พระพุทธเจ้าองค์พระมหาฤษี มิได้ตรัสว่า สัตว์ทั้งหลายจักเศร้าหมอง ด้วยรูปกายที่เศร้าหมองและเมื่อรูปกายบริสุทธิ์ สะอาดแล้ว จะบริสุทธ์สะอาด แต่ตรัสไว้ว่าสัตว์ทั้งหลายจักเศร้าหมองด้วยจิตใจที่หมองเศร้า และจะบริสุทธิ์เมื่อจิตใจบริสุทธิ์
ถ้าจิตใจไม่บริสุทธิ์สะอาด คือ ยังมีราคะ โทสะ โมหะ มัจฉริยะ อวิชชา เป็นต้นอยู่ในความคิด ในทางพระพุทธศาสนา ถือว่า เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์
วิธีที่จะทำจิตใจของเราให้บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากกิเลศมลทินตามหลักพระพุทธศาสนานั้น มีอยู่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสบอกทางปฏิบัติไว้ในโอกาสต่างๆ หลายสำนวนตามอัธยาศัยของผู้ฟัง แต่ที่ทรงหมายถึงทางคือหลักการสำหรับปฏิบัติเพื่อดำเนินไปสู่ความบริสุทธิ์ คือ มรรค ผล นิพพาน มีอยู่ทางเดียวซึ่งทรงตรัสไว้ในพระสติปัฏฐานสูตรว่า
เมื่อโยคีปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามหลักการในพระสติปัฏฐานสูตรด้วยการเดินจงกรมเป็นระยะ และนั่งกำหนดเป็นระยะ ด้วยตนเองหรืออยู่ในความแนะนำควบคุมของท่านวิปัสสนาจารย์ก็ตามและโยคีผู้นั้นจะได้เคยศึกษาเรียนรู้พระปริยัติธรรมมาก่อนหรือมิเคยได้ศึกษาเรียนรู้ก็ตาม แต่ถ้าปฏิบัติถูกต้องตามแนวทางแล้วจิตใจของท่านก็จะเป็นสมาธิ ( ขณิกสมาธิ ) มีปีตี ปัสสัทธิ เป็นต้น เกิดขึ้นพร้อมทั้งรู้เห็นอารมณ์ นิมิตร และสัณฐาน เกิดสิ่งที่ท่านกำหนดเรียกว่า “สภาวะ” ติดตามมา และสภาวะนั้นๆจะค่อยๆ ปรับปรุงทั้งร่างกายและจิตใจของโยคีโดยลำดับให้เกิดวิสุทธิและญาณเป็นขั้นเป็นตอน ตั้งแต่ ขั้นต่ำจนถึงขั้นสูงขึ้นในตัวของโยคี วิสุทธิและญาณดังกล่าวนี้ถือเป็นแนวทางสำคัญของการปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุมรรค ผล นิพพาน
อ่านเพิ่มเติม //www.teak-teca.com
ทฤษฎีสังเขปว่าด้วยวิสุทธิ ๗ และ ญาณ ๑๖