|
สอบครั้งที่ 1 พร้อมเฉลย
1.จุดดัชนี SET Index เป็นดัชนีประเภทใด
ก ดัชนีมูลค่า ข ดัชนีราคา
(เฉลย) ข้อ ก. ดัชนีมูลค่า จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นดัชนีประเภทอะไร ให้ดูที่สูตรคำนวณคะ ดัชนีราคา จะคำนวณดัชนีจากราคาหุ้นเพียงอย่างเดียว หรือพูดให้ง่ายๆ ก็คือการนำเอาราคาหุ้นทุกตัวมารวมกันหารด้วยจำนวนหลักทรัพย์ที่นำมาคำนวณนั่นเอง หรือที่เรียกว่า Price-Weighted ซึ่งวิธีการนี้จะให้น้ำหนักกับการเปลี่ยนแปลงของหุ้นที่มีราคาสูงมากกว่าการเปลี่ยนแปลงของหุ้นที่มีราคาต่ำ ดัชนีที่ใช้วิธีคำนวณนี้ เช่น DJIA30 หรือ NIKKEI225 เป็นต้น
ส่วนดัชนีมูลค่า จะคำนวณด้วยวิธีถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตามราคาตลาด หรือที่เรียกว่า Market Capitalization-Weighted โดยวิธีการนี้จะให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงของหุ้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาดที่มีขนาดใหญ่เป็นหลัก ดัชนีที่ใช้วิธีคำนวณนี้ เช่น FTSE, NASDAQ, S&P500 ฯลฯ รวมไปถึง ดัชนี SET และดัชนี SET50 ด้วยคะ ดูสูตรของ SET Index ได้ที่นี่จ้า //www.set.or.th/th/products/index/setindex_p1.html
2.นางสาวขาหมูมีเงินอยู่จำนวน สองแสนบาท ต้องการเปิดบัญชีชื้อขายหลักทรัพย์ โดยที่ต้องการซื้อภายในวงเงินที่มีอยู่เท่านั้นควรเปิดบัญชีประเภทใด
(เฉลย) บัญชีเงินสด ประเภทวางเงินล่วงหน้า (Cash Balance)
บัญชีประเภทนี้ โบรกฯไม่ได้ให้เครดิตกับนักลงทุนในการซื้อขายหุ้น ดังนั้น ก่อนจะทำการซื้อหุ้น นักลงทุนต้องวางเงินสดเข้ามาไว้ที่โบรกฯเสียก่อน เช่น วางเงิน 1 แสนบาท นักลงทุนจะซื้อหุ้นได้ไม่เกิน 1 แสนบาท เป็นต้น
3.นางสาวขาหมูต้องการซื้อหุ้นหนึ่งตัวให้ได้เร็วที่สุดภายในเช้าวันหนึ่ง ต้องการซื้อทันทีที่ราคาเปิด นางสาวขาหมูต้องใช้คำสั่งซื้อประเภทใด
(เฉลย) ATO (At the Open)
ATO เป็นคำสั่งซื้อขายที่ใช้เมื่อผู้ลงทุนต้องการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ทันทีที่ตลาดเปิดการซื้อขาย ณ ราคาเปิด โดยสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้เฉพาะในช่วงก่อนเปิดตลาดทั้งภาคเช้าและภาคบ่าย คำสั่ง ATO เป็นคำสั่งที่มีเงื่อนไข คือหากคำสั่งเสนอซื้อขาย สามารถจับคู่ได้เพียงบางส่วน ระบบการซื้อขายจะทำการยกเลิกจำนวนที่เหลือทั้งหมด โดยกำหนดในคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งที่เป็น First Priority คือจะได้รับการจับคู่ซื้อขายก่อนคำสั่งประเภทระบุราคา (Limit Price Order) ใช้ได้สำหรับการซื้อขายบนกระดานหลักและกระดานต่างประเทศเท่านั้น
4.นางสาวขาหมูได้รับเงินปันผลจากหุ้นที่ถืออยู่ราคา 10 บาท จำนวน 1000 หุ้น ได้ปันผลมาหุ้นละ 0.15 บาท ขณะที่ฐานรายได้ของนางสาวขาหมูอยู่ที่ 500000 บาทต่อปี นางสาวขาหมูควรจะใช้วิธีใดเพื่อเสียภาษีเงินได้ให้น้อยที่สุด และเงินปันผลที่ได้หลังหักภาษีเท่ากับเท่าไหร่
(เฉลย) หากบริษัทที่นางสาวขาหมูได้รับปันผลมาไม่มีเครดิตภาษี ก็ไม่ต้องนำไปคำนวณภาษีปลายปี แค่หัก ณ ที่จ่าย 10% พอคะ แต่หากบริษัทมีเครดิตภาษีก็ควรนำไปคำนวณภาษีปลายปีด้วย เพื่อลดหย่อนหรือได้คืนเงินภาษีคะ
กรณีได้รับเงินปันผลจากบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ภาษี ณ ที่จ่าย : ถูกหักในอัตรา ร้อยละ 10 ภาษีสิ้นปี : สามารถเลือกดำเนินการได้ 2 วิธี 1.นำเงินปันผลที่ได้รับทั้งสิ้นในปีนั้นมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีรวมกับเงินได้ประเภทอื่น ซึ่งจะได้รับเครดิตภาษีเงินปันผล 2. ไม่นำเงินปันผลที่ได้รับทั้งสิ้นในปีนั้นมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีตอนสิ้นปี โดยกรณีนี้ถือว่าผู้ลงทุนยอมเสียภาษีสำหรับเงินปันผลในอัตราร้อยละ 10 = อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย
ดังนั้น เงินปันผลหลังหักภาษี 10% = (1000 x 0.15)-10% = 135 บาท
หาเครดิตภาษี หากบริษัทมีเครดิตภาษีร้อยละดังนี้ 0% = 0 10% = (150*10)/90 = 16.67 20% = (150*20)/80 = 37.5 30% = (150*30)/70 = 64.29 40% = (150*40)/60 = 100 50% = (150*50)/50 = 150 สามารถโหลดโปรแกรมคำนวณเครดิตภาษีได้ที่นี่คะ //www.set.in.th/excel/xd/
ต่อไป รวมเงินได้ในปีภาษี คือ เงินได้ + เงินปันผล + เครดิตภาษีเงินปันผล = 500000+150+เครดิตภาษี
0% = 500000+150 = 500150 10% = 500000+150+16.67 = 500166.67 20% = 500000+150+37.5 = 500187.5 30% = 500000+150+64.29 = 500214.29 40% = 500000+150+100 = 500250 50% = 500000+150+150 = 500300
ต่อไป (ยาวเหลือเกิน -_-) นำรายได้ทั้งปีไปคำนวณภาษีบุคคลธรรมดา โสด จะได้จำนวนเงินที่ต้องเสียภาษี ดังนี้ 0% = 26015.0 10% = 26016.67 20% = 26018.75 30% = 26021.43 40% = 26025.0 50% = 26030.0
ต่อไปอีก -_- นำเงินภาษีที่ต้องจ่ายมาหักภาษีเงินปันผลหัก ณ ที่จ่าย 10% หัก เครดิตภาษีเงินปันผล ได้เงินภาษีที่ต้องจ่ายจริง ดังนี้
0% = 26015.0-15-0 = 26000.0 10% = 26016.67-15-16.67 = 25985.0 20% = 26018.75-15-37.5 = 25966.25 30% = 26021.43-15-64.29 = 25942.14 40% = 26025.0-15-100 = 25910.0 50% = 26030.0-15-150 = 25865.0
ดังนั้นเฉลยว่า หากบริษัทที่นางสาวขาหมูได้รับปันผลมาไม่มีเครดิตภาษี ก็ไม่ต้องนำไปคำนวณภาษีปลายปี แค่หัก ณ ที่จ่าย 10% พอคะ แต่หากบริษัทมีเครดิตภาษีก็ควรนำไปคำนวณภาษีปลายปีด้วย เพื่อลดหย่อนหรือได้คืนเงินภาษีคะ
5.ราคาหุ้น A ตอนนี้ราคา 20 บาท นางสาวขาหมูคำนวณราคาพื้นฐานได้ 29 บาท จึงตัดสินใจซื้อหุ้น A ที่ 20 บาทจำนวน 500 หุ้น ห้าเดือนผ่านไปหุ้น A ราคาเพิ่มเป็น 40 บาท และจากผลกำไรคาดว่าจะประกาศปันผลหุ้นละ 2 บาท นางสาวขาหมูควรขายหุ้นก่อน XD ที่ราคา 40 บาทหรือรอหลัง XD ซึ่งราคาน่าจะตกลง แต่ได้รับเงินปันผล วิธีใดจะทำให้ได้จำนวนเงินมากที่สุด ความเสี่ยงต่ำที่สุด และได้รับเงินจำนวนเท่าไหร่
(เฉลย) ขายก่อน XD ได้ 500 x 40 = 20000 บาท ได้กำไรเท่าตัวจากราคาซื้อ เสียค่าคอมฯนิดหน่อย เราสามารถนำเงินที่ได้ไปลงทุนต่อในหุ้นตัวอื่น ๆ ได้อีก เป็นคำตอบที่ความเสี่ยงต่ำที่สุดคะ
แต่หากเราเลือกที่จะขายไปครึ่งหนึ่ง ได้คืนมา 10000 บาท เหลือหุ้นไว้ 250 หุ้นรอปันผลและราคาตกลงไม่มากก็น้อย แต่ราคายังสูงว่าราคาพื้นฐานอยู่ หากราคาตลาดสูงกว่าราคาพื้นฐานที่เราคำนวณได้และเรายังถืออยู่ นั่นหมายถึงว่าเราถือหุ้นที่ราคาแพงเกินจริง หากหุ้นราคาสูงขึ้นอีกอาจเป็นผลมาจากปัจจัยอื่น ๆ ที่ไม่ใช่พื้นฐานหุ้น ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ต้องยอมรับและคาดการณ์ได้ยาก หากเราเลือกที่จะถือไว้เพื่อปันผล 2 บาทต่อหุ้น มีความเสี่ยงสูงที่ราคาจะตกลงหลังจาก XD อีกทั้งราคาหุ้นสูงกว่าพื้นฐานมากและปันผลค่อนข้างน้อย จึงเป็นหุ้นที่ไม่น่าสนใจที่จะลงทุนต่อ หากว่าเราเล็งเห็นว่าหุ้นจะมีแนวโน้มเติบโต ควรขายก่อน XD และเข้าซื้ออีกครั้งเมื่อหุ้นราคาตกลงหลังจาก XD พร้อมทั้งพิจารณาข้อมูลอื่น ๆ ประกอบด้วย น่าจะเป็นประโยชน์สูงสุด ความเสี่ยงต่ำสุดคะ ^_^ ...............................................................................................................................
จากกระทู้ //www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9594947/I9594947.html
Create Date : 19 สิงหาคม 2553 |
|
2 comments |
Last Update : 19 สิงหาคม 2553 21:21:42 น. |
Counter : 990 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: jejeeppe วันที่: 20 สิงหาคม 2553 เวลา:8:42:46 น. |
|
| |
|
Ooh 1234 |
|
|
|
|