... ^^ Welcome to suvilajamsai's world ^^...
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
21 พฤศจิกายน 2550
 
All Blogs
 
Chapter 6

“น้องจะทนไม่ไหวแล้วนะคะ คุณพี่ จนป่านนี้ตาพอลยังไม่ยอมเปิดโทรศัพท์อีก”

เสียงแหลมๆ ของหญิง (ไม่) สาวในชุดผ้าไหมสีสดที่เดินกลับไปกลับมาทำให้ผู้เป็นสามีปวดหัวเหมือนอาการไมเกรนจะกำเริบ ลำพังแค่อาภรณ์ที่ส่ายไปมาส่งเสียงสวบสาบเขาก็เบื่อที่จะฟังจะแย่อยู่แล้ว ยิ่งมีเสียงแหลมสูงมาคอยก่อกวนเป็นระยะๆ ท่านรัฐมนตรีก็อยากถอนหายใจดังเฮือกๆ เผื่อจะบรรเทาความระอาใจลงได้บ้าง แต่ด้วยความเกรงภรรยาผู้แสนอ่อนไหวจะเกิดอาการน้อยใจจึงได้แต่อดทน…เหมือนที่เคยอดทนมาตลอดตั้งแต่ยังหนุ่มจนมีลูกโตพอจะแต่งงานแล้วนั่นล่ะ

“นี่คุณหญิง ตั้งแต่เราไปงานจนกลับมาถึงบ้านมันก็เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงเองไม่ใช่หรือ”

ชาย (ไม่) หนุ่มออกปากทักท้วง ซึ่งทำให้ผู้เป็นภรรยาค้อนขวับ ก่อนที่จะส่งเสียงแหลมปรี๊ดกว่าเดิม

“แต่คุณพี่ขา อย่าลืมสิคะว่าถ้านับตั้งแต่ตอนที่ตาพอลหายไปจากงานตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ มันก็ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วนะคะ”

“แล้วยังไง คุณหญิงคิดจะแจ้งความหรือ”

‘คุณหญิง’ ส่งค้อนให้สามีด้วยดวงตาที่คมกริบจากอายไลเนอร์สีเข้มเป็นวงที่สอง ก่อนจะเชิดใบหน้าอูมๆ และจมูกรั้นๆ ขึ้น ตอบกลับว่า

“แจ้งได้ที่ไหนล่ะคะ คุณพี่ลืมไปแล้วหรือคะว่าสิ่งที่น้องเกลียดมากที่สุดก็คือการตกเป็นข่าวอื้อฉาว ยิ่งมีเรื่องมีราวถึงโรงพัก หรือแย่กว่านั้นคือถึงโรงถึงศาลยิ่งเกลียดเข้าไปใหญ่ เราน่ะระดับไหนแล้วคุณพี่ก็ทราบ ถ้ามีข่าวไม่ดีไม่งามออกไป คนที่จะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดก็คือคุณพี่นะคะ”

“อ้อ เพิ่งรู้ว่าคุณหญิงไม่ห่วงตำแหน่งนายกสมาคมเลยแม้แต่นิดเดียว”

ท่านรัฐมนตรีหยอด ซึ่งคุณหญิงก็เผลอกระโจนงับเหยื่ออย่างรวดเร็ว

“ฮู้ย เรื่องนั้นไม่ห่วงได้ที่ไหนคะคุณพี่ น้องสู้อุตส่าห์ซุ่มสืบจำนวนเงินบริจาคของคนอื่นมาตั้งนาน กว่าจะบริจาคให้เยอะเฉือนคุณหญิงคุณนายคนอื่นไปนิดหน่อยจนได้ตำแหน่งมา…อุ๊บ”

ริมฝีปากอวบอิ่มสีสดรีบหุบลงอย่างฉับพลันเมื่อเห็นสายตาดุๆ ของสามีที่มองมา

“ยอมรับแล้วใช่ไหมว่าคุณหญิงแอบเม้มเงินผมไปซื้อตำแหน่งอย่างที่เขาลือกัน!”

คนถูกกล่าวหาว่าซื้อตำแหน่งตบอกผาง ยืนกรานปฏิเสธแม้ข้อกล่าวหาจะเป็นความจริง …แต่เรื่องอะไร้ ที่คนอย่างคุณหญิงภาพิตจะยอมรับตามตรงถ้าไม่ถูกจับได้คาหนังคาเขา

“ต๊ายตาย ใครเอาไปลือกันอย่างนั้นคะ…บอกน้องมาค่ะคุณพี่ น้องต้องไปจัดการเสียหน่อยแล้ว มีอย่างหรือเอาไปลือกันแบบนั้น ใครไม่รู้นึกว่าเป็นความจริงน้องจะเสียหายหมดนะคะ คนเขาได้เข้าใจว่าน้องชอบซื้อเสียงกันพอดี ดีไม่ดีจะพานเข้าใจผิดว่าคุณพี่ก็ใช้เงินซื้อเสียงให้ได้ตำแหน่งมา แบบนี้ครอบครัวเราเสียหายหมดนะคะ น้องยอมไม่ด๊าย…”

“เฉไฉละคุณหญิง ทำเป็นตีโพยตีพาย นึกหรือว่าผมรู้ไม่ทัน”

ถูกดักคอแบบนี้ คอสั้นๆ ของคุณหญิงภาพิตก็แข็งขึ้นมาทันใด รู้ดีว่าถ้าลองสามีพูดถึงขนาดนี้แสดงว่ารู้จริง ไม่อย่างนั้นร้อยวันพันปีเขาแทบจะไม่มายุ่งกับ ‘กิจกรรมการกุศล’ ที่เธอทำอยู่หรอก

เมื่อรู้ดีว่าเถียงไม่ได้ แถมยิ่งเถียงก็ยิ่งน่าจะเข้าตัว สามีไม่มีทางเดือดร้อนไปกับเธอด้วย คุณหญิงจึงเส วกกลับมาเรื่องเก่าแบบเนียนๆ

“เฮ้อ คุณพี่ นี่ก็ดึกมากแล้วนะคะ น้องเองก็เหนื่อยมาทั้งวัน ไม่อยากจะมาต่อล้อต่อเถียงกับคุณพี่ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง …ลำพังแค่เรื่องลูก น้องก็กลุ้มใจจะแย่อยู่แล้ว… คุณพี่ลองคิดดูสิ ถ้านับคืนนี้ด้วยก็เท่ากับว่าตาพอลหายตัวไปสองคืนเต็มแล้วนะคะ ไม่รู้ป่านนี้ถูกใครจับตัวไปเรียกค่าไถ่แล้วหรือยัง ทรัพย์สมบัติบ้านเรายิ่งมากมายมหาศาล…”

“ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าเจ้าพอลถูกจับไปเรียกค่าไถ่จริงๆ น่ะนะ ป่านนี้คนที่ลงมือต้องติดต่อมาหาเราแล้ว คนอยากได้เงินมันไม่เงียบหายไปแบบนี้หรอก มันต้องรีบหาทางติดต่อเรา”

ท่านรัฐมนตรีรีบขัดก่อนที่ภรรยาจะยิ่งคิดฟุ้งซ่านไปกันใหญ่ …ใช่ว่าเขาจะไม่รู้แกวว่าคุณหญิงของเขาพยายามเปลี่ยนเรื่องเพื่อกลบเกลื่อน แต่เพื่อความสงบสุขของสุขภาพช่องหูและสุขภาพจิตของตัวเอง การไม่ต่อความยาวสาวความยืดน่าจะเป็นการดีกว่า …เขาขี้เกียจหนวกหูเสียงฟูมฟายคร่ำครวญด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเพิ่มขึ้นมาอีก ลำพังแค่การหายตัวไปของลูกชายคนเล็กก็ทำให้หูชาจนไม่อยากฟังอะไรไปอีกสักเดือนแล้ว

สงสัยเพราะรำคาญเสียงแม่ ตาพอลถึงได้หายไปไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องแบบนี้ ท่านรัฐมนตรีคิดแล้วก็หัวเราะหึๆ ลำคอ แต่ไม่รอดพ้นไปจากสายตาคมกริบของคุณหญิงภาพิตที่ร้องวี้ดขึ้นทันที

“ขำอะไรคะคุณพี่ นี่คุณพี่หัวเราะเยาะน้องหรือคะ”

“เปล่า ผมจะไปหัวเราะคุณหญิงเรื่องอะไรเล่า”

“ไม่ต้องมาเปล่าเลยนะคะ น้องรู้ แววตาของคุณพี่มันฟ้อง ฮึ! คุณพี่คงหาว่าน้องคิดอะไรไร้สาระใช่ไหมคะ แต่คุณพี่อย่าลืมสิคะว่าเรื่องอย่างนี้มันเป็นไปได้ ตาพอลน่ะ ถึงจะไม่ใช่ลูกคนโต แต่ก็เป็นหนึ่งในสองทายาทของตระกูลก้องเกียรติธาราเชียวนะคะ ถ้าเรียกค่าไถ่กี่สิบกี่ร้อยล้านเราก็ต้องยอมจ่าย…”

คุณหญิงจบประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ สูดน้ำมูกฟึดๆ ก่อนจะกรีดน้ำตาด้วยท่วงท่าชดช้อยเหมือนมีกล้องจับอยู่ไม่มีผิด ซึ่งก็คงจะดูงดงามน่าประทับใจดีอยู่หรอก หาก ‘คุณพี่’ ไม่ได้เห็นฉากนี้มาไม่รู้กี่สิบครั้งตั้งแต่สมัยยังเป็นหนุ่มๆ

“ผมบอกแล้วไงว่าตาพอลไม่ได้ถูกลักพาตัวหรอก ก็คงจะหลบไปที่ไหนๆ ตามเรื่องนั่นล่ะ …ผมขอบอกอีกครั้งนะคุณหญิงว่าลูกเราน่ะโตแล้ว ตาพอลไม่ใช่เด็กห้าขวบที่ไปไหนมาไหนไม่เป็นถ้าไม่มีเราหรือนายอาจไปรับส่งอีกแล้วนะ อายุอานามก็ใกล้จะสามสิบอยู่แล้ว แถมยังฤทธิ์มากไม่เบาเสียด้วย …ถ้าจะมีการลักพาตัวกันจริงๆ ล่ะก็ เจ้าพอลนั่นแหละที่น่าจะไปลักพาตัวคนอื่นเขามากกว่าถูกใครที่ไหนลักพาตัวไป”

แม้ประโยคสุดท้ายฝ่ายชายจะพูดกลั้วหัวเราะอย่างที่ฟังดูก็รู้ว่าจงใจพูดขันๆ หากคนฟังที่ถือว่าตนเองเป็นผู้ดีสุดขอบฟ้า ฐานันดรสูงส่งกลับไม่ขำด้วย

“คุณพี้! นี่คุณพี่พูดอย่างนี้ออกมาได้ยังไงคะ ตาพอลน่ะเป็นลูกผู้ดีเลือดสีน้ำเงินเข้มข้นนะคะ ไอ้เรื่องลักพาตัวอะไรเนี่ย ตาพอลของน้องไม่มีวันทำเด็ดขาด คนที่ทำแบบนั้นมีแต่พระเอกในละครน้ำเน่าเท่านั้นแหละค่ะคุณพี่ ระดับตาพอลมีแต่สาวๆ ทั่วเมืองเข้ามาให้เลือกไม่หวาดไม่ไหว ถ้าไม่ได้ประกาศคบกับหนูคิตตี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวก็คงเป็นชนวนก่อศึกชิงนายไปแล้วล่ะค่ะ”

คุณหญิงกรี๊ดพลางทำท่ายอกแสยงหูราวกับว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นระคายเคืองโสตประสาทเหลือหลาย แม้จะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้แต่จิตใต้สำนึกส่วนลึกก็ยังหวั่นๆ

โอ…นี่ถ้าตาพอลทำแบบนั้นจริงๆ ต่อไปเธอคงต้องมีชีวิตอยู่อย่างนกกระจอกเทศ เอาหน้ามุดดินอยู่ตลอดเวลาเป็นแน่แท้ คุณพระคุณเจ้าขา ช่วยลูกช้างด้วยเถิด อย่าให้ลูกชายของลูกช้างหลงเดินไปในทางผิดๆ เล้ย…




“ฮัดชิ้ว”

เสียงจามที่ดังขึ้นท่ามกลางความมืดและเงียบสงัด แม้จะไม่ได้ถึงกับดังสนั่นอะไรนักแต่ก็พอที่จะให้ร่างบางที่เดินอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นลอยๆ ว่า

“เบลส ยู (Bless you)”

“ขอบคุณ” ผู้ที่ได้รับพรเอ่ยพร้อมรอยยิ้มจางๆ “ไม่นึกว่าคุณจะติดธรรมเนียมนี้กับเขาด้วย”

“ไม่เห็นแปลกเลยนี่คะ เพื่อนในกลุ่มฉันเขาชอบพูดกันทั้งนั้น …และฉันว่ามันก็ฟังดูน่ารักกว่าการทักว่าถูกนินทาตั้งเยอะ”

“ไม่ใช่แล้วคุณ จามครั้งเดียวเขาว่าคิดถึง สองครั้งต่างหากถึงจะแปลว่านินทา”

เสียงทุ้มแก้ในสิ่งที่เสียงใสๆ พูด ซึ่งมีผลให้คนฟังกระพริบตาปริบๆ ทันทีที่ได้ยิน
หือ??

“แหม รู้ดีจังเลยนะคะ…”

…แบบนี้ข้อสงสัยว่าเขาเป็นพวกแอบท่าทางจะยังโยนทิ้งลงถังไม่ได้ล่ะสิเนี่ย โชคลางเล็กๆ แบบนี้มีผู้ชายที่ไหนเขาจำได้กันบ้างล่ะ ขนาดเธอเป็นผู้หญิงแท้ๆ ยังจำสับสนเป็นประจำ

“ไม่เห็นแปลกนี่ ใครๆ ก็รู้”

“อ้อ เหรอคะ...” วิรินดาลากเสียง ชัยชนะที่เพิ่งได้มาทำให้หญิงสาวลำพองใจพอที่จะกระเซ้าชายหนุ่มยิ้มๆ “ฉันนึกว่าเป็นเพราะคุณถูกนินทาบ่อยๆ เสียอีก ถึงจำได้แม่นขนาดนี้”

“ผมบอกแล้วไงว่าจามครั้งเดียวแปลว่าคิดถึง สองครั้งถึงจะ… ฮัดชิ้ว”

เสียงจามครั้งที่สองที่ดังขึ้นตั้งแต่ยังพูดไม่ทันจบประโยคทำให้หญิงสาวหัวเราะกิ๊กๆ จนตัวสั่นโดยไม่คิดที่จะอดกลั้นแม้แต่นิดเดียว

…แหม ไม่หัวเราะเสียงดังก๊ากๆ ก็ดีถมไปแล้วล่ะน่า อุตส่าห์ได้เห็นคนมาดดีเสียฟอร์มทั้งที!

“ท่าทางคุณจะมีคนคิดถึงหลายคนนะคะ ถึงได้จามครั้งเดียวติดกันตั้งสองหนเชียว”

วิรินดาพูดไปหัวเราะไปอย่างสบายอารมณ์ แม้ความมืดจะทำให้มองเห็นหน้าของอีกฝ่ายไม่ชัด แต่หญิงสาวแน่ใจว่า ‘คนถูกคิดถึงอย่างหนัก’ ต้องกำลังกัดฟันกรอดๆ จนฟันแทบสึกทีเดียว โดยไม่รู้เลยว่าสาเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันมากกว่าคำพูดคือท่าทางชอบอกชอบใจของเธอต่างหาก

หึ คงจะแอบนินทาเขาในใจไปหลายยกแล้วล่ะสิ ถึงได้ทำท่าสะใจเสียขนาดนี้!

“ผมว่าถ้าผมจะถูกนินทาจากใครสักคน คนคนนั้นต้องเป็นคุณนั่นแหละ”

ภัทรวรรธน์กล่าวหาด้วยน้ำเสียงที่เจ้าตัวจงใจกดให้ต่ำพร้อมกับส่งสายตาพิฆาตไปให้ ซึ่งมีผลให้คนถูกกล่าวหาร้องเสียงสูง

“ว้าย...ไหงมาโทษกันดื้อๆ อย่างนี้ล่ะคะ”

ไม่ต้องตั้งใจฟัง ชายหนุ่มก็จับได้ถึงแววขบขันที่ก้องอยู่ในน้ำเสียงกังวานใส และนั่นทำให้เขาย้อนถามกลับเสียงขุ่น

“หรือไม่จริง”

วิรินดาไม่ตอบด้วยคำพูด แต่ยิ้มกว้าง หัวเราะเสียงใสอีกครั้งแทนคำตอบ

...แหม... ส่วนหนึ่งคงเป็นมันก็คงความจริงอย่างที่เขาว่านั่นแหละ ถ้าไม่ใช่ว่าเขากำลังถูกใครนำไปพูดถึงอยู่ คนที่เป็นต้นเหตุให้เขาจามต้องเป็นเธอแหงๆ ...ก็อย่างกับเขาทำตัวน่ารักนักนี่ วิรินดากล้าท้าพนันได้เลยว่านอกจากเธอ จะต้องมีคนเก็บเอาผู้ชายขี้เก๊ก วางมาดหรูตลอดเวลาอย่างเขาไปนินทาลับหลังด้วยวาจา หรือไม่ก็นึกนินทาอยู่ในใจเหมือนเธอแน่ๆ ไม่ชนะสาวโสดอยากสละคานอย่างวิรินดายอมให้แช่งให้หาแฟนไม่ได้เลย เอ้า!

ภัทรวรรธน์มองร่างบางที่ย่ำไปตามหาดทรายด้วยท่าทางอารมณ์ดีเพราะได้แกล้งเขาคืนบ้างด้วยความรู้สึกคล้ายๆ อยากจับผู้หญิงสักคนไปโยนทะเล ซึ่งเหตุผลที่เขาไม่ทำนั้นไม่ใช่เพราะสงสาร กลัวเธอจะจมน้ำ เปียกน้ำแล้วจะเป็นหวัดหรืออะไร แต่เป็นเพราะว่าเขากลัวตัวเองจะเปียกไปด้วยต่างหาก…แม้จะมีเงินพอจะซื้อสูทแบรนด์เนมกี่ตัวก็ได้ แต่การที่สูทตัวโปรดจะมาเละเทะโดยใช่เหตุก็น่าเสียดายเกินไป ลำพังแค่เศษทรายแห้งๆ เมื่อกี้ก็ทำเขาผวาว่าชุดโปรดจะพังแทบแย่แล้ว

ทั้งสองเดินมาถึง ‘รถผีเสื้อ’ ของวิรินดาโดยไม่ได้พูดอะไรอีก จนกระทั่งเมื่อเจ้าของรถกดรีโมทที่อยู่ในมือให้ประตูเปิดทำงานได้แล้วนั่นล่ะ ศึกเก้าอี้ดนตรีจึงได้เริ่มต้นขึ้น

“อุ๊ย”

วิรินดาอุทานเมื่อภัทรวรรธน์ชิงเปิดประตูเข้าไปนั่งข้างในรถด้านคนขับก่อนที่เธอจะทันได้ตั้งตัว เจ้าของใบหน้าคมยังไม่ลืมยักคิ้วเข้มๆ ก่อนจะส่งยิ้มเย้ยประกาศชัยชนะกับเธอเสียอีก

“ช่วยไม่ได้นะ คุณอยากช้าเองนี่”

“ไม่ตลกนะคะคุณ ลงมาเลยค่ะ”

วิรินดายกมือขึ้นเท้าสะเอวฉับ ทำหน้ายุ่งเมื่อคิดได้ว่าเธอประมาทเขามากเกินไปอีกแล้ว ไม่น่าลืมเลยว่าเขาน่ะเล้าเล่ห์แค่ไหน หลอกลักพาตัวเธอมาทะเลแบบดื้อๆ ยังทำได้ นับประสาอะไรกับการชิงรถ (ของเธอ) คืนแค่นี้

“ก็ไม่ตลกน่ะสิ คุณนั่นแหละ ขึ้นมาเสียที”

เพราะไม่ได้กำลังอยู่ในช่วงงุนงง ประกอบกับเริ่มคุ้นเคยกับชายหนุ่มมากขึ้นแล้ว ความเกรงใจที่มีมาแต่เดิมจึงเริ่มหดหาย แทนที่จะยอมก้าวขึ้นไปนั่งที่ข้างคนขับแต่โดยดี วิรินดากลับยืนเอียงคอมองหน้าเขาอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนจะเดาะกุญแจรถที่อยู่ในมือเล่น

“เอาเถอะ ถ้าคุณรักจะนั่งอยู่ตรงนั้นก็ตามสบายเถอะค่ะ จะนั่งจะนอนกี่ชั่วโมงก็ตามใจ ฉันไม่ว่า เบื่อเมื่อไรค่อยมาบอกนะคะ”

ว่าแล้วเธอก็หมุนตัวกลับ ออกเดินทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่าจะไปไหน แค่ต้องการจะทำให้เขายอมลงจากที่นั่งของเธอแต่โดยดีเท่านั้นเอง

หากแน่นอนว่าภัทรวรรธน์ไม่ตกหลุมพรางง่ายๆ ชายหนุ่มตะโกนออกมาจากหลังพวงมาลัยว่า

“คุณนั่นแหละ อยากเดินเล่นก็เชิญตามสบาย จะเดินกี่ชั่วโมงก็ตามใจ ผมไม่ว่า เหนื่อยเมื่อไรค่อยกลับมาที่รถ”

ฟังแล้ววิรินดาชะงักเท้ากึก หันกลับมาแยกเขี้ยวใส่เขา ให้ตายเถอะ อะไรดลใจให้เธอตัดสินใจ ‘เก็บ’ ผู้ชายคนนี้มานะ!

“ไหนเมื่อกี้คุณสัญญาว่าจะไม่ทำให้ฉันร้องไห้เสียใจ จะไม่แกล้งหลอกฉัน และพูดดีๆ กับฉันไงคะ ไม่ทันไรคุณก็ไม่ทำตามที่พูดเสียแล้ว”

“แล้วคุณร้องไห้หรือเปล่าล่ะ...ก็เปล่า ผมบอกคุณว่าจะยอมคืนรถให้คุณไหม ...ก็เปล่าอีก และผมพูดไม่ดีกับคุณตรงไหน... ก็ไม่มีใช่ไหม แล้วทีนี้คุณรู้หรือยังว่าผมผิดสัญญาหรือเปล่า”

“ฮึ” หญิงสาวพ่นลมออกจากจมูกเมื่อรู้ตัวว่าเถียงไม่ขึ้น ดวงตาแป๋วๆ เป็นดวงตาขุ่นๆ เมื่อเอ่ยต่อ “ขี้โกงชะมัดเลย”

“ที่นี่ไม่มีคนขี้โกง มีแต่คนที่ไม่รู้จักระวังตัว” ภัทรวรรธน์เถียง แม้ใจจริงจะยอมรับว่าเขาก็จ้องหาโอกาสอยู่จริงๆ นั่นล่ะ แต่เรื่องอะไรจะบอกตามตรง “ว่าไงคุณ จะขึ้นรถได้หรือยัง คุณไม่เหนื่อยแต่ผมเหนื่อย ไม่อยากนอนเล่นกลางทรายแบบนี้ทั้งคืนหรอกนะ หรือคุณอยากจะอยู่ที่นี่ก็ตามใจ”

ในชีวิตของวิรินดาปราบเด็กดื้อมาก็เยอะ แต่ไอ้อาการผู้ใหญ่ดื้อและเถียงคำไม่ตกฟากแบบนี้เธอไม่ถนัดเอาเลยจริงๆ เพราะสำหรับเด็ก อย่างไรเสียกรอบความคิดก็ไม่ไกลเกินกว่าที่เด็กจะคิดได้ แต่ผู้ใหญ่ดื้อจอมเจ้าเล่ห์นี่สิ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองถูกปฏิวัติบทบาทให้กลายเป็นเด็กดื้อเสียเองอย่างไรก็ไม่รู้ อำนาจต่อรองก็เหมือนจะหดหายไปไม่ค่อยเหลือ จะมีก็แค่กุญแจดอกเล็กในมือที่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์สุดๆ ในยามนี้

“แต่ฉันว่าฉันอยากจะเดินตากลมอีกสักพักน่ะค่ะ” วิรินดาลองกวนประสาทชายหนุ่มกลับ ให้มันรู้ไปสิว่าเขาจะนั่งรอก็ชั่วโมงก็ได้จริงๆ “ถ้าคุณรอได้ ฉันก็ไม่เกรงใจล่ะ”

ว่าแล้วเธอก็หมุนตัวกลับ เดินจากไปเหมือนทีแรก และไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลัวหญิงสาวจะเอาจริงหรือคิดว่ามัวแต่ต่อล้อต่อเถียงกันไม่จบสิ้นอย่างนี้คงไม่ได้พักผ่อนสักที ภัทรวรรธน์ตัดสินใจโฉบลงจากรถอย่างรวดเร็วโดยมีเป้าหมายอยู่ที่วัตถุที่มือเล็กกำลังโยนแล้วรับเล่นอย่างสบายใจ

“ว้าย!”

วิรินดาร้องเมื่อมือใหญ่ฉกมาตรงหน้าอย่างรวดเร็ว อารามตกใจทำให้หญิงสาวทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำที่สุด ได้แก่ปากุญแจออกไปข้างหน้าเต็มแรง!

“เฮ้ย! คุณ”

ดวงตาคมลุกวาบเมื่อเห็นว่าวัตถุชิ้นเล็กๆ ที่หมายตาลอยไปตกในที่ที่ไกลออกไปหลายเมตร ซึ่งคงไม่เป็นไรหรอก ถ้าพื้นที่บริเวณนี้ไม่ได้มีแต่ทราย... ทรายละเอียดเบาบนชายหาดในคืนเดือนมืดที่แทบจะปราศจากแสงไฟจากภายนอก
หญิงสาวมองตามสิ่งที่ตัวเองปาออกไปจนหล่นปุหายลับไปในความมืด ก่อนจะยกมือทั้งสองขึ้นปิดปาก กะพริบตาปริบๆ ขณะกวาดตามองไปทั่วผืนทรายในบริเวณที่คาดว่ากุญแจน่าจะตกอยู่สลับกับใบหน้าของคนที่อยู่ด้านข้างที่กำลังตำหนิเธอด้วยสายตา

“คุณทำบ้าอะไรลงไป รู้ตัวหรือเปล่า”

“แหม คุณคิดว่าฉันตั้งใจจะให้มันเป็นอย่างนี้เหรอ”หญิงสาวเถียง รู้อยู่หรอกว่าผิด แต่นี่ไม่ใช่ความผิดของเธอคนเดียวสักหน่อย “ฉันยิ่งบ้าจี้อยู่ด้วย จู่ๆ คุณดันยื่นมือเข้ามาแบบนั้นฉันก็ตกใจน่ะสิ...ฉันก็เลยเกิดปฏิกิริยาตอบโต้โดยอัตโนมัติ…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ไปช่วยกันหาเดี๋ยวนี้เลย เร็ว”

“ไปอยู่แล้วน่า... นั่นมันกุญแจรถฉันนะ ถ้าหาไม่เจอฉันเดือดร้อนหนักกว่าคุณแหงๆ”

วิรินดาว่าพลางก้าวตามเขาไป แต่เดินไปได้เพียงสองสามก้าว เสียงทุ้มก็ถามขึ้นหลังจากมองไปยังรถที่โชคดีว่าเมื่อครู่เขารีบร้อนจึงไม่ได้ผลักประตูให้ปิดเข้าหากันสนิท

“ในรถคุณมีไฟฉายหรือเปล่า”

“ไฟ...ฉาย” หญิงสาวทวนคำงงๆ ก่อนจะสั่นหน้า “อ๋อ ไม่มีหรอกค่ะ”

เมื่อเห็นสายตาของชายหนุ่มตาคม วิรินดาก็รู้ว่าตัวเองกำลังถูกตำหนิอีกแล้ว เสียงใสจึงบ่นอุบอิบ

“แหม คุณ ฉันจะพกไฟฉายไปทำไมคะ ปกติฉันไม่ค่อยไปไหนมาไหนค่ำๆ มืดๆ อยู่แล้ว... ใครจะไปนึกล่ะว่าฉันจะมีกรรมต้องมาหาของในความมืดน่ะ”

แม้ประโยคสุดท้ายคนพูดจะลดเสียงลงมาก แต่คนฟังก็ยังได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำจึงย้อนถามเสียงเข้ม

“แล้วคุณคิดว่าเป็นเพราะใครกันล่ะ”

เพราะคุณไงเล่า ยังจะมาถามอีก ถ้าคุณไม่ลักพาตัวฉันมาฉันจะตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ม้ายยย หา... วิรินดาเถียงในใจแต่ไม่ได้พูดออกมา สิ่งที่ออกมาจากปากของหญิงสาวคือ

“ฉันว่าฉันไปเอามือถือจากในรถมาส่องหาดูดีกว่า อาจจะไม่สว่างนัก แต่ก็คงจะดีกว่าตาเปล่า” แหม...ถ้าเธอซื้อพวงกุญแจผีเสื้อสีแป๋นแหลนมาห้อยคู่กันแต่แรกก็ดีน่ะสิ เผื่อจะมองหาเจอง่ายกว่านี้ “คุณจะให้ฉันหยิบของคุณมาด้วยไหมคะ”

“ไม่ต้อง”

ภัทรวรรธน์ปฏิเสธทันที ตอนนี้มือถือเขาอยู่ในสภาพเศษเหล็กธรรมดาเครื่องหนึ่งไปแล้วเพราะชายหนุ่มปิดมันทิ้งตั้งแต่ตื่นขึ้นมาครั้งที่สองและเห็นว่าใครโทรเข้ามามิส คอล ไว้นั่นล่ะ ...นี่ถ้าเขาอยากเล่นบทพระเอกมิวสิควิดิโอสักหน่อยคงเอามานั่งเหงา เอาซิม การ์ด มาโยนทิ้งทะเลไปแล้ว

“ตามใจ งั้นคุณหาไปพลางๆ ก่อนนะคะ”




ทว่าเหมือนฟ้าเบื้องบนจะกลั่นแกล้ง แม้จะพยายามควานหากันจนแทบพลิกผืนทรายแล้วก็ตาม หากดูเหมือนกุญแจรถจะของวิรินดาจะเป็นจิ้งจกแปลงตัวมา หรือไม่ก็ฝึกวิชาพรางตัวสำเร็จขั้นสูงสุด เพราะทำอย่างไร สองหนุ่มสาวก็หามันไม่เจอเสียที

“เฮ้อ ฉันว่าฉันยอมแพ้แล้วค่ะ”

วิรินดาพูดพลางเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋ากางเกงก่อนที่จะตกจมทรายไปด้วยอีกอัน หญิงสาวนั่งลงเหยียดขาพลาดยืดมือบิดขี้เกียจไปข้างหน้า ถ้าอยู่กับเพื่อนสนิทสาวๆ เธอคงล้มตัวลงนอนไปแล้ว แต่เพราะรำลึกได้ว่าตัวเองกำลังอยู่กับผู้ชายที่เพิ่งจะเจอกันเพียงหนึ่งวันกับสองคืนตามลำพังจึงไม่กล้าทำตามที่ใจคิด ได้แต่นั่งใช้มือยันผืนทรายข้างตัว ตากลมเย็นๆ แหงนหน้ามองฟ้า... กลุ่มดาวทอแสงระยิบระยับจับตา เห็นได้ชัดเจนยามอยู่ห่างไกลจากตึกสูงและแสงไฟจากตึกรามบ้านช่อง หากวิรินดาไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะมาชื่นชมสายลมและแสงดาวเพราะกำลังเหนื่อยล้าเต็มที

“เหนื่อยแล้วหรือคุณ”

“แหงล่ะ ฉันเดินกลับไปกลับมา คุ้ยหาไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้วนะคะ”

ภัทรวรรธน์นั่งลงข้างๆ ร่างบาง เงยหน้าขึ้นมองฟ้า แต่ก็เป็นการมองไปอย่างนั้นเองเพราะเขาก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะกินลมชมวิวเช่นกัน

“งั้นคงแย่หน่อย เราจะต้องเดินไกลมากกว่าจะไปถึงบ้านพักของผม”

“หือ?” หญิงสาวเอียงคอ ขมวดคิ้ว “ว่าไงนะคะ คุณมีบ้านพักอยู่ใกล้ๆ นี้เหรอ”

“จะว่าใกล้มันก็ใกล้ ...ถ้าเป็นระยะขับรถ แต่ถ้าเดินมันก็... ความจริงมันก็ราวๆ กิโลเมตรนึง...หรืออาจจะสองได้มั้ง”

คำตอบของชายหนุ่มทำให้วิรินดาทำหน้าแหยๆ เจื่อนๆ ด้วยความระย่อ ปกติเดินเท้ากิโลเมตรสองกิโลเมตรแค่นี้เรื่องจิ๊บๆ สมัยยังเรียนหนังสือและทำกิจกรรมออกค่าย เดินขึ้นเขาสิบกิโลเมตรเธอก็เคยทำมาแล้ว แต่ไอ้การเดิน ‘ตั้ง’ สองกิโลตอนดึกๆ ริมทะเลที่อากาศเริ่มเย็นจัดในวันที่แสนจะวุ่นวายเจออะไรมาตั้งเยอะแยะแบบนี้ไม่ใช่เรื่องสนุกแน่ๆ

“โธ่เอ๊ย...ฉันก็กลัวว่าจะติดแหง็กไปไหนไม่ได้เลยพยายามหากุญแจให้เจอ ถ้ารู้อย่างนี้เอาเวลา เอาพลังงานที่จะหากุญแจไปเดินให้ถึงบ้านพักคุณก็หมดเรื่องแล้ว”

“แต่ถ้าเราหากุญแจจนเจอ มันไม่ง่ายกับชีวิตมากกว่าหรือคุณ ไม่ต้องเดินไกล”

“แต่เราก็หากุญแจก็ไม่เจอ เสียเวลาและเสียพลังงานไปเรียบร้อยแล้วด้วย... ทีนี้จะทำยังไงดีคะเนี่ย”

ภัทรวรรธน์ขยับจะตอบว่า จะยากอะไร... ก็นอนในรถก็สิ้นเรื่องถ้าไม่อยากเดิน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาชะงักคำพูดทั้งหมดเอาไว้ ...ตอนนี้เขาหิวจนไส้จะขาด เหนื่อย ตัวสกปรกมอมแมมอยากอาบน้ำเต็มที ถ้าไปถึงบ้านพักเขาได้ทุกอย่างจะลงตัว เขามีคนดูแลที่จะเปิดประตูให้ ทำอาหารให้รับประทาน มีน้ำให้อาบ มีเสื้อผ้าสะอาดๆ มีเตียงนุ่มๆ ให้นอน ...แค่คิดเขาก็อยากโลดแล่นไปให้ถึงเร็วๆ แล้ว

เขาจึงหันไปตอบหญิงสาวด้วยคำพูดที่ฟังแล้วใจร้ายสุดๆ ว่า

“ก็ไม่ยากอะไร... นั่งพักให้หายเหนื่อย แล้วเดิน!”

แน่นอน คำตอบที่ได้รับจากหญิงสาวอย่างวิรินดา คือการถอนหายใจแรงๆ เหมือนจะประท้วง ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าด้วยสีหน้าที่เหมือนจะบอกว่า โอ้...พระเจ้าและเหล่าเทวดาเบื้องบน ช่วยลูกด้วย...




เพราะความเหนื่อยล้าและหิวโหย เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะสละรถ นอกจากกระเป๋าถือและของมีค่าต่างๆ วิรินดาจึงไม่พลาดที่จะหยิบน้ำและอาหารที่ซื้อจากร้านสะดวกซื้อที่ปั๊มน้ำมันติดมือไปด้วย โชคดีที่เจ้าผีเสื้อน้อยของเธอนั้นแม้จะเล็กแต่ก็ฉลาด มีระบบออโต้ ล็อก ที่รถจะทำการล็อกตัวเองเมื่อปิดเอาไว้เฉยๆ ระยะหนึ่ง ผู้เป็นเจ้าของจึงไม่ค่อยเป็นห่วงเท่าไรว่ามันจะถูกจารกรรม อีกอย่าง...บริเวณนี้ก็ค่อนข้างจะร้างปราศจากผู้คน คงไม่มีใครมาฉกไปก่อนที่เธอกลับมาหากุญแจอีกครั้งในตอนเช้าหรอก

“ขนอะไรไปเยอะแยะน่ะคุณ พะรุงะพะรังไปหมด”

ชายหนุ่มวิจารณ์เมื่อเห็นสภาพบ้าหอบฟางของคนที่เขาลักพาตัวมา (แต่ตอนนี้ค่อนข้างจะดูเหมือนหนีตามกันมามากกว่า) ซึ่งคนถูกถามก็ตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เสบียงไงคะ ...คุณไม่เคยได้ยินหรือคะ เขาว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง”

“อือฮึ”

คนถามพยักหน้ารับรู้ และคงไม่ใส่ใจอะไร ถ้าคนขนเสบียงไม่เอ่ยขึ้นว่า

“ก่อนเดินฉันว่าคุณทานอะไรสักหน่อยดีไหมคะ คุณไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่เช้าแล้วนี่ ถ้าต้องเดินอีกตั้งไกล ฉันห่วงว่าคุณจะ...ไม่ไหว”

คำพูดและน้ำเสียงที่ทอดอ่อนลงนั้นทำให้ภัทรวรรธน์นิ่งไปชั่วขณะ แม้จะรู้ว่าเธอเป็นคนใจอ่อน ขี้สงสาร และน่าจะเป็นคนที่ช่างเป็นห่วงเป็นใยคนรอบข้าง...แต่เขาไม่เคยเก็บเอาคุณสมบัติเหล่านี้มาใส่ใจ คนอย่างภัทรวรรธน์ ก้องเกียรติธารา ชินเสียแล้วกับการถูกใครต่อใครพากันมาพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจ หากความรู้สึกดีจางๆ ที่โชยแผ่วออกมาจากคนร่างบางตรงหน้ากลับทำให้หัวใจของเขาสัมผัสได้ และมันก็กำลังทำให้เขารู้สึกตื้อๆ จนพูดไม่ออก

นี่เขาจะบ้าหรือไงนะ สิ่งที่เธอหยิบยื่นให้ก็แค่ของขบเคี้ยวธรรมดาที่หาได้ทั่วไป ไม่เห็นจะต้องรู้สึกซาบซึ้งอะไรเลย!

“ไม่เป็นไร ผมยังไหว คุณเก็บเอาไว้เถอะ”

ลูกชายของคุณหญิงภาพิตปฏิเสธ แม้ว่าเขาจะกำลังหิวเต็มแก่ แต่ ‘ของแบบนี้’ ถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ เขาไม่กินให้เสียปากหรอก แข็งใจทนอีกหน่อยเขาก็จะได้กินอาหารดีๆ เป็นเรื่องเป็นราวแล้ว

“แน่นะคะ”

ใบหน้าคมพยักหน้าแทนคำตอบ และ...ไม่รู้ว่าเพราะอยากตอบแทนความรู้สึกดีๆ ที่เธอมีให้หรือแค่เพราะมารยาททางสังคมของสุภาพบุรุษที่ถูกหล่อหลอมมา มือหนาจึงฉวยสัมภาระทั้งหมดจากมือเล็กมาถือไว้เสียเอง

“ฉันถือเองก็ได้ค่ะ มันหนัก”

เสียงใสรีบพูดเพราะนอกจากมีขนมหลายอย่าง ในถุงหลายใบนั้นยังมีขวดน้ำเปล่า น้ำอัดลม น้ำผลไม้ที่เธอก็ไม่รู้ว่าขนซื้อมาเยอะแยะทำไม รู้แต่ว่าตอนนั้นอารมณ์กลัวคนหิวปวดท้องจะกินไม่อิ่มจึงกวาดซื้อมาเผื่อเหลือเผื่อขาด หากเสียงทุ้มขัดขึ้น

“ไม่เป็นไรหรอก ผมถือได้” และเพราะกลัวว่ามันจะฟังดูเหมือนคนดีเกินไป ซึ่งเขาไม่ชิน ชายหนุ่มจึงพูดต่อว่า “ขืนให้คนขาสั้นเดินช้าอย่างคุณแบกของหนักๆ ผมสงสัยว่าเราคงจะเดินไปถึงตอนเช้าพอดี”

ช่างเป็นคำพูดที่ทรงอานุภาพยิ่งนัก เพราะทำให้ความอาทรที่ก่อตัวขึ้นจางๆ สลายวับไปกับตา แถมยังมีผลให้วิรินดาแยกเขี้ยวแง่งๆ ใส่เขาอีกครั้ง

“คุณผิดสัญญานี่นา ไหนว่าจะพูดดีกับฉันไง”

“หือ ผมพูดอะไรผิดเหรอ”

(คุณ) ชายหนุ่มแสร้งตีหน้าตาย แล้วรีบชิงออกเดินทางก่อนที่วิรินดาจะทันได้โต้เถียงอีก

“ถ้าอยากพักผ่อนก็รีบเดินตามผมมาเร็วๆ ขืนช้าผมทิ้งไว้ที่นี่ไม่รู้ด้วยนะ”

โอ้ ช่างเป็นคำพูดที่เหมือนกับเวลาที่เธอใช้ขู่พวกเด็กๆ ไม่มีผิด

วิรินดาคิดขณะพยายามก้าวตามขายาวๆ ให้ทัน แม้ยังไม่รู้ว่าชะตากรรมจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่หญิงสาวคิดว่าไหนๆ ก็ตกกระไดพลอยโจนมากับเขาถึงที่นี่แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นก็คงต้องเดินลุยหน้าอย่างเดียว

…อย่างน้อยการเดินตามเขาไปก่อนก็คงจะดีกว่านั่งจมทรายเฝ้ารถอยู่คนเดียวจนถึงเช้าล่ะน่า






Create Date : 21 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2550 23:13:39 น. 8 comments
Counter : 394 Pageviews.

 
หายไปหลายวันกว่าจะมาแปะ ต้องขอโทษด้วยนะคะ ช่วงนี้งานยุ่งมากจริงๆ จนร่างกายชักจะอ่อนเพลียมากเกินไปก็เลยเขียนตอนใหม่มาลงได้ช้ามากกว่ากำหนด แต่อย่างไรก็ตาม 1 ตอนยาวๆ (ที่เรื่องยังไม่ค่อยคืบหน้าไปไหน) ก็มาแล้วนะคะ

คุณKwan เห็นด้วยอย่างยิ่งค่า แต่เนื่องจากเรื่องนี้เหตุการณ์เดินช้ากว่าเต่า ถึงป่านนี้พระเอกนางเอกของเราจึงยังไม่ได้เล่าเรื่องส่วนตัวเล้ย ไม่แม้แต่รู้จักชือกัน คนเขียนอย่างอิชั้นล่ะกลุ้มใจจริงๆ จะจบลงที่กี่หน้านะเนี่ย มึน

คุณไก่ 555 เชียร์กันเต็มที่ ดีค่ะ ช่วยกันเชียร์เน้อ จะได้จบไวๆ

เจ้าบ๊วย ตอนใหม่มาแล้วจ้ะแต่ปมยังไม่เฉลยเล้ย เรื่องนี้เดินได้อืดมาก ทั้งที่ตั้งใจจะเขียนให้จบไว เล่นเอาพี่เครียดเลยล่ะ กลัวยืดยาวหนาเกินคาดอีก (ซึ่งต้องเป็นแบบนั้นแหงๆ - -''')

คุณ pixie ตอนใหม่มาแย้วค่า
ตอนนี้ออกจะมึนๆ พระเอกนางเอกเราชักจะไม่น่าสงสารแล้ว เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นตลอดจนลืมเรื่องเศร้าไปเลย

เจ้ากิ๊ฟ แต๊งจ้า คิดถึงด้วยๆ
ขอบอกว่าไม่ได้อินเลิฟอะไรหรอก เอามาบิ๊วตอนเขียนนิยายน่ะ
อ้อ ชื่อใหม่น่ารักไฉไลสุดๆ

คุณชัชชมนต์ แหม...ใครจะไปลืมคะ มิใช่ปลาทองนี่หน่า ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมค่า รีบปันไวๆ น้า อยากอ่านเรื่องน่ารักๆ อีกอ่ะ

คุณ unna_nk ขอบคุณค่า ยิ้มหน้าบานเลย ตอนใหม่มาแล้วนะคะ

คุณ เอ็นเอ วัยรุ่นใจร้อนมากๆ ตอนใหม่มาตามคำขอแล้วคร่า...

คุณไก่ อุตส่าห์กลับมาอีกที ขอบคุณที่รอค่ะ

คุณ Rose ขอบคุณค่า เหมือนมีกระแสจิตเลย เข้ามาทวงปุ๊บ นิยายมาปั๊บ ดีจริงๆ อิอิ

เฟิร์น น่ากลัวมากนะยะ ทำเอาชั้นตกอกตกใจมากๆ พอลงเสร็จปุ๊บ ลองกดหน้านิยายดู หล่อนก็มาทวงพอดี กรี๊ดๆๆๆ ใช้เวทมนตร์ป่าวยะ (ทีหลังควรใช้อีก ชั้นจะได้ปั่นให้จบสักที อิอิ)


ลงตอน 6 ตอบคอมเมนต์จบแล้ว จรลีไปนอนแล้วนะค้า... แล้วจะรีบมาลงตอนต่อไปค่า


โดย: ...ศุวิลา... วันที่: 21 พฤศจิกายน 2550 เวลา:23:31:21 น.  

 
ดีค่ะ รีบมานะค้า
เฝ้ารอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
สู้ๆๆค่ะ


โดย: เอ็นเอ IP: 61.90.249.246 วันที่: 22 พฤศจิกายน 2550 เวลา:2:38:22 น.  

 
คุณชายคนนี้ท่าทางจะเหลือทน สงสารหนูคิสง่ะ


โดย: ไก่ IP: 222.123.28.134 วันที่: 22 พฤศจิกายน 2550 เวลา:7:05:36 น.  

 
ถ้าพาหนูไวน์ไปซ่องโจร แล้วเจ้จะอึ้งไหมน้อ


โดย: Kwan IP: 221.127.45.81 วันที่: 22 พฤศจิกายน 2550 เวลา:10:22:03 น.  

 
สนุกเหมือนเดิมเลย พระเอกเจ้าเล่ห์ ชอบแกล้งอ่ะ
ว่าแต่ไปพักด้วยกันในบรรยากาศโรแมนติก จะเกิดอะไรขึ้นนะ มาอัพ บ่อยๆๆนะคะ คิดถึง



โดย: unna_nk IP: 58.10.102.195 วันที่: 23 พฤศจิกายน 2550 เวลา:0:47:03 น.  

 
พระเอกเนี่ยนิสัยๆๆ ... แล้วคนดูแลบ้านจาไม่โทรแจ้งคุณหญิงแม่หรอเนี่ย


โดย: pixie IP: 58.9.85.167 วันที่: 23 พฤศจิกายน 2550 เวลา:13:05:10 น.  

 
ฮาพระ - นาง คู่นี้จริง ๆ

ผลัดกันแกล้งอีกฝ่าย

จะว่าไปก็สมน้ำสมเนื้อกันดี

แต่นู๋ไวน์อาจเสียเปรียบนิดหน่อย

เพราะเป็นหญิงสาวบอบบาง เรียบร้อย

ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมอีตาคุณชาย แหง...


โดย: เชอร์เบต จี๊ดด ด IP: 58.8.107.142 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2550 เวลา:14:47:12 น.  

 
เพิ่งมาอ่านค่ะ

กุญแจรถกลายเป็นจิ้งจก หรือมีมนต์พรางตัว ?

แหล่มมากๆน้องโน้ต

อย่าหักโหมกับงานมากไปนะคะ
เก็บแรงไว้เขียนนิยายด้วยจ้ะ


โดย: ธาราฝัน IP: 125.24.10.15 วันที่: 3 ธันวาคม 2550 เวลา:23:45:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

...ศุวิลา...
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




'ศุวิลา' นักเขียนแนว LOVE (ความรู้สึกดี...ที่เรียกว่ารัก) สนพ. แจ่มใส ♥








Friends' blogs
[Add ...ศุวิลา...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.