ลูกแก้วเมียขวัญ : ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย
ชื่อหนังสือ : ลูกแก้วเมียขวัญเขียนโดย : ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัยพิมพ์ครั้งแรก: มีนาคม ๒๕๔๐สำนักพิมพ์ : มติชนจำนวน ๓๒๐ หน้า ราคา ๑๙๕ บาท กระซิบก่อนอ่าน "สตรี" ในสังคมไทยมีบทบาทซับซ้อนอย่างยิ่งไม่มีทั้ง "อำนาจ" และฐานะของ "ผู้นำ" ในสังคมถูกบดบังด้วบบทบาทของ "บุรุษ" มาโดยตลอดแต่ในฐานะของ "แม่-เมีย และ ลูก" แล้วกลับมีพลานุภาพมหาศาลแฝงเร้นอย่างล้ำลึกแยบยลเป็นพลานุภาพอันถ่ายทอดด้วยอารมณ์ความรู้สึกรักใคร่อาทร อ่อนดยนทะนุถนอมบทบาทของสตรีในประวัติศาสตร์จึงเป็นภาพที่รางเลือนไม่มีปรากฏอยู่ในพระราชพงศาวดารเล่มใดศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย ใช้ความอุตสาหะอยู่ไม่น้อยในการรวบรวมข้อมูลจากเอกสารนานา เข้ามาคุมเป็นเรื่องราวเพื่อนำบทบาทของสตรีในพระราชสำนักฝ่ายในของสยามซึ่งอยู่ใกลิชิดองค์พระมหากษัตริย์เสนอให้ปรากฏกระจ่างชัด ขอบคุณรายละเอียดและภาพปกจาก... MatichonBook ... นะคะ แวะเคาะประตูร้านหนังสือ บันทึกหลังอ่าน ลูกแก้วเมียขวัญ เป็นหนังสือที่บอกเล่าพระประวัติของเจ้านายที่เป็นสตรีในรั้วในวัง ซึ่งแต่ละพระองค์ทรงมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่ทรงมี ทรงเป็นคล้ายคลึงกันคือ การเข้ารับราชการสนองพระเดชพระคุณใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ความเจริญรุ่งเรืองและมั่นคงของชาติตราบจนปัจจุบัน ทว่าเรื่องราวของฝ่ายในนั้นกลับไม่เป็นที่ปรากฏในพระราชพงศาวดาร เพราะภาระหน้าที่ทั้งหมดจำกัดอยู่แต่เพียงในส่วนของที่เรียกว่า "ฝ่ายใน" หลังอ่าน ลูกท่านหลานเธอ ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในราชสำนัก จบ หวานเย็นก็หยิบ ลูกแก้วเมียขวัญ มาอ่านต่อทันที (แต่ไม่ได้รีวิวต่อกันอะค่ะ ดองรีวิวอีกตามเคย ) ซึ่งในเล่มนี้นั้น คุณศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย ได้ทำการรวบรวมเรื่องราวของ หม่อมห้ามนางใน ที่เข้าข่ายของ ลูกแก้ว หรือ เมียขวัญ ไว้โดยเฉพาะเท่านั้น ซึ่งจากการอ่านจะพบว่าแต่ละพระองค์มีพระราชอัธยาศัย และพระปรีชาสามารถในด้านที่แตกต่างกันออกไป และด้วยภาระหน้าที่และบทบาทนั้น ๆ อาจกล่าวได้ว่า สตรีคือเบื้องหลังความสำเร็จของบุรุษ เริ่มจาก ลูกแก้ว ในพระมหากษัตริย์ไทย กรมหลวงโยธาเทพ พระราชธิดาผู้ทรงอิทธิพลในราชสำนักสมเด็จพระนารายณ์ฯ กรมหลวงโยธาเทพ พระราชธิดาพระองค์เดียวในสมเด็จพรานารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงเป็นขัตติยราชนารีที่สมเด็จพระราชบิดาทรงอบรมเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดด้วยพระองค์เอง ... สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงอบรมเลี้ยงดูพระราชธิดาอย่างใกล้ชิด โดยมิได้ทรงคำนึงถึงขนบธรรมเนียมประเพณีในราชสำนักดังเช่นพระมหากษัตริย์พระองค์อื่น ๆ ประกอบกับเป็นช่วงเวลาที่ไทยมีสัมพันธไมตรีติดต่อกับประเทศทางยุโรปบางประเทศ ได้รับวัฒนธรรมบางประการมาใช้ จึงทรงมีพระราชดำริและวิถีปฏิบัติแตกต่างจากบูรพกษัตริย์ทั้งปวง ทรงทั้งตามพระทัย ยกย่องพระราชทานพระเกียรติยศและอำนาจให้พระราชธิดาพระองค์เดียวอย่างล้นเหลือ อย่างที่มิเคยมีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดทรงปฏิบัติต่อพระราชธิดามาก่อน ปรากฏหลักฐานในบันทึกของบาทหลวงตาชาร์ดซึ่งเดินทางเข้ามาไทยพร้อมกับคณะทูตของลาลูแบร์ ใน พ.ศ.๒๒๒๙ กล่าวถึงเรื่องราวนี้ว่า "--พระเจ้ากรุงสยามผู้เป็นพระชนกทรงรักใคร่โปรดปรานสมเด็จพระราชธิดาเป็นอันมาก และได้ทรงมอบการฝ่ายในให้อยู่ในความดูแลของสมเด็จพระราชธิดา--การตัดสินถ้อยความและคดีต่าง ๆ ในระหว่างผู้หญิงฝ่ายในนั้นตกอยู่ในหน้าที่ของสมเด็จพระราชธิดา--" ... เมื่อพระราชธิดาทรงเจริญพระชันษาพอสมควร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสิทธิพิเศษให้ทรงมีอำนาจอิสระในการควบคุมบังคับบัญชาปกครองดูแลข้าราชสำนักและข้าราชการทั้งหทารและพลเรือนจำนวนหนึ่ง เรียกว่า กรม มี หลวงโยธาเทพ เป็นเจ้ากรม คนทั่วไปจึงเรียกพระนามพระราชธิดาว่า เจ้ากรมหลวงโยธาเทพ เรียกสั้น ๆ ว่า กรมหลวงโยธาเทพ คู่กับ เจ้ากรมหลวงโยธาทิพ หรือ กรมหลวงโยธาทิพ ซึ่งมี พระเจ้าน้องนางเธอเจ้าฟ้าศรีสุพรรณ เป็นผู้ควบคุมบังคับบัญชาการสถาปนาให้อำนาจในการบังคับบัญชากรมดังนี้ เป็นต้นแบบการสถาปนาพระอิสริยยศเจ้านายให้ทรงกรมในกาลต่อมาจนปัจจุบัน นี่คือที่มาการสถาปนาพระอิสริยศเจ้านายให้ทรงกรมในยุคหลัง ๆ กระทั่งในปัจจุบันก็ยังคงยึดถือปฏิบัติต่อกันมาเป็นราชประเพณีน่ะค่ะ พราะเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวรเสรฐสุดา ราชนารีผู้เมินคุณสมบัติกุลสตรี พระองค์เจ้าหญิงบุตรี ซึ่งทรงได้ชื่อว่าเป็นพระราชนารีที่มีแนวพระดำริ ความสนพระทัย ตลอดจนพระจริยวัตรที่ผิดแผกแตกต่างจากพระราชนารีรุ่นเดียวกันโดยสิ้นเชิง ด้วยทรงสนพระทัยเฉพาะวิชาการด้านหนังสือแต่เพียงอย่างเดียว ในส่วนวิชาตามแบบกุลสตรีโบราณ อันได้แก่งานฝีมือ และงานด้านประณีตศิลป์ต่าง ๆ ไม่ทรงให้ความสนพระทัย จนถึงขั้นทรงทำไม่เป็นเลยก็ว่าได้ ดังที่ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระนัดดาซึ่งเคยอยู่ในพระอุปถัมภ์พระองค์หนึ่ง ทรงกล่าวถึงพระองค์เจ้าหญิงบุตรีว่า "--เสด็จป้าของเราได้รับความฝึกหัดในวิชาของผู้ชายเป็นพื้น ศิลปของผู้หญิง เช่น เย็บ ปัก ถัก ร้อย ทำอาหาร ที่สุดจนเจียนหมากจีบพลู เรายังไม่เคยเห็นท่านทำเองเลย เขาว่าท่านทำไม่เป็นด้วย--" ... ...แต่อย่างไรก็ตามความเป็นขัตติยราชนารีของพระองค์ยังจำกัดไว้มิให้พระองค์ได้ทรงรับรู้วิทยาการใหม่ ๆ เท่าเทียมกันกับบุรุษ จึงทรงเชี่ยวชาญเฉพาะอักขรสมัย หนังสือไทย ประเภท ธรรมะ ตำนาน วรรณคดี มีโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน กลบทต่าง ๆ อันเป็นวิชาเหมาะแก่สตรี นอกจากนี้ ยังทรงศึกษาเกี่ยวกับวิชาเลขอย่างไทย วิชาดาราศาสตร์ จนทรงสามารถสอนลูกศิษย์ให้มีความรู้วิชาดังกล่าวเป็นพื้นฐานเบื้องต้น...ถึงแม้เวลาจะผ่านไปแสนนาน แต่แนวพระดำริอันแปลกแยกจากสมัยและพระกรณียกิจอันเป็นคุณแก่ประเทศชาติ โดยผ่านทางเหล่าศิษย์สำนักพระเจ้าราชวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุตรี ซึ่งถือกันว่าทรงเป็น "ครูคนแรก" นั้น ยังคงเป็นที่จดจำและเล่าขานสืบมาจนปัจจุบัน น่าเสียดายนะคะ หากไม่มีข้อจำกัดใด ๆ พระองค์ท่านน่าจะได้ทรงรับรู้วิทยาการใหม่ ๆ เทียบเท่าบุรุษจริง ๆ และพระกรณียกิจของพระองค์คงจะยังประโยชน์แก่ประเทศชาติได้อย่างกว้างขวางสมพระฐานะ ครูคนแรก ยิ่ง ๆ ขึ้นไป สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ผู้ทรงนำสตรีไทยสู่โลกสมัยใหม่ ...ทรงมีทัศนคติการมองโลกที่กว้างขวางและถ่องแท้ ซึ่งทำให้ทรงสามารถที่จะปรับพระองค์และพระทัยให้เข้ากับกระแสแวดล้อมที่เลื่อนไหลอย่างรวดเร็วได้โดยมิทรงลำบาก แต่ก็มิได้ทรงละทิ้งความเป็นขัตติยราชนารีในทุก ๆ สถานการณ์ อย่างเช่นครั้งเสด็จร่วมพิธีเปิดสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์ ในโอกาสครบ ๑๕๐ ปี แห่งการสถาปนากรุงเทพมหานคร ในครั้งนั้นมีข่าวเล่าลือว่าจะมีการกบฏเกิดขึ้น สมเด็จเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ทรงแต่งฉลองพระองค์งดงามเป็นพิเศษด้วยซิ่นหางกระรอกสีเหลือง สีแพรชีฟองสีขาว ทรงสะพายเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตน์ราชวราภรณ์สีเหลือง ทรงเครื่องเพชรงดงาม เพราะทรงมีพระอารมณ์ขันกับข่าวลือ และทรงมีรับสั่งว่า "วันนี้แต่งเต็มที่เพราะเวลาตายจะได้ตายสวย ๆ" หวานเย็นปลื้มปิติในพระอารมณ์ขันของ สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร มาก ๆ อะค่ะ แม้ข่าวลือน่าสิ่วน่าขวาน พระองค์ยังทรงสงบนิ่งและมั่นคง ไม่หวั่นไหวต่อกระแสข่าวลือ สมเป็นขัตติยาราชนารีจริง ๆ ค่ะ ในส่วนของ เมียขวัญ สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี พระบรมราชินีพระองค์แรกของจักรีวงศ์ ว่ากันว่าแม้หลวงยกกระบัตรจะมีวาสนาบารมีสูงส่งเพิ่มพูนขึ้นเพียงไรก็ตาม แต่สิ่งที่คงประพฤติปฏิบัติเสมอต้นเสมอปลายคือยึดมั่นในผัวเดียวเมียเดียว แตกต่างจากผู้มีวาสนาบารมีคนอื่น ๆ ในสมัยเดียวกัน อันอาจเป็นเพราะความมั่นคงในรัก หลักฐานสำคัญที่แสดงความรักมั่นของทั้งสองพระองค์คือ พระราชโอรสธิดาทั้ง ๑๐ พระองค์ ที่ประสูตินอกเศวตฉัตรนั้น ล้วนประสูติแต่สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินีทั้งสิ้น หรืออาจเป็นเพราะอุปนิสัยของท่านผู้หญิงนาค ซึ่งเป็นที่ร่ำลือกันว่าขี้หึงเป็นที่สุด จนมีคำเปรียบเทียบติดปากว่า "มเหสีขี้หึงเหมือนหนึ่งเสือ" ... แต่อย่างไรก็ตามสมเด็จพระอมรินทราฯ ไม่อาจที่จะทรงยึดอดีตให้คงอยู่เป็นปัจจุบันได้ เพราะฟันเฟืองแห่งกาลเวลาดำเนินไปไม่หยุดยั้งฉุดรั้งอดีตให้เลยลับ นำสิ่งใหม่ ๆ มาพร้อมกับปัจจุบัน สิ่งใหม่ ๆ ที่กาลเวลานำมาและเป็นสาเหตุให้ชีวิตในครอบครัวต้องเปลี่ยนแปลงก็คือ สาวชาวเวียงจันท์ ชื่อ คุณแว่น ... เจ้าจอมแว่น ในพระพุทธยอดฟ้าฯ มาจากเวียงจันท์ ในบรรดาเจ้าจอมทั้งหลายนั้น เจ้าจอมแว่น นับเป็นเจ้าจอมที่มีผู้รู้จักและกล่าวถึงเสมอ เพราะเป็นเจ้าจอมที่ทรงโปรดปรานและเกรงพระทัยมากคนหนึ่ง ทั้งที่มิได้เป็นเจ้าจอมมารดาหรือปรากฏหลักฐานว่าเป็นผู้มีความงามต้องพระเนตร จึงน่าที่จะได้ศึกษาชีวประวัติเจ้าจอมแว่นเพื่อสะท้อนถึงพระราชอัธยาศัยและน้ำพระทัยในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้อีกโสดหนึ่ง ... คุณสมบัติพิเศษของเจ้าจอมแว่นที่ไม่มีผู้ใดเหมือน ก็คือความกล้าหาญและศิลปะในการเพ็ดทูลเรื่องราวต่าง ๆ ที่ไม่มีผู้ใดกล้าจะกราบทูล แต่ถ้าเจ้าจอมแว่นเห็นว่าเป็นสิ่งสมควรและถูกต้องแล้ว ก็จะกราบทูลทันทีมิได้เกรงกลัวพระราชอาญา ด้วยเหตุที่ทรงตระหนักถึงความจงรักภักดีและความสุจริตใจของเจ้าจอมแว่นจึงไม่ทรงพิโรธ หากไม่ทรงเห็นด้วยมักจะพระราชทานคำอธิบายเหตุผลให้ทราบ... พระประวัติของ สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี และ เจ้าจอมแว่น สะท้อนให้เห็นภาพสะท้อนของความเปลี่ยนแปลงที่เคลื่อนคล้อยไปตามกาลเวลาได้เป็นอย่างดีที่สุด อ่านแล้วสะเทือนใจเล็ก ๆ กับอดีต หวานเย็นคงไม่ต้องอธิบายใช่ไหมคะว่า... ทำไม ? เจ้าจอมมารดาอำภา "สายหยุดพุดจีบจีน" ในราชสำนักสยาม บรรพบุรุษสกุล "ปราโมช" สตรีจีนท่านหนึ่งมีชื่อปรากฏในประวัติศาสตร์ว่าเป็นสตรีอันเป็นที่รักของพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์หนึ่งแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สายโลหิตพระองค์หนึ่งแห่งสตรีผู้นี้ปรากฏพระนามในฐานะของผู้มีความเหมาะสมสำหรับสิทธิในพระราชบัลลังก์สยาม และเชื้อสายที่สืบต่อมาจนปัจจุบันก็ได้ทำหน้าที่สำคัญสนองคุณผืนแผ่นดินไทยนั่นคือรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหัวหน้าคณะบริหารงานบ้านเมืองในสมัยประชาธิปไตย สตรีจีนท่านนั้นคือ เจ้าจอมมารดาอำภา ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เจ้าจอมมารดาอำภา เป็นเจ้าจอมมารดาที่มีเชื้อสายจีนแท้ ๆ เกิดที่ประเทศจีน เมื่อวัยเยาว์ได้รับการเลี้ยงดูตามขนบประเพณีกุลสตรีจีน เช่น การมัดเท้าให้เล็กตั้งแต่เด็ก ๆ จนอายุได้ ๘ ขวบ จึงได้เดินทางมาเมืองไทย ... ส่วนด้านจิตใจนั้น ปรากฏความเป็นไทยของเจ้าจอมมารดาอำภาอย่างชัดเจนคือ รักแผ่นดินไทย ศรัทธาในพระพุทธศาสนาและภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างเต็มเปี่ยมและแน่นแฟ้น เห็นได้จากการปฏิบัติตนของท่านต่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ยังทรงผนวชจำพรรษาอยู่ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ครั้งนั้นท่านได้ส่ง พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าปราโมช มาถวายเป็นศิษย์ปรนนิบัติทูลกระหม่อมพระอยู่ระยะหนึ่ง และตลอดเวลาท่านได้ประดิษฐ์ และเลือกคัดเครื่องเสวยแต่สิ่งดีเป็นพิเศษมาถวายมิได้ขาด จนทรงลาผนวชเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ทั้งที่ท่านรู้แก่ใจดีว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ยากจนพระราชทรัพย์กว่าพระจ้าแผ่นดินรัชสมัยที่ผ่านมา อันเนื่องมาแต่... "...ท่านทรงผนวชมาแต่ทรงพระเยาว์ และลาผนวชมาเสวยราชสมบัติ ไม่มีเวลาที่จะสะสมพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เงินแผ่นดินนั้นต้องทรงใช้จ่ายในราชการแผ่นดิน จะใช้สอยส่วนพระองค์ก็อัตคัด..." และเพราะเหตุนี้ครั้งใดที่ท่านได้มีโอกาสเฝ้าทุลละอองทุลีพระบาท ท่านรวบรวมเงินส่วนตัวของท่านใส่ถุงตีตราครั้งละมาก ๆ แล้วนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายให้ทรงใช้จ่ายตามพระราชอัธยาศัย จึงอาจกล่าวได้ว่า การถวายเงินโดยเสด็จดังที่ปฏิบัติกันในปัจจุบันนี้ เจ้าจอมมารดาอำภาเป็นท่านแรกที่ริเริ่มนำมาปฏิบัติ เจ้าจอมมารดาอำภา เจ้าจอมมารดาผู้ริเริ่มขนบการถวายเงินโดยเสด็จ นับได้ว่านี่คือความรู้ใหม่สำหรับหวานเย็นเรื่องหนึ่งเลยทีเดียวค่ะ เจ้าจอมมารดาแพ เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ เจ้าจอมมารดาแพ ได้ปฏิบัติหน้าที่ภรรยาคนเดียวของสามีเป็นครั้งสุดท้าย คือการปรนนิบัติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งกำลังประชวรและประทับอยู่ ณ ห้องพระฉาก พระที่นั่งอมรินทร์ จนถึงพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และเสด็จเข้าไปประทับในพระราชมณเทียรฝ่ายใน พระจริยาวัตรของพระบาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงเปลี่ยนเป็นพระราชานุกิจ ก่อนที่จะพ้นหน้าที่ภรรยาคนเดียวนั้น เจ้าจอมมารดาได้ทูลขอพระพรจากพระบรมราชสวามีว่า "พระองค์เป็นพระมหากษัตรีย์จะมีพระสนมกำนัลมากสักเท่าใด ก็จะไม่เคียดขึ้งหึงหวง และไม่ปรารถนาจะมีอำนาจว่ากล่าวบังคับบัญชาผู้หนึ่งผู้ใด ขอแต่ให้ได้สนองพระเดชพระคุณเหมือนอย่างเมื่อเสด็จอยู่พระตำหนักสวนกุหลาบเท่านั้นก็พอใจ" พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระเมตตาพระราชทานพรให้เป็นพิเศษหลายประการ เช่น ห้ามท้าวนางไปว่ากล่าวรบกวน สร้างพระที่นั่งเย็นเป็นที่สำราญพระอิริยาบถ มีพระบรมราชานุญาตเฉพาะเจ้าจอมมารดาแพเป็นผู้ปรนนิบัติขณะประทับ ณ พระที่นั่งนี้ และโปรดสร้างพระตำหนักใหญ่ขึ้นใหม่เฉพาะเจ้าจอมมารดาแพ และที่เป็นพิเศษคือ หน้าที่ปรนนิบัติ ที่เจ้าจอมมารดาแพได้ยึดถอปฏิบัติมาโดยตลอดคือ เวลาเช้าตื่นบรรทม ถวายเครื่องพระสำอาง ตั้งเครื่องพระกระยาหารต้ม ตอนบ่ายถวายการปรนนิบัติอีกครั้งเมื่อเสร็จพระราชกรณียกิจช่วงเช้า กลางคืนเมื่อพระเจ้าอยู่หัวเข้าที่บรรทมแล้ว ท่านจึงเข้าไปนอนในห้องบรรทมจนเช้า และปรนนิบัติเช่นเดิมเป็นกิจวัตร นอกจากเวลาดังกล่าว เจ้าจอมมารดาแพจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง จากพระประวัติที่ยกมานั้น หวานเย็นซาบซึ้งในพระทัยท่านจริง ๆ ค่ะ พระราชชายา เจ้าดารารัศมี กับพระราโชบาย "ครองรัก" เพื่อ "ครองเมือง" พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือที่เรียกกันเป็นสามัญว่า "พระพุทธเจ้าหลวง" ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งพระราชจักรีวงศ์พระองค์หนึ่ง ที่มีพระมเหสีและเจ้าจอมเป็นจำนวนมาก ซึ่งนอกจากจะเป็นไปตามโบราณราชประเพณีแล้วยังเป็นพระราชกุศโลบายในอันที่จะประสานประโยชน์ด้าน "การบ้าน" เข้าหา "การเมือง" อย่างแนบเนียน เพราะในขณะที่บ้านเมืองและพระราชบัลลังก์ยังอยู่ในสภาพที่ไม่มั่นคงนั้น ไม่มีวิธีการผูกพัน ความจงรักภักดีสามัคคีใด ๆ จะแน่นเหนียวไปกว่าการผูกพันกันฉัน "เครือญาติ" ... จึงอาจกล่าวได้ว่า พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียว ที่ทรงนำ "ความรัก" มาเป็นฐานค้ำจุนราชบัลลังก์และประเทศชาติ พระราชชายาเจ้าดารารัศมี เป็นหนึ่งในความรักที่ทรงผูกพันเข้ากับการเมือง ด้วยเหตุที่พระราชชายาฯ เป็นพระธิดาของเจ้านครเชียงใหม่ ซึ่งเป็นประเทศราชของไทยมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา แต่ความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรทั้งสองไม่สู้จะราบรื่น ทั้งนี้แล้วแต่ภาวะและนโยบายของเจ้าผู้ครองนคร ซึ่งจะหันเหนำบ้านเมืองไปสู่บารมีของพม่าหรือของไทย ... พราะราชชายาเจ้าดารารัศมีทรงเป็นพระราชชายาฯ จากเวียงเหนือพระองค์เดียว ที่ทรงเกี่ยวข้องในพระบรมราชวงศ์ครั้งแรกเสมือนหนึ่งทูตที่ทำหน้าที่เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองนคร กรุงเทพฯและเชียงใหม่ ภายหลังด้วยเสน่ห์แห่งพระองค์ทรงผูกมัดพระทัยพระราชสวามี จนอาจกล่าวได้ว่า ทรงเป็นพระมเหสีเทวีพระองค์หนึ่งที่ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในพระทัยสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง และทรงร่วมกันสานประโยชน์เพื่อความรุ่งเรืองแห่งประเทศชาติ "ครองรัก" เพื่อ "ครองเมือง" ? การเป็นขัตติยราชนารีนั้น ภาระและหน้าที่ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเจ้านายฝ่ายชายเลยค่ะ เพียงแต่ไม่มีปรากฏอยู่ในพระราชพงศาวดาร หรือหากมีปรากฏก็เพียงน้อยนิด หากมิมีผู้รวบรวมไว้ ก็ยากนักที่ชนรุ่นหลังจะซาบซึ้งและเข้าใจในหน้าที่ของเจ้านายฝ่ายหญิง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การจะพิจารณาให้ถ่องแท้คงเป็นเรื่องยาก เพราะประวัติศาสตร์ที่ถูกจารจำโดยผู้หนึ่งผู้ใดนั้นก็อาจมีเอนเอียงด้วยฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ แลภยาคติ จำต้องใช้ดุลพินิจประกอบการอ่านด้วยนะคะ ลูกแก้วเมียขวัญ ถือเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่รวบรวมพระวัติเจ้านายฝ่ายหญิง หรือที่เรียกว่า ฝ่ายใน ไว้ได้ละเอียดลออพอสมควรแก่การอ่านเล่มหนึ่ง ที่หวานเย็นขอแนะนำนะคะ ขอเพิ่มเติมนิด สำหรับใครที่สนใจซื้อหามาอ่าน ฉบับตีพิมพ์ล่าสุด ครั้งที่ ๖ นั้น เท่าที่หวานเย็นแอบไปเปิด ๆ แง้ม ๆ มาจะพบว่าตัดในส่วนของพระประวัติ เจ้าจอมแว่น ออกน่ะค่ะ โชคดีที่หวานเย็นหยิบยืมห้องสมุดมหา 'ลัย มาอ่าน และมีให้เปรียบเทียบทั้งฉบับพิมพ์ครั้งแรก และฉบับพิมพ์ครั้งล่าสุด เลยทราบก่อนน่ะค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น พระประวัติของ เจ้าจอมแว่น ก็มีให้อ่านใน ลูกท่านหลานเธอ ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในราชสำนัก ถ้าใครมีทั้ง ๒ เล่มนี้ก็ไม่ต้องเสียดายไปนะคะ อีกเล่มยังมีพระประวัติของพระองค์ท่านให้อ่านอะค่ะ ส่วนหวานเย็นพอเห็นเปรียบเทียบกันชัด ๆ แบบนี้ เลยยังตัดสินใจซื้อมาครอบครองเป็นการส่วนตัวไม่ลงน่ะค่ะ เสียดายพระประวัติ เจ้าจอมแว่น แม้จะมีอีกเล่มอยู่ในครอบครองก็ยังทำใจไม่ได้เด็ดขาด เลยยังไม่ยอมซื้อ ลูกแก้วเมียขวัญ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๖ สักที
ชื่อหนังสือ : ลูกแก้วเมียขวัญเขียนโดย : ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัยพิมพ์ครั้งแรก: มีนาคม ๒๕๔๐สำนักพิมพ์ : มติชนจำนวน ๓๒๐ หน้า ราคา ๑๙๕ บาท
กระซิบก่อนอ่าน
"สตรี" ในสังคมไทยมีบทบาทซับซ้อนอย่างยิ่งไม่มีทั้ง "อำนาจ" และฐานะของ "ผู้นำ" ในสังคมถูกบดบังด้วบบทบาทของ "บุรุษ" มาโดยตลอดแต่ในฐานะของ "แม่-เมีย และ ลูก" แล้วกลับมีพลานุภาพมหาศาลแฝงเร้นอย่างล้ำลึกแยบยลเป็นพลานุภาพอันถ่ายทอดด้วยอารมณ์ความรู้สึกรักใคร่อาทร อ่อนดยนทะนุถนอมบทบาทของสตรีในประวัติศาสตร์จึงเป็นภาพที่รางเลือนไม่มีปรากฏอยู่ในพระราชพงศาวดารเล่มใดศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย ใช้ความอุตสาหะอยู่ไม่น้อยในการรวบรวมข้อมูลจากเอกสารนานา เข้ามาคุมเป็นเรื่องราวเพื่อนำบทบาทของสตรีในพระราชสำนักฝ่ายในของสยามซึ่งอยู่ใกลิชิดองค์พระมหากษัตริย์เสนอให้ปรากฏกระจ่างชัด ขอบคุณรายละเอียดและภาพปกจาก... MatichonBook ... นะคะ
แวะเคาะประตูร้านหนังสือ
ลูกแก้วเมียขวัญ เป็นหนังสือที่บอกเล่าพระประวัติของเจ้านายที่เป็นสตรีในรั้วในวัง ซึ่งแต่ละพระองค์ทรงมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่ทรงมี ทรงเป็นคล้ายคลึงกันคือ การเข้ารับราชการสนองพระเดชพระคุณใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ความเจริญรุ่งเรืองและมั่นคงของชาติตราบจนปัจจุบัน ทว่าเรื่องราวของฝ่ายในนั้นกลับไม่เป็นที่ปรากฏในพระราชพงศาวดาร เพราะภาระหน้าที่ทั้งหมดจำกัดอยู่แต่เพียงในส่วนของที่เรียกว่า "ฝ่ายใน" หลังอ่าน ลูกท่านหลานเธอ ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในราชสำนัก จบ หวานเย็นก็หยิบ ลูกแก้วเมียขวัญ มาอ่านต่อทันที (แต่ไม่ได้รีวิวต่อกันอะค่ะ ดองรีวิวอีกตามเคย ) ซึ่งในเล่มนี้นั้น คุณศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย ได้ทำการรวบรวมเรื่องราวของ หม่อมห้ามนางใน ที่เข้าข่ายของ ลูกแก้ว หรือ เมียขวัญ ไว้โดยเฉพาะเท่านั้น ซึ่งจากการอ่านจะพบว่าแต่ละพระองค์มีพระราชอัธยาศัย และพระปรีชาสามารถในด้านที่แตกต่างกันออกไป และด้วยภาระหน้าที่และบทบาทนั้น ๆ อาจกล่าวได้ว่า สตรีคือเบื้องหลังความสำเร็จของบุรุษ เริ่มจาก ลูกแก้ว ในพระมหากษัตริย์ไทย กรมหลวงโยธาเทพ พระราชธิดาผู้ทรงอิทธิพลในราชสำนักสมเด็จพระนารายณ์ฯ กรมหลวงโยธาเทพ พระราชธิดาพระองค์เดียวในสมเด็จพรานารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงเป็นขัตติยราชนารีที่สมเด็จพระราชบิดาทรงอบรมเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดด้วยพระองค์เอง ... สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงอบรมเลี้ยงดูพระราชธิดาอย่างใกล้ชิด โดยมิได้ทรงคำนึงถึงขนบธรรมเนียมประเพณีในราชสำนักดังเช่นพระมหากษัตริย์พระองค์อื่น ๆ ประกอบกับเป็นช่วงเวลาที่ไทยมีสัมพันธไมตรีติดต่อกับประเทศทางยุโรปบางประเทศ ได้รับวัฒนธรรมบางประการมาใช้ จึงทรงมีพระราชดำริและวิถีปฏิบัติแตกต่างจากบูรพกษัตริย์ทั้งปวง ทรงทั้งตามพระทัย ยกย่องพระราชทานพระเกียรติยศและอำนาจให้พระราชธิดาพระองค์เดียวอย่างล้นเหลือ อย่างที่มิเคยมีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดทรงปฏิบัติต่อพระราชธิดามาก่อน ปรากฏหลักฐานในบันทึกของบาทหลวงตาชาร์ดซึ่งเดินทางเข้ามาไทยพร้อมกับคณะทูตของลาลูแบร์ ใน พ.ศ.๒๒๒๙ กล่าวถึงเรื่องราวนี้ว่า "--พระเจ้ากรุงสยามผู้เป็นพระชนกทรงรักใคร่โปรดปรานสมเด็จพระราชธิดาเป็นอันมาก และได้ทรงมอบการฝ่ายในให้อยู่ในความดูแลของสมเด็จพระราชธิดา--การตัดสินถ้อยความและคดีต่าง ๆ ในระหว่างผู้หญิงฝ่ายในนั้นตกอยู่ในหน้าที่ของสมเด็จพระราชธิดา--" ... เมื่อพระราชธิดาทรงเจริญพระชันษาพอสมควร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสิทธิพิเศษให้ทรงมีอำนาจอิสระในการควบคุมบังคับบัญชาปกครองดูแลข้าราชสำนักและข้าราชการทั้งหทารและพลเรือนจำนวนหนึ่ง เรียกว่า กรม มี หลวงโยธาเทพ เป็นเจ้ากรม คนทั่วไปจึงเรียกพระนามพระราชธิดาว่า เจ้ากรมหลวงโยธาเทพ เรียกสั้น ๆ ว่า กรมหลวงโยธาเทพ คู่กับ เจ้ากรมหลวงโยธาทิพ หรือ กรมหลวงโยธาทิพ ซึ่งมี พระเจ้าน้องนางเธอเจ้าฟ้าศรีสุพรรณ เป็นผู้ควบคุมบังคับบัญชาการสถาปนาให้อำนาจในการบังคับบัญชากรมดังนี้ เป็นต้นแบบการสถาปนาพระอิสริยยศเจ้านายให้ทรงกรมในกาลต่อมาจนปัจจุบัน นี่คือที่มาการสถาปนาพระอิสริยศเจ้านายให้ทรงกรมในยุคหลัง ๆ กระทั่งในปัจจุบันก็ยังคงยึดถือปฏิบัติต่อกันมาเป็นราชประเพณีน่ะค่ะ พราะเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวรเสรฐสุดา ราชนารีผู้เมินคุณสมบัติกุลสตรี พระองค์เจ้าหญิงบุตรี ซึ่งทรงได้ชื่อว่าเป็นพระราชนารีที่มีแนวพระดำริ ความสนพระทัย ตลอดจนพระจริยวัตรที่ผิดแผกแตกต่างจากพระราชนารีรุ่นเดียวกันโดยสิ้นเชิง ด้วยทรงสนพระทัยเฉพาะวิชาการด้านหนังสือแต่เพียงอย่างเดียว ในส่วนวิชาตามแบบกุลสตรีโบราณ อันได้แก่งานฝีมือ และงานด้านประณีตศิลป์ต่าง ๆ ไม่ทรงให้ความสนพระทัย จนถึงขั้นทรงทำไม่เป็นเลยก็ว่าได้ ดังที่ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระนัดดาซึ่งเคยอยู่ในพระอุปถัมภ์พระองค์หนึ่ง ทรงกล่าวถึงพระองค์เจ้าหญิงบุตรีว่า "--เสด็จป้าของเราได้รับความฝึกหัดในวิชาของผู้ชายเป็นพื้น ศิลปของผู้หญิง เช่น เย็บ ปัก ถัก ร้อย ทำอาหาร ที่สุดจนเจียนหมากจีบพลู เรายังไม่เคยเห็นท่านทำเองเลย เขาว่าท่านทำไม่เป็นด้วย--" ... ...แต่อย่างไรก็ตามความเป็นขัตติยราชนารีของพระองค์ยังจำกัดไว้มิให้พระองค์ได้ทรงรับรู้วิทยาการใหม่ ๆ เท่าเทียมกันกับบุรุษ จึงทรงเชี่ยวชาญเฉพาะอักขรสมัย หนังสือไทย ประเภท ธรรมะ ตำนาน วรรณคดี มีโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน กลบทต่าง ๆ อันเป็นวิชาเหมาะแก่สตรี นอกจากนี้ ยังทรงศึกษาเกี่ยวกับวิชาเลขอย่างไทย วิชาดาราศาสตร์ จนทรงสามารถสอนลูกศิษย์ให้มีความรู้วิชาดังกล่าวเป็นพื้นฐานเบื้องต้น...ถึงแม้เวลาจะผ่านไปแสนนาน แต่แนวพระดำริอันแปลกแยกจากสมัยและพระกรณียกิจอันเป็นคุณแก่ประเทศชาติ โดยผ่านทางเหล่าศิษย์สำนักพระเจ้าราชวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุตรี ซึ่งถือกันว่าทรงเป็น "ครูคนแรก" นั้น ยังคงเป็นที่จดจำและเล่าขานสืบมาจนปัจจุบัน น่าเสียดายนะคะ หากไม่มีข้อจำกัดใด ๆ พระองค์ท่านน่าจะได้ทรงรับรู้วิทยาการใหม่ ๆ เทียบเท่าบุรุษจริง ๆ และพระกรณียกิจของพระองค์คงจะยังประโยชน์แก่ประเทศชาติได้อย่างกว้างขวางสมพระฐานะ ครูคนแรก ยิ่ง ๆ ขึ้นไป สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ผู้ทรงนำสตรีไทยสู่โลกสมัยใหม่ ...ทรงมีทัศนคติการมองโลกที่กว้างขวางและถ่องแท้ ซึ่งทำให้ทรงสามารถที่จะปรับพระองค์และพระทัยให้เข้ากับกระแสแวดล้อมที่เลื่อนไหลอย่างรวดเร็วได้โดยมิทรงลำบาก แต่ก็มิได้ทรงละทิ้งความเป็นขัตติยราชนารีในทุก ๆ สถานการณ์ อย่างเช่นครั้งเสด็จร่วมพิธีเปิดสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์ ในโอกาสครบ ๑๕๐ ปี แห่งการสถาปนากรุงเทพมหานคร ในครั้งนั้นมีข่าวเล่าลือว่าจะมีการกบฏเกิดขึ้น สมเด็จเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ทรงแต่งฉลองพระองค์งดงามเป็นพิเศษด้วยซิ่นหางกระรอกสีเหลือง สีแพรชีฟองสีขาว ทรงสะพายเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตน์ราชวราภรณ์สีเหลือง ทรงเครื่องเพชรงดงาม เพราะทรงมีพระอารมณ์ขันกับข่าวลือ และทรงมีรับสั่งว่า "วันนี้แต่งเต็มที่เพราะเวลาตายจะได้ตายสวย ๆ" หวานเย็นปลื้มปิติในพระอารมณ์ขันของ สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร มาก ๆ อะค่ะ แม้ข่าวลือน่าสิ่วน่าขวาน พระองค์ยังทรงสงบนิ่งและมั่นคง ไม่หวั่นไหวต่อกระแสข่าวลือ สมเป็นขัตติยาราชนารีจริง ๆ ค่ะ ในส่วนของ เมียขวัญ สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี พระบรมราชินีพระองค์แรกของจักรีวงศ์ ว่ากันว่าแม้หลวงยกกระบัตรจะมีวาสนาบารมีสูงส่งเพิ่มพูนขึ้นเพียงไรก็ตาม แต่สิ่งที่คงประพฤติปฏิบัติเสมอต้นเสมอปลายคือยึดมั่นในผัวเดียวเมียเดียว แตกต่างจากผู้มีวาสนาบารมีคนอื่น ๆ ในสมัยเดียวกัน อันอาจเป็นเพราะความมั่นคงในรัก หลักฐานสำคัญที่แสดงความรักมั่นของทั้งสองพระองค์คือ พระราชโอรสธิดาทั้ง ๑๐ พระองค์ ที่ประสูตินอกเศวตฉัตรนั้น ล้วนประสูติแต่สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินีทั้งสิ้น หรืออาจเป็นเพราะอุปนิสัยของท่านผู้หญิงนาค ซึ่งเป็นที่ร่ำลือกันว่าขี้หึงเป็นที่สุด จนมีคำเปรียบเทียบติดปากว่า "มเหสีขี้หึงเหมือนหนึ่งเสือ" ... แต่อย่างไรก็ตามสมเด็จพระอมรินทราฯ ไม่อาจที่จะทรงยึดอดีตให้คงอยู่เป็นปัจจุบันได้ เพราะฟันเฟืองแห่งกาลเวลาดำเนินไปไม่หยุดยั้งฉุดรั้งอดีตให้เลยลับ นำสิ่งใหม่ ๆ มาพร้อมกับปัจจุบัน สิ่งใหม่ ๆ ที่กาลเวลานำมาและเป็นสาเหตุให้ชีวิตในครอบครัวต้องเปลี่ยนแปลงก็คือ สาวชาวเวียงจันท์ ชื่อ คุณแว่น ... เจ้าจอมแว่น ในพระพุทธยอดฟ้าฯ มาจากเวียงจันท์ ในบรรดาเจ้าจอมทั้งหลายนั้น เจ้าจอมแว่น นับเป็นเจ้าจอมที่มีผู้รู้จักและกล่าวถึงเสมอ เพราะเป็นเจ้าจอมที่ทรงโปรดปรานและเกรงพระทัยมากคนหนึ่ง ทั้งที่มิได้เป็นเจ้าจอมมารดาหรือปรากฏหลักฐานว่าเป็นผู้มีความงามต้องพระเนตร จึงน่าที่จะได้ศึกษาชีวประวัติเจ้าจอมแว่นเพื่อสะท้อนถึงพระราชอัธยาศัยและน้ำพระทัยในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้อีกโสดหนึ่ง ... คุณสมบัติพิเศษของเจ้าจอมแว่นที่ไม่มีผู้ใดเหมือน ก็คือความกล้าหาญและศิลปะในการเพ็ดทูลเรื่องราวต่าง ๆ ที่ไม่มีผู้ใดกล้าจะกราบทูล แต่ถ้าเจ้าจอมแว่นเห็นว่าเป็นสิ่งสมควรและถูกต้องแล้ว ก็จะกราบทูลทันทีมิได้เกรงกลัวพระราชอาญา ด้วยเหตุที่ทรงตระหนักถึงความจงรักภักดีและความสุจริตใจของเจ้าจอมแว่นจึงไม่ทรงพิโรธ หากไม่ทรงเห็นด้วยมักจะพระราชทานคำอธิบายเหตุผลให้ทราบ... พระประวัติของ สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี และ เจ้าจอมแว่น สะท้อนให้เห็นภาพสะท้อนของความเปลี่ยนแปลงที่เคลื่อนคล้อยไปตามกาลเวลาได้เป็นอย่างดีที่สุด อ่านแล้วสะเทือนใจเล็ก ๆ กับอดีต หวานเย็นคงไม่ต้องอธิบายใช่ไหมคะว่า... ทำไม ? เจ้าจอมมารดาอำภา "สายหยุดพุดจีบจีน" ในราชสำนักสยาม บรรพบุรุษสกุล "ปราโมช" สตรีจีนท่านหนึ่งมีชื่อปรากฏในประวัติศาสตร์ว่าเป็นสตรีอันเป็นที่รักของพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์หนึ่งแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สายโลหิตพระองค์หนึ่งแห่งสตรีผู้นี้ปรากฏพระนามในฐานะของผู้มีความเหมาะสมสำหรับสิทธิในพระราชบัลลังก์สยาม และเชื้อสายที่สืบต่อมาจนปัจจุบันก็ได้ทำหน้าที่สำคัญสนองคุณผืนแผ่นดินไทยนั่นคือรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหัวหน้าคณะบริหารงานบ้านเมืองในสมัยประชาธิปไตย สตรีจีนท่านนั้นคือ เจ้าจอมมารดาอำภา ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เจ้าจอมมารดาอำภา เป็นเจ้าจอมมารดาที่มีเชื้อสายจีนแท้ ๆ เกิดที่ประเทศจีน เมื่อวัยเยาว์ได้รับการเลี้ยงดูตามขนบประเพณีกุลสตรีจีน เช่น การมัดเท้าให้เล็กตั้งแต่เด็ก ๆ จนอายุได้ ๘ ขวบ จึงได้เดินทางมาเมืองไทย ... ส่วนด้านจิตใจนั้น ปรากฏความเป็นไทยของเจ้าจอมมารดาอำภาอย่างชัดเจนคือ รักแผ่นดินไทย ศรัทธาในพระพุทธศาสนาและภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างเต็มเปี่ยมและแน่นแฟ้น เห็นได้จากการปฏิบัติตนของท่านต่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ยังทรงผนวชจำพรรษาอยู่ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ครั้งนั้นท่านได้ส่ง พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าปราโมช มาถวายเป็นศิษย์ปรนนิบัติทูลกระหม่อมพระอยู่ระยะหนึ่ง และตลอดเวลาท่านได้ประดิษฐ์ และเลือกคัดเครื่องเสวยแต่สิ่งดีเป็นพิเศษมาถวายมิได้ขาด จนทรงลาผนวชเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ทั้งที่ท่านรู้แก่ใจดีว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ยากจนพระราชทรัพย์กว่าพระจ้าแผ่นดินรัชสมัยที่ผ่านมา อันเนื่องมาแต่... "...ท่านทรงผนวชมาแต่ทรงพระเยาว์ และลาผนวชมาเสวยราชสมบัติ ไม่มีเวลาที่จะสะสมพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เงินแผ่นดินนั้นต้องทรงใช้จ่ายในราชการแผ่นดิน จะใช้สอยส่วนพระองค์ก็อัตคัด..." และเพราะเหตุนี้ครั้งใดที่ท่านได้มีโอกาสเฝ้าทุลละอองทุลีพระบาท ท่านรวบรวมเงินส่วนตัวของท่านใส่ถุงตีตราครั้งละมาก ๆ แล้วนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายให้ทรงใช้จ่ายตามพระราชอัธยาศัย จึงอาจกล่าวได้ว่า การถวายเงินโดยเสด็จดังที่ปฏิบัติกันในปัจจุบันนี้ เจ้าจอมมารดาอำภาเป็นท่านแรกที่ริเริ่มนำมาปฏิบัติ เจ้าจอมมารดาอำภา เจ้าจอมมารดาผู้ริเริ่มขนบการถวายเงินโดยเสด็จ นับได้ว่านี่คือความรู้ใหม่สำหรับหวานเย็นเรื่องหนึ่งเลยทีเดียวค่ะ เจ้าจอมมารดาแพ เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ เจ้าจอมมารดาแพ ได้ปฏิบัติหน้าที่ภรรยาคนเดียวของสามีเป็นครั้งสุดท้าย คือการปรนนิบัติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งกำลังประชวรและประทับอยู่ ณ ห้องพระฉาก พระที่นั่งอมรินทร์ จนถึงพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และเสด็จเข้าไปประทับในพระราชมณเทียรฝ่ายใน พระจริยาวัตรของพระบาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงเปลี่ยนเป็นพระราชานุกิจ ก่อนที่จะพ้นหน้าที่ภรรยาคนเดียวนั้น เจ้าจอมมารดาได้ทูลขอพระพรจากพระบรมราชสวามีว่า "พระองค์เป็นพระมหากษัตรีย์จะมีพระสนมกำนัลมากสักเท่าใด ก็จะไม่เคียดขึ้งหึงหวง และไม่ปรารถนาจะมีอำนาจว่ากล่าวบังคับบัญชาผู้หนึ่งผู้ใด ขอแต่ให้ได้สนองพระเดชพระคุณเหมือนอย่างเมื่อเสด็จอยู่พระตำหนักสวนกุหลาบเท่านั้นก็พอใจ" พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระเมตตาพระราชทานพรให้เป็นพิเศษหลายประการ เช่น ห้ามท้าวนางไปว่ากล่าวรบกวน สร้างพระที่นั่งเย็นเป็นที่สำราญพระอิริยาบถ มีพระบรมราชานุญาตเฉพาะเจ้าจอมมารดาแพเป็นผู้ปรนนิบัติขณะประทับ ณ พระที่นั่งนี้ และโปรดสร้างพระตำหนักใหญ่ขึ้นใหม่เฉพาะเจ้าจอมมารดาแพ และที่เป็นพิเศษคือ หน้าที่ปรนนิบัติ ที่เจ้าจอมมารดาแพได้ยึดถอปฏิบัติมาโดยตลอดคือ เวลาเช้าตื่นบรรทม ถวายเครื่องพระสำอาง ตั้งเครื่องพระกระยาหารต้ม ตอนบ่ายถวายการปรนนิบัติอีกครั้งเมื่อเสร็จพระราชกรณียกิจช่วงเช้า กลางคืนเมื่อพระเจ้าอยู่หัวเข้าที่บรรทมแล้ว ท่านจึงเข้าไปนอนในห้องบรรทมจนเช้า และปรนนิบัติเช่นเดิมเป็นกิจวัตร นอกจากเวลาดังกล่าว เจ้าจอมมารดาแพจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง จากพระประวัติที่ยกมานั้น หวานเย็นซาบซึ้งในพระทัยท่านจริง ๆ ค่ะ พระราชชายา เจ้าดารารัศมี กับพระราโชบาย "ครองรัก" เพื่อ "ครองเมือง" พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือที่เรียกกันเป็นสามัญว่า "พระพุทธเจ้าหลวง" ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งพระราชจักรีวงศ์พระองค์หนึ่ง ที่มีพระมเหสีและเจ้าจอมเป็นจำนวนมาก ซึ่งนอกจากจะเป็นไปตามโบราณราชประเพณีแล้วยังเป็นพระราชกุศโลบายในอันที่จะประสานประโยชน์ด้าน "การบ้าน" เข้าหา "การเมือง" อย่างแนบเนียน เพราะในขณะที่บ้านเมืองและพระราชบัลลังก์ยังอยู่ในสภาพที่ไม่มั่นคงนั้น ไม่มีวิธีการผูกพัน ความจงรักภักดีสามัคคีใด ๆ จะแน่นเหนียวไปกว่าการผูกพันกันฉัน "เครือญาติ" ... จึงอาจกล่าวได้ว่า พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียว ที่ทรงนำ "ความรัก" มาเป็นฐานค้ำจุนราชบัลลังก์และประเทศชาติ พระราชชายาเจ้าดารารัศมี เป็นหนึ่งในความรักที่ทรงผูกพันเข้ากับการเมือง ด้วยเหตุที่พระราชชายาฯ เป็นพระธิดาของเจ้านครเชียงใหม่ ซึ่งเป็นประเทศราชของไทยมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา แต่ความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรทั้งสองไม่สู้จะราบรื่น ทั้งนี้แล้วแต่ภาวะและนโยบายของเจ้าผู้ครองนคร ซึ่งจะหันเหนำบ้านเมืองไปสู่บารมีของพม่าหรือของไทย ... พราะราชชายาเจ้าดารารัศมีทรงเป็นพระราชชายาฯ จากเวียงเหนือพระองค์เดียว ที่ทรงเกี่ยวข้องในพระบรมราชวงศ์ครั้งแรกเสมือนหนึ่งทูตที่ทำหน้าที่เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองนคร กรุงเทพฯและเชียงใหม่ ภายหลังด้วยเสน่ห์แห่งพระองค์ทรงผูกมัดพระทัยพระราชสวามี จนอาจกล่าวได้ว่า ทรงเป็นพระมเหสีเทวีพระองค์หนึ่งที่ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในพระทัยสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง และทรงร่วมกันสานประโยชน์เพื่อความรุ่งเรืองแห่งประเทศชาติ "ครองรัก" เพื่อ "ครองเมือง" ? การเป็นขัตติยราชนารีนั้น ภาระและหน้าที่ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเจ้านายฝ่ายชายเลยค่ะ เพียงแต่ไม่มีปรากฏอยู่ในพระราชพงศาวดาร หรือหากมีปรากฏก็เพียงน้อยนิด หากมิมีผู้รวบรวมไว้ ก็ยากนักที่ชนรุ่นหลังจะซาบซึ้งและเข้าใจในหน้าที่ของเจ้านายฝ่ายหญิง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การจะพิจารณาให้ถ่องแท้คงเป็นเรื่องยาก เพราะประวัติศาสตร์ที่ถูกจารจำโดยผู้หนึ่งผู้ใดนั้นก็อาจมีเอนเอียงด้วยฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ แลภยาคติ จำต้องใช้ดุลพินิจประกอบการอ่านด้วยนะคะ ลูกแก้วเมียขวัญ ถือเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่รวบรวมพระวัติเจ้านายฝ่ายหญิง หรือที่เรียกว่า ฝ่ายใน ไว้ได้ละเอียดลออพอสมควรแก่การอ่านเล่มหนึ่ง ที่หวานเย็นขอแนะนำนะคะ ขอเพิ่มเติมนิด สำหรับใครที่สนใจซื้อหามาอ่าน ฉบับตีพิมพ์ล่าสุด ครั้งที่ ๖ นั้น เท่าที่หวานเย็นแอบไปเปิด ๆ แง้ม ๆ มาจะพบว่าตัดในส่วนของพระประวัติ เจ้าจอมแว่น ออกน่ะค่ะ โชคดีที่หวานเย็นหยิบยืมห้องสมุดมหา 'ลัย มาอ่าน และมีให้เปรียบเทียบทั้งฉบับพิมพ์ครั้งแรก และฉบับพิมพ์ครั้งล่าสุด เลยทราบก่อนน่ะค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น พระประวัติของ เจ้าจอมแว่น ก็มีให้อ่านใน ลูกท่านหลานเธอ ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในราชสำนัก ถ้าใครมีทั้ง ๒ เล่มนี้ก็ไม่ต้องเสียดายไปนะคะ อีกเล่มยังมีพระประวัติของพระองค์ท่านให้อ่านอะค่ะ ส่วนหวานเย็นพอเห็นเปรียบเทียบกันชัด ๆ แบบนี้ เลยยังตัดสินใจซื้อมาครอบครองเป็นการส่วนตัวไม่ลงน่ะค่ะ เสียดายพระประวัติ เจ้าจอมแว่น แม้จะมีอีกเล่มอยู่ในครอบครองก็ยังทำใจไม่ได้เด็ดขาด เลยยังไม่ยอมซื้อ ลูกแก้วเมียขวัญ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๖ สักที