|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ทริปวุ่น หัวใจลุ้นรัก (5)
หายไปอย่างนานเลย ขอโทษนะคะ แหะๆ พักนี้ยุ่งมากมายเลยลืมมาโพสท์เสียสนิทเลยค่ะ หวังว่าจะยังติดตามกันอยู่นะค้า ^______^
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา มาติดตามตอนใหม่ล่าสุดกันเลยค่า
###################
แม้ว่่าสนามบิน Wien-Schwechat และบริเวณโดยรอบจะดูเก่าคร่ำคร่าไม่น้อย แต่เมื่อรถบัสแล่นมาถึงตัวเมืองเวียนนา แววดาริกาก็รู้สึกสดใสมากขึ้น เหมือนได้ออกจากโลกอันสุดแสนทรุดโทรมเข้าสู่ดินแดนอันศิวิไลซ์อีกครั้ง หญิงสาวค่อยรู้สึกว่าตัวเองเดินทางมาถึงออสเตรียจริงๆ หน่อย จากที่ตอนแรกเหมือนซื้อตั๋วเครื่องบินมาเพียงครึ่งใบอย่างไรอย่างนั้น แต่ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ยังรู้สึกไม่เป็นสุขดีอยู่นั่นเอง ...และเธอรู้ดีเชียวล่ะว่่่าเป็นเพราะอะไร
ปัญหาอยู่ที่ชายหนุ่มคนนั้น ...รเณศ
หญิงสาวรู้จักรเณศเมื่อสองปีที่แล้วตั้งแต่เธอเข้ามาทำงานที่เอเยนซี่โฆษณาเดียวกันกับเขาในตำแหน่งเออี ในตอนนั้นรเณศเป็นครีเอทีฟ เมเนเจอร์หนุ่มปากจัดกัดเจ็บ แต่ก็ดูมีอนาคตไกล แม้ภายนอกชายหนุ่มจะมีบุคลิกเซอร์ๆ แนวๆ ไม่แตกต่างจากเพื่อนร่วมอาชีพ แต่อะไรบางอย่างในตัวเขาทำให้แววดาริการู้สึกเขินอายทุกครั้งที่ได้สบตา และเมื่อรู้จักกันมากขึ้น หญิงสาวถึงเพิ่งจะรู้สึกว่า 'อะไรบางอย่าง' ที่ว่านั้น คือ แววตาอบอุ่นที่ซ่อนอยู่ภายใต้รูปลักษณ์เท่ๆ และความเด็ดเดี่ยวเป็นผู้นำที่ทำให้รู้สึกพึ่งพาได้ เวลาที่ไปพรีเซนท์งานด้วยกัน เขาคอยดูอยู่เสมอว่าเธอสามารถให้ข้อมูลและตอบคำถามของลูกค้าได้หรือไม่ หากมีตรงไหนติดขัด ก็พร้อมจะช่วยเหลือทันที และยังให้ไอเดียอะไรอีกหลายอย่างจนกว่าลูกค้าจะพอใจ เธอจึงรู้สึกอุ่นใจทุกครั้งที่มีเขาอยู่เคียงข้าง และดีใจมากที่ได้รู้ว่าเขาเองก็ใจตรงกันกับเธอ
...น่าเสียดายที่ความรักของเธอและเขาจบลงแล้ว เธอเป็นฝ่ายบอกลาเขาด้วยตัวเอง แววดาริกาก็เหมือนผู้หญิงสวยจัดทั่วไป คือ มีชายหนุ่มแวะเวียนมาให้ความสนใจและเสนอตัวเป็นคนรู้ใจไม่ได้ขาด สิ่งนั้นทำให้หญิงสาวกลายเป็นสาวแสนงอนและเอาแต่ใจตัวเองพอสมควร เมื่อมีคนรัก นิสัยนั้นก็ไม่ได้ลดน้อยลงไป ยิ่งรักใครมาก ก็ยิ่งอยากจะเรียกร้องให้เขาเอาใจใส่มากขึ้น และอยากดูแลเขาให้มากขึ้น ผลก็คือเธอกลายเป็นสาวขี้วีน ขี้งอน เอาแต่ใจ และเจ้ากี้เจ้าการเต็มรูปแบบ ทำให้ทะเลาะกับรเณศอยู่บ่อยครั้ง จนความสัมพันธ์ต้องพังทลายลงในที่สุด
แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งหัวใจของเธอก็ไม่เคยมีใครอื่นนอกจากเขาเพียงคนเดียว แม้จะเปิดทางให้ปริยกรเข้ามาใกล้ชิดสนิทสนม แต่หญิงสาวรู้ใจของตัวเองดี
...การตัดสัมพันธ์เป็นเรื่องง่าย แต่การตัดใจให้ได้ ไม่เคยง่ายเลยจริงๆ!
ด้านปริยกรที่นั่งอยู่เงียบๆ ก็เช่นกัน ชายหนุ่มไม่ได้หลับ แต่กำลังครุ่นคิดถึงรุ่นน้องสาวที่ได้พบกันโดยบังเอิญที่สนามบิน
...ชื่นรัก
สิบปีแล้วสินะ ที่เขาไม่ได้พบกับน้องรหัสคนนี้
ภาพของเด็กสาวกะโปโลหัวฟูๆ ในเสื้อนิสิตตัวหลวม กระโปรงจีบรอบสีดำกรอมเท้า กับรองเท้าเป๊ปเปอร์มินท์สีขาวยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำ ...แรกพบเขาไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษเพราะ 'น้องชื่น' ไม่ใช่สาวสวยน่ารักสะดุดตา และไม่ได้เฉียดเข้ามาใกล้สเป๊กของเขาเลย ผู้หญิงแบบที่เขาชอบต้องสวยจัด หุ่นดี สูงโปร่งเหมือนนางแบบ และแต่งกายเลิศหรูโดดเด่นอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น ...พูดง่ายๆ คือผู้หญิงแบบแววดาริกานั่นล่ะ
แต่ไม่รู้ว่าทำไม ยิ่งได้อยู่ใกล้ๆ ยิ่งได้เห็นความสดใส ร่าเริง ในรอยยิ้มและแววตาของเธอ ความรู้สึกของเขาก็ยิ่งเอนเอียงไปทางเธอมากขึ้น มากขึ้นทุกที...
ปัญหาคือในตอนนั้นเขามีคนรักอยู่แล้ว และแฟนสาวของเขาก็คือสาวสวยรุ่นเดียวกันที่เป็นดาวคณะนั่นเอง
ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาวเมื่อคิดถึงตอนนี้... เขารู้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นผิดและไม่น่าให้อภัย แต่นึกไม่ถึงว่าแม้เวลาจะผ่านไปเป็นสิบปีแล้ว ชื่นรักก็ยังไม่คิดจะยกโทษให้เขาเลยแม้แต่นิดเดียว ท่าทีเย็นชาของเธอที่สนามบินเป็นหลักฐานยืนยันได้เป็นอย่างดี
…ก็คงเหมือนกับที่หัวใจของเขากระตุกวูบทันทีที่ได้เห็นหน้าเธอ แม้ว่าเวลาจะผ่านมานานแสนนานแล้วก็ตาม
“พี่ป๊อปคะ พี่ป๊อป”
เสียงหวานๆ จากคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ดึงปริยกรออกจากภวังค์ เมื่อหันไปมอง ถึงได้เห็นว่าแววดาริกากำลังมองเขาด้วยดวงตาคมสวยหลังกรอบแว่นสีชา
“ว่าไงครับ”
“ลุกเถอะค่ะ ถึงโรงแรมแล้ว”
ได้ยินอย่างนั้น ชายหนุ่มถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่ารถบัสจอดสนิทเรียบร้อยแล้ว คู่รักคู่อื่นๆ กำลังทยอยกันลงจากรถ สายตาของเขาเลื่อนไปที่ชื่นรักเป็นอันดับแรก และได้เห็นว่าหญิงสาวพูดอะไรบางอย่างกับรเณศที่ทำให้ผู้ชายคนนั้นหัวเราะลั่นพลางใช้นิ้วจิ้มแก้มนวลที่เป็นสีแดงระเรื่อ เจ้าของแก้มทำหน้ามุ่ย ไม่ยอมแพ้ คว้ามือนั้นมาตีเป็นการใหญ่ ซึ่งแม้ว่าะร้องโอดโอย แต่แววตาของคนถูกประทุษร้ายก็ยังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
...ภาพนั้นทำให้หัวใจของเขาแสบแปลบๆ เหมือนถูกไฟนาบ ไฟร้อนๆ ที่มีชื่อว่าริษยา!
หลังจากที่ทีมงาน 'ชื่นใจเมื่อใกล้รัก' จัดการเช็กอินเข้าพักที่โรงแรมให้กับผู้ร่วมทัวร์เรียบร้อยแล้ว ภูวนัตถ์ก็ย้ำกับทุกๆ คนอีกครั้งให้ลงมาเจอกันที่ล็อบบี้ตอนสิบเอ็ดนาฬิกาตรง ไม่อย่างนั้นก็จะเลยเวลาอาหารกลางวัน และเวลาของการท่องเที่ยวก็จะลดลงไป
ชื่นรักพลิกดูโปรแกรมที่ได้รับมา สถานที่ที่ทางทัวร์จะพาไปเที่ยวในช่วงบ่ายวันนี้ยาวเหยียดอย่างกับหางว่าวผูกต่อกันสักสิบตัว แม้แต่รเณศที่ชอบเที่ยวนักหนายังบ่นอุบ
“โห อะไรวะเนี่ย หลังมื้อกลางวันแสนอร่อย ที่ท่านจะได้ลิ้มลองรสชาติของชีสกว่าร้อยยี่สิบชนิดทั่วโลก รวมทั้งสตรูเดิลที่ทำสดใหม่ทุกชั่วโมง และขนมหวานของเวียนนาหอมกรุ่นจากเตาแล้ว ท่านจะได้เพลิดเพลินกับการเดินชมกรุงเวียนนาจากใจกลางเมือง โดยเริ่มจากจัตุรัสสเตฟานพลาทส์ (Stephansplatz) เพื่อชมโบสถ์สเตฟานอันเลื่องชื่อซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของกรุงเวียนนา แล้วค่อยๆ เดินทอดน่องไปตามถนนชอปปิงที่สง่างามและทันสมัยที่สุดของเวียนนาอย่างคาร์ทเนอร์.... อะไรหว่า อ่านไม่ออก ช่างมัน ...เข้าสู่โบสถ์ เซนต์ ปีเตอร์ (St Peter) จากนั้น....”
“ถนนที่แกอ่านไม่ออกน่ะชื่อ Kartner Strasse เฟ้ย” ชื่นรักแกล้งคุยทับ “เขาไม่อนุญาตให้ขับรถเข้าไปด้วยรู้เปล่า เลยเป็นถนนคนเดินสวยๆ มีคาเฟ่เก๋ๆ เพียบ มีชีวิตชีวิตสุดๆ”
“อ้อออออ แสนรู้จริงนะแก”
“คนนะเฟ้ย ไม่ใช่หมา”
นักเขียนสาวประท้วง อุตส่าห์อวดภูมิรู้ที่เพิ่งได้มาจากหนังสือของใบหยกบนเครื่องบิน แทนที่จะได้รับคำชมแบบทึ่งๆ ดันถูกนำไปเปรียบกับเจ้าตัวสี่ขาเสียนี่
“ยังเหลือเวลาอีกตั้งหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ ก่อนจะถึงเวลารวมตัว น้องเนส น้องชื่น เอายังไงดีคะ”
นิดาเกร่เข้ามาถามหลังจากรับกุญแจห้องพักมาแล้ว เป็นอีกครั้งที่รเณศและชื่นรักสบตากันโดยไม่ต้องนัดหมาย
“พี่นิกับพี่จักรกะจะทำอะไรหรือคะ”
“ก็... พอเก็บของเสร็จแล้วพี่ว่่าจะออกไปเดินเล่นแถวนี้ค่ะ เห็นว่าโรงแรมเราอยู่ห่างจากสเตฟานพลาทส์แค่สามสี่ร้อยเมตรเอง เดินแป๊บเดียวก็ถึง”
“แต่ว่าบ่ายนี้เราต้องไปอยู่แล้วนี่ครับ...”
“ก็ใช่หรอกนะคะน้องเนส... แต่ไหนๆ ก็บินมาถึงแล้ว ให้อยู่เฉยๆ ในห้องตั้งนานเบื่อตายเลย เราน่าจะไปเดินเล่น ชมบรรยากาศ เก็บรูปเป็นที่ระลึกกันสักหน่อย ถ้าไปตามทัวร์ก็ต้องรีบๆ ลนๆ ใช่ไหมคะ พี่อยากเดินชมวิวแบบสบายๆ ถ่ายรูปไปเรื่ิอยๆ น่ะค่ะ”
“เอ เอายังไงดี ชื่น เมื่อกี้ที่บ่นว่าง่วงหายหรือยังจ๊ะ”
น้ำเสียงที่ทอดอย่างนุ่มนวลและคำลงท้ายจ๊ะจ๋าทำเอาชื่นรักงง แต่ก็ไม่ 'เหวอ' เท่าสิ่งที่คู่รักปลอมๆ เพิ่งกุขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ
อะไรฟระ จะให้เล่นบทง่วงทำไมไม่บอกกันก่อน นั่งคุยเสียงแจ๋ว ตาใสกิ๊งมาตลอดทางแบบนี้ จู่ๆ จะให้เล่นบทง่วงเหงาหาวนอนเนี่ยนะ ...คนอื่นเขาจะไม่สงสัยกันหรือไงยะว่าถูกวางยาหรือเปล่า
“อ๋อ ไม่เป็นไรหรอก ที่จริงชื่นก็ไม่ค่อยง่วงเท่าไร”
ชื่นรักปรับสรรพนามแทนตัวเป็นชื่อทันทีเช่นกันเพื่อให้ฟังดูสนิทสนมแนบแน่นมากขึ้น และแกล้งหาวหวอดๆ โชว์ พื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะปฏิเสธหรอกนะ แต่สภาวะทางร่างกายมันอดกลั้นกันไม่ได้จริงๆ ต่างหาก เผื่อว่าอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นและรู้สึกเกรงใจ
...แต่เธอน่าจะรู้นะว่ามันไม่ได้ผล
“อุ๊ย ง่วงๆ นี่ล่ะค่ะยิ่งต้องออกไปเดินให้หายง่วง ไปเก็บของแล้วล้างหน้าล้างตาเสียสิคะ ได้ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก รับรองว่าหายง่วงเป็นปลิดทิ้งค่ะ”
สีหน้าแข็งขันของนิดาและการพยักหน้ารับรองของจักรทำให้นักเขียนสาวพูดไม่ออก นอกจากส่งยิ้มเพลียๆ ให้ ...เธอควรจะรู้ดีอยู่แล้วใช่ไหมว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมให้ใครมาล้มเลิกความตั้งใจหรอก
“ถ้าง่วงนักก็อย่าฝืนเลยชื่น เดี๋ยวตอนบ่ายหน้ามืดไปจะลำบาก”
ชื่นรักหันขวับไปตามเสียงแปลกปลอมที่เข้ามาร่วมวงสนทนา ปริยกรนั่นเอง น้ำเสียงและถ้อยคำสนิทสนมแกมเอื้ออาทรของเขาชวนให้นึกย้อนไปถึงเมื่อสิบปีที่แล้ว... สมัยที่เขาเป็นพี่รหัสที่แสนดีของเธอที่มหาวิทยาลัย ไม่เพียงเท่านั้น เขายังออกตัวกับนิดาว่า
“คือชื่นเขาความดันต่ำน่ะครับ”
“อ้าว เหรอคะ ตายล่ะ พี่็ไม่รู้ แบบนี้ก็อดนอนไม่ได้สิคะเนี่ย”
นักเขียนสาวเม้มริมฝีปาก รู้สึกถึงความฉุนเฉียวที่แล่นมารวมกันตรงอก...
ยุ่งจริงๆ! ใครถามตอนไหนไม่ทราบ! ทำมาเป็นใกล้ชิดสนิทสนม รู้ดีเรื่องของคนอื่น ทั้งๆ ที่ทำกับเขาไว้ถึงขนาดนั้น ทำไมถึงไม่รู้จักอยู่ในส่วนของตัวเองนะ!
“ก็ประมาณนั้นล่ะครับ สมัยยังเรียนอยู่ชื่นเขาเคยทำเพื่อนๆ ที่คณะแตกตื่นตอนทำกิจกรรมรับน้องเพราะไม่ได้นอนจนเป็นลมมาแล้ว...”
คนเล่ายังเล่าเหตุการณ์ต่อพลางมองหน้าหญิงสาว ประกายบางอย่างในแววตาของเขาทำให้ 'น้องรหัส' รู้ได้ทันทีว่าพี่รหัสคนนี้กำลังต้องการรื้อฟื้นอดีตระหว่างเธอและเขากลับคืนมา และยังเป็นการประกาศให้ผู้ร่วมทัวร์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ได้รับรู้ด้วยว่าเขารู้จักสนิทสนมกับชื่นรักมาหลายปีแล้ว ไม่ได้เพิ่งมาพบกันที่ทัวร์ชื่นใจเมื่อใกล้รักเป็นครั้งแรก
“...จะให้น้องๆ ผู้หญิงช่วยกันแบกก็ไม่ไหว ตอนนั้นผมเลยต้องเป็นคนอุ้มชื่นไปห้องพยาบาลครับ”
คนถูกอุ้มพยายามระงับสีหน้า ทั้งๆ ที่อยากถามนักว่า ...เอ่อ คุณพี่ จะพูดให้มันได้อะไรขึ้นมาคะ เรื่องนมนานกาเลพระเจ้าเหาเต่าล้านปีขนาดนั้น!
หญิงสาวกวาดตาไปรอบๆ เพื่อมองหาแววดาริกาแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา เช่นเดียวกับคู่กิ่งทองใบหยก และคู่รักสื่อโทรจิต มีเพียงภูวนัตถ์และทีมงานบางคนที่ยังยืนอยู่ในบริเวณนี้
ก็ว่างั้นแหละ ถ้ายัยริก้าอยู่ อีตาพี่ป๊อปคงไม่กล้าพูดมากเป็นต่อยหอยขนาดนี้หรอก!
“แหม น้องนี่สนิทกับน้องชื่นดีจัง รู้จักกันมาก่อนเหรอคะ”
“ครับ ผมป๊อปครับ เป็นพี่รหัสของชื่นสมัยเรียนมหาวิทยาลัยน่ะครับ”
นิดาและจักรแนะนำตัวกับปริยกรอย่างสนิทสนมตามวิสัยที่เข้ากับคนง่ายและไวราวกับสัญญาณ 3G ซึ่งปริยกรก็พูดคุยด้วยอย่างเป็นกันเองได้ในทันทีเหมือนกัน ...สมแล้วที่ได้รับตำแหน่งมิสเตอร์ป๊อปปูล่าร์ประจำคณะสามปีซ้อน!
“อ้าว แล้วแฟนของน้องป๊อปที่สวยๆ เหมือนนางแบบล่ะคะ หายไปไหนแล้วเนี่ย”
“อ๋อ ริก้าไปโทรศัพท์หาที่ทำงานน่ะครับ เห็นว่ามีเรื่องด่วนต้องรีบคุยกับลูกค้าตอนนี้เลย”
“แย่จัง อุตส่าห์มาเที่ยวแล้วยังต้องทำงานอีก ความจริงน่าจะปิดโทรศัพท์ไปเลยนะคะ”
“โห ยากครับ ริก้าเป็นพวกห่วงงานมาก ไม่ว่าจะไปไหนก็เปิดโทรศัพท์ไว้รอเช็คงานตลอดเลยครับ นี่ขนาดมาเที่ยวยังแบกโน้ตบุ๊กมาด้วยเลย ผมค้านจนไม่รู้จะค้านยังไงก็ไม่ยอมเชื่อ”
เพราะจักร นิดา และปริยกรมัวแต่คุยกันอยู่ จึงไม่รู้เลยว่ารเณศสั่นหน้าและถอนหายใจด้วยความระอา มีเพียง 'คู่รัก' ของเขาที่สังเกตเห็น จึงแกล้งทำทีเป็นง่วงจัดเพื่อขอตัวแยกออกมา
“ยังห่วงเขาอยู่อะดิ อย่านึกว่าฉันไม่เห็นนะ”
นักเขียนสาวแซวทันทีที่อยู่กันตามลำพังเพราะเรื่องที่รเณศเอือมความบ้างานจัดของแววดาริกาเป็นเรื่องที่รู้กันดี หลายครั้งที่ทั้งคู่ทะเลาะกันก็เพราะแววดาริกาทุ่มเทให้กับงานมากเสียจนเบียดบังเวลาส่วนตัวในชีวิต แม้จะเป็นความพอใจของเจ้าตัว แต่รเณศก็หวังดีอยากให้หญิงสาวได้พักผ่อนมากกว่าที่เป็นอยู่ เมื่อเธอไม่ยอมเข้าใจ ความรู้สึกดีๆ จึงแปรเปลี่ยนเป็นขุ่นเคืองไปอย่างน่าเสียดาย
“ใครบอกแก ไม่มี้”
“ไม่มี้...... แล้วแกขึ้นเสียงสูงทำไม้” ชื่นรักแกล้งยกเสียงล้อเลียนคนที่รีบปฏิเสธเสียงหลง
“ไม่ต้องมาแซวฉันเลย แกนั่นแหละ ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกฮะ ว่าไอ้เจ้าปอบนั่นมันเป็นพี่รหัสแก โหหหห ไอ้เราก็เดาซะยกใหญ่ นึกว่าเขาเป็นนายหัวที่เคยจับแกไปขังไว้ที่กระท่อมกลางป่าอะไรแบบนั้น”
“ไอ้บ้า!! โคตรน้ำเน่าเลย เป็นครีเอทีฟ ไดฯ ซะเปล่า คิดได้แค่เนี้ย??”
“ช่วยไม่ได้ ก็แกอยากทำตัวมีพิรุธเองนี่ ถ้าแกเม้าท์แตกแบบปกติฉันจะสงสัยเหรอ”
“อ้าว!! ก็ฉันขี้เกียจเล่า มันเป็นปัญหาอะไรกับแกมากนักหรือไง”
“อ๊ะ ขี้เกียจเล่า... แสดงว่าต้องมีอะไรมากกว่านั้นอะดิ” ครีเอทีฟหนุ่มยิ้มกวน พลางถามเองตอบเองเสร็จสรรพ “... เออ ต้องมีสิน่า ไม่งั้นแกคงไม่ทำท่ารังเกียจเดียดฉันท์เขาอย่างกับเห็นตุ๊กแกกิ้งกืออย่างนั้นหรอก เอ๊ะ หรือว่าแกเคยเป็นหนี้เขาแล้วชักดาบวะ”
“เพ้อเจ้อจริงๆ ...เอาน่า แล้วแกก็จะรู้เองนั่นแหละ”
ชื่นรักยังตอบคำเดิมเสียงสะบัด เพราะในใจกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องกัน
...ผู้ชายสองคนที่เธอรู้จักในทริปนี้นี่ยังไงนะ พอกันทั้งคู่ มากับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่สนใจเรื่องของผู้หญิงอีกคนหนึ่งอย่างออกนอกหน้า นิสัยไม่ดี!
ใบหน้าขาวและรอยยิ้มพิมพ์ใจของพระเอกหนุ่มผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง ...เฮ้อ หวังว่าเขาคงไม่เป็นแบบนี้อีกคนหรอกนะ
เธอหวัง...แม้จะรู้ว่าเป็นไปได้ยากเหลือเกินที่ชายหนุ่มผู้มีชื่อเสียงโด่งดังระดับแถวหน้าของวงการมายาจะเป็นคนรักเดียวใจเดียว
บทที่ 4
สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครได้ออกไปเดินเล่นในเมืองก่อนเวลาอาหารกลางวัน เพราะเมื่อภูวนัตถ์แนะนำว่าโรงแรมที่พักอยู่นั้นสามารถมองเห็นวิวของกรุงเวียนนาได้สวยสุดๆ จากบนระเบียง คู่รักผู้คลั่งไคล้การถ่ายรูปก็เปลี่ยนใจทันที และมัวแต่เก็บบรรยากาศจากภายในห้องเพลินจนลงมารวมตัวสายเล็กน้อยด้วยซ้ำ งานนี้ไม่มีใครถือสานอกจากแววดาริกาที่แอบชักสีหน้าเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
อาหารกลางวันเลิศรสสมคำบรรยายในกำหนดการ โดยเฉพาะขนมหวานแบบเวียนนาอย่างแอปเปิล สตรูเดิลแป้งกรอบร่วน และกาแฟเวียนนาแท้เข้มข้นที่ราดด้านบนด้วยวิปครีมโรยผงซินนามอนเล็กน้อย
“อาหย่อยยยยยยย”
นักเขียนสาวครางอย่างแสนสุข ก่อนจะตักขนมคำต่อไปเข้าปากทันที ท่าทีจ้วงเอาๆ ของเธอทำเอารเณศละเหี่ยใจ
“เก็บอาการหน่อยแก กินให้มันดูมีสกุลรุนชาติหน่อย เดี๋ยวคนที่นี่เขาจะนึกว่าคนไทยไม่มีวัฒนธรรมเหมือนแกหมด”
“ช่วยไม่ได้ ก็มันอร่อยนี่ ถึงว่าล่ะแก ทำไมมาเรียในหนัง The Sound of Musicถึงเอาแอปเปิล สตรูเดิล กรอบๆ ไปใส่ไว้ในเพลง My Favourite Things ด้วย ยอดเยี่ยมที่ซู้ดเลย...”
“งั้นแกเอาของฉันไปเลย ฉันให้”
ครีเอทีฟหนุ่มว่าพลางเลื่อนจานไปให้เพื่อนตั้งแต่สมัยหนุ่ม ทำเอาคนรับยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายวิ้งๆ ด้วยความซาบซึ้ง
“ขอบคุณมากกกกกกกนะ ฉันรักแกที่สุดเลยว่ะเนส”
ชื่นรักแทบจะโผเข้ากอดรเณศหากไม่ติดว่าในมือกำลังถือส้อมและมีดอยู่ ...จริงสินะ ไอ้เนสมันไม่ชอบกินขนมหวานๆ มาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่ ฮี่ๆๆๆๆๆๆๆๆ เสร็จเรา!
“แหม หวานกันจังนะครับ”
ใบหยกที่นั่งถัดจากชื่นรักอดแซวไม่ได้ เมื่อเห็นวีรกรรมการเสียสละขนมและการบอกรักอย่างซาบซึ้ง โดยหารู้ไม่ว่าตัวเองกำลังเข้าใจผิดเต็มเปา
“หวาน??? อ๋อออออ ค่ะ แหะๆ ก็...นิดนึง”
“ไม่นิดล่ะครับ บอกรักกันเต็มปากเต็มคำขนาดนั้น”
“แหม...”
“ไปแซวแบบนั้นคุณชื่นก็เขินแย่สิ” กิ่งทองปรามคนรัก “หรืออยากได้ขนมบ้าง เอาไปเลย ผมให้”
ทีแรกชื่นรักนึกว่ากิ่งทองออกอาการน้อยใจเมื่อได้ยินคนรักชื่นชมเธอกับรเณศ แต่แล้วก็ต้องตาโตเป็นไข่ไดโนเสาร์ เมื่อเห็นว่า 'ขนม' ที่กิ่งทองเลื่อนให้ คือไอศกรีมเชอร์เบ็ตสีแดงรูปหัวใจ!!
เห็นท่าทางดีใจแต่อายม้วนต้วนของใบหยก และใบหน้าขรึมที่แดงจัดของกิ่งทองแล้ว นักเขียนสาวแทบกรีดร้อง
มาทำหวานอะไรกันแถวเน้... อิจฉานะเว้ยเฮ้ย!
แต่ดูท่าทางอีกฝ่ายจะไม่รับรู้คำประท้วงในใจของหญิงสาว เพราะใบหยกเอียงหน้าไปกระซิบรักให้กับเจ้าของ 'หัวใจ' เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้บรรยากาศรอบๆ ตัวทั้งสองมีแต่หัวใจสีแดงฟูฟ่องโอบล้อมอยู่จนชื่นรักต้องรีบเขยิบตัวกลับไปจัดการกับแอปเปิล สตรูเดิลต่อ จะได้ไม่กลายเป็นส่วนเกินในโลกอันแสนหวานของทั้งสอง
คนไม่มีแฟน รักกับของกินแทนก็ได้ฟะ!
เมื่อขนมหวานแสนอร่อยสองจานอันตรธานไปอย่างรวดเร็ว ชื่นรักจึงได้เงยหน้าขึ้นสังเกตสังกาผู้ร่วมทัวร์เพื่อการเก็บข้อมูลเขียนนิยาย คู่ของกิ่งทองใบหยกทำให้ไอศกรีมเชอร์เบ็ตเปรี้ยวจี๊ดกลายเป็นหวานฉ่ำด้วยการแบ่งกันละเลียดอย่างเอร็ดอร่อยชิดที่ว่่าถ้าการป้อนกันไม่ดูประเจิดประเจ้อเกินไปคงทำไปเรียบร้อยแล้ว ศศินิภาและกฤตินก็ดูเหมือนจะไม่ได้ลืมพกปากมาด้วยอย่างที่ชื่นรักเคยนึกเล่นๆ เพราะทั้งสองก็กำลังค่อยๆ จัดการกับขนมอยู่เช่นกัน ด้านนิดาและจักร... ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้งคู่ยังแทบจะไม่ได้แตะขนมสักนิด เพราะมัวแต่ถ่ายรูปของกินจากมุมต่างๆ และตัวเองกับของกินในอากัปกิริยาต่างๆ อยู่ โดยมีปริยกรซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นช่างภาพจำเป็น
เอ๊ะ แล้วยัยริก้าล่ะ??
นักเขียนสาวหันรีหันขวาง แล้วจึงได้เห็นว่าสาวนักโฆษณาสวยจัดคนนั้นกำลังนั่งจิบกาแฟเวียนนาไปพลาง คุยกับพระเอกหนุ่มหล่อชื่อดังไปพลาง ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งคู่ยังแสกนพิน โค้ด ของเครื่องแบล็กเบอรี่กันอีกด้วย นั่นแปลว่าต่อไปนี้ทั้งคู่จะสามารถแชทกันได้ตลอดเวลา
โห... ทำอะไรน่าเกลียดชะมัดเลยแฮะ แฟนตัวเองก็นั่งอยู่ใกล้ๆ แท้ๆ ยังกล้าแลกพินกับคนอื่นอีก
อีกคนก็น่าเกลียดพอกัน ลูกทัวร์ของตัวเองแท้ๆ แฟนเขาก็อยู่ด้วย ยังกล้า...
แม้จะรู้ว่าไม่ใช่กงการอะไรของตัวเอง แต่นักเขียนสาวก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่ดี และขยับจะบ่นให้รเณศฟังตามเคย แต่เมื่อเห็นได้แววตาของชายหนุ่มที่จ้องมองไปยังภาพเดียวกัน ชื่นรักก็ต้องใจหาย
นั่นเป็นสายตาของคนที่ยังรัก ยังแคร์กันมากๆ ไม่ใช่แค่อาการสะท้อนใจจากภาพเงาในอดีตที่ยังไม่ลบเลือน...
สิ่งที่ได้เห็นทำเอานักเขียนสาวปิดปากสนิท จิบกาแฟแสนอร่อยพลางใช้ความคิิดอย่างเงียบเชียบ...
((โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ))
Create Date : 01 ตุลาคม 2554 |
|
5 comments |
Last Update : 1 ตุลาคม 2554 21:20:58 น. |
Counter : 985 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: nay narilin IP: 223.205.107.39 1 ตุลาคม 2554 23:00:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: คน-เหงา IP: 202.28.180.202 2 ตุลาคม 2554 10:25:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปุ๊ก IP: 61.91.4.2 10 ตุลาคม 2554 20:18:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: ree IP: 223.204.212.147 26 ตุลาคม 2554 5:48:22 น. |
|
|
|
| |
|
|
คุณคน-เหงา -- แหะๆ คราวนี้หายไปนานกว่าเก่า อายจัง ขอโทษนะคะ
คุณปุ๊ก -- อิอิ เรื่องมันชักจะยุ่งเหยิงยิ่งขึ้นทุกทีค่ะ
น้องเน -- แอร๋ยยยยยย ฮิ้วววววววววว เชียร์กันได้เชียร์กันดีนะจ๊ะ