัจจุบัน”เป็นการเห็นด้วยใจอย่างแท้จริง ทุกวันนี้เวลาทำบุญแผ่เมตตาก็ยังระลึกถึงพระคุณของผู้ที่ถือว่าเป็นครูท่านนั้นเสมอ







“ จงจำไว้ว่ามีเวลาที่สำคัญที่สุดเวลาเดียว คือ “ปัจจุบัน”
ช่วงขณะปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นเวลาที่เราเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง
บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่เรากำลังติดต่ออยู่ คนที่อยู่ต่อหน้าเรา
เพราะเราไม่รู้ว่าอนาคตเราจะมีโอกาสได้ติดต่อกับใครอีกหรือไม่
และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือการทำให้คนที่อยู่กับเราขณะนั้นๆ
มีความสุข เพราะนั่นเป็นภารกิจอย่างเดียวของชีวิต

เราจะทำอย่างไรจึงจะสามารถอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับ
คนรอบข้างเรา ช่วยลดความทุกข์และเพิ่มความสุขแห่งชีวิต
เหล่านั้น..คำตอบก็คือเราต้องฝึกสติ”


จากหนังสือ ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ (The Miracle of Being Awake) , ติช นัท ฮันห์








วันสุดท้ายของการอบรม ทุกคนนั่งสมาธิร่วมกันเช่นเคย ผมนั่งไปซักพักก็เริ่มปวดขาด้านซ้ายอีกแล้ว แต่เราก็กำหนดรู้และตามลมหายใจไปเรื่อยๆ และแผ่กระแสแห่งความปรารถนาดีไปรอบๆร่างกายขยายไปจนหาขอบเขตไม่ได้ (วิธีปฏิบัติแผ่เมตตาได้เรียนรู้มาจากพระสุปัฏิปํณโณรูปหนึ่ง ) จน ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ใบหน้าของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ เพื่อนรัก ผู้มีพระคุณทั้งหลายรวมทั้งผู้ป่วยที่จากไปก่อเกิดเป็นนิมิตสว่างขึ้นมาภายในจิตใจ ความรู้สึกเหมือนโล่งสว่างวาบๆ ตัวเบาจับลมหายใจตัวเองไม่ได้อีกต่อไป แต่รู้ตัวว่าน้ำตาไหลอาบแก้มโดยไม่มีน้ำมูกเลยแม้แต่น้อย รู้สึกสุขมากๆ ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อนในชีวิต เป็นสุขที่หาไม่ได้จาก sex ,การอิ่มจากอาหารที่อร่อยหรือจากการท่องเที่ยวใดๆ พอสิ้นเสียงระฆังบอกถึงการสิ้นสุดแห่งการอบรม มีการแชร์ประสบการณ์กลุ่มกันครั้งสุดท้าย ผมบอกกล่าวได้เพียงแค่ว่า มาครั้งนี้ผมได้รับกระแสการแผ่เมตตาและการให้อภัยทั้งต่อตัวเองและต่อคนอื่นอย่างเต็มอิ่ม มันเหมือนการล้างจิตใจที่ขุ่นมัว ก้อนทุกข์ที่จุกอกมานานได้มลายหายไปนับตั้งแต่ออกจากสมาธิครั้งล่าสุดนี้ ผมอิ่มใจมาก และเรียนรู้สุขที่เหนือเงื่อนไขทางกายใดๆ



เหนือสิ่งอื่นใด ผมได้เรียนรู้ความสำคัญของเวลา ปัจจุบัน เรียนรู้ด้วยใจ การจากไปของคนคนหนึ่ง บันดาลให้มีการเกิดใหม่ของคนอีกคนหนึ่งในร่างเดิม ผมอิ่มใจและสุขใจที่ต่อไปชีวิตผมจะมีที่พึ่งนำทางชีวิตอย่างมั่นคงแล้ว ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ ได้เริ่มแตกหน่องอกงามในจิตใจผมบ้างแล้ว



ผมกลับมาทำงานเหมือนเดิมพร้อมกับเป็นคนใหม่ ความทุกข์ที่มีดูเหมือนไม่เหลือในใจ มีแต่แรงจูงใจที่อยากฝึกปฏิบัติให้มากยิ่งๆขึ้นไป และเริ่มที่จะศึกษาเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยใกล้ตายเพิ่มเติม รวมทั้งภาวนาให้มีสติและมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันอย่างแท้จริง




 

Create Date : 11 พฤศจิกายน 2552
2 comments
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2552 18:45:14 น.
Counter : 1392 Pageviews.

 

อ่านแล้วรู้สึกว่าอธิบายสภาวะที่อยู่ในใจได้ดีมากๆเลย รู้สึกได้ถึงความอิ่มเอิบและการมีเมตตาจากการฝึกปฏิบัติของผู้เขียนจ้ะ...

 

โดย: Unimpressionism 13 พฤศจิกายน 2552 13:17:09 น.  

 

เรื่องจากชีวิตจริง ไม่ได้แต่งเพิ่มครับ

 

โดย: babooztai 24 พฤศจิกายน 2552 11:05:56 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


babooztai
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





บุคคลธรรมดาที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวและงานศิลปะ มีความสุขทุกครั้งที่ได้ชื่นชมศิลปะและการท่องเที่ยว หวังว่าจะได้แชร์ความสุขกับเพื่อนร่วมทางทุกคนครับ











Google


Friends' blogs
[Add babooztai's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.