หลวงปู่หล้าเล่าเรื่องตัวเองให้ฟังว่า มีพระองค์หนึ่งซึ่งท่านมีพรรษามากกว่าหลวงปู่4 พรรษา และท่านกล่าวกับหลวงปู่ " หล้า ๆ คุณอัศจรรย์ไหม ผมไปเที่ยวต่างจังหวัดเขาเอารถมาแห่ผมไปตั้ง7คันตามหลังไป" (ในสมัย2493) ตัวหลวงปู่ก็ตอบท่านแบบล้อเล่นว่า " ขอโอกาสพระอาจารย์ กระผมไม่ค่อยอัศจรรย์อะไรนัก เขาเอาคนไปตัดคอเขาก็แห่เหมือนกัน" ดังนี้
เมื่อท่านได้ฟังแล้วท่านก็ตอบหลวงปู่ทั้งหัวเราะด้วยว่า " ถ้าเปนเณรจะตบหน้ามัน เราหาอุบายให้มันสรรเสริญเรา มิหนำซ้ำมันมาเทศน์เราด้วย " แล้วท่านก็หัวเราะ แต่ถ้าท่านไม่เจอหลวงปู่ 4_5 วัน ท่านก็ต้องถามหาว่า " คุณหล้าไปใหนหนอ คุยกับคุณหล้ามันสนุกดี "
ครั้งพุทธกาล สาวกของพระองค์ผู้สำเร็จอรหันต์แล้วก็ได้รับ "เอตทัคคะ" คนละอย่างเช่น พระสารีบุตรก็ได้รับการยกย่องว่ามีปัญญามาก พระโมคคัลลาได้รับยกย่องทางเดียวเปนผู้มีฤทธิ์มาก พระสิวลีได้รับยกย่องว่าเปนผู้มีลาภมาก พระอานนท์ได้เพียงพระโสดาบันเท่านั้น ได้รับการยกย่องสามอย่างคือ1.พุทธอุปฐาก 2.เปนผู้มีคติ 3.เป็นพหูสูตร
อรูปฌาณนั้นเป็นของไม่เที่ยง เป็นสุข เป็นตัวตนอยู่ เหมือนพวกอาฬารดายส เป็นต้น...นิมิตแปลว่า เครื่องหมายทีผูกใจให้ติดอยู่ นิมิตใหม่ก็ดีนิมิตเดิมก็ดีที่มาเกยพาดก็ดับเป็น จะมีกี่ล้านๆก็ตามหรือจนนับไม่ไหวก็เกิดขึ้นและดับไปเท่านั้น
สรรพโลกทั้งปวง ทั้งอดีต ทั้งอนาคต ทั้งปัจจุบันด้วยอยู่ใต้อำนาจของไตรลักษณ์คือ อนิจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อเป็นดังนี้เราจึงพอใจพิจารณาไตรลักษณ์ ให้กลมกลืนกันเป็นอันเดียวในปัจจุบันพร้อมกับลมเข้าออก เพื่อให้ชัดแห่งปัญญา