หวานเย็นผสมโซดา | รวิวารี | Mahal Kita | NamPhet
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2557
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
29 พฤษภาคม 2557
 
All Blogs
 
โน้ตตัวสุดท้าย : นัยนา นาควัชระ

โน้ตตัวสุดท้าย : นัยนา นาควัชระ


ชื่อหนังสือ : โน้ตตัวสุดท้าย
เขียนโดย : นัยนา นาควัชระ
พิมพ์ครั้งแรก : มีนาคม ๒๕๕๓
สำนักพิมพ์ : แพรว
จำนวน ๑๐๙ หน้า ราคา ๑๐๐ บาท


กระซิบก่อนอ่าน

   โน้ตตัวสุดท้าย นวนิยายขนาดสั้น เขียนโดย นัยนา นาควัชระ เล่าเรื่องความรัก ความรู้สึก และความผูกพันระหว่างเปียโนสองหลัง ได้อย่างซาบซึ้งในฐานะเป็นเครื่องดนตรีที่รับใช้อารมณ์ของนักดนตรี เปียโนก็เหมือนมนุษย์ที่มีความทุกข์สุข ผ่านประสบการณ์ร้อนหนาวนับแต่วันแรกที่เปียโนถูกสร้างขึ้นมามีชื่อมีแห่งกำเนิด แล้วเดินทางจากเมืองแมนเชสเตอร์ ลงเรือเดินทะเล เข้ามาเมืองไทยเมื่อ ๕๐ ปีที่แล้ว
   โดยเรื่องราวของ โยฮันเนส เจ้าเปียโนช่างบรรยายและจดหมายที่มันเขียนโต้ตอบกับเปียโน คลาร่า ช่วยให้นัยนาถ่ายทอดส่วนลึกของใจได้ด้วยจังหวะท่าทีที่ ใกล้ โดยไม่ ชิด จนคนอ่านเข้ามาจมในอารมณ์เรื่อง เป็นการทิ้งช่องห่างให้คนอ่านเห็นความผันแปรที่ไม่หยุดหย่อนของชีวิต และความสัมพันธ์อันเป็นฐานทุกข์ฐานสุขของเจ้าเปียโนทั้งสอง ซึ่งเข้าถึงความสุขสงบได้จากใจที่ยอมรับความแปรเปลี่ยนของความสัมพันธ์ ไม่ว่าความผูกพันนั้นจะเหนียวแน่นเพียงใด
   ภาษาในการเล่าเรื่องนั้นเรียบง่าย มีรสของความเก่าที่เข้ากับวัยเจ้าเปียโนผู้เล่าเรื่องและเขียนจดหมายตอบโต้กัน อารมณ์ของเรื่องละเมียดละไม แทรกอารมณ์ขันชวนให้อมยิ้ม

ขอบคุณรายละเอียดและภาพปกจาก... B2S ... นะคะ




แวะเคาะประตูร้านหนังสือ







เขียนความรู้สึก...บันทึกหลังอ่าน

   โน้ตตัวสุดท้าย บอกเล่าเรื่องความรัก ความรู้สึก และความผูกพันระหว่าง โยฮันเนส และ คลาร่า เปียโน ๒ หลัง ในบ้านของ นายน้อย ผู้ชายที่หลงรักเสียงดนตรีเป็นอย่างมาก ถึงขั้นลงทุนซื้อ โยฮันเนส เปียโนเดนมันน์ ราคา ๓๐๐ ปอนด์ เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลจากอังกฤษมายังประเทศไทย แล้วพยายามปลูกฝัง (หรือยัดเยียด) ให้ลูก ๆ เล่นดนตรี ต่อมา คลาร่า เปียโนอีกหลังก็ก้าวเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในบ้านหลังนี้ แต่แล้วเวลาแห่งการพลัดพรากก็มาถึง คลาร่า ถูกย้ายไปยังบ้านหลังใหม่กับ ยายหนู ลูกสาวของ นายน้อย ทิ้ง โยฮันเนส ไว้ที่บ้านหลังเก่า แต่ด้วยความรัก ความผูกพันที่มีต่อกัน เปียโนทั้งสองหลังจึงได้ติดต่อสื่อสารกันผ่านจดหมาย ฉบับแล้ว...ฉบับเล่า ตราบจนโน้ตสุดท้ายสิ้นสุดลง

   หวานเย็นไม่มีอะไรจะเล่าเพิ่มเติมจากย่อหน้าข้างต้นแล้วค่ะ เพราะทั้งหมดที่เล่าสู่กันฟังนั้น... หวานเย็นคิดว่ามันครอบคลุมเรื่องราวทั้งหลายที่เกิดขึ้นใน โน้ตตัวสุดท้าย ได้ดีพอสมควรแล้วละค่ะ

   โยฮันเนส เจ้าเปียโนช่างบรรยาย ช่างพร่ำพรรณนาได้เสียทุกเรื่องราว ตั้งแต่แรกเริ่มได้รู้จักกันผ่านทางตัวอักษร ไว้เว้นแม้กระทั่งเรื่องนินทาเจ้านายของตัวเองลับหลัง เอ ! หรือจะเรียกว่า เมาท์ ดีน้า

   ... ถ้าจะถามผมว่าฝีมือการเล่นเปียโนของนายน้อยนั้นถึงขั้นไหน ก็ขอบอกได้ว่ายังไม่ได้เลยแม้แต่ขั้นเดียว แต่กระนั้นนายน้อยก็สามารถแกะทำนองเพลงได้อย่างถูกต้อง และเล่นด้วยนิ้วห้านิ้ว ทว่าเล่นมือขวาข้างเดียว ซึ่งนับว่าดีกว่าเมื่อก่อนที่ใช้นิ้วชี้นิ้วเดียวดีด นอกจากจะเล่นเปียโนได้อย่างงู ๆ ปลา ๆ แล้ว ผมได้ยินนายน้อยสีไวโอลินเพลงคลาสสิคอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่เพลงที่นายน้อยสีนั้นมันไม่เป็นทำนองเอาเสียเลย นายน้อยไปเข้าวงออร์เคสตรากับเขา แต่คงถูกจับให้เล่นเสียงประสานละกระมัง มันถึงฟังได้ไม่เป็นเพลงอย่างนั้น น่าสงสารลูกเมียที่ต้องทนฟังนายน้อยสีประโยคเดิมซ้ำ ๆ ซาก ๆ เสียงอี๋-อ-อ...อี๊-อ-อ ที่ฟังเท่าไหร่ก็ไม่รู้รื่อง นี่แหละหนาชีวิตลูกเมียนักดนตรี ต้องอดทน เว้นเสียแต่ว่าเมื่อใดได้เล่นด้วยกันนั่นแหละถึงจะสนุก นายน้อยคงรู้ซึ้งในข้อนี้เป็นอย่างดีจึงพยายามปลูกฝัง (หรือยัดเยียด...อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจ) ให้ลูกเล่นดนตรี โดยซื้อนิ้งหน่องมาให้ลูกตีเล่น ไอ้เจ้านิ้งหน่องมันก็คือเปียโนภาคจิ๋วนั่นแหละครับ มันมีคีย์ดำคีย์ขาวเหมือนกัน เสียงนิ้งหน่องดังมาจากบ้านหลังเขียวเป็นเพลงที่พอจะจับทำนองได้ บางทีก็ได้ยินเด็ก ๆ ร้อง (หรือพร้อมใจกันตะเบ็ง) คลอไปด้วย...

   นานวันเข้า โยฮันเนส ก็เริ่มรักและผูกพันกับ ยายหนู ลูกสาวคนโตของ นายน้อย นักเปียโนตัวน้อยที่หัดเล่นเปียโนเพราะถูกพ่อปลูกฝังให้รักการเล่นดนตรี กระนั้น เจ้าเปียโนช่างบรรยายก็ยังไม่ว่างเว้นจากการพร่ำบ่นให้ (คนอ่าน) ได้ยิน (อ่าน)

   เวลาที่ยายหนูเข้ามาซ้อมดนตรี เป็นเวลาที่ผมมีทั้งความและความทุกข์ระคนกันไป ที่ว่ามีความสุขนั้นเพราะประการแรก...ผมได้เป็นส่วนหนึ่งของการผลิตเสียงเพลง...เพลงที่พาผมลอยกลับไปอยู่ที่บ้านเกิด และอีกประการหนึ่ง...สัมผัสจากปลายนิ้วทั้งสิบของยายหนูทำให้ผมมีความสุขมาก ความรู้สึกดี ๆ ที่ออกมาจากกายและใจของเด็กตัวเล็ก ๆ มันไหลจากปลายนิ้วเข้ามาสู่ทุกอณูของร่างกายผม ไหลจากคีย์ของผมไปยังค้อน แล้วก็ลงไปที่สาย กลายเป็นเสียงอันมหัศจรรย์ดังกังวานไปทั้งร่างของผม แผ่กระจายออกไปทั่วห้อง แม้ยายหนูจะไม่เคยเอ่ยปากคุยกับผมเหมือนอย่างที่เธอทำเสียงเล็กเสียงน้อยคุยกับหมาที่บ้าน แต่นิ้วของเธอกำลังส่งภาษาใจบางอย่างโดยตรง แต่ทว่าวันไหนที่นายน้อยเข้ามานั่งประกบ ผมจะรู้สึกได้ทันทีว่าใจของยายหนูมีความตึงเครียด หงุดหงิด หวาดกลัว และขุ่นข้อง บางครั้งนายน้อยเองก็แสดงอาการหงุดหงิดที่ลูกเล่นไม่ได้ดั่งใจ ผมรู้เลยว่าวินาทีนั้นผมกำลังตกเป็นเครื่องรองรับอารมณ์ของยายหนูไปโดยปริยาย บ่อยครั้งที่นึกน้อยใจว่า นี่ผมเป็นกระโถนท้องพระโรงไปแล้วหรืออย่างไร วันไหนที่ยายหนูโดนพ่อตีเพราะไปทำอะไรผิดมา เธอก็มาขย่ม ๆ ลงที่ผม เวลาที่โดนนายน้อยจ้ำจี้จ้ำไชหนักเข้า เธอก็จิกนิ้วกระแทกลงมาที่ผมอีกเช่นกัน มีหลายครั้งที่ผมสำลักน้ำมูกน้ำตาของเธอ นี่ถ้าผมแหกปากร้องเป็นเสียงอื่นได้ ผมคงแหกปากร้องไปแล้ว มันไม่ยุติธรรมเลย ให้ผมได้ออกเสียงที่แท้จริงจากใจของผมบ้างสิ ทำไมผมถึงต้องเป็นกระบอกเสียงให้คุณฝ่ายเดียวตลอดเวลาด้วยนะ ผมรู้สึกว่าตนเองเป็นทาสเทวีจริง ๆ

   แล้ววันเวลาที่ล่วงเลยก็นำมาซึ่งสิ่งใหม่ ๆ และความเปลี่ยนแปลง

   เสียงหมาเห่า ! นางเปียกปูนมันเห่าใครกันล่ะ

   มีรถโกดังมาจอดหน้าบ้าน ผู้ชายหลายคนกระโดดลงมาจากรถ นั่นเขากำลังจะขนอะไรลงมาล่ะนั่น มันดูเหมือนเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่มาก เหมือนโต๊ะตัวมหึมาที่เขาเอาผ้านวมหุ้มไว้ คนงาน ๗-๘ คนช่วยกันยกเจ้าตัวโตนั่นลงมาจากรถบรรทุกอย่างทุลักทุเล ผมเห็นขาโต๊ะไม้มะฮอกกานีโผล่ออกมา แต่เอ๊ะ ! ทำไมโต๊ะตัวนี้ถึงได้มีแค่สามขา
คนงานขนโต๊ะนั่นเข้ามาตั้งในบ้าน ห่างจากผมไปราว ๓ เมตร ค่อย ๆ แก้มัดและเลิกผ้านวมออก

   ตาผมฝาดไปหรือเปล่าเนี่ย มันไม่ใช่โต๊ะนี่นา

นี่มันแกรนด์เปียโนชัด ๆ ! อุแม่เจ้า !


   ผมรู้สึกเหมือนถูกแช่แข็งไปพักใหญ่ สมองของผมมันว่างโหวงไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าควรจะคิดอะไรหรือรู้สึกอะไรดี หรือไม่บางทีสมองผมอาจมีความรู้สึกหลายสิบเรื่องทะลักเข้ามาพร้อม ๆ กันจนจับต้นชนปลายไม่ถูกก็เป็นได้
   แต่ก่อนที่ใจของผมจะคิดปรุงไปในทางฝ่ายดีหรือฝ่ายชั่ว ผู้ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนไม่ใช่คนงานก็เปิดฝาเปียโนขึ้น และหยิบเครื่องไม้เครื่องมือออกมาเพื่อขึ้นสายเปียโนตัวใหม่
   เมื่อฝาแกรนด์เปียโนตัวนั้นถูกเปิดขึ้น สิ่งแรกที่ผมเห็นคือคีย์งาช้างสีขาวนวล และเมื่อปรายตาไปทางมุมขวา ผมเห็นอักษรสีทองเป็นตราอย่างเดียวกับที่ผมมีบนหน้าอกด้านขวา

   ผมคงฝันไปเป็นแน่ คราวนี้ต้องเป็นฝันอย่างแน่นอน...

เดนมันน์ Danemann

   ผมรู้สึกเย็นวาบ
   และเมื่อผมสบตากับผู้ที่มาใหม่...

คลาร่า ? ....นั่นคลาร่าใช่ไหม


   ...

   ชีวิตของผมเปลี่ยนไปทันทีนับตั้งแต่วันที่คลาร่าเข้ามาเป็นสมาชิกคนใหม่ของครอบครัว ยายหนูผู้ซึ่งดูเหมือนร้างราการซ้อมเปียโนมานานนับตั้งแต่วันที่เธอเริ่มป่วย ก็กลับมาดีดเปียโนอีกครั้ง เธองัดเอาเพลงเก่า ๆ ที่เคยเล่นออกมาปัดฝุ่นใหม่ และหัดเพลงใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอีก ราวกับเธอกำลังเตรียมตัวจัดโปรแกรมคอนเสิร์ตครั้งต่อไปอย่างนั้นแหละ แต่ทั้งหมดที่ว่ามานี้ เธอมิได้ทำงานร่วมกับผมอีกต่อไป แต่เธออยู่กับคลาร่า
   "ยายหนูกำลังเห่อเปียโนใหม่ ดีดทั้งวันทั้งคืน" ผมได้ยินคุณย่าสองคนคุยกัน จงใจให้ยายหนูได้ยินที่ตนกำลังนินทา "ไม่ใช่นะคะ" ยายหนูเถียงสวนขึ้นมาทันควัน "ก็หลังเก่ามันทำไม่ได้อย่างใจนี่คะ คีย์มันไม่ไว ดีดเพลงเร็ว ๆ ก็ไม่ตอบสนอง เล่นเพลงเบา ๆ มันก็ทำไม่ได้ ถ้ายังเล่นหลังนั้นอยู่ ชาตินี้หนูไม่มีวันเล่นเพลงของเดอบุสชีได้ไพเราะกับเขาสักที คุณย่าจะให้หนูตายไปแล้วบอกยมบาลว่า หนูเป็นนักเปียโนแต่ไม่เคยเล่นเพลง แคลร์เดอลูน ยังงั้นเหรอคะ น่าขายหน้าจัง เพลงนี้น่ะเป็นเพลงชมความงามของแสงจันทร์ มันต้องเบาและพลิ้วอย่างที่สุด ถ้าเปียโนไม่ให้ความร่วมมือละก็ เล่นยังไงก็ไม่ได้เรื่องหรอกค่ะคุณย่า"
   ผมรู้สึกว่ามีก้อนอะไรไม่รู้วิ่งปรู๊ดขึ้นมาจุกที่คอหอย อ้อ...อย่างนี้นี่เอง ผมเข้าใจแล้ว ถึงเวลาแล้วสินะที่ผมต้องพิจารณาตัวเอง ผมทำไม่ได้ ? ผมไม่ตอบสนอง ? ...ผมนั่งดูใจตัวเองที่กำลังสั่นระริก ๆ ถี่ขึ้นทุกขณะจิต ผมบอกไม่ได้ว่ามันเจ็บที่ใจหรือเจ็บที่กายกันแน่ รู้เพียงแต่ว่ามันเจ็บ นี่เธอกำลังทำให้ผมเจ็บ หรือว่าผมกำลังเจ็บปวดเพราะทนได้ยินความจริงไม่ได้กันแน่ เธอไม่ต้องการผมเพราะผมทำไม่ได้ดั่งใจเธออย่างนั้นหรือ มันเป็นความผิดของผมด้วยหรือ ที่ผมเริ่มแก่และวิ่งไม่ทันเธอน่ะ ไม่สินะ จะว่าแก่แล้ววิ่งไม่ทันก็คงไม่ใช่ ผมยังไม่แก่ ! ผมสาบานได้ว่าผมยังไม่แก่ ! คลาร่าเสียอีก คลาร่าแก่กว่าผมเป็นกอง !


   ถูกปลดระวางได้ไม่ทันไร โยฮันเนส ก็ถูก ยายหนู ทิ้งไว้เพียงลำพังที่บ้านหลังเก่า โดย ยายหนู ได้พา คลาร่า จากไปด้วย ท่วงทำนองของ โยฮันเนส จึงเต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจ ดังปรากฎใน จดหมายจากโยฮันเนส ฉบับที่ ๑

   ...
   มันจะมีประโยชน์อันใดเล่า ก็ในเมื่อผมได้ถูกกำหนดให้ออกไปจากชีวิตเธอเสียตั้งแต่วันนั้นแล้ว ถ้าเรื่องที่คุณเขียนเล่ามาเป็นเรื่องดีมีความสุข คุณคิดว่าผมจะรู้สึกเป็นสุขด้วยอย่างนั้นหรือ คุณคิดว่าผมจะเป็นสุขกับยายหนูได้ง่าย ๆ ผ่านทางตัวหนังสือสองสามตัวบนกระดาษนี่น่ะหรือ
   คลาร่า...คุณเคยรู้บ้างไหมว่า ความสุขของพวกเรานั้นมาจากอะไร มันไม่ได้มาจากสิ่งที่เราได้เห็นหรือได้ยิน แต่มันมาจากปลายนิ้วทั้งสิบ...ใช่ ! ความสุขพวกนั้นมันออกมาจากใจของคนเล่นเปียโน ผ่านปลายนิ้วทั้งสิบไหลลงมาที่ตัวเรา ผ่านคีย์ของเราเข้าไปข้างใน ไหลเข้าไปที่ค้อน จนค้อนเหล่านั้นมันหวั่นไหว ทนนิ่งอยู่ไม่ได้ ต้องเคาะปลุกเส้นสายให้ร้องก้องตอบสนอง ป่าวประกาศให้โลกทั้งโลกรับรู้ถึงกระแสสุขที่ออกมาจากใจของมนุษย์ผู้นั้น แล้วเสียงแห่งความสุขทั้งมวลก็ดังก้องอบอวลอยู่ภายในตัวของเรา แทรกลงไปในทุกอณูของเนื้อไม้ จนความสุขของคนเล่นกลายเป็นเนื้อเดียวกับเลือดเนื้อของเรา
   ในทำนองเดียวกัน ความทุกข์ของยายหนูที่ผมเคยได้รับรู้ มันผ่านมาจากมือของเธอโดยตรงเข้ามาสู่ใจของผม ไม่มีคำพูดใด ๆ จากปากของเธอ...มีแต่สัมผัส สัมผัสที่เสียดแทงทิ่มลึกลงไปในตัวของผม สัมผัสที่บอกผมว่าความเจ็บปวดของเธอนั้นเป็นเช่นไร
   เรื่องราวของยายหนู...ไม่ว่าสุขหรือทุกข์...จะเขย่าวิญญาณของผมได้ก็ต่อเมื่อตัวยายหนูเองเป็นคนสื่อสารกับผมเท่านั้น ...


   แล้วท่วงทำนองแห่งความน้อยอกน้อยใจก็มลายไป ทว่า โยฮันเนส และ คลาร่า ก็ยังคงติดต่อกันทางจดหมาย บรรยายถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้า รวมถึงทัศนคติต่อเด็ก ๆ ที่แวะเวียนสับเปลี่ยนมาเรียนเปียโนกับ ยายหนู

   จดหมายจากคลาร่า ฉบับที่ ๓

   ... มิน่าเล่า เด็ก ๆ ที่มาเรียนเปียโนทุกวันนี้ถึงได้มีอาการเหมือนหุ่นยนต์เครื่องจักร ไม่ต่างจากรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ เล่นแบบขอไปที ส่วนใหญ่พ่อแม่บังคับให้มาเรียน ไอ้พวกที่ขี้เกียจก็ขี้เกียจชั่วกัลปาวสาน ส่วนพวกที่ขยันซ้อมก็เป็นพวกที่กระหายอยากสอบเพื่อเอาใบประกาศนียบัตรไว้ใส่แฟ้มอวดกัน ฉันเบื่อเด็กพวกนี้เหลือเกิน ไม่อาจทำใจได้เลย ทุกอาทิตย์ฉันต้องทนฟังเพลงเดิม ๆ ที่ไม่มีความคืบหน้า ส่วนเด็กที่เล่นได้คล่องก็ล้วนแต่เล่นเพลงสอบเอาเกรดที่แสนจะไม่ไพเราะ แล้วก็ตะบี้ตะบันเล่นมันอยู่แค่เพลงสอบสามเพลงตลอดทั้งปีซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันร้ายยิ่งกว่าแผ่นเสียงตกร่องของอานิดที่เธอเคยเล่าให้ฉันฟังเสียอีกนะ เด็กบางคนพอสอบได้ใบประกาศนียบัตรแล้ว วันรุ่งขึ้นมาขอลาออก อย่างนี้ก็มีหลายคน เพราะเบื่อเบ่นเปียโนสุดขีด
   ฉันว่าเด็กสมัยนี้เป็นเด็กที่น่าสงสารจริง ๆ นะ พวกเขาถูกสอนให้เธอเอาทุกอย่างเป็นเรื่องงานไปเสียหมด แม้แต่เล่นดนตรีก็เป็นงาน เป็นเรื่องเรียนที่ต้องมีการสอบวัดผล หรือไม่ก็แข่งขันกัน ฉันยังไม่เคยเห็นเด็กที่มาเรียนกับยายหนูเล่นเปียโนด้วยท่าทางที่มีความสุขเลยสักคนเดียว สมัยนี้เขาเล่นดนตรีกันไปเพื่ออะไรกันนะ เธอช่วยบอกฉันทีเถิด


   ...

   จดหมายจากโยฮันเนส ฉบับที่ ๔

   ...คำว่ามี "หัว" ทางดนตรีนั้นมันไม่เพียงพอหรอก มันต้องมีทั้ง "เลื้อดเนื้อและวิญญาณ" ของนักดนตรีด้วยต่างหาก ! เปียโนไม่ได้เล่นแค่ที่หัว คุณก็รู้ใช่ไหมคลาร่า ผมอยากจะบอกว่า การมีดนตรีในสันดานนั้นน่ะ...แค่คุณชอบฟังเพลงมันก็เข้าข่ายมีดนตรีในสันดานแล้วละครับ ไม่จำเป็นต้องกระโดดลงมาเล่นเองหรอก ถ้าอะไร ๆ ในตัวของคุณมันไม่พร้อมที่จะทำอย่างนั้น
   ก็เพราะคนสมัยนี้คิดว่าดนตรีคือหนึ่งในวิชาที่ทุกคนสอบผ่านได้ ถ้าได้รับการอบรมสั่งสอนที่ถูกต้องเป็นระบบระเบียบ โลกใบนี้จึงเต็มไปด้วยเด็กที่เล่นดนตรีด้วยสมองคอมพิวเตอร์ ถึงเวลาก็ถูกป้อนข้อมูลลงไป ถ้าคนไหนเป็นเด็กฉลาด มีระเบียบ และขยัน ก็จะเป็นคอมพิวเตอร์ในฝันของพ่อแม่เลยทีเดียว ที่กดปุ่มปั๊บก็เล่นเพลงได้ดั่งใจ ผมเห็นลูกศิษย์ของยายหนูหลายคนที่ทำตามยายหนูสอนทุกอย่างโดยไม่ขาดตกบกพร่อง บอกให้เล่นดังตรงนี้ เบาตรงนั้น ช้าตรงนั้นนิด ผ่อนตรงนี้หน่อย เขาก็ทำได้ตามนั้น แต่มันเหมือนหีบเพลงที่มีปุ่มเร่งเสียง เร่งความเร็วยังไงยังงั้น ทุกอย่างมันควบคุมด้วยสมอง แต่มันไม่ได้มาจากแรงส่งของจิตวิญญาณ
   ...


   อ่านแล้ว... รู้สึกอาย โยฮันเนส กับ คลาร่า จังค่ะ โชคดีที่หวานเย็นเป็นมนุษย์ที่มีดนตรีในสันดาน ประเภทชอบฟังเพลง มากกว่าจะชอบสร้างมลภาวะทางเสียงแก่ผู้อื่น ไม่อย่างนั้นคงต้องระแวงวันหนึ่งข้างหน้าอาจมีหนังสือสักเล่มที่มีเครื่องดนตรีสักชิ้นหนึ่งแอบนินทาหวานเย็นให้คนอื่นอ่านน่ะค่ะ

   ก็... ตามชื่อเรื่องเลยนะคะ โน้ตตัวสุดท้าย ที่ใดมีงานเลี้ยงย่อมต้องมีเลิกรา แต่... บทลาของ โยฮันเนส และ คลาร่า นั้น กลับเปี่ยมไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ

   จดหมายจากโยฮันเนส ฉบับที่ ๕

   คงไม่มีภาษาใด ๆ ในโลกนี้หรือโลกไหนที่จะบรรยายความเจ็บปวดอันแสนสาหัสของคุณและผมที่มีอยู่ท่วมท้น ณ เวลานี้ได้ ครั้งหนึ่งผมเคยถูกทอดทิ้งไว้ที่บ้านและมองเห็นภาพคุณจากไปพร้อมยายหนู ผมเคยคิดว่าคงจะไม่มีอะไรสาหัสมากไปกว่านี้อีกแล้ว แต่มาวันนี้ ความทุกข์ของผมในครั้งนั้นเปรียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่คุณกำลังเผชิญอยู่ ผมอาจจะถูกทิ้งก็จริง แต่เขาก็ทิ้งผมไว้ที่บ้าน ในที่ที่ผมคุ้นเคย แม้จะมองไม่เห็นอนาคต แต่ก็ไม่ถึงกับตกอยู่ในสภาพถูกไล่ให้ไปตายเอาดาบหน้าแบบนี้
   คลาร่า คุณจำที่ผมเคยบอกคุณได้ไหมว่า บางครั้งเขาเป็นบุคคลหมายเลขหนึ่งสำหรับเรา แต่เราไม่ใช่หมายเลขหนึ่งสำหรับเขา ในขณะที่ชีวิตของเขามีเรื่องราวร้อยแปดพันประการ แต่เรามีเขาเพียงเรื่องเดียว เรานั่งอยู่ที่บ้าน คอยเขากลับมาทุกวันใช่ไหมคลาร่า แต่ชีวิตของเขาส่วนที่ไม่ได้อยู่ในสายตาเรานั้น เราไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าเขาไปทำอะไรมาบ้าง เขาพบใครบ้างในแต่ละวัน และในใจเล็ก ๆ ของเขานั้นมันมีอะไรสุมทับถมอยู่บ้าง
   เขาเป็นคนนะคลาร่า แม้เราจะหลงคิดไปว่าเราไม่ได้ต่างจากพวกเขา แต่ความเป็นจริงก็คือเราเป็นเพียงเครื่องใช้ไม้สอยชิ้นหนึ่งของพวกเขาเท่านั้น จริงอยู่ เราเป็นส่วนหนึ่งของความสุขที่เขาสร้างขึ้น จนเราหลงคิดไปว่าเราเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขของเขา ผมเองก็เคยเข้าใจอย่างนั้นเหมือนกัน แต่เปล่าเลย...ความสุขที่เขาสร้างโดยอาศัยเรานั้น มันก็เพื่อตัวของเขาทั้งสิ้น ไม่ใช่เพื่อเรา เขาไม่ได้คาดหวังให้เรามีหัวใจหรอก เพราะจริง ๆ แล้วเปียโนไม่ควรที่จะมีหัวใจ เราไม่ควรจะมีความรู้สึกใด ๆ เลย ถูกแล้วคลาร่า...เราไม่มีหัวใจ ไม่มีเลือดเนื้อใด ๆ ทั้งสิ้น เราเป็นแค่ไม้มะฮอกกานีชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่บังเอิญมาอยู่ร่วมกันก็เท่านั้นเอง เหล็กพวกนั้น เส้นลวดพวกนั้น มันมีวิญญาณหรือเปล่า ผ้าสักหลาดสีแดง...เมื่อวานนี้ มันยังกองเป็นม้วนโตอยู่ตรงมุมห้อง แต่วันนี้มันถูกตัดเป็นแถบยาว ๆ เขาเอามารองอยู่ใต้สายของเรา มันมีเลือดมีเนื้อหรือเปล่า พวกเรารู้อยู่แก่ใจว่าเวลาที่นักเปียโนทำหน้าที่เป็นคนเล่น เรานี่แหละที่เป็นคนรับ ถ้าเราปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือเสียอย่างเดียว เขาก็จะล้มเหลวอย่างแน่นอน แต่เวลาที่เราให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขามักจะลืม   ความจริงในข้อนี้ไปเสียสิ้น เขาไม่เคยคิดว่าเสียงไพเราะที่ดังออกมา ส่วนหนึ่งนั้นมันเป็นผลงานของพวกเราด้วยเหมือนกัน เวลาที่เขาทำสำเร็จ เขาไม่เคยมองเห็นเรา ถ้าเมื่อไรที่เราทำอย่างใจเขาไม่ได้ เมื่อนั้นแหละที่เขาจะเห็นว่าเราไร้ค่า
   คุณอย่ากล่าวโทษยายหนูเลย ผมไม่ได้ออกรับแทนเขา หรือไม่เห็นใจในความเจ็บปวดของคุณ แต่จะมีใครในโลกนี้ที่อาจล่วงรู้ได้ว่า เราไม่ได้เป็นแค่เศษไม้เศษเหล็ก เป็นเพราะเราไม่ใช่หมาขนปุยที่เมื่อเจ้านายกลับมาบ้านก็วิ่งกระดิกหางเข้าไปประจบประแจง เขาถึงจะได้รู้ว่าเรามีเลือดมีเนื้อ เรายืนเงียบ ๆ อยู่กับที่ เสียงที่เราเปล่งออกมาก็ดี มันดูเหมือนไม่ใช่ผลงานของเราเลยแม้แต่น้อย แต่มันเป็นผลงานของนักเปียโน เวลาที่โน้ตตัวสุดท้ายสิ้นเสียงลง และเสียงปรบมือดีงกึกก้องขึ้นนั้น ผู้คนเขาปรบมือให้ใครกัน ให้เราอย่างนั้นละหรือ มีใครเคยปรบมือแล้วตะโกนบ้างไหมว่า "เอาอีก เอาอีก เปียโนหลังนี้เก่งจัง" เวลาคอนเสิร์ตจบ มีการมอบดอกไม้ เขาก็มอบให้นักเปียโนกับวาทยากร ไม่มีนักเปียโนคนไหนที่เมื่อเล่นคอนแชร์โตจบแล้วก้มลงไปจูบเปียโนและบอกว่า "คุณเยี่ยมจริง ๆ ผมรักคุณ" ผมพูดถูกใช่ไหม...คลาร่า
   ...
   คนที่เขาเป็นเจ้าของเรา เขาไม่รู้หรอกว่าเราไม่เคยทรยศหักหลังเขา ที่เราทำไม่ได้ดั่งใจเขาก็เพราะสังขารของเราต่างหาก แต่เราไม่มีวันจะคิดหักหลังเขา เราซื่อตรงอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้นตลอดไป และเราไม่เคยเลือกนาย แต่เราลองถามตัวเองกันดูสักครั้งเถิดว่า ผู้คนทั่ว ๆ ไปเขามองว่าเราแตกต่างหุ่นยนต์บังคับ หรือรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์หรือเปล่า ถ้าคนเขาเปลี่ยนรถยนต์กันได้บ่อย ๆ ก็แล้วทำไมถึงจะเปลี่ยนเปียโนบ่อย ๆ ไม่ได้เล่า เขาซื้อเราเอาไว้ใช้งาน เมื่อเราทำงานให้เขาไม่ได้...มันก็จบกัน...เท่านั้นเอง


   เท่านั้นเอง... สำหรับ โน้ตตัวสุดท้าย

   แนะนำนะคะ สำหรับใครที่ยังไม่เคยอ่าน หรือเคยมองข้าม โน้ตตัวสุดท้าย ไป เป็นนวนิยายขนาดสั้น อารมณ์ละเมียดละไม ใช้ภาษาง่าย ๆ แต่ลึกซึ้งกินใจเล่มนี้







Create Date : 29 พฤษภาคม 2557
Last Update : 29 พฤษภาคม 2557 18:19:31 น. 9 comments
Counter : 1896 Pageviews.

 
ปกหนังสือดูสวยคลาสสิคมาก เปียนโนเป็นผู้เล่าน่าจะแปลกดีนะคะ


โดย: prysang วันที่: 29 พฤษภาคม 2557 เวลา:19:03:35 น.  

 
แวะมาอ่านรีวิวค่ะ


โดย: Aneem วันที่: 29 พฤษภาคม 2557 เวลา:21:37:00 น.  

 
ใช้วัตถุเป็นตัวเล่าเรื่อง
น่าสนใจและมีเสน่ห์ดีนะคะ


โดย: Pdจิงกุเบล วันที่: 30 พฤษภาคม 2557 เวลา:9:25:14 น.  

 
น่าสนใจค่ะ
ใช้เปียโนเล่าเรื่องเท่ห์ๆ


โดย: เหมือนพระจันทร์ วันที่: 30 พฤษภาคม 2557 เวลา:11:32:11 น.  

 
น่าสนใจมาก ออกแนวเศร้านะคะ


โดย: ชลบุรีมามี่คลับ วันที่: 30 พฤษภาคม 2557 เวลา:16:35:22 น.  

 
แนวนี้น่าอ่านมากเลยค่ะ
ชอบๆ
ขอบคุณสำหรับรีวิวนะคะ
ต้องหามาครอบครองให้ได้เลยค่ะ



โดย: lovereason วันที่: 31 พฤษภาคม 2557 เวลา:22:12:43 น.  

 
คุณ prysang :: ปกคลาสสิคมาก ๆ เลยค่ะ เห็นแวบแรกก็หลงรักเลย

คุณ Aneem :: ขอบคุณที่แวะมาอ่านรีวิวค่ะ

คุณ Pdจิงกุเบล :: อารมณ์ของเรื่องจะละม้าย 'นิกกับพิม' อะค่ะ จะแตกต่างกันตรงที่เป็นการเล่าเรื่องผ่านมุมมองของสิ่งที่ไม่มีชีวิตน่ะค่ะ

คุณเหมือนพระจันทร์ :: ใช้เปียโนเล่าเรื่องตลอดตั้งแต่ต้นจนจบเลยค่ะเรื่องนี้

คุณชลบุรีมามี่คลับ :: ก็...เศร้า ซึ้ง ตรึงใจค่ะ

คุณ lovereason :: ขอบคุณที่แวะมาอ่านรีวิวนะคะ อ่านจบเมื่อไร อย่าลืมรีวิวนะคะ หวานเย็นจะรออ่านค่ะ


โดย: หวานเย็นผสมโซดา วันที่: 1 มิถุนายน 2557 เวลา:21:20:27 น.  

 
แปลกดีค่ะ ใช้วัตถุเป็นตัวเล่าเรื่อง


โดย: Serverlus วันที่: 3 มิถุนายน 2557 เวลา:0:13:51 น.  

 
คุณ Serverlus :: เชิญชวนค่ะ เล่มนี้น่าอ่านมาก ๆ เลยค่ะ


โดย: หวานเย็นผสมโซดา วันที่: 5 มิถุนายน 2557 เวลา:12:09:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หวานเย็นผสมโซดา
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 34 คน [?]




คนขี้เหงา...เจ้าน้ำตา
ใช้ชีวิตเหว่ว้าบนโลกกว้าง
ท่ามกลางความวุ่นวาย...สบายดี
New Comments
Friends' blogs
[Add หวานเย็นผสมโซดา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.