อวบระยะสุดท้าย
บทที่ ๑ เช้าวันจันทร์แสนปลอดโปร่งแสงอาทิตย์สาดส่องแสนสดใส ทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกเริ่มต้นวันใหม่ของอาทิตย์ได้ออกคืบคลานแหวกว่าย และโบยบิน หรือจะอากัปกิริยาอะไรก็แล้วแต่เหมาะสม ได้ออกไปทำมาหากินเพื่อประทังชีวิตกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตที่สุดแสนประเสริฐสุดบนโลกใบนี้...หรือมักเรียกตัวเองว่าแบบนั้นนั่นก็คือ มนุษย์ ก็กำลังรีบเร่งและเร่งรีบที่จะขวนขวายต่อสู้ ยืนหยัดให้สามารถเผชิญหน้ากับสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวโดยเฉพาะต้องเตรียมตัวเพื่อต่อกรพวกเดียวกันที่แสนโหดร้ายเสียยิ่งกว่ามหันตภัยธรรมชาติอยู่นั้นและหนึ่งในบรรดาผู้คนที่กำลังวุ่นวายแย่งชิงกันหาทางขึ้นพาหนะสาธารณะและรับจ้างที่วิ่งไวใจเร็ว หัวใจบริการคือข้าเท่านั้นเพื่อไปให้ทันยังสถานที่ที่พวกเขาต่างไปทำงานและแลกมาซึ่งกระดาษที่มีตัวเลขไว้แลกเปลี่ยนสิ่งของและสิ่งต่างๆที่พวกเขาต้องการเท่านั้น ก็คือสาวน้อยใบหน้ากลม แก้มยุ้ย หน้าตาจิ้มลิ้มตากลมโตสองชั้นนัยน์ตาสีดำขลับใสแจ๋วแต่แฝงร่องรอยความคิดวุ่นวายมากมายขนตางอนยาวเรียงตัวสวยเป็นแพ ริมฝีปากอวบอิ่มอันโดดเด่นแดงระเรื่อ ผิวเหลืองใสไม่เหลืองซีด พร้อมด้วยหุ่นอวบกำลังดีที่ระยะสุดท้ายใกล้พองลม สวมชุดกระโปรงเข้ารูปสีฟ้าใสที่รัดรึงจนแนบเนื้อกำลังโกยฝ่าเท้าน้อยๆ บุกตะลุยฝ่าดงการแย่งชิงลูกค้าและค้าขายในตลาดน้ำเจิ่งนองของเช้าวันใหม่ไม่ต่างอะไรกับผู้คนที่ขวักไขว่ไร้ซึ่งความสนใจในกันและกันรอบๆ ตัวเธอเช่นกัน เธอกึ่งเดินกึ่งวิ่งหอบหายใจเหนื่อยอ่อนและยิ่งเหนื่อยหนักขึ้นไปอีกก็เพราะเจ้ากระเป๋าเป้สัมภาระสีดำใบใหญ่มหึมาที่แบกประกบอยู่ด้านหลังมองดูคล้ายแม่เต่าตนุตัวใหญ่เตรียมตัวไปออกไข่ก็ไม่ปานไหนจะกระเป๋าสะพายสีฟ้าเข้ากับชุดรัดติ้วใบน้อยแสนกิ๊บเก๋ที่รัดแขนของเธอจนรู้สึกชาไปหมด...ทั้งชุดรัดแน่นกระเป๋าใบใหญ่ กระเป๋าใบน้อย รองเท้าเจ้ากรรมและความขุ่นใจเนื่องจากลืมตาตื่นขึ้นช้าในวันสำคัญนี้ทำเอาสาวน้อยร่างอวบริมฝีปากอวบอิ่มน่ารักคนนี้ต้องพ่นคำอุทานอย่างหงุดหงิดใจอย่างซ้ำไปซ้ำมาประโยคเดิมไปตลอดทางเดินเท้าจากหน้าอพาร์ทเมนต์ที่ถูกดัดแปลงมาจากอาคารพาณิชย์๓ ชั้นครึ่งสีน้ำเงินเข้มของเธอ รัดจริงเว้ยไม่น่าเล้ย ไม่น่าเลย ไอ้อนลนังอนลบ้า...ชุดสีฟ้าเข้ากับผมสีน้ำตาลหยักศกของแกดีนะ ชิ พูดมาได้แต่ฉันก็ดันโง่หลงเชื่อ โธ่เว้ย กิม หรือกิมุกาพันธนานุกร สาวน้อยขี้บ่น แถมขี้หงุดหงิดกึ่งวิ่งกึ่งเดินอย่างกระโผลกกระเผลกเลี้ยวหัวมุมตึกไปตามทางริมถนนด้วยรองเท้าส้นสูงหัวหมุดที่พึ่งซื้อมาใหม่เมื่อวานนี้พร้อมกระเป๋าสะพายไหล่กิ๊บเก๋ที่นังอนลหรืออนลเพื่อนรักตั้งแต่มหาวิทยาลัยเฟรชชี่ปีหนึ่ง ซึ่งตอนนี้เจ้ารองเท้าเริ่มอาละวาดกัดแทะเท้าเธอเหมือนสัตว์ป่าหิวกระหายตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอแตะต้องมันตามทางเดินเต็มไปด้วยน้ำสกปรกเจิ่งนองจากแม่ค้าพ่อขายมาร่วมกันทำความสะอาดหน้าแผงลอยร้านค้าของตนให้สะอาดแต่ของคนอื่นช่างมันอย่างพร้อมเพรียงกันเหมือนนัดหมายกันมาแต่เมื่อคืน นอกจากนี้ยังมีบางร้านที่เตรียมการจัดหน้าร้านยกข้าวของสินค้ามาวางเรียงรายระเกะระกะกันเต็มไปหมดเหมือนข้าวโพดแตกฝักกระจัดกระจายเฮ้อ ทั้งกล้วยทอด หมูปิ้ง ขนมปังปิ้ง และอาหาร ข้าวของเครื่องใช้อีกนานาชนิดและประโยชน์นานัปการเกินสรรพคุณจริง ซึ่งถึงแม้จะใช้เวลาบรรยายทั้งวันก็คงไม่หมดทำให้ร่างอันอวบอั๋นที่เต็มไปด้วยปริมาณไขมันเกินเกณฑ์ที่ความสูงแค่เพียง ๑๕๖ ซม.ของเธอต้องเบี่ยงหลบไปมาตลอดเส้นทางด้วยทักษะพลิ้วไหวดั่งสายน้ำที่ฝึกฝนมาสู้ชีวิตอย่างดีตั้งแต่ก้าวแรกที่เธอออกมาใช้ชีวิตเพียงลำพังนี้ตั้งแต่เข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยรัฐบาลชั้นนำณ เมืองฟ้าอมรแห่งนี้ แต่ทว่า... โอ๊ยเจ็บจังเลย เจ้ารองเท้าบ้า เจ้ารองเท้าตัวแสบเริ่มทำพิษอีกครั้งแต่ตอนนี้มันสายเกินกว่าที่เธอจะเปลี่ยนใจกลับไปเปลี่ยนเป็นรองเท้าผ้าใบคู่ใจอย่างที่ใจนึกจึงได้เพียงแค่เคลื่อนไหวร่างกายอย่างคล่องแคล่ว ว่องไวเพื่อตรงไปยังจุดหมายที่ป้ายรถเมล์อีก ๒๐๐ เมตรข้างหน้านี้ให้ได้ แต่รู้สึกทักษะที่ว่านี้ไม่สามารถทำให้เธอมาทันรถกระป๋องสองแถวคันเล็กซึ่งสามารถนั่งไปยังหน้าปากทางของซอยเล็กๆและเฉอะแฉะที่เธออาศัยอยู่ เพื่อไปต่อรถประจำที่จะนำพาเธอไปยังจุดมุ่งหมายสำคัญในชีวิตได้ จุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดในชีวิตของเธอที่ว่านั่นก็คือ งานประกวดนักเล่านิทานชิงแชมป์ประเทศไทย ประจำปี ๒๕๕๕ซึ่งผู้เข้าแข่งขันจำเป็นต้องมีอายุเกินกว่า ๒๐ ปีบริบูรณ์ขึ้นไปโดยงานประกวดในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากสมาคมนักเล่านิทานนานาชาติ โดยผู้ชนะจากการประกวดครั้งนี้จะได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศเพื่อเข้าไปแข่งขันการประกวดนักเล่านิทานนานาชาติที่ประเทศอังกฤษซึ่งถือว่าเป็นต้นตำรับการจัดประกวดและสนับสนุนมาตลอด๓๐ ปีที่ผ่านมา โดยงานจะมีจัดขึ้นทุกๆ ๒ ปีเพื่อจัดประกวดให้ได้นักเล่านิทานอันดับหนึ่งของโลกซึ่งผู้ชนะจะได้เดินทางเล่านิทานทั่วโลกตลอด ๒ ปี ส่วนของรางวัลอื่นๆยิ่งไม่ต้องพูดถึง นอกจากได้เงินรางวัลชนะเลิศกว่า ๔๐,๐๐๐ ยูโรแล้วยังจะได้สิทธิพิเศษรับวรรณกรรมเด็กจากทุกมุมโลกไว้อ่านฟรีตลอดชีวิตและสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมายแต่สำหรับกิมุกาไม่ได้ฝันไปถึงได้รับตำแหน่งแชมป์นักเล่านิทานระดับโลกขนาดนั้นแต่เธอต้องการจะทำเดินตามรอยความฝันของแม่ผู้ลาจากโลกนี้ไปแล้วของเธอให้ได้ แม่เป็นคนสวยผมเหยียดตรงเงางาม ดวงตาเรียวรีดูดีมีเสน่ห์และมีพรสวรรค์ทางด้านมธุรสวาจาอย่างมากไม่ว่าแม่จะพูดหรือเล่าสิ่งใดก็มีแต่คนหลงใหลและปลาบปลื้มไปกับเรื่องที่แม่เล่านั้น ไม่ว่าจะหยิบจับสิ่งใดๆบนโลกทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิตแม่ก็สามารถนำมายำรวมกันจนน่าฟัง และน่าติดตามใครฟังแล้วก็เหมือนดั่งต้องมนต์สะกดถอนตัวออกไปไม่ได้ ต้องอยู่ฟังและติดตามจนกว่าเรื่องที่แม่เล่านั้นจะจบ มีสำนักพิมพ์วรรณกรรมเยาวชนและสื่อต่างๆมากมายที่หยิบยื่นโอกาสดีๆ ให้แม่ได้เป็นนักเขียนนิทานหรือวรรณกรรมเด็กซึ่งเป็นเส้นทางที่ถูกปูด้วยชื่อเสียงเงินทองไหลมาเทมาไม่หมดไม่สิ้นแต่แม่เป็นคนมุ่งมั่นเมื่อตัดสินใจเลือกทางเดินแล้ว จึงไม่มีการไขว้เขวแม่มุ่งหน้าตะลุยเก็บคะแนนจากการประกวดเล่านิทานทั้งเล็กและใหญ่หลายเวทีทั่วประเทศแสดงฝีมือที่สวรรค์ประทานให้เต็มเปี่ยมอวดสายตาทุกคู่ที่จับจ้อง จนในที่สุดคะแนนสะสมของแม่ก็พุ่งทะยานติดอันดับและได้รับการคัดเลือกให้เป็น๑ ในนักเล่านิทาน ๑๓ คนของนักเล่านิทานทั่วประเทศเพื่อเข้าแข่งขันในการแข่งขันใหญ่ครั้งสุดท้ายประจำปีในปีนั้นทุกคนทั้งผู้แข่งขันอีก ๑๒ คนและคนอื่นๆ ที่อยู่ทั้งในวงการและนอกวงการนักเล่านิทานต่างเล่าขานว่าแม่คือนางฟ้านักเล่านิทานตัวจริงและต้องเป็นผู้ชนะตำแหน่งนักเล่านิทานระดับประเทศในปีนั้น ไม่สิ ไม่ใช่แค่นั้น แม่จะต้องได้ตำแหน่งนักเล่านิทานระดับโลกและมีชื่อเสียงไปตลอดกาลแน่นอน แต่แม่ก็ต้องมาพลาดการเข้าประกวดระดับประเทศครั้งสุดท้ายในครั้งนั้นเพราะประสบอุบัติเหตุกระดูกข้อเท้าหักจากรถมอเตอร์ไซด์ชนระหว่างเดินทางไปประกวดซึ่งผู้ขับรถคันนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพ่อสุดเฉิ่ม แสนเชยของเธอเองและไม่รู้จับพลัดจับผลูอีท่าไหน ๒ คน ๒ ขั้วที่ต่างทั้งบุคลิก รูปร่างหน้าตา และชนชั้นวรรณะนี้ถึงมาสร้างครอบครัว และผลิตลูกเล็กๆ ที่น่ารัก ๒ คนออกมาเป็นพี่สาวแสนสวยผู้สมบูรณ์แบบเจ้าของสำนักพิมพ์นิยายรักชื่อดังติดอับดับต้นๆของประเทศไทยในขณะนี้ซึ่งรับพันธุกรรมความงามและความฉลาดหลักแหลมมาจากแม่ของเธออย่างพรั่งพร้อมและตัวเธอผู้รับความเฉิ่มเชยและชอบมองโลกในแง่ร้ายเช่นเดียวกับพ่อของเธอดั่งพิมพ์สำเนาถูกต้องแต่ถึงกระนั้นพระพรหมผู้สร้างจอมเกเรก็มิได้กลั่นแกล้งให้กิมุกาต้องรันทดไปมากกว่านี้เพราะท่านได้ถ่ายทอดพรสวรรค์ด้านมธุรสวาจาและความสร้างสรรค์ซึ่งบางครั้งก็ออกแหวกแนวอย่างเช่น การตั้งชื่อลูกของแม่เธอซึ่งมันได้ส่งผ่านมายังเธออย่างเต็มเปี่ยมมิมีผิดเพี้ยน ซึ่งก็พอทำให้เธอภูมิใจบ้างหลังจากแม่มีพี่สาวเธอได้ไม่นานนัก แม่ก็ละทิ้งความฝันของตัวเองทุกๆ อย่างและมุ่งดูแลเอาใจใส่และเลี้ยงดูฟูมฝักลูกสาวน้อยทั้ง ๒ คนที่แม่รักให้มีความสุข เหตุการณ์พลิกผันก็เกิดขึ้นกับชีวิตครอบครัวของเธออีกครั้งเมื่อกิมุกากำลังเรียนอยู่ระดับชั้น ป.๔ แม่และพ่อก็ไป...จากไปแบบไม่มีวันกลับจากไปพร้อมนิทาน เรื่องเล่า และความรักความอบอุ่นที่ท่านทั้งสองมีให้พี่สาวและตัวเธออย่างล้นเหลือจนหมดหัวใจอุบัติเหตุทางรถยนต์จากพวกเมาแล้วขับเป็นต้นเหตุที่คร่าชีวิตพวกท่านกิมุกาก็ตั้งปณิธานว่าเธอจะนำพรสวรรค์ด้านการสร้างสรรค์เรื่องและเล่านิทานที่แม่ทิ้งไว้ให้นี้ สานฝันของแม่ให้สำเร็จจงได้ แต่ตอนนี้อาจจะสายไปเสียแล้วก็ได้...เฮ้อ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กิมุกาซึ่งตอนนี้ยืนอย่างหมดอาลัยตายอยากหน้างอง้ำ ดวงตากลมโตของเธอหรี่เล็กลงมองค้อนควักไปมาใส่ท้องฟ้าอย่างโมโหมืออวบอิ่มเต็มเนื้อกวัดแกว่งกระเป๋าถือใบกระจิ๋วสีฟ้าเข้ากับสีชุดเดรสตัวใหม่ซึ่งใบมันช่างเล็กไม่เหมือนกระเป๋าสะพายหลังคู่ใจของเธอแม้แต่น้อยจุใส่อุปกรณ์ยังชีพของเธอได้ไม่ถึงครึ่ง จะชูแขนขึ้นฟ้าโบกรถก็ทำได้อย่างไม่ถนัดนักเพราะสายกระเป๋ามันสั้น เอ่อ หรือจริงๆ แล้วต้นแขนเธอใหญ่เกนิก็ไม่รู้ แถมยังมีเจ้ากระเป๋าเป้ใบเขื่องน้ำหนักเต็มพิกัดที่คอยรั้งดึงตัวเธอจากด้านหลัง โธ่เว้ยอะไรกันนักกันหนาเว้ย กิมุกากู่ร้องอย่างโมโหและหงุดหงิดใจ นี่เธอซื้อกระเป๋าใบจิ๋วหลิวนี้มาให้เกะกะได้ไงกันนะ อ๋อ จำได้แล้วเพราะคำแนะนำของนังอนลเจ้าแห่งความคิดและบ่างช่างยุคนเดิมว่ามันจะสามารถช่วยดึงดูดและเสริมสง่าราศีให้เธอดูเป็นมืออาชีพในการไล่ล่าจุดหมายสำคัญในวันนี้อีกนั่นแหละแต่ไปๆ มาๆ ทำไมเจ้ากระเป๋าเจ้ากรรมนายเวรนี้ดันมาคอยถ่วงเวลาเธอม้วนตัวไปเกี่ยวนั่นเกี่ยวนี่ตามร้านค้าแผงลอยตลอดเส้นทาง กิมุกาพรั่งพรูสบถสาบานสาปแช่งลม ฟ้าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ กลุ่มเมฆ เสื้อผ้าแสนอุบาทว์กระเป๋าเป้กระเหรี่ยงขนอุปกรณ์เล่านิทานแสนหนักอึ้งและกระเป๋าสะพายข้างเจ้ากรรมนายเวรที่คอยเป็นอุปสรรคในการเดินทางของเธอและอะไรต่างๆที่เธอพอจะคิดถึงได้ในตอนนั้นอย่างคับแค้นใจต่ออีก ๑ กระบวนความ บ้าชะมัดเลยถ้าเมื่อคืนไม่มัวนอนดูดวงจันทร์ทรงกรดก็ไม่ต้องมาตื่นสาย อากาศก็ร้อนแทบบ้า พึ่งจะแปดโมงครึ่งเองนะแดดออกทำไมเนี่ยเมฆสักก้อนจะมาบังแดดก็ไม่มี ลมก็ไม่พัดสักวูบ ต้นไม้สักต้นก็ไม่มีให้บังแดดแล้วนี่ไอ้เสื้อผ้าบ้านี่ก็รัดติ้วหายใจแทบไม่ออก รองเท้าทุเรศนี่ก็กัดกระจายไอ้กระเป๋าเฮงซวยนี่อีกทำไมใบเล็กๆ แบบนี้ ยาดมหายไปล่ะเนี่ยแล้วนังกระเป๋าเข่งกระเหรี่ยงนี่อีก โธ่เว้ย แล้ววันนี้ฉันจะไปทันได้ยังไง ทำไมถึงเป็นแบบนี้นะฉันมันจะโชคร้ายตลอดปีตลอดชาติหรือไงวะเนี่ย แต่ก็ยังดีนะที่ฟ้าเปิดถ้าฝนตกไปไม่ทันแน่นอนเลย แต่รู้สึกว่าคำบ่นพร่ำเพ้อผสมสาปแช่งนั้นจะรับรู้ถึงพระพิรุณพระอาทิตย์ พระจันทร์ และเหล่ามวลหมู่เมฆผู้พักผ่อนอยู่เบื้องบนหรืออย่างไรไม่ทราบเพราะเมื่อพูดยังไม่ทันขาดคำ ความโล่งอกยังไม่ทันจางหายเมฆดำทะมึนสีเทาเข้มลอยต่ำกลุ่มใหญ่มาจากที่ไหนไม่ทราบได้พัดผ่านมาทาบทับอยู่บนศีรษะซึ่งปรกคลุมไปด้วยผมสีน้ำตาลเข้มแสนยุ่งเหยิงหยิกฟูของเธอพอดี...ซวยล่ะสิ ครืน...ครืน ท้องฟ้ามืดครึ้มเหมือนกลางคืนฉับพลันจนทำให้สามารถมองเห็นดวงจันทร์ดวงกลมโตเหมือนผลส้มสีซีดใกล้ๆ เหมือนดั่งยามรติกาลยัง เท่านั้นยังไม่พอเพราะยังอุตส่าห์มีเสียงฟ้าร้องดังลั่นเหมือนในนิยายสยองขวัญสั่นประสาทแบบสยดสยองที่เมื่อฟ้าผ่าทันใดฆาตกรโรคจิตจะโผล่มาในชุดคลุมฝนสีดำรองเท้าบู๊ทคู่โตมีน้ำฝนหยดลงมาติ๋งๆจากรองเท้าคู่เก่าน่าเกลียดนั่นแล้วโผเข้ามาปาดคอตัวละครผู้โชคร้ายที่เผอิญเปิดประตูให้ในแบบฉบับหนังฮอลลีวู้ดแดนมะกันอย่างไรอย่างนั้นทำเอาสาวน้อยแก้มกลมหยุดชะงักการบ่นพึมพำเป็นปลิดทิ้ง อะไรกันเมื่อกี้นี้แดดยังเปรี้ยงอยู่เลย ทำไมฟ้าปิดฝนเตรียมลงเม็ดแล้วล่ะเนี่ย ซวยแล้วสิ ก็จะไม่ให้ซวยได้ยังไงในเมื่อตอนนี้กิมุกายังไม่เห็นวี่แววว่าจะมีรถประจำทางขนาดเล็กขับแบบหวานเย็นถึงก็ช่างถ้าถึงเดี๋ยวบอกที่จะช่วยพาเธอออกจากซอยแม้แต่น้อยส่วนเจ้าป้ายรถประจำทางที่ยืนอยู่นี้ก็เป็นแบบ Outdoor ไร้หลังคาคลุมแดดคลุมฝนมีแค่เพียงป้ายเล็กๆ เก่าๆ สีน้ำเงินขึ้นสนิมที่ยังพอมองเห็นตัวอักษร บ่งบอกว่าเป็นที่ยืนรอยวดยานขององค์การขนส่งมวลชนยมองโดยรวมยังไง้ ยังไง กิมุกาก็ไม่สามารถหาซอกหลืบให้หลบอะไรได้เลยอย่าว่าแต่ฝนเลย ที่หลบแดดสักนิดก็ยังไม่มีเป็นแบบเปิดกว้างรอรับสายฝนโปรยปรายสุดฤทธิ์ขนาดนี้ ถ้าพระพิรุณทรงโปรยปรายน้ำอมฤตลงมา...เอาแค่แบบประปรายนะเธอจะรอดจากที่นี่ไปยังสถานที่แห่งนั้นทันได้อย่างไรกัน คงต้องหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้ดลบันดาลเจ้าชายขี่ม้าขาว...ไม่สิไม่เอา ม้ามันช้าไป ขอเป็นเจ้าชายขี่มอเตอร์ไซด์และวิ่งซอกแซกได้เหมือนงูเลื้อยไปตามช่องแคบมะละกาบนถนนที่เต็มไปด้วยรถราคับคั่งเหมือนก่อม็อบวันสิ้นโลกแบบนี้ด้วยเถิด...สาธุ แต่โลกนี้ไม่เคยใจดีสำหรับฉันอยู่แล้วนี่จะหวังอะไรกันล่ะ เอาเป็นว่าเดินเท้าไป ๑๕ นาทีก็ถึงถนนใหญ่เรียกรถแท็กซี่แพงหูฉี่ต่อก็แล้วกัน แต่ในขณะที่เธอขะมักเขม้นนำพาตัวเองไปสู่ถนนใหญ่หารถต่อไปยังจุดหมายปลายทาง เพื่อเข้าแข่งขันให้ทันนั้นก็มีเสียงบางอย่างฉุดดึงเธอให้หยุดฝีเท้าและหันไปมองทันที ปังๆๆๆๆ ฮ่าๆๆๆร้องเหมียวๆ เดี๋ยวก็มาเหรอ แน่จริงลงมาสิวะ ไอ้เหมียวกะหร่อง หยองกรอด เสียงเด็กชายหญิงตะโกนกู่ร้องกันอย่างสนุกสนานดังขึ้นหลังจากเสียงประทัดชุดใหญ่จบลงที่ได้ใต้ต้นก้ามปูขนาดมหึมามีผ้าแถบ๗ สีพันล้อมรอบ และธูปมาสักการะบูชาของพวกแม่ค้าพ่อค้าในซอยซึ่งยืนตระหง่านอยู่ริมรั้วอิฐมอญที่สูงใหญ่และตกแต่งแกะสลักอย่างสวยงามอลังการงานสร้างไม่ไกลจากจุดที่เธอยืนอยู่นัก มี้ๆๆๆๆ เสียงร้องขอความช่วยเหลือและโหยหวนเจ็บปวดปิ่มขาดใจของเจ้าวัตถุกลมฟูสีน้ำตาลเข้มถุงเท้าขาวตัวน้อยบนต้นไม้ช่วยเรียกความสนใจให้เธอต้องหยุดการกระทำทุกอย่างและตรงเข้าไปยังสถานที่เกิดเหตุ...เกิดอะไรขึ้น อย่าบอกนะว่า คำถามในใจของเธอถูกตอบรับด้วยโลหิตที่ไหลลงมาจากขาเจ้าแมวน้อยและค่อยๆไหลหยดลงมายังพื้นด้านล่าง เจ้าเหมียวน้อยพยายามตะเกียกตะกายขึ้นไปสูงที่สุดเท่าที่มันจะทำได้เพื่อให้รอดพ้นจากมัจจุราชฟันน้ำนมเหล่านี้ แรงโทสะแล่นเป็นริ้วๆขึ้นมาจนอัดแน่นแถวลิ้นปี่ กิมุกานอกจากรักการเล่านิทานเป็นอันดับหนึ่งแล้วสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าแมวนี้ถือเป็นสิ่งที่รักอันดับสองรองลงมาถึงแม้จะไม่มีโอกาสได้เลี้ยง เพราะต้องย้ายที่อยู่บ่อยๆ ก็ตามที ไม่เอาน่าหนูๆรังแกสัตว์ไม่ดีนะคะ เป็นบาป ตกนรกด้วย เชื่อพี่คนสวยนะคะ เนื่องจากเจ้าอาชญากรตัวแสบที่แสนเยาว์วัยนี้กิมุกาจึงกัดฟัน ยิ้มสู้ พูดอบรมอย่างไพเราะ นรกมีจริงที่ไหนกันล่ะยายป้าอ้วนแล้วยังซื่อบื้ออีก เด็กน้อยวัยฟันน้ำนมและฟันแท้ยังไม่ครบ ๖ คนประสานเสียงตอบ และหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน...อ้าว เจ้าพวกเด็กแก๊งค์เดอะ มาร์เก็ต พูดแบบนี้ก็สวยสิ ด้วยทั้งภาพน้องเหมียวเจ็บปวดเสียงร้องคร่ำครวญอย่างหวาดกลัว อีกทั้งยังแถมด้วยคำพูดชวนปวดหัวใจของเจ้ากลุ่มเด็กปีศาจแก๊งค์เดอะ มาร์เก็ต หรือเด็กๆ ตลาดสดนี้ ทำให้โหมดนางงามหน้าใสหัวใจรักเด็กที่ตั้งใจจะทำให้สำเร็จเป็นฝันที่สองต่อจากนักเล่านิทานมลายหายสิ้นเหลือไว้แต่อีสาวอันตรายขบเด็กมาแทนที่ กิมุกาคำรามด้วยเสียงอันน่ากลัวและตั้งหน้าตั้งตาวิ่งไล่ขบ เอ๊ยกวดเด็กน้อยจอมเกเรที่น่าสงสารกลุ่มนั้นจนแตกกระเจิงก่อนเดินกลับมาเหนื่อยหอบใต้ต้นก้ามปูอันศักดิ์สิทธิ์นั้น แฮ่กๆๆใจเย็นๆ นะเจ้าเหมียว ฉันจะไปช่วยแกเอง ถึงปากบอกจะไปช่วยแต่สมองก็ยังมึนๆ งงๆอยู่ว่าเธอจะหาทางตะกายร่างอวบกำลังดีนี้ขึ้นไปบนต้นก้ามปูสูงระเสาไฟฟ้านี้ได้อย่างไรจะหาคนช่วยบ้านพวกคนรวยแถวนี้ก็คงไม่มีใครเปิดออกมาช่วยลูกแมวจรจัดที่บาดเจ็บนี้อย่างแน่นอนหรือจะย้อนกลับไปในตลาด พ่อค้าแม่ขายพวกนั้นก็คงไม่มีทางละมือมาเช่นกัน...ทำไงดีหว่า กิมุกาคิดทบทวนอยู่พักใหญ่แล้วก็ถอนหายใจออกมาดังๆ ๓ ที มันคงไม่ช้ากว่านี้หรอกน่าแท็กซี่หน้าปากซอยมีถมเถไป พูดจบสาวร่างอวบก็โยนบรรดาสัมภาระติดตัวไว้ที่รากอันใหญ่มหึมาของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นี้แต่ถอดรองเท้าเจ้ากรรมนายเวรที่เป็นแบบสายรัดแน่นหนาทำตัวมีดีเกินคุณภาพจริงออกไม่ได้จึงต้องใช้วิชาที่ติดตัวมาตั้งแต่สมัยอยู่บ้านนอก ป่ายปีนขึ้นไปอย่างทุลักทุเลทันที เพียงไม่ถึงอึดใจกิมุกาก็ไต่ขึ้นมาจนถึงจุดที่เจ้าลูกบอลสีน้ำตาลขนปุยอยู่ซึ่งก็คือบนกิ่งก้ามปูที่อีกไม่กี่กิ่งก็ถึงยอดแล้ว...มันขึ้นมาได้ยังไงเนี่ย เมี้ยวๆๆๆมามะเจ้าเหมียว ฉันมาช่วยชีวิตหนูนะจ๊ะ เดินมานี่เร็วฉันพาลงไปทำแผลข้างล่าง คำเรียกขานแสนอ่อนโยนมิได้ทำให้เจ้าเหมียวขี้ระแวงกระเถิบตัวเข้ามาใกล้แม้แต่น้อยยิ่งกิมุกาพยายามยื่นมือเข้าไปใกล้เท่าไร เจ้าเหมียวก็จะยิ่งกระเถิบตัวถอยห่างไปปลายกิ่งเท่านั้นจึงทำให้ปากแผลที่สะโพกของมันเริ่มมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด นี่ฉันคนรักแมวนะทาสแมวน่ะรู้จักไหม รีบๆ มานี่เร็วสิ ฉันจะเกาะไม่ไหวแล้วนะ กิมุกาตะโกนเรียกเจ้าลูกแมวผอมกระหร่องอย่างตื่นตระหนกไม่ใช่แค่เพราะเจ้าขนฟูขี้ระแวงเลือดออกมาเกินไปแล้วแต่เพราะตอนนี้เธอก็เริ่มทนทานแรงโน้มถ่วงจากน้ำหนักเกินของตัวเองไม่ให้ร่วงหล่นลงพื้นไม่ไหวแล้วเช่นกัน เอาวะเป็นไงเป็นกัน กิมุกาตัดสินใจโหนตัวจากลำต้นพุ่งทะยานไปยังลำกิ่งที่เจ้าเหมียวอยู่ซึ่งก็ได้ผลเกินคาดสำหรับสาวร่างอวบ เพราะเธอโหนเพียงทีเดียวก็ไปถึงกิ่งเดียวกับเจ้าเหมียวแล้ว อะฮ่าให้มันรู้เสียบ้าง ไผเป็นไผ แต่สิ่งที่เธอลืมคาดคิดไปก็คือนี่เป็นสิ่งที่มีชีวิตและมีสัญชาติญาณการเอาตัวรอดอย่างยิ่งยวดดังนั้นภาพที่ได้ออกมา...เจ้าลูกแมวขี้ระแวงซึ่งกำลังหวาดกลัวและบาดเจ็บนี้ก็พุ่งทะยานตัวสุดแรงเกิดและใช้ขาเล็กๆแต่แข็งแรงถีบไปบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อและมันแผล่บของกิมุกาดั่งกับว่ามันเป็นสปริงบอร์ดก็ไม่ปานมันดีดตัวดึ๋งจากกิ่งก้ามปูใหญ่นี้ไปสู่ขอบรั้วของบ้านขนาดราชวังด้านล่างได้อย่างปลอดภัยส่วนกิมุกาซึ่งกลายสภาพจากสาวน้อยร่างอวบแสนสดใสไปเป็นสปริงบอร์ดให้เจ้าเหมียวตัวแสบเด้งตัวไปอย่างปลอดภัยแล้วแต่ตอนนี้เธอตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากทิ้งตัวดิ่งห้อยต่องแต่งด้วยแขนอันอ่อนล้าทั้งสองข้างอย่างหวาดเสียวบนต้นไม้ที่สูงเกือบเท่าตึกสองชั้น โอเค.ฉันเกลียดแมวแล้วล่ะ กิมุกาถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง...ฉันไปไม่ทันงานประกวดแน่ๆและอาจจะเสียชีวิต ณ ต้นไม้นี้ก็ได้ แต่แล้วความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาให้ศีรษะเล็กๆกลมสวยของเธอเมื่อกิมุกาหันหน้าไปพบกับหน้าต่างกระจกติดฟิล์มดำมืดที่อยู่ในระยะไม่เกิน ๕เมตรจากจุดที่เธอห้อยตัวอยู่ กิมุกาหรี่ตามองอย่างชั่งใจ ก่อนตัดสินใจเหวี่ยงตัวด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีไปทิศทางของหนทางรอดสุดท้ายของเธอพร้อมกับตั้งส้นเข็มเหล็กของรองเท้าตัวแสบนี้ไปทิศทางนั้นทันที
Create Date : 24 พฤศจิกายน 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2555 21:29:45 น. |
Counter : 1065 Pageviews. |
|
|
|