คืนกำไรให้ชีวิต เพื่อพิชิตไปในโลกกว้าง
space
space
space
 
สิงหาคม 2554
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
space
space
20 สิงหาคม 2554
space
space
space

เจี้ยนสุย - หยวนหยาง - ตงชวน Unseen in Yunnan (1)

ความสุขในชีวิตอย่างหนึ่งของฉัน คือ การท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง

เมื่อ เดือนพฤศจิกายน 2553 เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ฉันมีโอกาสได้เดินทางท่องเที่ยว เพื่อไปชื่นชมกับความงามของธรรมชาติ การไปท่องเที่ยวครั้งนี้ เป็นเรื่องของการชื่นชมกับเรื่องธรรมชาติจริง ๆ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของมณฑลยูนนาน ที่เราใช้ศัพท์ว่า Unseen in Yunnan

การท่องเที่ยวในครั้งนี้ ฉันกับจ๋า เพื่อนสมัยที่เรียนด้วยกันที่วิทยาลัยวิชาการศึกษา บางแสน (ปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยบูรพา) เราซื้อทัวร์ของบริษัท แม็กคลาสทัวร์ เราไปกันสองคน แต่รวมกับเพื่อนคณะทัวร์ด้วยกันจะเป็น 18 คน ฉันคิดว่า กำลังดี เพราะไม่มากไปหรือน้อยไป ถ้าจำนวนลูกทัวร์มาก มันก็เป็นอุปสรรคในเวลาไปเที่ยว ต้องรอกันนานบ้างถ้าไปเจอลูกทัวร์ที่ไม่ค่อยรักษาเวลา แต่ลูกทัวร์น้อยไป เช่น ไม่ถึง 15 คน บริษัทที่จัดทัวร์ก็จะมีกำไรน้อย อะไรประมาณนั้น

การเดินทางครั้งนี้ ใช้เวลา 7 วัน คือ เดินทางตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน และกลับวันที่ 18 เดือนเดียวกัน ระยะเวลา 7 วัน ฉันก็ว่า กำลังดี ไม่เร็วเกินไปและไม่นานเกินไป ได้ท่องเที่ยวหลายแห่งสมกับค่าทัวร์ที่จ่ายไปนั่นเอง

วันที่ 12 พฤศจิกายน 2553

ทางบริษัททัวร์นัดให้ลูกทัวร์แต่ละคนไปพร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ ในเวลา 8.30 น. โดยนัดพบกันที่ อาคารผู้โดยสาร ฉันนัดให้เหลนมารับฉันเวลาประมาณ 7.30 น. แต่กว่าเหลนจะมารับ ก็ เกือบ 8.00 น.แล้ว แต่ฉันไม่ค่อยตกใจนัก เพราะเครื่องบินออกเวลา 10.55 น.

ฉันถึงสนามบินสุวรรณภูมิเลยเวลานัดหมายไปประมาณ 10 นาที ลูกทัวร์อื่น ๆ เขาพากันโหลดกระเป๋าเดินทางเข้าเครื่องไปเรียบร้อยแล้ว โอ้โห ! ทำไมรวดเร็วเหลือเกินนะนี่ เหลือแต่ จ๋า มัคคุเทศก์และเจ้าหน้าที่ของบริษัททัวร์ที่ยืนรอฉันอยู่ มิน่าล่ะ ฉันก็มัวแต่มองหากระเป๋าที่ทางบริษัททัวร์แจกให้ ก็ไม่เห็นมีกระเป๋าอย่างที่เขาแจกเลย ที่ไหนได้ล่ะ เขาเข้าไปในที่ที่จะไปขึ้นเครื่องแล้ว มัคคุเทศก์และจ๋า เดินเข้ามาทักฉัน ฉันถามไปอย่างเปิ่น ๆ ว่า "มีเราแค่นี่เหรอ" จ๋า หัวเราะบอกว่า "คนอื่นเขาเข้าไปหมดแล้ว เหลือเธอคนเดียวแหละ" ฉันเลยต้องหัวเราะ เหะ ๆ บอกไปว่า "สายไป 10 นาที ทำไงได้ล่ะ ก็เหลนเขามารับสายนี่นา ก็บึ่งรถมาอย่างเร็วแล้วนี่นา " มัคคุเทศก์ ยิ้ม ๆ จัดการนำกระเป๋าฉันไปโหลดเข้าเครื่องและแจกพาสปอร์ต ตั๋วเครื่องบินให้ฉัน ชี้ที่เซ็นชื่อให้ฉันด้วยว่า ต้องเซ็นชื่อที่ใดบ้าง (เขาทำเครื่องหมายเอาไว้ให้แล้ว ไปกับทัวร์ มันก็ดีตรงนี้แหละ เขากรอกข้อความให้เสร็จ เรามีหน้าที่เซ็นชื่อเพียงอย่างเดียว เมื่อโหลดกระเป๋าเดินทางเรียบร้อยแล้ว ฉันกับ จ๋าก็เข้าไปยังที่ที่เขาต้องตรวจหนังสือเดินทางและปั๊มใบออกนอกประเทศ เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้ว พวกเราสองคนก็เดินชมสินค้าในบริเวณข้างในของสนามบิน เพื่อรอเวลาที่จะขึ้นเครื่องบิน พวกเรายังไม่พบคณะทัวร์ของเราที่เขาเข้ามาก่อนเลย เราสองคนก็เดินไปที่ประตูที่ 3 ที่จะขึ้นเครื่องบิน รอกันอยู่แถวนั้นนานมากพอดูกว่าจะได้ขึ้นเครื่อง ใกล้เวลาแล้ว ประมาณ 10.00 น.คณะทัวร์ที่จะไปด้วยกัน ก็ทยอยกันมานั่งเก้าอี้ที่อยู่บริเวณที่จะขึ้นเครื่องบิน (ที่รู้ว่า เป็นคณะทัวร์ที่จะไปด้วยกัน เพราะว่า สังเกตจากกระเป๋าที่ทางบริษัททัวร์แจกให้นั่นเอง) พวกเรายังไม่รู้จักกัน ก็ได้แต่ยิ้ม ๆ ให้กัน ไม่ได้ทักทายอะไรกัน
(เชิญ ผู้อ่านติดตามเรื่องราวต่อไปค่ะ ตอนนี้ดึกแล้วค่ะ)

เวลาประมาณ 10.30 น.ทางเจ้าหน้าที่เริ่มให้ผู้โดยสารเดินผ่านงวงช้างเพื่อให้ขึ้นเครื่องบิน เขามีการจัดระเบียบเรื่องนี้ดีนะ โดยให้เลขที่นั่งท้าย ๆ ขึ้นเครื่องบินก่อน เพื่อจะได้ไม่แออัดในการต่างคนต่างหาที่นั่งกัน อีกวิธีการหนึ่งของสายการบินนี้ที่ฉันว่าดีและเข้าท่า ก็คือ เขาเรียกผู้โดยสารที่มีอายุมาก ๆ ขึ้นก่อนด้วย พวกเราได้ที่นั่งอยู่กลาง ๆ ลำเครื่องบิน จึงถูกเรียกเป็นพวกกลาง ๆ ไม่เร็วและไม่ช้าเกินไป หาที่นั่งก็ง่าย เพราะพวกที่ถูกเรียกก่อน เขาได้ที่นั่งกันเรียบร้อยแล้ว อย่างนี้เรียกว่า "รู้จักการบริหารจัดการดี น่ะ"

ฉันกับจ๋า ได้ที่นั่งติดริมหน้าต่างบานเล็ก ๆ แต่ว่า ฉันไม่ได้นั่งติดริมหน้าต่าง (ด้านใน) จึงไม่มีโอกาสได้มองท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลและปุยเมฆ ขาวบ้าง เทาบ้าง สีครามบ้าง โดยเฉพาะเวลาที่เครื่องบินบินตัดปุยเมฆเหล่านั้นไป เครื่องบินใช้เวลาอุ่นเครื่องอยู่ประมาณ 15 นาที เวลา 11.06 น. เครื่องบินลำใหญ่ ทีจี 612 ก็เหินบินขึ้นสู่ท้องฟ้าไปอย่างสง่าผ่าเผย ฉันไม่รู้สึกเวียนศีรษะ มีแต่หูอื้อ นิด ๆ รู้สึกว่า หัวเครื่องบินชูเชิดขึ้นสู่ท้องฟ้า สักพัก เครื่องบินทั้งลำ ก็อยู่ในระดับเดียวกันทั้งลำ อยู่กลางอากาศอย่างเริงร่า เหมือนดังนกตัวใหญ่ที่เหินบินอย่างอิสรเสรี สามารถท่องเที่ยวไปในโลกกว้างดังใจปรารถนา เสียงแจ้ว ๆ ของเจ้าหน้าที่สายการบิน ได้ประกาศถึงวิธีใช้เครื่องมือยามเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้น พูดอธิบายทั้งภาษาไทย จีน และภาษาอังกฤษ พร้อมทั้งบอกเวลาของการเดินทางจากกรุงเทพฯถึงเมืองคุนหมิงว่า จะใช้เวลาเดินทางถึงสนามบินคุนหมิง เป็นเวลา หนึ่งชั่วโมง กับ ห้าสิบห้า นาที

ประมาณ 12.10 น. น่าจะได้ พนักงานบนเครื่องบินได้นำอาหารมาเสิร์ฟ ผู้โดยสาร อาหารมื้อนี้มีให้เลือกสองอย่าง คือ ข้าวกับแกงเขียวหวานและมีผัดไช่โป๊วกับไข่ อีกประเภทหนึ่ง คือ หมูสับห่อไข่แดงกับข้าว ฉันกับจ๋า เอากับข้าวต่างกัน เพื่อจะได้ชิมดูว่า แต่ละอย่างอร่อยหรือไม่อย่างไร เออ รสชาติก็พอทานได้ นอกจากนี้ ยังบริการขนมปัง ขนมหวาน เครื่องดื่ม ก็ให้เลือกเอา เช่น น้ำส้ม น้ำ อัดลม น้ำองุ่น น้ำแอปเปิล เบียร์ ไวน์ ชา กาแฟ แล้วแต่คนชอบ ฉันเลือกน้ำส้ม ไม่เสาะท้องดี

ประมาณ 13.05 น. เครื่องบินก็นำพวกเราเหินลงสู่สนามบินของเมืองคุนหมิง เวลาของเมืองนี้เร็วกว่าเวลาในประเทศไทยเรา 1 ชั่วโมง ดังนั้น ขณะที่เรามาถึงเมืองคุนหมิง จึงเป็นเวลา 14.05 น.ของเมืองคุนหมิงนั่นเอง กว่าพวกเราจะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองและไปรอรับกระเป๋าเดินทางเสร็จเรียบร้อยก็เป็นเวลา 14.40 น.

หลังจากรับประเป๋าเสร็จแล้ว ฉันกับ จ๋าก็เข็นรถที่ใส่กระเป๋าเดินทางออกมาช่องทางออก มัคคุเทศก์จีนที่มารอรับพวกเรา ถือป้ายชื่อ "บริษัทแม็กคลาส ทัวร์" มารับพวกเรา เขาเป็นคนหนุ่ม ตัดผมสั้นเกรียน อายุน่าจะประมาณยี่สิบกว่า ๆ เขาพูดไทยได้คล่องมากพอสมควร หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เขาพาพวกเราเข็นกระเป๋าไปขึ้นรถบัสที่จอดอยู่บริเวณสนามบิน เป็นรถบัสที่สามารถรับผู้โดยสารนั่งได้ 30 คน คณะของเรามีเพียง 18 คน รวมมัคุเทศก์ทั้งไทยและจีนและคนขับรถ ก็มีเพียง 21 คนเท่านั้น

เมื่อคณะทัวร์ขึ้นนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว มัคคุเทศก์ของไทยเรา ที่มาบริการพวกเราตั้งแต่สนามบินสุวรรณภูมิแล้ว ก็แนะนำตัวเองว่า ชื่อ ปรีชา สุวรรณรัตน์ มีชื่อเล่นว่า เปา และแนะนำมัคคุเทศก์จีน ที่จะให้ความรู้แก่พวกเราตลอดเวลา 7 วัน นี้ ว่า เขามีชื่อไทยว่า อาทิตย์ ชื่อภาษาจีนว่า เชา เชาเป็นคนมีอารมณ์ขัน ได้พูดขึ้นว่า ให้เรียกเขาว่า เชา นะ อย่าเรียกว่า เชาเชา นะ ทำเอาพวกเราหัวเราะกันใหญ่ (เพราะ เชาเชา เป็นชื่อหมาพันธุ์หนึ่ง นั่นเอง )

มัคคุเทศก์เชา เริ่มให้ข้อมูล ความรู้ ให้แก่ลูกทัวน์หลังจากที่ได้ทักทายกันแล้ว เขาเล่าให้ฟังว่า เมือง คุนหมิง (Kunming) ถือเป็นเมืองหลวงของมณฑลยูนนาน (Yunnan) มณฑลนี้อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นมณฑลที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับหกของประเทศ คือ มีเนื้อที่ 394,000 ตารางกิโลเมตร มีประชากร ประมาณ 40 ล้าน คน มีชนกลุ่มน้อยอยู่มากพอสมควร เช่น เผ่า ไป๋ เผ่า นู่ เผ่า ปูมิ เป็นต้น มณฑลยูนนาน มีทิวทัศน์ที่สวยสดงดงาม รักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมของชนชาวจีนไว้ได้มากมาย ดำรงเอกลักษณ์ของท้องถิ่นไว้ได้เป็นอย่างดี จึงเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวให้มาชื่นชมสิ่งดังกล่าว ปีหนึ่ง ๆ มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวมณฑลยูนนานเป็นจำนวนมาก

เมืองคุนหมิง (Kunming) เป็นเมืองหลวงของมณฑล ยูนนาน เป็นเมืองเก่าแก่ ผ่านประวัติศาสตร์มาประมาณสองพันปี แค่เมืองคุนหมิงในปัจจุบันเปลี่ยนโฉมหน้าไปจากเดิมมากมาย มีการตัดถนนหนทางหลายสาย มีตึกรามบ้านช่องผุดขึ้นมากมาย มีความเจริญในด้านต่าง ๆ เป็นเมืองอุตสาหกรรมสินค้า เครื่องจักรต่าง ๆ มีขึ้นป้ายว่า "Make in Yunnan" คุนหมิง มีประชากรประมาณ 3.5 ล้านคน ถึงแม้ว่า คุนหมิงจะเจริญในด้านอุตสาหกรรมมากก็ตาม แต่ประชากรส่วนหนึ่ง ยังคงมีฟาร์มทำการเกษตรอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะชนเผ่า Yi Hui Mico ซึ่งเป็นชนเผ่าดั้งเดิมของท้องถิ่น

อากาศของเมืองคุนหมิง มีความอบอุ่นกว่าเมือง อื่น ๆ ในประเทศ (ตอนที่ฉันไปเรียนภาษาจีนที่เมืองคุนหมิง เมื่อปี 2549 เป็นเวลา 1 เดือนอากาศที่นี่ ร้อนสุดไม่เกิน 25 องศา ช่วงนั้นเป็นช่วงเมษายน อาจารย์ที่สอนบอกว่า อากาศจะเย็นมากขึ้นตอนช่วงเช้าและช่วงเย็น จะต้องใส่เสื้อให้ร่างกายอบอุ่น มิฉะนั้น จะไม่สบายได้ง่าย แต่ช่วงเวลากลางวัน อากาศจะร้อนมากไม่เกิน 25 องศา) คุนหมิงได้รับการขนานนามว่า Special Tourism Centre ถึงแม้ว่า เมืองคุนหมิงจะมีตึกสูง โรงแรมหรูหราใหญ่โต แต่ตัวเมืองก็ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจให้นักท่องเที่ยวได้เที่ยวชม มีอาหารหลากหลายรสชาติ ตามถนนหนทาง มีร้านค้ามากมาย รวมทั้งพ่อค้าเร่ที่อยู่ทุกหนแห่ง มัคคุเทศก์ เชา เล่าให้ฟังว่า อากาศของเมืองคุนหมิงในปัจจุบันจะ แปรเปลียนไปจากเดิมมากขึ้น หน้าร้อนของที่นี่ ที่ว่า ร้อนไม่เกิน 25 องศาแต่ปัจจุบันนี้ บางครั้งร้อนถึง 30 องศา ก็เคย ส่วนดอกไม้ประจำเมืองคุนหมิง คือดอก เป้าชวน ซึ่งในภาษาไทยเรา ก็คือ ดอกลำดวน นั่นเอง เราจะเห็นสัญลักษณ์ของดอกเป้าชวน ที่ติดอยู่ที่เสาตามถนนหนทางที่รถผ่าน โดยมีหลอดไฟเล็ก ๆ อยู่กลางดอก เวลากลงคืนก็จะเปิดไฟ สว่างไสวตามริมถนน อย่างสวยงามน่าชื่นชมนัก คุนหมิงจะแบ่งออกเป็น 4 เขต 5 อำเภอ มีเมืองที่มีชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่มากที่สุดถึง 25 เผ่าจากชนเผ่าทั้งหมดในประเทศจีน ซึ่งมี 55 เผ่า



รูปดอกเป้าชวน หรือดอกลำดวนในไทย เป็นดอกไม้ประจำเมือง คุนหมิง


(เชิญติดตามอ่านในโอกาสต่อไปค่ะ)

มัคคุเทศก์ เชา ได้ให้คำแนะนำ เรื่องการจัดเก็บพาสปอร์ตให้ดี ถ้าเกิดการสูญหายจะเป็นเรื่องยุ่งยากมากสำหรับที่นี่ เรื่องที่ต้องระวังอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ กรเป๋าเงิน ต้องสะพายอยู่ด้านหน้าของตัวเราเสมอ เพื่อกันการถูกกรีดกระเป๋า หรือล้วงขโมยเงินจากมิจฉาชีพ และให้จดเบอร์โทรศัพท์ของมัคคุเทศก์ไว้ เผื่อหลงทางจะได้โทรตามกันได้ อีกทั้งให้จำทะเบียนรถที่โดยสารของตนให้ดี เพราะรถบัสที่นี่ ส่วนใหญ่หน้าตาจะเหมือน ๆ กัน ถ้าไม่จำเลขทะเบียนและหน้าคนขับให้ดี ประเดี๋ยวจะขึ้นรถผิดคันได้

วันนี้ เราจะไม่พักที่เมืองคุนหมิง จะนั่งรถบัสเดินทางไป อำเภอ เจี้ยนสุ่ยเลย ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลจากเมืองคุนหมิง ประมาณ 220 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงกว่า

เมืองเจี้ยนสุ่ย (jian shui) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมือง คุนหมิง ได้ชื่อว่า เป็นเมืองประวัติศาสตร์ยาวนานถึงประมาณ 1,300 ปี ในปี ค.ศ. 1994 เมืองเจี้ยนสุ่ยได้รับการอนุมัติจากสภาบริหารประเทศให้เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเป็นลำดับที่ 3 ของประเทศจีน เป็นศูนย์กลางการค้า รักษามรดกทางสถาปัตยกรรมของเมืองไว้ได้เป็นอย่างดี เป็นเสน่ห์ให้นักท่องเที่ยวมาชื่นชมอย่างมากมายในแต่ละปี

ระหว่างทางที่รถบัสที่เรานั่งผ่านไปนั้น สองข้างทางที่เห็น จะเป็นแปลงผักที่ชาวไร่ชาวนาปลูกไว้อย่างกว้างขวาง โดยมีพลาสติกคลุมเอาไว้ เหมือนกับบ้านเราที่ทำผักกางมุ้งประมาณนั้น เนื้อที่ทุกตารางนิ้วของเขา เขาไม่ยอมปล่อยให้ว่างเปล่าเลย แลดูเขียวขจีไปสุดลูกหูลูกตา ภูเขาของประเทศเขา ก็มีต้นไม้ขึ้นเขียวชอุ่มไปหมด แทบจะไม่เห็นภูเขาหัวโล้นเลย ยกเว้น ภูเขาที่เขาจำเป็นต้องระเบิดเพื่อที่จะตัดถนน ช่างผิดกับเมืองไทยของเรา เพราะเวลาเราไปต่างจังหวัด เรามักจะเห็นภูเขาของเราหัวโล้นไปหมด หาความเขียวขจีด้วยต้นไม้แทบไม่ได้เลย

วันนี้ เราจะไม่พักที่เมืองคุนหมิง จะนั่งรถบัสเดินทางไป อำเภอ เจี้ยนสุ่ยเลย ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลจากเมืองคุนหมิง ประมาณ 220 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงกว่า

เมืองเจี้ยนสุ่ย (jian shui) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมือง คุนหมิง ได้ชื่อว่า เป็นเมืองประวัติศาสตร์ยาวนานถึงประมาณ 1,300 ปี ในปี ค.ศ. 1994 เมืองเจี้ยนสุ่ยได้รับการอนุมัติจากสภาบริหารประเทศให้เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเป็นลำดับที่ 3 ของประเทศจีน เป็นศูนย์กลางการค้า รักษามรดกทางสถาปัตยกรรมของเมืองไว้ได้เป็นอย่างดี เป็นเสน่ห์ให้นักท่องเที่ยวมาชื่นชมอย่างมากมายในแต่ละปี

ระหว่างทางที่รถบัสที่เรานั่งผ่านไปนั้น สองข้างทางที่เห็น จะเป็นแปลงผักที่ชาวไร่ชาวนาปลูกไว้อย่างกว้างขวาง โดยมีพลาสติกคลุมเอาไว้ เหมือนกับบ้านเราที่ทำผักกางมุ้งประมาณนั้น เนื้อที่ทุกตารางนิ้วของเขา เขาไม่ยอมปล่อยให้ว่างเปล่าเลย แลดูเขียวขจีไปสุดลูกหูลูกตา ภูเขาของประเทศเขา ก็มีต้นไม้ขึ้นเขียวชอุ่มไปหมด แทบจะไม่เห็นภูเขาหัวโล้นเลย ยกเว้น ภูเขาที่เขาจำเป็นต้องระเบิดเพื่อที่จะตัดถนน ช่างผิดกับเมืองไทยของเรา เพราะเวลาเราไปต่างจังหวัด เรามักจะเห็นภูเขาของเราหัวโล้นไปหมด หาความเขียวขจีด้วยต้นไม้แทบไม่ได้เลย

รูป การทำแปลงผักคลุมพลาสติค



มัคคุเทศก์ เชา เล่าต่อไปว่า อาหารที่ขึ้นชื่อของมณฑลยูนนาน คือ เห็ด เพราะ มณฑลนี้ มีภูเขามาก จึงปลูกเห็ดมาก นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุมาก เห็ดที่นี่มีหลายสิบชนิดที่อร่อย ที่นี่ขึ้นชื่อว่า อร่อยมาก เป็นเห็ดสด เห็ดแห้งไม่ค่อยนิยม เพราะมีเห็ดสดทานกัน และ ทัวร์ครั้งนี้ จะมีการพาไปทานสุกี้เห็ดด้วย สุกี้เห็ดที่เมืองคุนหมิง ถือว่าเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดอย่างหนึ่ง ส่วนผักที่เราเห็นปลูกกัน มากมายระหว่างเส้นทางที่รถผ่านนั้น เขามีการส่งออกขายต่างประเทศด้วย เช่น ส่งไปขายที่เวียงจันทน์ ประเทศลาว เป็นต้น

รูปเห็ดชนิดต่าง ๆ



นอกจากนี้ มัคคุเทศก์ เชา ให้ความรู้แก่พวกเราอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งฉันคิดว่าสำคัญมากนะ นั่นก็คือ การดูธนบัตรปลอม ธนบัตรที่ปลอมมากที่สุด คือ ธนบัตร ใบละ 50 หยวน (ทำเอาพวกเรา ไม่ยอมรับธนบัตรใบละ 50 เป็นเงินทอนเลย) วิธีสังเกตก็คือ นำธนบัตรมาส่องดู ถ้าจับธนบัตรส่องตรง ๆ จะเป็นสีเทา ๆ ถ้าจับธนบัตรส่อง เอียง ๆ จะเป็นสีเขียว ถ้าเปลี่ยนสีเช่นนี้ จะเป็นธนบัตรจริง อีกวิธีหนึ่ง คือ ให้ใช้นิ้วถูที่ปกเสื้อของประธานเหมาที่อยู่ในธนบัตร ถ้ารู้สึกสาก ๆ จะเป็นของจริง แต่ถ้าถูแล้วลื่น ๆ จะเป็นธนบัตรปลอม

รถบัสพาพวกเราไปถึงเมืองเจี้ยนสุ่ย ก็เป็นเวลา 18.40 น. (ต่อไปจะใช้เป็นเวลาของเมืองคุนหมิง ซึ่งเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง พวกเราทานอาหารมื้อเย็นที่โรงแรม ซึ่งมีชื่อว่า โรงแรมเจี้ยนสุ่ย อาหารมื้อนี้เป็นอาหารจีน รสชาติพอใช้ได้ ฉันชอบทานผักของประเทศจีนมาก เพราะมีรสชาติหวานกรอบดี เมื่อทานข้าวมื้อเย็นแล้ว มัคคุเทศก์ เชา และ เปา ก็พาพวกเราออกเดินเที่ยวบริเวณรอบ ๆ โรงแรมที่พัก ซึ่งมัคคุเทศก์บอกว่า เป็นเมืองเก่าของเมืองเจี้ยนสุ่ย แต่พวกเราดูแล้ว ก็ไม่เห็นเหลือความเก่าเอาไว้เลย มีสินค้าที่ทันสมัยขาย ผู้คนก็แต่งตัวทันยุคทันสมัย ของที่ขาย เช่น พวกกิ๊บชอฟ เสื้อผ้าสมัยใหม่ รองเท้า ทันสมัยไปหมด เดินไปได้สักพักใหญ่ ผ่านสนามนั่งเล่น ฉันก็ได้ยินเสียงเพลงจีน เป็นจังหวะที่เร้าใจดี มองเข้าไป ก็เห็นผู้คนจำนวนมิใช่น้อย กำลังออกกำลังกายกันด้วยการเต้น อารบิค ด้วยจังหวะที่พร้อมเพรียงกันและดูสนุกสนานอย่างมีความสุข เป็นภาพที่น่าชื่นชมมากทีเดียว แสดงให้เห็นว่า ประชาชนสนใจสุขภาพของตนเอง พวกเราเดินชมสถานที่ต่าง ๆ จนถึงประมาณสามทุ่มกว่าของเมืองเจี้ยนสุ่ย อากาศมีความหนาวเย็นมากขึ้นกว่าตอนพวกเราเพิ่งทานข้าวมื้อเย็นอิ่ม ฉันและเพื่อน ๆ คณะทัวร์ก็เดินกลับโรงแรมที่พัก

โรงแรมนี้ ทันสมัยดีจังนะ มีคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ตให้ใช้ด้วย ฉันกับจ๋าเปิดใช้มันไม่ได้ เพราะเครื่องที่บ้าน ลูกศิษย์เขา เซทเครื่องให้เรียบร้อย ไม่ต้องกรอกข้อมูลอะไรเลย เปิดเครื่องแล้วก็กด ฮอทเมล ก็ใช้ได้เลย นี่แหละหนามันไม่ดีตรงนี้แหละ พอไปเจอเครื่องที่ไม่ใช่ของเรา เลยใช้ไม่เป็นไงล่ะ เพราะมันให้กรอกข้อมูลของเราในเครื่องคอม ฯ เราจึงกรอกไม่ถูกไงล่ะ เนื่องจากปรกติเครื่องของเราไม่ต้องกรอกอะไรนั่นเอง ในที่สุด จ๋า ก็อดดูรูป 40 ปีพิราบขาวในเฟสบุ๊คของฉัน พวกเราเลยไปอาบน้ำแล้วเข้านอนตั้งแต่ สี่ทุ่มกว่า ๆ เป็นการนอนที่เร็วกว่าที่ฉันอยู่กรุงเทพฯมากเหลือเกิน

(โปรดติดตามอ่านต่อไปในโอกาสหน้า )

วันที่ 13 พฤศจิกายน 53

เช้านี้ มัคคุเทศก์ บอกว่า จะปลุก 6:7:8 หมายความว่า พวกเราต้องตื่น 6 โมงเช้า 7 โมง ทานข้าวเช้า และออกเดินทาง 8 โมง นั่นเอง

หลังอาหารเช้าแล้ว รายการทัวร์ของเราสถานที่แรก ก็คือ ไปชมสะพาน ซวงหลงเฉียว ซวง ในภาษาจีน แปลว่า คู่ หลง แปลว่า มังกร เฉียว แปลว่า สะพาน ดังนั้น แปลรวมกันได้ว่า สะพานมังกรคู่ มัคคุเทศก์ได้ให้ความรู้ว่า สะพานนี้ มีอายุประมาณ 700 ปี ระหว่างสะพานที่พวกเราเดินไปนั้น จะมีซุ้มเป็นช่วง ๆ รวม 17 ซุ้ม แต่ละซุ้มมีความสวยงามด้วยศิลปะแบบจีน บริเวณรอบ ๆ สะพานที่มีความยาวมากพอสมควรนั้น มีสายน้ำไหลเอื่อย ๆ ลมพัดมาเย็น
ยะเยือกดีเหลือเกิน เพราะยังเป็นเวลาเช้าอยุ่ พวกเราเดินทอดน่องผ่านประตูซุ้มแล้วซุ้มเล่า ชื่นชมแผ่นหินที่จารึกชื่อและเรื่องราวของผู้ร่วมสร้างสะพานนี้ ฉันอ่านออกบ้าง ไม่ออกบ้าง ภาษาจีนเป็นภาษาที่ยากมาก ฉันไม่มีโอกาสได้ใช้ภาษาจีนมา 2-3 ปีแล้ว (ตอนยังไม่เกษียณอายุราชการ ฉันได้รับการคัดเลือกให้ไปเรียนภาษาจีนที่มหาวิทยาลัย หวินหนัน เมืองคุนหมิง เป็นเวลา 1 เดือน ในฐานะที่เป็นคนมีพื้นความรู้เรื่องภาษาจีนอยู่บ้าง เรียนกลับมาเพื่อจะเป็นผู้ประสานงานและสื่อสารกับครูจีนที่มาสอนที่โรงเรียน) เพราะหลังจากเกษียณอายุราชการแล้ว ฉันไม่มีโอกาสได้พูดสื่อสารกับครูจีนในโรงเรียนนั่นเอง พอไม่ได้ใช้ ก็ชักจะลืมและพูดได้น้อยกว่าเดิม
ทิวทัศน์ในบริเวณนี้สวยสดงดงาม มีต้นไม้ ทั้งต้นใหญ่ต้นเล็ก และมีผืนแผ่นดินที่กว้างใหญ่ ปลูกผัก ปลูกข้าวด้วย ดูแล้วช่างเป็นสถานที่ที่มีความสงบสุขดีเหลือเกิน ฉันกับจ๋า ผลัดกันถ่ายรูปตามมุมต่าง ๆ ที่เห็นว่าเป็นมุมที่สวยงาม บางครั้ง เพื่อน ๆ คณะทัวร์ก็เรียกไปถ่ายรูปหมู่บ้าง คณะทัวร์ของเรา พี่ละเอียดเป็นผู้ริเริ่มให้มีการแนะนำตัวตัวเองเพื่อจะได้รู้จักกัน ให้รู้ว่า ใครเป็นใคร และคนไหนเป็นพี่ เป็นน้องกัน (ให้แนะนำตอนทานข้าวมื้อเย็นเมื่อวานนี้) ปรากฏว่า จากการที่แนะนำนั้น จบจากจุฬาลงกรณ์เกือบทั้งนั้น เป็นหมอ น่าจะมีประมาณ 3-4 คน จบสถิติบ้าง สอนอยู่ที่สาธิตบ้าง บางคนก็เกษียณอายุราชการแล้ว บางคนก็เกษียณก่อนอายุราชการ จากคำแนะนำ ในกลุ่มนี้ มีคนอ่อนกว่าฉันเพียง 2-3 คนเท่านั้น นอกนั้น ฉันต้องเรียกเขาว่าพี่ทั้งนั้น มีฉันกับจ๋าที่จบจาก ว.ศ. ฉันกับจ๋าก็คุยกับพวกพี่ ๆ และน้อง ๆ ได้เป็นอย่างดี ทุกคนก็ให้ความเป็นกันเองกับพวกเราดี พวกกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่เคยไปเที่ยวด้วยกันมาก่อนแล้ว จึงมีความสนิทสนมกลมเกลียวกันดี

เที่ยวสะพานซวงหลง สะพานมังกรคู่



สถานที่แห่งที่สองที่พวกเราไปเที่ยวก็คือ หมู่ตึกตระกูล จู เป็นหมู่ตึกขนาดใหญ่ มีมากกว่าร้อยห้อง ลวดลายของประตู หน้าต่าง มีความสวยงาม สง่า ทั้งภายนอกและภายใน การตกแต่งบ้านเป็นการตกแต่งแบบเฉพาะของตน มีอาณาบริเวณกว้างขวางมาก ประมาณ 20,000 ตารางกิโลเมตร ใช้พื้นที่ในการก่อสร้าง ประมาณ 5,000 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยอาคารต่าง ๆ นอกนั้นเป็นลานสวนสวย ปลูกดอกไม้ บานสะพรั่ง ต้นไม้ใหญ่ เล็ก มีสระน้ำ มีศาลาบริเวณสระน้ำ และล้อมรอบไปด้วยต้นไม่ใหญ่น้อย ดูร่มรื่นสงบเงียบดี ได้รับการอนุรักษ์รูปแบบของการก่อสร้างเอาไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ชื่นชม เพราะเป็นสถาปัตยกรรมยุคราชวงศ์ชิงที่ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 30 ปีของตระกูลจู มัคคุเทศก์อีกคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า (คนนี้พูดภาษาไทยไม่ได้ มัคคุเทศก์ เชา เป็นผู้แปลเป็นภาษาไทย) ผู้ที่สร้างหมู่ตึกตระกูลจูนั้น คือ อดีตพ่อค้าใหญ่ มีอิทธิพลมากที่สุดของเมืองเจี้ยนสุ่ย เป็นตึกที่สร้างเลียนแบบ วรรณกรรมจีน เรื่อง ความรักในหอแดง ที่ลือชื่อของจีน

เที่ยวที่หมู่บ้านตระกูลจู



พวกเราเดินชมหมู่ตึกตระกูลจูไปทุกซอกทุกมุม เช่น อาคารที่สำหรับต้อนรับแขกธรรมดา ตึกที่ใช้ต้อนรับแขกสำคัญ ตึกที่ที่เป็นที่อยู่ของลูกสาวของตระกูลจู นอกจากนี้ ยังได้ชมแผ่นป้ายที่จารึกถึงกฎระเบียบของบ้านตระกูลจูที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม เป็นต้น พวกเราก็ถ่ายรูปตามมุมต่าง ๆ ที่คิดว่าสวยที่สุด ถ่ายสวนดอกไม้นานาพันธุ์ที่บานสะพรั่งหลากหลายสีสัน หมู่ภมรบินร่อนดมกลิ่นเกสรดอกไม้และหาน้ำหวานจากมวลดอกไม้นานาพันธุ์เหล่านั้นเพื่อดำรงชีวิตของตนเอง เฉกเช่นเดียวกับมนุษย์ที่ต้องประกอบสัมมาอาชีพเพื่อดำรงชีวิตของตนเองเช่นกันไงล่ะ

จากการเที่ยวหมู่ตึกตระกูลจูแล้ว มัคคุเทศก์ก็พาพวกเราไปเที่ยวยังสถานที่ที่ฉันคิดว่า เป็นสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่นับถือของคนจีนและอาจรวมถึงประชากรชาวโลกด้วยก็ได้ เพราะบุคคลที่ฉันกำลังจะเอ่ยถึงนี้ ก็คือ ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ นับเป็นนักปราชญ์ที่น้อยคนนักจะไม่รู้จักนะ บุคคลสำคัญท่านนี้ ก็คือ ปรมาจารย์ ขงจื้อ ตามความเชื่อของคนจีน เด็ก ๆ ที่เพิงเข้าโรงเรียนเป็นครั้งแรก จะต้องผ่านพิธีการกราบไหว้ท่าน ขงจื้อทุกคน จึงจะเรียนหนังสือได้ดี และ เก่ง ซึ่งสมัยฉันเป็นเด็ก พ่อส่งฉันเข้าโรงเรียนที่มีการเรียนการสอนภาษาไทยควบคู่กับภาษาจีน ฉันก็เข้าพิธีไหว้ท่าน ขงจื้อ เช่นกัน

มัคคุเทศก์เล่าให้ฟังว่า อาราม ขงจื้อ มี 2 ลักษณะ คือ อาราม ขงเมี่ยว เป็นอารามที่ไหว้ขงจื้อ อีกลักษณะหนึ่ง เรียกว่า ขงเหมินเมี่ยว เป็นทั้งอารามไหว้ ขงจื้อ และเป็นสถานที่ที่เรียนหนังสือด้วย มีพันกว่าแห่ง มีที่เมือง ชานตง ใหญ่มาก อารามขงจื้อที่เมืองเจี้ยนสุ่ยใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ แสดงให้เห็นว่าที่เมืองนี้มีผู้เรียนหนังสือมาก ที่เมืองเจี้ยนสุ่ยยังไม่มีมหาวิทยาลัย

วันนี้เรามาเที่ยว ขงเหมินเมี่ยวของเมืองเจี้ยนสุ่ย ซึ่งเป็นสถานที่กว้างใหญ่มากทีเดียว บริเวณก่อนที่พวกเราจะเข้าประตูไป มีรูปปั้นของท่าน ขงจื้อ รูปใหญ่มาก ฉันกับจ๋าไปถ่ายรูปของท่านเป็นที่ระลึกไว้คนละ 1 รูป สถานที่นี่ มัคคุเทศก์ต้องไปตีตั๋วเพื่อเข้าไปชมภายในอาราม ภายในอาราม มีต้นไม้ใหญ่น้อยมากมาย บรรยากาศรอบ ๆ อาราม ดูสงบเงียบ มีศาลา มีกระถางธูปให้คนที่มาชมกราบไหว้ มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ชื่อว่า จินกุ้ย มีลักษณะแปลกกว่าต้นไม้อื่นอย่างประหลาด นั่นก็คือ กิ่งก้านของมัน แทนที่จะแผ่ไปรอบ ๆ ตามลักษณะของต้นไม้โดยทั่วไป แต่กิ่งของมันกลับชี้ตรงขึ้นสู่ท้องฟ้าทุกกิ่งก้านเลย ฉันเห็นว่า มันเป็นต้นไม้ประหลาดดี เลยถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกและคนอื่น ๆ ก็พากันถ่ายด้วย เพื่อนทัวร์บางคนพอรู้ว่า ฉันพอจะอ่านหนังสือจีนออกบ้าง ก็มาถามชื่อต้นไม้ต้นนี้ พอดี ชื่อต้นไม้ต้นนี้ฉันอ่านออกเสียด้วย เลยมีโอกาสให้ความรู้เพื่อนได้บ้าง เพื่อนก็รีบจดบันทึกเอาไว้ คงเป็นพวกเดียวกับฉันที่ชอบบันทึกเรื่องไปเที่ยวแน่นอน



นอกจากความสงบเงียบของสถานที่แล้ว พวกเรายังได้โอกาสชื่นชมกับนักดนตรีจีน ซึ่งเป็นคณะชายล้วน (เหมือนละครนอก ของไทยเราเลยนะ) เล่นดนตรีด้วยเครื่องดนตรีประเภทต่าง ๆ เช่น สีซอ ตีขิม เป่าขลุ่ย แล้วก็มีนักร้องชายร้องเพลงจีน มีพิธีกร ประกาศเป็นภาษาจีนว่า เนื้อเพลงที่ร้องนั้นเป็นเพลงอะไรประมาณนั้น ฉันก็แปลได้งู ๆ ปลา ๆ บางคำก็ไม่รู้ความหมายหรอก ฟังแต่ทำนองและเสียงร้องเพลงนั้น ก็รู้ถึงความไพเราะของมันพอสมควร หลังจากการแสดงดนตรีจบแล้ว (ประมาณ 20 นาทีหรือมากกว่านั้นเล็กน้อย) พวกเราก็เข้าไปในห้องที่มีรูปปั้นของท่าน ขงจื้อ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงกลางห้องด้านในสองฝั่งของห้องมีรูปปั้นของชายอีกหลาย ๆ รูปปั้น มัคคุเทศก์อธิบายว่า ชายรูปปั้นเหล่านั้น เป็นลูกศิษย์เอกของท่าน ขงจื้อ ทั้งนั้น มีหนังสืออธิบายไว้โดยจารึกไว้ในแผ่นหิน ฉันถ่ายรูปเอาไว้ก่อน ฉันยังไม่รู้ว่าจะอ่านได้สักกี่ตัว ยังไม่รู้ว่าจะสรุปใจความสำคัญในแผ่นหินเหล่านั้นได้หรือไม่ หน้ารูปปั้นของท่านขงจื้อ มีเบาะให้คนคุกเข่ากราบไหว้ท่านด้วย จากรูปปั้นของท่าน ฉันพินิจพิจารณาแล้ว มีความรู้สึกว่าบุคลิกของท่านช่างสง่าผ่าเผยเหลือเกิน หน้าตาดูใจดีมีเมตตากรุณา สมกับที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นปรมาจารย์และเป็น นักปราชญ์ของโลกคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก โดยเฉพาะคำสอนของท่านเกี่ยวกับเรื่องของการรู้จักความกตัญญูต่อบุพการีและผู้มีพระคุณของเรา อันเป็นคุณธรรมที่มนุษย์ทุกคนจะต้องมีอยู่เสมอ

รุปนักดนตรีจีนที่เล่นดนตรีและร้องเพลงอย่างไพเราะ



หลังจากทานข้าวเที่ยงแล้ว พวกเราก็เดินทางไปเมืองหยวนหยาง ต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 3-4 ชั่วโมง ตลอดทาง พวกเราก็ได้ชื่นชมทิวทัศน์สองฟากฝั่งของถนน ซึ่งมีแปลงนาที่ทำเป็นขั้นบันได เป็นภาพท้องนาที่เป็นขั้น ๆ ตามไหล่เขาที่สวยงามมาก มัคคุเทศก์บอกว่า เจี้ยนสุ่ยและหยวนหยางเป็นอำเภอในจังหวัดหงเหอ รถพาพวกเราไปโรงแรมที่พักก่อน เพื่อให้พวกเราได้เข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัว เนื่องจากระหว่างทาง ไม่มีห้องน้ำที่สะอาดพอให้เข้าได้เลย นี่เป็นสิ่งที่น่าเบื่อที่สุดในการเดินทางมาเที่ยวประเทศจีน หลังจากที่ทุกคนเข้าห้องน้ำแล้ว มัคคุเทศก์ก็พาพวกเราไปจุดชมวิวที่จะได้ดูพระอาทิตย์ตก ซึ่งต้องตีตั๋วเข้าไปชมด้วย ได้ชมการทำนาขั้นบันไดด้วย การทำนาขั้นบันไดเป็นการแสดงถึงความมานะพยายามบากบั่นของชาวนาที่นี่มากเหลือเกิน เพราะเป็นการทำนาบนเนินเขาที่ต้องทำเป็นร่อง ๆ เป็นคันดินและร่องน้ำ ความชันของนาขั้นบันไดอยู่ระหว่าง 15-75 องศา นาขั้นบันไดที่สูงที่สุดมีกว่า 3,000 ขั้น ปีหนึ่งจะสามารถทำนาได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น คือ ฤดูร้อน และที่นี่จะสวยงามมากก็ต่อเมื่อ ชาวนาได้เก็บเกี่ยวข้าวเกือบเสร็จแล้ว เพราะหลังการเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว จะเห็นแอ่งน้ำ คั่นด้วยคันดิน จะเห็นเป็นลวดลาย ซิกแซกไปซิกแซกมา เหมือนเป็นศิลปะที่ชาวนาไม่ได้จงใจสร้างขึ้นเลย แต่เย็นนี้ไม่สามารถมองเห็นชัดเจนนัก เนื่องจากเริ่มมืดค่ำและมีหมอกลงบ้าง จึงไม่สวยงามมากนักดูมัว ๆ ไม่ชัดเจน แต่ได้ชมพระอาทิตย์ดวงกลมโต สีส้มแจ๊ด ค่อยๆ ตกลับเหลี่ยมเขาไปอย่างช้า ๆ เป็นภาพที่สวยงามมาก ๆ ยามที่เราอยู่เมืองกรุง โอกาสที่จะเห็นภาพเช่นนี้ยากนักหนา

ตอนขากลับ รถติดเหลือเกิน ถนนก็คับแคบ สาเหตุที่รถติดมากก็เพราะว่า รถบรรทุกรอเติมน้ำมันกันยาวเหยียด ต่างคนต่างไม่ยอมถอยกัน ในที่สุดต้องไปเรียกตำรวจมาจัดการ รถติดเป็นชั่วโมง อาหารมื้อเย็นจึงไปทานกันตอนทุ่มครึ่งเห็นจะได้

วันเที่ยววันที่ 3 ( 14 พ.ย.) พวกเราถูกปลุกตั้งแต่ ตี 4 เพราะมัคคุเทศก์จะพาพวกเราไปยังจุดชมวิวเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น ดูนาขั้นบันได เมื่อยามต้องกับแสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ โดยทางโรงแรมทำอาหารกล่องให้เราไปทานกันบนรถ จุดแรกไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ หมู่บ้าน โตอี้ซู่ ซึ่งมีนาขั้นบันไดกว้างกว่า 6,000 ไร่ เรียงไล่เป็นแนวขวางจากทิศตะวันออกจรดตะวันตก มีลักษณะคดเคี้ยวไปตามเนินเขา สูงบ้าง ต่ำบ้าง เลาะเลียบเหล่าต้นไม้ใหญ่ โอบล้อมหมู่บ้านดอกเห็ด ช่วงเช้าที่รถของเรามาถึง ท้องฟ้ายังมืดมิดไม่เห็นอะไร พวกเราเดินขึ้นยังสถานที่ที่สร้างไว้ เป็นที่รับนักท่องเที่ยวเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นและชมนาขั้นบันได สถานที่นี้ มีของขาย เป็นของที่ระลึกและขายอาหาร โดยเฉพาะกาแฟ อากาศเช้านี้หนาวมาก ลมพัดโชยมาอ่อน ๆ น้ำค้างที่ตกลงมาเมื่อคืนคงค่อนข้างหนัก เพราะตามพื้นไม้ของสถานที่ที่เป็นจุดชมวิว ซึ่งสร้างเป็นบันไดเป็นชั้น ๆ แต่ละชั้นมีที่ที่ให้นักท่องเที่ยวยืนชมพระอาทิตย์ขึ้น พื้นไม้ดังกล่าว เปียกแฉะและลื่นพอควร มีพวกเราบางคนเดินไม่ระวังตัว ลื่นหกล้มก้นกระแทกพื้น ทำให้พวกเราหวีดร้องอย่างตกใจ โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก แสงอาทิตย์ค่อย ๆ โผล่ขึ้นจากยอดเขาสูงที่อยู่เบื้องหน้าของเราในเวลา หกโมงกว่า พวกเราแทบจะถอดใจ เพราะรอมาตั้งแต่ตีห้ากว่า ที่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นช้าและโผล่ขึ้นมาค่อนข้างเร็ว อาจจะเป็นเพราะว่า เช้านี้ มีทะเลเมฆหมอกที่ลอยอ้อยอิ่งค่อนข้างมากนั่นเอง แสงแห่งอรุณที่ปรากฏขึ้นค่อนข้างรวดเร็วนั้น ตกกระทบไปยัง นาขั้นบันไดซึ่งมีน้ำขังอยู่นั้น ก่อให้เกิดสีสัน ต่าง ๆ เมื่อแสงอาทิตย์ต้องกับน้ำในนาขั้นบันได เป็นภาพที่สวยสด งดงามมากเหลือที่จะพรรณนาได้ สมกับที่จัดให้สถานที่เหล่านี้ว่า เป็น Unseen in Yunnan

นาขั้นบันไดที่ชมจากจุดชมวิว งดงามมาเหลือเกิน



นาขั้นบันไดจากจุดชมวิว



พวกเราอยู่ที่จุดชมวิวนี้ ชมความสวยงามของนาขั้นบันได จนประมาณสองโมงเช้าแล้ว จึงเดินทางต่อไปยังจุดชมวิวอีกจุดหนี่ง ซึ่งต้องเดินไปตามทางไปยังจุดที่จะชมนาขั้นบันไดไกลมากพอสมควร เป็นศาลาเล็ก ๆ ที่ให้นักท่องเที่ยวยืนชมนาขั้นบันไดที่อยู่เบื้องล่างแปลงแล้วแปลงเล่า คดเคี้ยวเลี้ยวลด ลดหลั่นไปตามเหลี่ยมเขา เป็นผืนนาขั้นบันไดที่กว้างใหญ่ไกลสุดลูกหูลูกตา พวกเราถ่ายรูปกันใหญ่ มุมนี้ก็สวย มุมนั้นก็สวย ถ่ายกันคนละหลายรูป เดี่ยวบ้าง คู่บ้าง หมู่บ้าง ฉันกับจ๋าผลัดกันถ่ายบ้าง สนุกสนานเหลือจะกล่าวจริง ๆ

หลังจากชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของนาขั้นบันไดแล้ว พวกเราก็เดินไปตลาด ซึ่งเป็นที่ขายของมากมาย ผลไม้ ของใช้ ต่าง ๆ อาหาร ผักปลา ได้เห็นวัฒนธรรมต่าง ๆ การดำเนินชีวิตของคนในหยวนหยาง ที่นี่มีเต้าหู้ทอด มีคนนั่งทานกันมากมาย มีขายหลายเจ้า น่าจะเป็นอาหารโปรดของคนที่นี่ มีเก้าอี้ตัวเล็ก ๆ ให้คนซื้อนั่งกิน โดยมีน้ำจิ้มให้คนละถ้วยเล็ก ๆ แล้วจิ้มเต้าหู้ที่ทอดจากกระทะร้อน ๆ มาจิ้มกับน้ำจิ้มกิน เต้าหู้นั้นทั้งนิ่มทั้งหอมและร้อน ๆ จิ้มกับน้ำจิ้มที่มีรสเผ็ดหวาน รสชาติอร่อยมากจังเลย มัคคุเทศก์เขาให้พวกเรานั่งจิ้มเต้าหู้กินกันคนละ 2-3 ชิ้น เขาเป็นคนจ่ายเงินให้พวกเราด้วย

หลังทานข้าวมื้อเที่ยงแล้ว พวกเราก็ไปเที่ยวหมู่บ้าน ฮานิไปดูวัฒนธรรมของหมู่บ้านนี้ เวลาไปนั้น ก็ต้องไปต่อรถเล็ก พวกเราต้องรอขึ้นรถเล็กเป็นเที่ยว ๆ ถึง 3 เที่ยว จึงไปกันครบทีม หมายความว่า รถเล็กของเขาไปได้ครั้งละประมาณ 6-7 คนเท่านั้น ต่อจากนั้น ก็ต้องเดินเข้าไปในตัวหมู่บ้าน ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีหลังคาเป็นรูปดอกเห็ดใหญ่ ๆ แต่ว่า ปัจจุบัน ลักษณะของทรงบ้านดังกล่าวแทบจะหาดูไม่ได้เสียแล้ว เนื่องจากความเจริญเข้ามาแทนที่ ทำให้มีการต่อเติมบ้านจนแทบจะไม่เหลือเอกลักษณ์ดอกเห็ดให้เห็นเลย หมู่บ้านนี้ ไม่สะอาดเลย เดินไปตามทางจะเจอมูลควายไปตามทาง สงสัยจะเลี้ยงควายไม่เป็นที่เป็นทาง ปล่อยให้มันเดินเพ่นพ่าน ทางเท้าที่พวกเราเดินไป จึงได้เจอมูลควายหลาย ๆ กอง ต้องระมัดระวังในการเดิน มิฉะนั้น เราจะเหยียบเอาได้นะนี่ พวกเราเดินลงไปถึงจุดชมวิวต่าง ๆ สามารถเห็นนาขั้นบันไดตามเนินเขาที่กว้างใหญ่ไพศาล ดูราวกับละลอกคลื่นในท้องทะเลที่พลิ้วไปตามกระแสลมที่พัดผ่านผิวน้ำ เป็นภาพแสนวิจิตรตระการตาแก่ผู้พบเห็น ยากที่จะหาคำมาเอ่ยพร่ำพรรณนาได้ ทิวทัศน์ที่นี่ก็มีความสวยงามไม่แพ้นาขั้นบันไดที่เราได้ชมไปเมื่อตอนช่วงเช้า มีระหัดวิดน้ำ โดยน้ำนั้นไหลมาจากภูเขา เหมือนกังหันน้ำ เจอชนเผ่าฮามิไม่มากนัก เห็นพวกเขากำลังต่อเติมบ้านกันอยู่ กลายเป็นตึกและหลังคามุงด้วยฟาง คล้ายดอกเห็ดไป ตัวบ้านกลายเป็นตึกไม่ใช่สิ่งก่อสร้างตามแบบฉบับเดิมเสียแล้ว



รุ่งเช้า วันที่ 15 พ.ย. วันนี้พวกเราต้องเดินทางออกจากเมืองหยวนหยาง ทานข้าวมื้อเข้าที่โรงแรมแล้ว ก็ออกเดินทางต่อ เป็นการอำลาเมืองแห่งขุนเขา นาขั้นบันไดอันกว้างใหญ่ไพศาล เพื่อเดินทางกลับเมืองคุนหมิง ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง ระหว่างทาง ฉันมองออกทางหน้าต่าง รถของเราต้องแล่นลงจากเขาลูกหนึ่งแล้วก็ไปขึ้นเขาอีกลูกหนึ่ง ลูกแล้วลูกเล่า ฉันมองออกนอกหน้าต่าง เห็นภูเขาที่ถูกตัดให้เป็นถนน คดเคี้ยวเลี้ยวลด เหมือนงูตัวใหญ่โตมโหฬารที่กำลังเลื้อยไปมาอย่างนั้นแหละ มนุษย์เราช่างเก่งเหลือเกิน ที่สามารถตัดภูเขาทั้งลูก ออกมาเป็นถนนหนทาง อำนวยความสะดวกให้แก่มนุษย์ในการเดินทางไปมาได้สะดวกสบายมากขึ้น สองข้างทางเห็นเป็นเหวลึก มีต้นหมากรากไม้ขึ้นเขียวชอุ่มไปหมด บางแห่งเป็นดงกล้วยเขียวขจีสดใส บางแห่งเห็นเป็นตึกรามบ้านช่องอยู่ในหุบเขา น่าจะเป็นหมู่บ้านอุตสาหกรรม ผลิตเกี่ยวกับผลผลิตทางการเกษตรก็น่าจะเป็นไปได้ ฉันเดาเอาเองนะ มัคคุเทศก์ว่า ตึกรามบ้านช่องที่เราเห็นนั้น เป็นเมืองใหม่ของเมืองหยวนหยาง

วันนี้เป็นวันที่พวกเราชมทิวทัศน์อันงดงามของสองฟากฝั่งระหว่างทางที่รถแล่นผ่านไป ไม่ได้ไปเที่ยวสถานที่แห่งใดเลย มุ่งหน้ากลับเมืองคุนหมิง ทานข้าวมือเย็นที่เมืองคุนหมิง หลังอาหารมื้อเย็น พวกเราก็ต้องจัดกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็ก เตรียมสัมภาระที่จะต้องเดินทางออกจากเมืองคุนหมิงเพื่อไปเที่ยวที่เมือง ตงชวน 2 วัน 1 คืน ส่วนกระเป๋าใบใหญ่นั้นฝากไว้ที่โรงรม เพราะพวกเรากลับจากการเที่ยวเมือง ตงชวน ก็ต้องมาพักที่โรงแรมนี้อีก




 

Create Date : 20 สิงหาคม 2554
3 comments
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2555 21:49:58 น.
Counter : 4269 Pageviews.

 

สวัสดีค่ะอาจารย์สุวิมล

บล็อคสวยแล้วนะคะ เรียบๆอย่างนี้อ่านแล้วสบายตาค่ะ วันนี้อ่านได้จนถึงตอนมาถึงเมืองคุนหมิง เมืองดอกลำดวน อ่านแล้วอยากไปเที่ยวประเทศจีนให้ได้ซักครั้ง

อ่านแล้วได้ทั้งความบันเทิงและความรู้เลยค่ะ ขอบคุณอาจารย์ที่นำเรื่องราวมาแบ่งปันค่ะ แล้วดิฉันจะเข้ามาอ่านและทักทายอาจารย์อยู่เรื่อยๆนะคะ

วนิดา

 

โดย: mauretto67 1 กุมภาพันธ์ 2555 2:26:20 น.  

 

สวัสดีค่ะอาจารย์สุวิมล

เพิ่งจะว่างเข้ามาอ่านเรื่องท่องเที่ยวต่อ ประเทศจีนมีประวัติศาสตร์อันยาวนานจริงๆค่ะ และประเทศก็กว้างใหญ่ไพศาล ถ้าได้ไปเที่ยวคงจะต้องไปซัก 1-2 สัปดาห์ ดิฉันชอบเที่ยวแบบไม่รีบร้อน ต่างกับสามีที่ไปเที่ยวแต่ละประเทศก็มักจะไปประมาณ 3 คืน และบางครั้งก็มีนั่งรถต่อไปประเทศเพื่อนบ้านแบบไปเช้าเย็นกลับ ก็เลยทำให้ได้เห็นอะไรในประเทศหลักได้ไม่จุใจ และทำให้เหนื่อยกับการเที่ยวแบบนี้ด้วย

ดิฉันเองก็มีเขียนบล็อคอยู่บ้างเหมือนกัน และมักจะออกอาการติงต๊องในบล็อคอยู่เรื่อยๆค่ะ อยากเขียนและลงรูปท่องเที่ยวอยู่เหมือนกัน แต่พอเริ่มเขียนได้ซักนิดก็เบื่อแล้ว นี่ก็ไม่ได้อัพเดทบล็อคมานานมากแล้วค่ะ

นี่คือบล็อคของดิฉันนะคะ //www.lalanguedemoliere.bloggang.com

ถ้าอาจารย์เห็นบล็อคของดิฉันแล้วอาจจะทราบได้เลยค่ะว่าดิฉันไม่มีอะไรแนะนำเีกี่ยวกับบล็อคของอาจารย์จริงๆ เพราะบล็อคดิฉันเองไม่ได้ตกแต่งอะไรเลย การเขียนก็ธรรมดา มันเชยๆเหมือนตัวดิฉันเลยค่ะ ฮ่าๆๆ

วนิดา

 

โดย: mauretto67 10 กุมภาพันธ์ 2555 19:57:28 น.  

 

ทุ่งทานตะวัน อ.ถ่ายรูปออกมา ยิ้มแฉ่งพอๆกับดอกทานตะวันเลยอ่ะ อิอิ ที่เพจปริมอาจจะมืดไปหน่อยยังหาแบล็คกาวด์ถูกใจไม่ได้เลยอ่ะ อ.แต่ก็อยากจะเปลี่ยนเหมือนกันนะเนี่ย

 

โดย: primmavista 26 ธันวาคม 2555 16:49:13 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

space

อาจารย์สุวิมล
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 46 คน [?]




เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ

http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif
space
space
space
space
[Add อาจารย์สุวิมล's blog to your web]
space
space
space
space
space