มนุษย์และจักรวาล : มนุษย์ปรัชญาจะครอบคลุมทั้งจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล ที่เรียกว่าmacrocosmic ไล่เรียงไปถึงระดับอะตอม ที่เรียกว่า microcosmic ธรรมชาติของทั่วทั้งจักรวาลประกอบด้วย2ขั้วที่ก่อเกิดจักรวาล รวมทั้งส่งผลต่อความคิดจิตใจของคนเราด้วย มนุษย์ปรัชญาถือว่ามนุษย์เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะดำรงตนอยู่ในความสมดุลย์ระหว่างพลังทั้งสองฝ่ายนี้ สำหรับพระพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงกุศลเจตสิก อกุศลเจตสิก ซึ่งเกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต และเป็นธรรมะที่กำหนดให้ดวงจิตที่เกิดในแต่ละขณะเป็นกุศลจิตหรื่ออกุศลจิต อันมีผลต่อการกระทำของคนเราและเกิดเป็นทุกข์ เป็นยางเหนียวที่ยึดโยงผู้คนให้เวียนว่ายอยู่ในวัฎสงสาร การพ้นจากทุกข์ได้ คือการละทั้งกุศลและอกุศล อันเป็นหนทางของพระนิพพาน (น.พ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล)
พุทธปรัชญาในพุทธชัยมงคล 8 คาถา เพื่อละเสียซึ่งอุปัทวันตรายทั้งหลายมีประการต่างๆเป็นอเนก แลถึงซึ่งวิโมกข์( พระนิพพาน ) อันเป็นบรมสุข มีดังนี้ 1.ทานบารมี-ด้วยธรรมวิธีทานบารมี พระสัมมาพุทธเจ้า ได้ทรงชำนะพญามาร (จิตสำนึกที่ถูกครอบงำด้วย กิเลส-ตัณหา-ราคะ-อวิชชา ) ซึ่งได้เนรมิตรแขนตั้งพัน ถืออาวุธครบมือ ขี่ช้างพลายคีรีเมขล์ พร้อมด้วยเสนามารโห่ร้องกึกก้อง 2. ขันติบารมี-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นจอมมุนี ใด้ทรงชำนะอาฬวกยักษ์ผู้ดุร้าย ผู้มีจิตกระด้างลำพอง (จิตใต้สำนึกในด้านมืดหรือขันธ์ 5 ที่ทำให้มนุษย์ตกอยู่ในวัฎฎะสงสาร ) หยาบช้ายิ่งกว่าพญามาร เข้ามารุกรานราวี ตลอดราตรีทั้งสิ้น ด้วยวิธีทรมานเป็นอันดีด้วยขันติธรรม 3. เมตตาบารมี-พระจอมมุนี ได้ทรงพญาช้างนาฬาคีรี ซึ่งกำลังเมามัน ร้ายแรงเหมื่อนไฟป่าที่ลุกลาม ร้องโกญจนาทเหมื่อนฟ้าฟาด( โทสะ-โมหะ-อหังการณ์ ) ด้วยวิธีรดด้วยน้ำคือแผ่พระเมตตา 4. อิทธิปาฏิหาริย์บารมี-พระจอมมุนี ได้ทรงชำนะองค์คุรีมาลโจรผู้ทารุณร้ายกาจนัก ทั้งฝีมือเยียม ควงดาบไล่ตามพระองค์ไปตลอดทาง 3โยชน์ ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ 5. สมาธิบารมี-พระจอมมุนี ได้ทรงชำนะนางจิญจมาณวิกา ที่ทำมารยาเสแสร้งกล่าวโทษพระองค์ โดยผูกท่อนไม้กลมแนบเข้ากับท้องทำเป็นท้องมีครรภ์แก่ ด้วยสมาธิวิธีคือความสงบ 6. ปัญญาบารมี-พระจอมมุนี ผู้รุ่งเรืองด้วยดวงประทีปคือปัญญา ได้ทรงชำนะสัจจกนิครนถ์ ผู้มีนิสัยตลบตะแลง มีสันดานโอ้อวดมืดมน( อวิชชา-ตัวกู-ของกู) ด้วยพระปัญญาดุจประทีปอันโชติช่วงนั้น 7.ฤทธิ์บารมี-พระจอมมุนี ได้ทรงโปรดให้พระโมคคัลลานเถระ พุทธชิโนรส เนรมิตกายเป็นนาคราช ไปทรมาณพญานาคราชชื่อนันโทปนันทะ ผู้มีฤทธิ์มากแต่มีความรู้ผิด (หัวหน้าเผ่าชุมชนที่นับถือศาสนาเดิม ) ด้วยวิธีทรงแนะนำการแสดงฤทธิ์นั้น 8. ญาณบารมี-พระจอมมุนี ได้ทรงชำนะพรหมผู้มีฤทธิ์(คุรุ- ฤาษีบางสำนักที่ได้ญาณสมาบัติแต่ยังไม่บรรลุอรหันต์ทีเป็นพระธรรมสูงสุด ) มีความสำคัญผิดว่าเป็นผู้มีฤทธิ์ รุ่งเรืองด้วยวิสุทธิคุณ ถือมั่นด้วยมิจฉาทิฏฐิ เหมือนดังถูกงูร้ายกำลังขึงรัดไว้แน่นแฟ้น ด้วยวิธีประทานยาพิเศษคือเทศนาญาณนั้น
องค์ธรรม : โพชฌงค์ 7 ประการเหล่านี้คือ : สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ ปิติโพชฌงค์ ปัมสัทธิสัมโพชฌงคฺ์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์: อันพระมุนีเจ้าผู้เห็นธรรมทั้งสิ้น ตรัสไว้ขอบแล้ว, ที่บุคคลมาเจริญ ทำให้มากแล้ว , ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่งเพื่อพระนิพพาน และเพื่อความตรัสรู้
ผู้ลอยบาปออกจากใจเหล่าใด ซึ่งเป็นผู้เข้าถึงธรรมทั้งปวง ขอนอบน้อมแด่พระโพธิญาณ อันเปรียบประดุจดวงพระอาทิตย์ ที่คอยให้แสงสว่างแก่โลกแลมนุษย์ ขอนอบน้อมแด่วิมุตติธรรมคือธรรมเป็นเครื่องพ้นทุกข์.
ขอขอบคุณ คู่มือพุทธบริษัท เล่ม2 ฉบับวัดปัญญานันทาราม
นิโรธอริยสัจ ในหัวใจพระพุทธศาสนา
นิโรธ คือความดับทุกข์เพราะดับกิเลสได้ ท่านแสดงไว้ 5 อย่างคือ (วศิน อินทสระ)
1.ตทังคนิโรธ ความดับด้วยองค์นั้นๆหรือดับกิเลสได้ชั่วคราว เช่น เมื่อมีความเมตตากรุณาเกิดขึ้น ความโกรธและความคิดพยาบาท คือความคิดเบียดเบียนย่อมดับไป เมื่ออสุภสัญญาคือความกำหนดว่าไม่งามเกิดขึ้น ราคะความกำหนัดยินดีในกามคุณ 5 ย่อมดับไป รวมความว่าดับกิเลสด้วยองค์ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว
2.วิกขัมภนนิโรธ ดับกิเลสหรือข่มกิเลสไว้ได้ด้วยกำลังฌาน เช่น ข่มนิวรณ์ 5 ด้วยกำลังแห่งฌาน ตั้งแต่ปฐมฌานป็นต้นไป ตลอดเวลาที่ฌานยังไม่เสื่อม บุคคลผู้ได้ฌานย่อมมีอาการเสมือนหนึ่งผู้ไม่มีกิเลส ท่านเปรียบเหมือนหญ้าที่ศิลาทับไว้หรือเหมือนโรคบางอย่างที่ถูกคุมไว้ด้วยยา ตลอดเวลาที่ยามีกำลังคุมอยู่โรคย่อมสงบระงับไป
3.สมุจเฉทนิโรธ ความดับกิเลสอย่างเด็ดขาดด้วยกำลังแห่งอริยมรรค กิเลสใดที่อริยมรรคตัดแล้วย่อมเป็นอันตัดขาดไม่กลับเกิดขึ้นอีก เปรียบเสมือนต้นไม้ที่ถูกถอนรากและเผาไฟทิ้ง เป็นอันได้สิ้นเสร็จเด็ดขาดไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดขึ้นได้อีก ตัวอย่างเช่น การตัดกิเลสของพระอริยบุคคล 4 จำพวกมีพระโสดาบัน เป็นต้น
4.ปฏิปัสสัทธินิโรจ ความดับกิเลสอย่างสงบระงับไปในขณะแห่งอริยผลนั้นเอง เรียกว่าปฏิปัสสัทธินิโรธ ไม่ต้องขวานขวายเพื่อการดับอีก เหมือนคนหายโรคแล้วไม่ต้องขวานขวายหายาเพื่อดับโรคนั้นอีก
5. นิสสรณนิโรธ แปลตามตัวว่าดับกิเลสด้วยการสลัดออกไป หมายถึงภาวะแห่งการดับกิเลสนั้นอย่างยั่งยืนตลอดไป ได้รับความสุขจากความดับนั้นยั่งยืนตลอดไป ได้แก่นิพพานนั่นเอง เหมือนความสุขความปลอดโปร่งอันยั่งยืนของผู้ที่หายโรคแล้วนั้นอย่างเด็ดขาด (นิโรธ3ประการคือ มรรค-ผล-นิพพาน)