เทพบุตรทูลถามว่า อยู่พระองค์เดียวไม่ทรงเบื่อหน่ายบ้างหรือ ตรัสตอบว่า ไม่เบื่อหน่าย
ข้าแต่สมณะ พระองค์ทรงยินดีอยู่หรือ เราได้อะไรเล่า ถึงต้องยินดี
พระองค์ทรงเศร้าโศกอยู่หรือ เราเสื่อมอะไร จึงต้องเศร้าโศก
พระองค์ไม่ทรงยินดี และไม่ทรงเศร้าโศกเลยหรือ เป็นอย่างนั้น เราไม่ยินดีและไม่เศร้าโศก
พระองค์ไม่มีทุกข์บ้างเลยหรือ ความเพลิดเพลินไม่มีบ้างหรือ ประทับนั่งแต่พระองค์เดียว ไม่ทรงเบื่อบ้างหรือ เราไม่มีความทุกข์เลย ความเพลิดเพลินก็ไม่มี อนึ่งเมื่อเรานั่งอยู่แต่ผู้เดียว ความเบื่อหน่ายก็มิได้ครอบงำเรา
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นได้ ความเพลิดเพลินย่อมมีแก่ผู้มีทุกข์ ความทุกข์ย่อมมีแก่ผู้เพลิดเพลิน ผู้เป็นภิกษุ ย่อมไม่มีทั้งความเพลิดเพลิน และความทุกข์ ท่านจงรู้อย่างนี้เถิด
นานหนอ ข้าพระองค์จึงจะได้พบเห็นภิกษุ ผู้ลอยบาป เย็นสนิทแล้ว ไม่มีความเพลิดเพลิน ไม่มีทั้งทุกข์และข้ามพ้นตัณหาในโลกเสียได้
สามเณรบรรลุอรหัตตผล
ฝ่ายสามเณรผู้ตรึกในสมณธรรมของตน ก็พิจารณาในธรรม ในจิต ในเวทนา ในกาย ได้สำเร็จอริยชนชั้น 3 เป็นผล 3
บัดนี้ บัณฑิตสามเณรผู้บวชได้วันที่ 7 ได้อนาคามิผลแล้ว หากเราไม่ไปช่วย พอพระสารีบุตรผู้เป็นอุปัชฌาย์นำอาหารกลับมาพอขบฉันแล้ว ก็อาจล่าช้าในผลอันปลายอีก
เพราะจะทำลายสมณธรรม เป็นการเว้นวรรคเสียก่อน
จึงด่วนเสด็จไปรออยู่หน้ากุฎิ
เมื่อพระสารีบุตรมาถึงพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสถามปัญหาว่า
อาหารนำมาซึ่งอะไร?
นำเวทนามาให้พระเจ้าข้า
เวทนานำมาซึ่งอะไร?
นำรูปมาให้ พระเจ้าข้า
รูปนำอะไรมาให้?
นำผัสสะมาให้ พระเจ้าเข้า
เมื่อเราหิวหระหายก็บำบัดความหิวกระหายได้แล้ว เวทนาย่อมเกิดขึ้นดับไป ต่อจากนั้น วรรณะ ก็มีสรีระ รูปเปล่งปลั่งมีนวลผ่องยองใย จะนั่งหรือจะนอนอยู่ก็ได้ สุข ผัสสะ
เมื่อได้ฟังธรรมเช่นนั้น ได้พิจารณาตาม จิตใจของสามเณรก็ละ... ตัณหา ในรสชาติของอาหารได้จากจิต
สามเณรได้บรรลุอรหัตตผล (มหาบุญโญวาท 7)