อาทิตย์สาดส่อง..ความจริงจักปรากฎทั่วปฐพี!!!
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
13 มีนาคม 2550
 
All Blogs
 
ประดาบก็เลือดเดือด!

สถานการณ์ความเป็นไปของบ้านเมืองห้วงนี้เริ่มมีกลิ่น"สัญญาน"ที่ไม่น่าไว้ใจ..ว่าจะนำไปสู่ความยุ่งเหยิงวุ่นวายได้

มีหลายปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งหากนำมาเชื่อมต่อกันล้วนเกือบจะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องและมีผลกระทบต่อกันทั้งสิ้น..

ไม่ว่าจะเป็น ปรากฎการณ์ เวปไซต์"ไฮ-ทักษิณ",ม็อบไอทีวี.(๗มี.ค.) ,พีทีวี.,เอเอสทีวี. ยามเฝ้าแผ่นดิน ทางช่อง ๑๑ ,

ปรากฎการณ์ท้าทาย-ลองของ คมช.ของ"จาตุรนต์ ฉายแสง","จำลอง ครุฑขุนทด",การลาออกจาก รมว.คลัง ของ"หม่อมอุ๋ย"ม.ร.ว.ปรีดิยาธรณ์ เทวกุล"และปรากฎการณ์"สมคิด จาตุศรีพิทักษ์"..กระแสข่าว ปฏิวัติซ้ำ-ซ้อน และข่าวการถอดใจจะลาออกของ"พล.อ.สุรยุทธ์"

หากไล่เรียงกันดีๆ เอาเฉพาะหลักๆไม่นับ เหตุการณ์เล็กๆประปราย แล้ว จะเห็นได้ว่า ทุกอย่างสอดรับกันเป็น"จังหวะ"และมี"ผล"ไม่มากก็น้อย กับ คมช.-"รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์"

โดยเฉพาะ"ผล" ในทาง"ลบ"ที่ประทุจาก"ภายใน"สู่"ภายนอก"โดยตัว"ดาวบริวาร"พันธมิตรของ คมช.-รัฐบาล ที่มีตั้งแต่ อดีตข้าราชการ,เทคโนแครต,สื่อมวลชน,พันธมิตรฯ,เอ็นจีโอ. เอง

และ"ผล"ในทาง"ลบ"โดยการตีกลับจาก"ภายนอก"สู่"ภายใน"จากเครือข่ายของ"พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร"อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถึงวันนี้ถือได้ว่ายังคงเปิดเกม"รุก"อย่างต่อเนื่อง

ปรากฎการณ์เหล่านี้นี่เองที่ทำให้ สภาพการณ์ของปัญหาทุกปัญหา ถูกยึดโยงเข้ากับ"การเมือง"ที่มีความหมายถึง"เอกภาพ"ความมั่นคง ของ คมช.-รัฐบาล และการต่อสู้กับ"อำนาจเก่า"

ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาการซวนเซและสะดุดขาตัวเองของ คมช.-รัฐบาล ในห้วง ๕ เดือนหลังการยึดอำนาจ..นั้น นำมาซึ่งการบั่นเซาะกัดกร่อนความน่าเชื่อถือ..ยิ่งนานวันก็ยิ่งกินลึกไปถึงปฏิกริยาการต่อต้านที่เริ่มมากขึ้นๆ..

จาก"ข้อมูล"ต่างๆ ในเชิงลึก-ลับ ที่ไม่ปรากฎในสื่อกระแสหลัก ประชาชนไม่เคยรับรู้ก็ได้รู้มากขึ้นและกลายเป็นปากต่อปาก

ยิ่งในยุคปัจจุบันที่การปิดกั้น"ข่าวสาร"นั้นยากที่จะทำได้โดยง่ายเหมือนสมัยก่อน เพราะเทคโนโลยีได้พัฒนาไปถึงขั้นสร้าง"ชุมชนข่าวขนาดใหญ่"ขึ้นในอินเตอร์เน็ต...นอกเหนือไปจาก"โทรทัศน์ดาวเทียม"ที่ ไม่อยู่ในอาณัติของอำนาจรัฐ-ทหาร

ไม่แปลกที่จะปรากฎภาพ คมช.-รัฐบาล รัฐมนตรี หรือแม้แต่"นายกรัฐมนตรี"จะรู้สึกเกรงอกเกรงใจ"ยามเฝ้าแผ่นดิน"ของ"สนธิ ลิ้มทองกุล"ที่มี"ออฟชั่นสื่อ"ครบเครื่องทั้ง ทีวีดาวเทียม,เวปไซต์ หนังสือพิมพ์ และนิตยสารฯลฯ ที่มีผู้รับชมรับฟังอ่านนับแสนๆคน ..จนถูกค่อนขอดว่ารัฐบาลยอมให้"สื่อ"มามีอิทธิพลเหนือกว่า..ในการตัดสินใจบริหารประเทศชาติ

ส่วนหนึ่ง อาจเพราะ"พล.อ.สนธิ-พล.อ.สุรยุทธ์"หรือรัฐมนตรีที่ดูแลกรมประชาสัมพันธ์อย่าง"คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์"อาจทราบดีว่า หาก"สื่อ"ผู้จัดการโหมแรงตีใคร โดยมี"คุณสนธิ"เป็นคนประกาศ"ธงรบ"แล้วไม่ว่าใครมีแผลไม่มีแผลก็เป็นต้อง"หนาว"บางรายก็ถึงขึ้นเสียผู้เสียคนไปก็มี

ไม่แปลกเช่นกัน ว่า เมื่อถึง"จังหวะ"อันเหมาะสม"พ.ต.ท.ทักษิณ"และพลพรรคไทยรักไทย ก็ย่อมหยิบนำ"อาวุธ"เหล่านี้มาใช้ ดังการปรากฎของ"หนังสือประชาทรรศน์",พีทีวี. ที่ปรากฎเงาของ"เนวิน ชิดชอบ"และ"วีระ มุกสิกพงศ์" และการปรากฎของเวปไซต์ //www'Hi-Thaksin.net และเวปไซต์"เชียร์ทักษิณ"แต่"ต่อต้านรัฐประหาร"หลายๆเวปแนวร่วม

การปรากฎของ"สื่อ"เหล่านี้ ทำให้"ข้อมูล"การตรวจสอบจับผิด คมช.-รัฐบาล ที่กระจัดกระจาย"เป็นจริงเป็นจัง"มากขึ้น เรียกว่าหากคลิ๊กเปิดเข้าไปดูเนื้อหาแล้ว ต้องซี้ดปาก ในความดุเด็ดเผ็ดมันที่บานปลายลุกลามไปถึง "ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง"ในคมช.-รัฐบาล หลายๆท่าน

ที่สำคัญ นอกเหนือไปจาก การนำเสนอข้อมูลแบบ"ลึกๆลับๆ""ตอกลิ่ม-บั่นเซาะ-กัดกร่อน"และ"ทิ่มแทง"ลงไปใจกลาง คมช.ขุนทหาร และรัฐบาล แล้ว ยังมีการพาดพิงถึง"พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์"ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ผู้ที่รู้กันดีอยู่ว่าเป็น"ผู้ใหญ่"ที่ คมช.-รัฐบาล ให้ความเคารพเกรงใจในบารมี รวมอยู่ด้วย

เหตุนี้เองนอกจากจะส่งผลถึงประชาชน"วงนอก"แล้ว ใน"วงใน"ก็ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะ สภาพการณ์ที่ปรากฎระหว่างภายใน คมช.เอง และระหว่างคมช.กับรัฐบาล หรือ คมช.-รัฐบาล กับ พันธมิตรฯ และผู้รายล้อม จึงอยู่ในสภาพ"ระแวง"บางรายถึงขั้น"กินแหนงแคลงใจ"กันก็มี

เหตุนี้ จึงทำให้ เกิดสภาพการของข่าวลือมากมายทั้งปฏิวัติซ้อน ปลดขุนทหาร รัฐมนตรีลาออก นายกจะลาออกฯลฯ จน"พล.อ.สุรยุทธ์""พล.อ.สนธิ"และ"พล.อ.เปรม"ต้องออกมายืนยันว่าไม่มีปฏิวัติ ไม่มีนายกฯลาออก(๗มี.ค.)

เหตุนี้ จึงทำให้เกิดสภาพของ การลาออกของ"หม่อมอุ๋ย"ที่รับไม่ได้กับกรณีการดึง"สมคิด จาตุศรีพิทักษ์"อดีตขุนคลังของ"ทักษิณ"เข้ามา ทิ้งบอมบ์"พฤติกรรมอำพราง"ไว้ให้"นายกฯ"

แน่นอนทุกเหตุล้วน "บั่นทอน"เสถียรภาพ"อำนาจ"ของ คมช.-รัฐบาล มากขึ้นเรื่อยๆ

ที่สำคัญสถานการณ์แบบนี้ ย่อมทำให้ทุกคนใน"วงอำนาจ"อยู่ในอาการเครียด ไม่วางใจกันและกัน แตกแยก หวาดระแวง

ดังนั้นไม่ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น จะถูกนำมาสู่การตีความเพื่อหา"นัยยะ"ทันที ไม่ว่าจะเป็น การเคลื่อนรถถังออกมาอย่างคึกคักที่สะพานควาย ก่อนจะเข้าไปในพล.ม.๒ และอีกหลายๆจุดในกรุงเทพฯ(๒มี.ค.๕๐) ท่ามกลางข่าวมีการปฏิวัติซ้ำ-ซ้อน.. หรือแม้กระทั่งข่าว"เกาเหลา"ระหว่าง"บิ๊กบัง"กับ"บิ๊กแอ้ด"และข่าวความเคลื่อนไหวของ"พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร"ผช.ผบ.ทบ. และข่าว"โผทหาร"ที่กำลัง"ขัดแย้งกันอย่างหนักในหมู่"ขุนทหาร" ไม่นับรวมข่าวความพยายามเชื่อมประสาน"รากหญ้า"จัดม็อบใหญ่ในวันที่ ๑๖-๑๗ มี.ค.๕๐จนทำให้การแก้ปัญหา"ไอทีวี."ที่รัฐบาลดูท่าว่าจะบานปลายได้หากมีการผสมโรง ต้องจบลงอย่างขัดใจ"พันธมิตร"

สถานการณ์แบบนี้เอง..ที่มีการมองกันว่า คมช.-รัฐบาล อยู่ในห้วงเวลาของความหมิ่นเหม่ ที่เกิดจาก"ความขัดแย้ง"ที่"สุกงอม"อัน"เปราะบาง"ต่อการ"แทรกแซงซ้ำเติม"จาก"ศัตรูภายนอก"..ที่แน่นอนสำหรับ คมช.-รัฐบาล ย่อมหมายถึง"ทักษิณ"

สถานการณ์แบบนี้เองที่เริ่มมีการพูดกันว่า ใกล้ถึงเวลา"ประดาบก็เลือดเดือด"แล้ว..!!!







Create Date : 13 มีนาคม 2550
Last Update : 13 มีนาคม 2550 23:35:03 น. 12 comments
Counter : 1191 Pageviews.

 
เก็บจาก Web อื่นมาฝาก
เสียงจากออสเตรเลีย
โดย อาคม ซิดนี่ย์
เสียงจากออสเตรเลีย
ตอนที่๑ แค้นของคนชื่อเปรม โดย อาคม ซิดนี่ย์
๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๙
ถ้าหากจะบอกว่ารัฐบาลทักษิณมีอันจะต้องพังคลื่นลงด้วยฝีมือของนายสนธิ ลิ้มทองกุลนั้น ก็คง เป็นการให้ราคาค่างวดคนอย่างนายสนธิมากเกินไปแต่หากบนความเป็นจริง กว่าหนึ่งปีนับตั้งแต่มี ปรากฏการนายสนธิลิ้ม ทองกุลในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสามารถ สร้างความหนักใจให้กับรัฐบาลทักษิณได้อย่างยาวนานจนเหลือเชื่อแต่ทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้ย่อมมีเหตุและปัจจัยหนุนส่งด้วยกันทั้งสิ้นลำพังนาย สนธิคนเดียวคงไม่มีความกล้าหาญชาญชัยที่จะลุกขึ้นมาต่อกรกับคนระดับ พ.ต.ท.ทักษิณชิณวัตรอย่างแน่นอนถ้าหากไม่มีคนให้ท้ายหรือสนับ สนุนอยู่เบื้องหลังและแน่นอนที่สุดคนที่จะสนับสนุนในการนี้ได้จะต้องเป็นคนที่นายสนธิประเมินแล้วว่าสามารถปกป้องคุ้มครองให้พ้นภัยได้ หรืออย่างน้อยอิทธิพลและบารมีต้องไม่เป็นรอง พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งขณะนี้ทุกคนก็คงจะทราบดีแล้วว่าบุคคลที่ผมกำลังกล่าวถึงอยู่นี้จะเป็นใครไม่
ได้นอกจาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
พล.อ.เปรม ก้าวขึ้นมามีอำนาจเมื่อสามสิบปีที่ผ่านมาด้วยความกังขาของคนทุกวงการ แม้วงการทหารเองก็ยังมีการตรวจสอบความเป็นมาของเส้นทางสู่อำนาจในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกก่อนที่จะทยานขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีพล.อ.เปรมมาแรงแซงโค้งแบบชนิดที่นายทหารดังยุคสมัยนั้นต้องหลีกทางให้แทบไม่ทัน ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.เสริมณ.นคร พล.อ.ยศ เทพหัสดิน ณ.อยุธยา หรือแม้แต่ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ นายกรัฐมนตรี ก็ยังต้องยอมก้าวลงจากตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้ พล.อ.เปรม เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน การเป็นผู้นำบนตำแหน่งสูงสุดของ พล.อ.เปรม ก็ใช่ว่าจะมีความราบรื่นเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ ในทางตรงกันข้ามกับมีปัญหาอุปสรรค์จนส่งผลให้เกิดการรัฐประหารถึงสองครั้งแต่ ไม่สำเร็จ จึงกลายเป็น กบฏ เมษายน ๒๕๒๔ โดย พ.อ.มนูญ รูปขจร และการก่อความไม่สงบ ๙ กันยายน ๒๕๒๘ ซึ่งเป็นการก่อการโดยคนเดิมคือ พ.อ.มนูญ เจ้าเก่า เพียงแต่ครั้งนี้มีน้องชาย น.ท.มนัส รูปขจร เข้าร่วมด้วย (คนเดียวกันกับ พล.อ.อ.มนัส หรือที่ พล.อ.สนธิ เรียกพี่นัส ให้ลงมาจากนครสวรรค์ เพื่อช่วยดูแลกรมอากาศโยธิน ในการทำปฏิวัติ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๙ ที่ผ่านมา) ยุคพล.อ.เปรม เป็นผู้นำ มีเหตุการณ์รุนแรงไม่เพียงมีการก่อการกบฏเท่านั้น หากแต่ยังมีการลอบ สังหารอีกหลายหน ทำให้เกิดอาการเครียดถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อเลยทีเดียว สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารีได้อันเชิญกระเช้าดอกไม้พระราชทานจากสมเด็จพระบรมราชินีนาถไปเยี่ยมถึงบ้านสี่เสา ในเวลาเดียวกันก็มีกระเช้าดอกไม้พระราชทานจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยาม มงกุฏราชกุมาร เท่านั้นยังไม่พอ พล.ท.สุนทร คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ได้นำผู้ใต้บังคับบัญชาแต่งชุดทหาร สวมหมวกเบเลย์สีแดง ๔๐๐ นายตบเท้าเข้าให้กำลังใจ อันเป็นการสยบการเคลื่อนไหวของฝ่าย พล.อ.อาทิตย์กำลังเอกโดยสิ้นเชิง ด้านบริหารราชการแผ่นดินบนตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พล.อ.เปรมเข้าดำรงตำแหน่งหลายครั้ง หลายหนโดยไม่ผ่านการเลือกตั้งและไม่เคยยินยอมให้มีการอภิปรายตัวเองอย่างเด็ดขาดนอกจากอภิปรายเป็นรายบุคคล เมื่อไรก็ตามที่ฝ่ายค้านประกาศจะอภิปรายทั้งคณะ เมื่อนั้นพล.อ.เปรม ก็จะประกาศยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ และสุดท้ายพรรคการเมืองที่ชนะเลือกตั้งก็จะไปเชิญ ให้มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตลอดเวลากว่า ๘ ปี จนกระทั่งเกิดมีกลุ่มนักวิชาการประกาศ รวมตัวกันคัดค้านการเข้าดำรงตำแหน่งนายกฯ ภายใต้ชื่อ �กลุ่มนักวิชาการ ๙๙� นำโดย ศ.ดร.ชัย อนันต์ สมุทรวานิช จึงเป็นการอวสานตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.เปรม พอพ้นจากตำแหน่งผู้นำรัฐบาล พล.อ.เปรม ก็ได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง องคมนตรีและประธานองคมนตรีตามลำดับ และถึงแม้จะหลุดพ้นจากฝ่ายบริหารแล้ว แต่บนความ เป็นจริง พล.อ.เปรม ก็ยังดูแลกำกับงานด้านความมั่นคงอยู่แม้กระทั่งทุกวันนี้ ดังนั้นฤดูโยกย้ายประ จำปีโดยเฉพาะอย่างยิ่งสามเหล่าทัพ แม้จะผ่านชั้นตอนของการจัดโผซึ่งตามระบบ ผบ เหล่าทัพจะ เป็นผู้จัดทำแล้วส่งขึ้น ผบ.สูงสุด, ปลัดกระทรวงกลาโหมแล้วผ่านไปรัฐมนตรีกลาโหม ตามลำดับ สุดท้ายนายกรัฐมนตรีจะต้องลงนามเห็นชอบซึ่งถือว่าสิ้นสุดและสมบูรณ์แล้ว แต่สำหรับเมืองไทย ยังต้องผ่านประธานองคมนตรีเห็นชอบและถ้าหากไม่เป็นที่สบอารมณ์ก็อย่าได้หวังว่าโผในปีนั้นจะคลอดได้อย่างที่เคยปรากฏมาแล้ว ดังนั้นถ้าหากจะให้เข้าใจการเมืองไทยแล้วละก็ ต้องเข้าใจว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอันเป็นตำ แหน่งสูงสุดของฝ่ายบริหารนั้น ที่จริงแล้วยังมีสูงขึ้นไปอีกคือนายกรัฐมนโท นักข่าวเคยสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อคราวแต่งตั้งโยกย้ายเมื่อปีที่แล้วว่า �แน่ใจไหมว่าโผทหารจะไม่มีการเปลี่ยน แปลง� คำตอบที่ได้รับคือ �นายกรัฐมนตรีเซ็นไปแล้วใครจะเปลี่ยน� จึงเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ ของพ.ต.ท.ทักษิณ เพราะโผถูกดองจนสุดท้ายต้องเปลี่ยนโผทหารอากาศให้ พล.อ.อ. ชลิต ผุกผาสุข ขึ้นแทน พล.อ.อ.ธเรศ ปุญศรี ปรากฏการกระทบกระทั่งระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณและประธานองคมนตรี ไม่ว่าจะเป็นการดัน พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ จากผู้บัญชาการทหารบกขึ้นไปบนตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดโดย ไม่ผ่าน พล.อ.เปรม ในครั้งนั้น ได้สร้างความโกรธแค้นให้กับ พล.อ.เปรม เป็นอย่างยิ่ง เพราะนับ ตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นต้นมา ไม่ปรากฏว่ามีรัฐบาลไหนที่กล้าลูบคมด้วยการ นำโผทหารขึ้นทูลเกล้าฯ โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจาก พล.อ.เปรม ดังนั้นสัมพันธภาพ ของรัฐ บาลทักษิณกับประธานองคมนตรีในครั้งนี้ซึ่งเกิดเป็นรอยร้าวชนิดบาดลึก รอวันแค้นที่ต้องชำระ ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เคยมีผู้สันทัดกรณีตั้งข้อสังเกตุว่าเป็นการเอาคืน เพื่อ หวังดิสเครดิตรัฐบาลทักษิณ โดยมีพรรคการเมืองเก่าแก่ให้ความร่วมมืออย่างลับๆ ถือเป็นจุด เริ่มต้นในการโค่นล้ม ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณก็คงทราบดี ดังนั้นการลงพื้นที่จึงเป็นไปด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ก่อนที่จะยุติการลงพื้นที่ในที่สุด ด้วยเกรงอุบัติเหตุจากการต่อสู้แบบดำน้ำ จึงมีข่าว สะพัดว่ามีการตั้งค่าหัวให้เด็ดชีพ พ.ต.ท.ทักษิณ
เกมเอาคืนด้วยวิธีการดังกล่าวข้างต้นหวังผลสองด้านคือ เด็ดชีพแบบดำน้ำให้เป็นฝีมือของผู้ก่อการร้ายหากสามารถฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ แต่ถ้าไม่สามารถทำได้ถึงจุดนั้น ก็จะเป็นหน้าที่ของผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญออกมายุติปัญหาความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ อันเป็นการ แสดงถึงบารมีที่สามารถทำให้รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณหมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ แต่การไม่เป็นไปอย่างที่คิดไว้ เพราะต้องไม่ลืมว่าปัญหาชายแดนภาคใต้นั้นมีมานานแล้ว เมือไรที่ รัฐบาลมีความเข้มแข็ง ภาคใต้ก็เกิดความร่มเย็น แต่ถ้าหากการเมืองอ่อนแออันสืบเนื่องจากมีความ ขัดแย้ง ปัญหารุนแรงก็กลับมาให้รัฐบาลต้องกุมขมับอีก และยิ่งมีการแอบสนับสนุนในทางลับ ก็เปรียบเสมือนเตะชิ้นหมูไปเข้าปากหมานั่นเอง ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจในกรณีที่ผู้มีบารมี นอกจากไม่สามารถแสดงบารมีได้อย่างที่คิดไว้แล้ว แถมยังเกือบเอาชีวิตไปทิ้งอีกต่างหาก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ผู้ซึ่งอยู่บนตำแหน่งที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลด้านความมั่นคง จึงต้องหลุดพ้นจากวงจร อำนาจด้วยประการฉะนี้ เมื่อไม่สามารถโค่นล้มรัฐบาลทักษิณด้วยปัญหาความรุนแรงสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีหรือที่คนอย่าง พล.อ.เปรมจะยุติความแค้นที่ต้องชำระ จึงหันมาสนับสนุนให้มีการโค่นล้มแบบดาวกระจาย โดยผ่านไปในหลายช่องทางแบบร่วมด้วยช่วยกัน ทั้งสถาบันการศึกษาต่างๆและเครือข่ายของสื่อ มวลชน เริ่มจาก �รายการเมืองไทยรายสัปดาห์� ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งเปิดประเด็นเรื่องลูกแกะหลงทาง เป็นการเปิดประเด็นอย่างจงใจที่จะให้ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่เกลียดชังของคนทั่วไปที่ ไม่จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ยังเป็นการหยิบยื่นความตายให้เหมือนเมื่อครั้ง ม.ร.ว. สุขุมพันธ์ บริพัตร เคยกล่าวโทษหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าเคยดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา ประเด็นลูกแกะหลงทางทำให้รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ของนายสนธิถูกแบน แต่ก็มีรายการ ร่วมด้วยช่วยอุ้ม จาก ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทรวานิช ผู้อำนวยการโรงเรียนวิชราวุธ ส่วนทางด้าน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ได้รับความอนุเคราะห์จาก ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดี ด้วยการ เปิดห้องประชุมให้จัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรได้ จากนั้นก็เกิดมีขบวนการนักวิชาการ ออกมาร่วมสนับสนุนอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เป็นที่น่าสังเกตุว่า กลุ่มคนที่ออกมาโค่นล้ม พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตรนั้น ส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กับบุคคลผู้ได้ชื่อว่า รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาททั้งสิ้น ไม่ ว่าจะเป็นพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ที่เที่ยวไปปลุกระดมตามสถาบันต่างๆ และ โรงเรียนทั้งสามเหล่าทัพดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา และนายกสภามหาวิทยา ลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งสามารถรวบรวมกลุ่มก๊วนนักวิชาการและคณาจารย์ โดยผ่านทาง ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดร.ชัยอนันต์ สมุทรวานิช ผู้อำนวยการ รร.วิชรา วุธ ซึ่งเป็นผู้รวบรวมรายชื่อบุคคลชั้นสูงยื่นถวายฏีกาขอนายกฯพระราชทาน อีกทั้งนายชัยอนันต์ ยังมีลูกชายที่ทำงานเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงอยู่ในกลุ่มหนังสือพิมพ์ผู้จัดการของนายสนธิ ลิ้มทองกุล นอกจากนี้แล้วยังมีกลุ่มขาประจำอันประกอบด้วยกลุ่มนักวิชาการที่ผันตัวเองไปเป็นนักจัดรายการแล้วถูกแบนอย่าง ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ตลอดจนพวกที่เป็นนักวิชาการอยากดังที่ต้องการให้ตัวเองเป็นข่าว แต่ถูกเรียกเหมารวมว่าขาประจำอย่างเช่น นายธีรยุทธ บุญมี นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ และอาจารย์ตุ้งติ้งเสรี วงค์มณฑา ตลอดจนนายไชยยันต์ ไชยพรอาจารย์ฉีกบัตร เป็นต้น ทั้งหมดนี้เป็นกลุ่มก๊วนผูกกันเป็นเครือข่ายกับกลุ่มบุคคลที่ได้ชื่อว่ารับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท
อาคม ซิดนีย์
arkomsydney@yahoo.com.au
copyright � arkomsydney 2007



โดย: pracha IP: 202.28.27.3 วันที่: 26 มีนาคม 2550 เวลา:10:31:31 น.  

 

เสียงจากออสเตรเลีย
ตอนที่๒ เปรมาธิปไตย
โดย อาคม ซิดนีย์
๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๙
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๕ เป็นต้นมา ประเทศไทยหรือ ดินแดนสยามแห่งนี้ก็ดูเหมือน ไม่เคยว่างเว้นจากการช่วงชิงอำนาจระหว่างกลุ่มทหาร ด้วยกันสลับกับการยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน นับรวมได้ ๒๔ ครั้ง ในจำนวนทั้งหมด นี้มีอยู่เพียง ๒ ครั้งที่เรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติ นั่นก็คือ ปฏิวัติ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยและปฏิวัติ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากระบอบเผด็จการทหาร มาสู่ระบอบประชาธิปไตยอีกครั้ง นอกนั้นเป็นการทำรัฐประหารสลับกับกบฎและการก่อความไม่สงบ ๗๔ ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงความเป็นประชาธิปไตยไม่เคยมีความมั่งคงในดินแดนแห่งนี้ ล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอันยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ไทยดูเหมือนจะมีอยู่เพียงครั้งเดียวคือ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ส่วน ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ผมถือ ว่าเป็นการเอาคืนหลังจากสูญเสียอำนาจของกลุ่มขุนนางเก่า ที่ต้องการรื้อฟื้นระบอบ อมาตยาธิปไตย หรือที่เรียกกันว่าพรรคข้าราชการ ส่วนเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ผมจะไม่ ขอออกความเห็นเพราะนั่นเป็นการเรียกร้องที่ไร้สาระว่า �นายกฯต้องมาจากการเลือก ตั้ง� แต่บนความเป็นจริงเป็นการต่อสู้ช่วงชิงเพื่อลบรอยแค้นระหว่างนายทหาร จปร.๗ ซึ่งมี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และ จปร ๕ ที่มี พล.อ.สุจินดา คราประยูร แล้วก็มี จปร ๑ นำโดย พล.อ.เชาวลิต ยงใจยุทธ เข้าร่วมแจมแบบหมาหวงก้าง สุดท้ายลงเอยด้วยประชาชนมีอันจะต้องไปตายแทนบนความขัดแย้งของนายทหาร ๓ รุ่นดังกล่าว การล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เจตนาต้องการเปลี่ยนแปลงให้เหมือนกับนาๆ อารยประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่เนื่องจากมีการชิงไหวชิงพริบเพื่อ ครอบครองอำนาจโดยเด็ดขาดจากนายทหารสองกลุ่ม จึงมีการแบ่งขั้วและซ่องสุมกำลัง เพื่อจัดการอีกฝ่ายจนกลายมาเป็นระบอบเผด็จการ โดยมีจุดเริ่มต้นที่ จอมพลป. พิบูลสงครามต่อเนื่องมายุค จอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ และสืบทอดต่อมายังจอมพลถนอม กิติขจร ก่อนที่จะถูกนักศึกษาประชาชนโค่นล้มเมื่อ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ อันเป็นการอวสานยุค เผด็จการทหาร เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ผมคนหนึ่งที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์อย่างใกล้ชิดตั้งแต่ต้น จนจบการต่อสู้ในครั้งนี้มีผู้คนโดยเฉพาะนิสิตนักศึกษาบาดเจ็บและล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ผู้ที่ตายได้ชื่อว่าวีรชนเป็นการตอบแทน มีหลายคนที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ครั้ง นั้น สุดท้ายได้ดิบได้ดีเป็นเสนาบดีก็หลายคน ส่วนที่แยกย้ายกันไปทำมาหากินสร้างครอบครัวโดยที่ไม่กล่าวถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็มีกระจายไปอยู่ทั่วประเทศและต่างประเทศ ซึ่งก็เป็นไปตามครรลองแห่งธรรมชาติ ถือเป็นเรื่องปรกติ คนรุ่นนี้จะมีอายุประ มาณ ๕๐ ปีขึ้นไป
ส่วนที่ไม่ปรกติคือกลุ่มคนที่เป็นแกนนำในการต่อสู้ในเหตุการณ์ครั้งนั้น ซึ่งบัดนี้หลาย คนเป็นนักวิชาการและอาจารย์ตามสถาบันต่างๆ กลับทำหลงลืมออกมาช่วยต่อต้าน รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แถมยังกวักมือและเปิดทางให้มีการยึดอำนาจ อันเป็นการ กระทำที่ผมยอมรับไม่ได้ เพราะผมถือว่าเป็นการหักหลังพวกวีรชนที่อุตส่าห์ต่อสู้จน แม้อุทิศชีวิตให้กับความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งผมจะยังไม่ลงในรายละเอียดในตอนนี้ แต่ขอสัญญาว่าคนพวกนี้จะต้องได้รับการชำระอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นนายธีรยุทธ บุญมี นายสังษิต(แซ่โล้ว) พิริยะรังสรรค์ และอีกหลายคนที่ช่วยกันเคลื่อนไหวในการล้มล้างรัฐบาลภายใต้ระบอบประชาธิปไตย เผด็จการจอมพลป. พิบูลสงคราม ได้เข่นฆ่ากวาดล้างผู้คนเป็นจำนวนมาก แต่นั่นส่วนใหญ่เป็นนักการเมืองที่อยู่ซีกนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งมีนายถวิล อดุล นายทองอิทนร์ ภูริพัฒน์ นายจำลอง ดาวเรือง และดร.ทองเปลว ชลภูมิ เป็นต้น ส่วนจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ก็มีวิธีกวาดล้างอีกรูปแบบหนึ่งที่น่ากลัวกว่าความตาย นั่นคือ จับขังลืมโดยไม่ผ่านขบวนการยุติธรรม จอมพลแต่ละท่านมีอิทธิพลบารมีมากล้นที่จะทำอะไรก็ได้ตามที่ใจปรารถนา นั่นเป็นเพราะว่าแต่ละท่านอยู่บนตำแหน่งที่กุมอำนาจมาอย่างยาวนาน
จอมพลป. พิบูลสงคราม ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรกเมื่อปี ๒๔๘๑ จวบ จนกระทั่งถูกจอมพลสฤษดิ์ ทำการรัฐประหารเมื่อปี ๒๕๐๐ เป็นเวลาเกือบยี่สิบปีที่อยู่ บนอำนาจ (มีช่วงที่ลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆ) จอมพลสฤษดิ์ ขึ้นเถลิงอำนาจจริงๆ เมื่อปี ๒๕๐๑ จวบจนถึงแก่อสัญกรรม เมื่อปี ๒๕๐๖ จากนั้นจึงถึง คิวจอมพลถนอม จนกระทั่งถูกโค่นล้มจากพลังนักศึกษาและประชาชนเมื่อ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ท่านผู้อ่านคงจะได้เห็นแล้วว่าการที่บุคคลอยู่บนตำแหน่งที่ทรงอำนาจมายาวนานนั้น สามารถบ่มเพาะอิทธิพลบารมีได้อย่างสุดประมาณ เมืองไทยมีบุคคลหนึ่งที่ทุกคนมองข้าม แม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ประเมินผิด คน นั้นก็คือพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ทุกคนมองเพียงว่าถึงบุคคลผู้นี้เคยเป็นนายกรัฐมนตรี และควบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกมาก่อน แต่นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตเมื่อนานมาแล้ว โดยที่ไม่มีใครเฉลียวใจว่าขิงแก่อย่าง พล.อ.เปรม นั้นถึงแม้ลงจากตำแหน่งที่มี อำนาจก็จริงอยู่ แต่พลันก็เข้ารับตำแหน่งที่มีบารมีสูงมาทดแทนในทันใด นั่นก็คือตำแหน่งองคมนตรี และไม่นานหลังจากนั้นก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานองคมนตรีและ รัฐบุรุษ
ตำแหน่งรัฐบุรุษอันเป็นตำแหน่งนายกรัฐมนโทแห่งประเทศไทยที่ทุกคนมองข้าม เพราะความเป็นรัฐบุรุษของพล.อ.เปรม จึงได้มีการก่อตั้งมูลนิธิรัฐบุรุษขึ้นมาเพื่อเสริมอำนาจบารมี ด้วยการกวาดต้อนผู้บัญชาการเหล่าทัพที่เพิ่งเกษียณมาช่วยงาน ท่านผู้อ่านต้องไม่ลืมนะครับว่าการที่จะเสนอใครขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพคนใหม่นั้นก็ต้องผ่านการคัดเลือกจากผู้บัญชาการคนเก่าที่กำลังจะเกษียณ ที่เรียกกันว่าจัดทำโผโยกย้ายนั่นแหละ ดังนั้นบุญคุณระหว่างผู้บัญชาการทั้งใหม่และเก่าซึ่งยังคงมีความผูกพันกันอยู่ จึงอย่าได้แปลกใจเลยว่าแหล่งข้อมูลทางทหาร พล.อ.เปรม เอามาจากที่ไหน ในอดีตที่ผ่านมาเรามีกลุ่มขุนนางรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นกุมอำนาจฝ่ายบริหาร โดยมีการตั้งพรรคการเมืองขึ้นมารองรับ จนมีการเรียกขานกันว่าพรรคข้าราชการ หรือระ บอบ �อมาตยาธิปไตย� แต่พลันที่เกิดการรัฐประหารขึ้นเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ที่ผ่านมานี้ และมีการรวบรวมข้าราชการที่เกษียณเข้าร่วมเป็นคณะรัฐมนตรี โดยมีคนเข้าใจว่า ระบอบอมาตยาธิปไตยนั้นได้หวนกลับ แต่ส่วนตัวผมกลับมีความเห็นว่า มีสิ่งบ่งบอกว่า มันน่ากลัวกว่านั้นหลายเท่าตัว นั่นก็คือระบอบ �เปรมธิปไตย� เพราะเป็นการกินรวบอันเกิดจากการรวมศูนย์อำนาจอยู่ที่คนๆเดียว นอกนั้นล้วนแต่เป็นร่างทรงที่ต้องทำตามคำบัญชา แม้คณะปฏิรูปฯ ก็ไม่อยู่เหนือกฏเกณฑ์ที่ว่ามานี้ ดังจะเห็นได้จากความไม่เป็นเอกเทศในการปฏิบัติงานต้องคอยหันรีหันขวางโยนกันไปมาระหว่างรัฐบาลสุรยุทธ์และ คมช. อันมี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้า ซึ่งดูไปแล้วผิดกับคณะรัฐประหารคณะอื่นๆที่ผ่านมา ที่มีหน้าที่ดูแลและคุ้มครองรัฐบาล แต่กับคณะของ พล.อ.สนธิ กลับเป็น ไปในทิศทางที่ตรงกันข้าม ต้องอยู่ในความดูแลของรัฐบาลที่มี พล.อ.สุรยุทธ เป็นนาย ใหญ่ตามคำเรียกขานของบิ๊ก คมช. ผมไม่ได้หลงไหลคลั่งไคล้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรถึงกับต้องลงทุนเขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นมา เพราะคุณทักษิณไม่ได้เป็นผู้กำหนดวิถีชีวิตของผมให้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น หรือเลวลงหากแต่ผมทนดูไม่ได้กับวิธีการอันต่ำช้าเลวทรามในการโค่นล้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นรัฐบุรุษ แต่กลับตาขาวทำตัวเป็นอีแอบ เที่ยวบอนเซาะให้เกิดความเกลียดชังในตัวผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งตามกฎกติกาภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอย่างปราศจากคุณธรรม การพูดขยายความจากเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ จากเรื่องเท็จก็พยายามป่าวร้องกระพือ ให้เป็นเรื่องจริงด้วยความจงใจแบบร่วมด้วยช่วยกัน โดยมีจุดมุ่งหมายในการโค่นล้มให้สมอารมณ์แค้น โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศชาติ ผมในฐานะเคยร่วมเรียกร้องและต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตย ผมย่อมต้องไม่ยินยอมพร้อมใจใน การกระทำของกลุ่มบุคคลที่อยู่ภายใต้ระบอบเปรมาธิปไตยอย่างแน่นอน
ถ้าหาก พล.อ.เปรม ส่องกระจกดูเงาตัวเองสักหน่อย คงจะได้เห็นภาพของตัวเองก็ไม่ต่างไปจากผู้นำคนอื่นๆ ที่มีการเอาพรรคพวกตัวเองเข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญอย่างเช่น พล.อ.ประจวบ สุนทรางกูล เป็นต้น และก็ด้วยเหตุที่เล่นพรรคเล่นพวกนี่แหละนำพา ไปสู่การทำรัฐประหารแต่ไม่สำเร็จ ถึงสองครั้งสองครา ตลอดจนมีการลอบสังหาร อีกต่างหาก แถมยังมีนักศึกษาสติเฟื่องกระโดดเข้าชกดั้งจมูกที่สนามกีฬาหัวหมากด้วยความหมั่นไส้ นอกจากนี้แล้ว พล.อ.เปรมยังถนัดในการบริหารด้วยวิธีแยกแล้วปกครอง ส่งผลให้สถาบันทหารแตกร้าวจนยากประสานจวบจนทุกวันนี้ พล.อ.เชาวลิต ยงใจยุทธ และ พล.อ.พิจิตร กุลวานิช ก็เป็นคู่แคนดิเดท จนไม่มองหน้ากันถึงทุกวันนี้ ศึกสายเลือด ระหว่าง จปร.๗ และ ๕ ก็เกิดในยุคเปรมนี่แหละ ยังมีอีกคู่คือ บิ๊กเต้ พล.อ.อ.เกษตร โรจนนิล และบิ๊กอู๊ด พล.อ.อ. วรนาจ อภิจารี ก็มีการพลิกโผเปลี่ยนจาก พล.อ.อ.เกษตร ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรองผบ.ทอ. จ่อคิวขึ้นเป็น ผบ.ทอ. มาเป็น พล.อ.อ.วรนาจ ที่อยู่บน ตำแหน่ง เสธ.ทอ. ส่งผลให้ทุ่งดอนเมืองร้อนระอุในบันดล ความสับสนจนบานปลายไปสู่ความขัดแย้งของคนทั้งประเทศก็เกิดจากการกล่าวร้ายให้เท็จจนเป็นที่กังขาของคนทั่วไปทำให้เกิดการแบ่งขั้ว โดยฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าเป็นจริงด้วยการให้เครดิต เนื่องเพราะเห็นว่าอยู่บนตำแหน่งประธานองคมนตรี ส่วนอีกฝ่ายไม่เชื่อเพราะผลงานที่ผ่านมาของรัฐบาลทักษิณนั้นเห็นเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ แต่เนื่องจากรัฐบาล ถูกโจมตีมายาวนาน จนสัดส่วนของคนที่เชื่อว่าเป็นจริงดังที่กล่าวหามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นโดยรัฐเองก็ไม่ได้ชี้แจงเท่าที่ควร อันเนื่องจากมวลสมาชิกซีกรัฐบาลส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากเปลืองตัว อย่างไรก็ตามความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยครั้งนี้ กลุ่มคนที่ อยู่ภาย ใต้ การปก ครองในระบอบเปรมาธิปไตยกลับโยนความผิดให้เป็นของพ.ต.ท.ทักษิณแต่เพียงผู้เดียว ในที่นี้ผมจะยังไม่พูดถึงในรายละเอียด เพราะใกล้หมดหน้ากระดาษสำหรับบทความชิ้นนี้ คงต้องยกยอดไปว่ากันในตอนต่อไป แต่ก่อนจากกันในวันนี้ใคร่อยากชี้แจงให้ ท่านผู้อ่านได้ประจักษ์ในความเป็นจริงสักเรื่องหนึ่ง อันเป็นข้อมูลเกี่ยวกับ พล.อ.เปรม ตามที่ท่านได้เรียกร้องให้ผู้คนอย่าไหว้คนที่มีเงินหรืออย่าไปนับถือคนรวยนั้น แต่บนความเป็นจริงนั้น พล.อ.เปรม เวลานี้ก็มีฐานะร่ำรวยเกินกว่าที่คนๆหนึ่ง ซึ่งรับราชการมาตลอดชั่วอายุจะพึงมี เอากันแค่เศษเงินที่บำรุงบำเรอหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทั้งที่ เป็นนักมวยและนักร้อง เฉพาะรายของหนุ่มเสกได้ข่าวว่ารายเดียวหมดไปนับร้อยล้าน เรื่องจริงอย่างนี้ปิดมิดหรือพี่-น้อง ดังนั้นจึงอย่าได้ไว้วางใจผู้คนอันสืบเนื่องจากเห็นว่ามี ตำแหน่งใหญ่โต พร้อมกันนี้สังคมควรที่จะต้องช่วยกันประนามและยุติที่จะยกย่องนับ ถือคนอย่างพล.อ.เปรมถึงจะถูกต้อง ตื่นเถอะชาวไทย
อาคม ซิดนีย์
arkomsydney@yahoo.com.au
copyright � arkomsydney 2007


โดย: pracha IP: 202.28.27.3 วันที่: 26 มีนาคม 2550 เวลา:10:33:06 น.  

 

เสียงจากออสเตรเลีย
ตอนที่๓พระมหาอุปราชเปรม
โดย อาคม ซิดนีย์
๙ ธันวาคม ๒๕๔๙
ดังที่ได้กล่าวในฉบับที่แล้วตอน �แค้นของคนชื่อเปรม� ว่า แกนนำที่ล้มล้างรัฐบาลทักษิณ ตัวจริงเสียงจริงนั้นไม่ใช่นายสนธิ ลิ้มทองกุล หัวขบวนกลุ่มพันธมิตรฯหรือนักวิชาการ หากแต่เป็นกลุ่มคนที่รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท อันประกอบด้วย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล และ ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวานิช พล.อ.เปรม อาศัยตำแหน่งประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ สร้างบารมีให้กับตัวเองตลอดระยะเวลาอันยาวนาน และด้วยบารมีสะสมนี่แหละที่ทำให้ พล.อ.เปรม สามารถชี้เป็นชี้ตายได้ในเกือบทุกเรื่อง ท่านผู้อ่านต้องไม่ลืมนะครับว่าประเทศไทยนั้นเป็นสังคมที่ยังยึดติดอยู่กับลัทธิเกื้อหนุนและการที่จะเกื้อหนุนใครต่อใครได้ มันก็ต้องมีเส้นแบ่งที่ชัดเจนให้กับผู้ที่อ่อนด้อยกว่าสามารถเข้าถูกช่องทาง เส้นแบ่งที่ว่านั่นก็คือชนชั้นโดยมี ยศ และศักดิ์เป็นตัวกำหนด สำหรับทหารและตำรวจนั้นเป็นที่รับรู้กันไปทั่วแล้วละครับว่า พล.อ.เปรม มีอิทธิพลสูงพอที่จะกำหนดตัวบุคคลให้ไปอยู่ในตำแหน่งใดก็ได้ในกองทัพและสำนักงานตำรวจ แห่งชาติ ดังนั้นจึงอย่าได้สงสัยเลยครับว่าเหตุใดวันสำคัญๆ เช่นวันปีใหม่หรือสงกรานต์ และวันเกิดของ พล.อ.เปรม จึงปรากฏมีบุคคลมากหน้าหลายตาจากวงการต่างๆไปอวยพรกันอย่างคับคั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารและตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ต้องการเลื่อนยศเลื่อน ตำแหน่ง ดังนั้น เป้าในการไปจึงอยู่ที่ยศอย่างเป็นด้านหลัก ส่วนคำว่าศักดิ์ อันหมายถึงฐานะนั้น ก็มีความสำคัญไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเรื่องยศ เนื่องจากเป็นเส้นแบ่งระหว่างชนชั้นให้มีความชัดเจนในส่วนของพลเรือน ทั้งนี้ต้องรวมถึง สมณศักดิ์ในหมู่สงฆ์ ตลอดจนซีระดับต่างๆ ถ้าหากท่านผู้อ่านได้สังเกตดูในแวดวงนักวิชาการและอาจารย์ตามสถาบันต่างๆ ก็จะเห็นปรากฏการหนึ่งที่บ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลง นั่นก็คือตำแหน่ง ศาสตราจารย์ อันเป็นตำแหน่งพระราชทานเช่นเดียวกับยศของ ทหาร-ตำรวจและสมณศักดิ์ทางฝ่ายสงฆ์ ซึ่งเป็นที่หมายปองของพวกนักวิชาการและบรรดาคณาจารย์ทั้งหลาย ตอนนี้ท่านผู้อ่านคงเห็นแล้วนะครับว่าเหตุใดทางสถาบันต่างๆ ถึงได้มุ่งมั่นที่จะเชิญ พล.อ.เปรมไปปาฐกถาอย่างเอาเป็นเอาตาย การที่สามารถเอื้อประโยชน์ให้กับบุคคลในเกือบทุกสาขาอาชีพนี้เอง ทำให้ผู้คนเข้าหาเพิ่มจำนวนมากขึ้น ดังนั้นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นก็คือการประจบเอาใจเพื่อให้ได้เป็นคนใกล้ชิด ซึ่งเป็นที่มาของคำว่าลูกป๋า จึงอย่าได้แปลกใจเลยว่าคนไม่เคยและไม่อยากมีเมียอย่าง พล.อ.เปรม ทำไมถึงมีลูกมากมายขยายออกไปสู่ทุกวงการ วิถีชีวิตที่มีแต่คนคอยแย่งกันเอาใจจนเกิดความเคยชิน จากที่เคยเป็นขุนนางหน้าบางที่ไม่ยอมให้เปิดอภิปรายในสมัยที่เป็นนายกรัฐมนตรี มาเป็นคนที่ใครแตะต้องไม่ได้ (untouchable man) แม้วิพากษ์วิจารณ์ก็เป็นเรื่องต้องห้ามและด้วยที่ใครก็มิอาจจะขัดใจได้นี้เอง นานวันเข้าก็ เลยกลายเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง เริ่มไม่เห็นความสำคัญของกฏหมายบ้านเมืองด้วยหลง ผิดคิดว่าตัวเองเป็น �พระมหาอุปราช�
ตำแหน่งองคมนตรีนั้นมีกฏหมายชัดเจนระบุไว้ว่า บุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนี้ได้ต้องห้ามยุ่งเกี่ยวกับการบ้านการเมืองและต้องวางตัวเป็นกลางอย่างที่สุดและต้องไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง แต่พล.อ.เปรมเป็นถึงประธานองคมนตรีกลับไม่แยแสสนใจ ด้วยการออกเดินสายรณรงค์ให้ผู้คนเกลียด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เท่านั้นยังไม่พอ ยังอาศัยสิทธิแห่งความเป็นทหารเก่าสวมเครื่องแบบชุดทหารเต็มยศไปปลุกระดมทหารถึงโรงเรียนการทัพทั้งสามเหล่าให้กระด้างกระเดื่องและสนับสนุนไม่ให้ทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่เป็นนักการเมืองด้วยเหตุผลที่ว่า �รัฐบาลเป็นเพียงจ๊อกกี้ มาแล้วก็ไปไม่ใช่เจ้าของม้า� โดยไม่คำนึง ถึงหลักรัฐศาสตร์ที่ว่าด้วยการปกครอง ทำให้มีนายทหารกลุ่มหนึ่งแยกตัวเป็นอิสระไม่ยอมอยู่ภายใต้การปกครองตามกฎระเบียบของกระทรวงกลาโหม อันเป็นหน่วยงานต้นสังกัด และเลือกที่จะอาศัยบารมีพล.อ.เปรม ด้วยการเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษรัฐบาล จนทำให้การบริหารราชการแผ่นดินในส่วนของ กระทรวงกลาโหมไม่อาจทำได้ด้วยความราบรื่น พล.อ. เปรมเป็นทหารมาก่อนย่อมต้องทราบดีว่า การขัดคำสั่งสำหรับทหารนั้นถือว่าเป็นโทษที่ร้ายแรงที่สุด ถ้าเป็นภาวะสงครามผู้บังคับบัญชามีอำนาจถึงขั้นยิงทิ้งได้โดยปราศจากความผิด นอกจากนี้แล้ว พล.อ.เปรม ยังใช้บารมีบนตำแหน่งประธานองคมนตรีแทรกแซงอำนาจตุลาการ ด้วยการให้ตัดสินลงโทษรุนแรงสามกกต.ที่มาจากกระบวนการสรรหาตามวิถีทางประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ และด้วยสาเหตุแห่งการแทรกแซงนี้เองที่ปรากฏหลักฐานเป็นเทปคำสนทนาที่ พล.อ. เปรม สั่งการให้ศาลดำเนินตามที่ต้องการแบบชนิดคำต่อคำอันเป็นที่มาของ �ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญเข้ามาแทรกแซงการทำงาน� และกลายมาเป็นเงื่อนไขของการปฏิวัติ อันเป็นคนละเรื่องกับที่ พล.อ.สนธิ เปิดเผยว่าจะมีการเผชิญหน้ากันระหว่างกลุ่มผู้ขับไล่ และกลุ่มสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ เพราะนั่นเป็นเพียงเหตุผลประกอบส่วนหนึ่งเท่านั้น การทำรัฐประหารนั้นต้องยอมรับว่ามีการวางแผนมานานแล้ว แต่ก็เป็นไปอย่างชนิดที่ เรียกว่ากล้าๆกลัวๆ อันเนื่องจากบารมีของผู้นำแห่งกองทัพอย่าง พล.อ.สนธิ นั้นยังมี ไม่ถึง อีกทั้งเพื่อนร่วมรุ่น ตท.๑๐ ของ พ.ต.ท.ทักษิณต่างเติบโตขึ้นมาคุมกำลังหลักเป็น ส่วนใหญ่ในกองทัพ ดังนั้น พล.อ.เปรมจึงต้องเหนื่อยกับการเดินสายเป็นเวลายาวนาน การทำให้ทหารแตกแยกก็เป็นอีกกลยุทธหนึ่ง เพราะอย่างที่เคยกล่าวมาแล้วว่า พล.อ. เปรม มีความชำนาญเป็นอย่างยิ่งในเรื่องของการแยกแล้วปกครอง ความรอบครอบก็ เป็นอีกคุณสมบัติหนึ่งของ พล.อเปรม ดังนั้นจึงไม่ลืมที่จะดึงทหารแก่ถึงแม้จะหมดเขี้ยวเล็บแล้วแต่ยังมีพิษสงอยู่อย่าง พ.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ มาเป็นพันธมิตรด้วยการมอบหมายงานให้ช่วยดูแลงานมูลนิธิรัฐบุรุษอันเป็นไม้ตาย การปลด ผบ.กองพัน ถึง ๑๒๙ กองพันของ พล.ท.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่น จปร.๒๑ คนหนึ่งของ พ.ต.ท.ทักษิณ อันเป็นการบ่งบอกถึงแผนแยกแล้วปกครองบรรลุผล สอดรับกับการประกาศตัวเป็นทหารของในหลวงแบบหมูไม่กลัวน้ำร้อนอย่าง พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร ทำให้แผนการทำรัฐประหารมีความมั่นใจขึ้น และบังเอิญมีปัญหาขัดแย้งเรื่องตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่ ระหว่าง พล.อ.ศิริชัย ธัญศิริ ปลัดกระทรวงกลาโหมและ พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศารานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด จนทำ ให้มีนายทหารตบเท้าเข้าร้องเรียน พล.อ.เปรม จึงเป็นภาวะสุกงอมที่เกิดความมั่นใจในการทำรัฐประหาร และ พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน ก็ชิงลงมือปฏิบัติการทำรัฐประหารในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณมีเหตุบังเอิญไปราชการที่ต่างประเทศ ภาพพล.อ.เปรม นำคณะรัฐประหารภายใต้ชื่อ �คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข� เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกลางดึกของคืนวันที่ ๑๙ สิงหาคมที่ผ่านมานี้ ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า พล.อ.เปรมประธานองคมนตรีไม่ได้อยู่เบื้องหลังการทำรัฐประหาร ยังมีบุคคลที่มีบทบาทสำคัญที่ร่วมขบวนการโค่นล้ม พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ได้ชื่อว่ารับใช้ ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทอีกอย่างน้อย ๒ คน ที่สมควรต้องกล่าวถึงนั่นก็คือ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล และ ศ.ดร.ชัยอนันท์ สมุทวานิช กล่าวสำหรับ ดร.สุเมธ นั้น ได้เป็นบุคคล ที่มีชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีเงามาช้านานแล้ว และโดยที่ ดร.สุเมธ ได้ดำรงตำแหน่งเป็น เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา อันเป็นมูลนิธิที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงก่อตั้งขึ้น โดยมีพระราชประสงค์คือ
๑.เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามโครงการอันเนื่องจากพระราชดำริ
๒.เพื่อส่งเสริมการพัฒนาสงเคราะห์และช่วยเหลือประชาชนในด้านเศรษฐกิจและสังคม ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและให้สามารถช่วยตัวเองและพึ่งตนเองได้
๓.ดำเนินการอันเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติเป็นส่วนรวม
๔.ร่วมมือกับส่วนราชการและองค์กรการกุศลอื่นๆ เพื่อสาธารณประโยชน์หรือดำเนินการเพื่อเน้นในการสนับสนุนสาธารณประโยชน์ โดยไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องการเมือง
นอกจากตำแหน่งเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาแล้ว ดร.สุเมธ ยังดำรงตำแหน่งนายกสภา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดังนั้นอย่าได้แปลกใจเลยว่า ทำไม ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงอนุญาติเป็นพิเศษให้นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ใช้ห้องประชุมจัดทำรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร แล้วก็ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมบรรดาคณาจารย์จึงออกมาร่วมขับไล่ไม่เอา พ.ต.ท.ทักษิณ ดร. สุเมธเคยให้สัมภาษณ์อันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มพันธมิตรและบ่อยครั้งมีการกล่าวพาดพิงถึงรัฐบาลทักษิณในลักษณะให้เป็นที่เกลียดชัง โดยไม่สนใจวัตถุประสงค์ข้อที่ ๔ ของการก่อตั้งมูลนิธิ ชัยพัฒนาที่ว่า �ไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมือง�
สำหรับ ศ.ดร.ชัยอนันท์ สมุทวานิช ก็เป็นอีกคนหนึ่งซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนวชิราวุธ และเป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่าโรงเรียนแห่งนี้เป็นสถานศึกษาของบุตรหลาน บุคคลชั้นสูงในวงการต่างๆ ดังนั้นจึงไม่เป็นการยากที่ ดร.ชัยอนันท์ ในฐานะผู้อำนวยการโรงเรียน จะไปล่าลายเซ็นต์กับบุคคลชั้นสูงเพื่อถวายฏีกาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อขอพระราช ทานนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้แล้ว ดร.ชัยอนันท์ ยังมีบุตรชายที่ทำงานเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในสำนักหนังสือพิมพ์ผู้จัดการของนายสนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วผมก็อดเป็นห่วงต่อสถาบันอันเป็นที่เคารพสักการะของปวงชนชาวไทยไม่ได้ และในฐานะที่ผมเป็นคนไทยคนหนึ่งที่มีความจงรักภักดีต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดังเช่นเดียวกับพี่น้องชาวไทยทุกคน ผมจึงไม่ยินยอมพร้อมใจให้บุคคลหรือคณะบุคคลใดก็ตามทำการจวบจ้วงล่วงละเมิดให้เป็นที่ระคายเบื้องพระยุคลบาท เพื่อเป็นการทดแทนคุณแผ่นดินอันมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งเปี่ยมด้วยทศพิศราชธรรม ทรงเป็นประมุข ผมจึงขอให้พี่น้องชาวไทยทุกคน ได้โปรดช่วยกันตรวจสอบพฤติกรรมของกลุ่มบุคคลที่รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทดังกล่าวมาแล้วข้างต้นว่ามีความถูกต้องเหมาะสมหรือไม่อย่างไร
อาคม ซิดนีย์
arkomsydney@yahoo.com.au
copyright � arkomsydney 2007



โดย: pracha IP: 202.28.27.3 วันที่: 26 มีนาคม 2550 เวลา:10:34:42 น.  

 


เสียงจากออสเตรเลีย
ตอนที่๔จิ๋วตายน้ำตื้น
โดย อาคม ซิดนีย์
๑๗ ธันวาคม 2549
เมืองไทยนอกจากจะมีผู้มากบารมีนอกรัฐธรรมนูญอย่าง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ดังที่ได้นำเสนอในบทความเรื่อง "พระมหาอุปราชเปรม" แล้ว ยังมีกลุ่มอภิสิทธิชนรวมตัวกันเป็นฝูงใหญ่ (ขอย้ำว่าฝูงใหญ่) ที่ผมตั้งใจจะเขียนถึงในหัวข้อเรื่องว่า "สารพัดวิ ชามาร" ดังที่ได้รับปากเอาไว้ แต่เนื่องจากการเมืองไทยในขณะนี้มีความพลิกผันและเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมากจนแทบไม่อาจกระพริบตา ดังนั้นผมจึงขออนุญาตเขียนเรื่อง ที่เข้ากับเหตุการณ์ปัจจุบันก่อน และสารพัดวิชามารที่ป่วนเมืองภายใต้ระบอบเปรมาธิปไตย ซึ่งเป็นกลุ่มอภิสิทธิชนอันประกอบด้วยเฒ่าหัวเกรียน นักวิชาการปากมอมและ นักฆ่าแห่งตระกูลลิ้ม โดยจะนำเสนอในโอกาสต่อไป ฉายา "ขงเบ้งแห่งกองทัพ" ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หรือบิ๊กจิ๋ว หรือ พ่อใหญ่ไม่ใช่ ได้มาโดยบังเอิญ หากแต่เกิดจากความปราดเปรื่องในเรื่องการวางแผน เพราะเติบโต มาจากสายยุทธการจนกระทั่งเสธ.ทหารบก ย่อมเป็นเครื่องรับประกันได้เป็นอย่างดี ส่วนบนเส้นทางการเมืองก็มีประวัติอันยาวนานกว่ายี่สิบปี ตั้งแต่เมื่อครั้งยังสวมเครื่องแบบทหารยศพันเอก ก็เป็นมือทำงานด้านการเมืองให้กับ พล.อ.เปรม ดังนั้น กลยุทธและกระบวนท่าการเคลื่อนไหวในแต่ละก้าวจึงเต็มไปด้วยลูกเด็ดเผ็ดมัน แพรวพราวเป็นอย่างยิ่งในการหลอกล่อให้คู่ต่อสู้หลงทาง ก็เลยทำให้กลุ่มก๊วนต่างๆ ก็เข็ดขยาดกับการร่วมงานกับบิ๊กจิ๋ว ทุกคนจึงดำเนินไปด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง และผู้ที่รู้ซึ้งเป็นอย่าง ดีคงไม่มีใครเกิน พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ อย่างแน่นอน บิ๊กจิ๋วหรือขงเบ้งแห่งกองทัพผู้นี้ ที่เคยทำให้ชีวิตราชการทหารของ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ หรือบิ๊กแอ้ด ต้องประสพกับความเหนื่อยยากมาหลายครั้งหลายหน ขอกล่าวสำหรับเส้นทางเดินของบิ๊กแอ้ดนั้น มีจุดเริ่มต้นโดยเลือกเหล่าทหารราบ อันเป็นการเดินตามรอยพ่อ พโยม จุลานนท์ แล้วก็เติบโตมาในหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษที่มี พล.ท.สุนทร คงสมพงษ์เป็นผู้บัญชา การหน่วยฯ ช่วงนี้เองที่บิ๊กแอ้ดมีความจำเป็นที่ต้องเดินออกนอกหน่วยไปเป็น ท.ส.พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในขณะที่ครองยศพันเอกและกำลังคั่ว นายพล จึงทำให้ต้องคิดหนักและกังวลว่าจะไม่ได้กลับหน่วยเดิมที่เจริญเติบโตมา แต่เมื่อบิ๊กจ๊อดรับประกันว่า "แอ้ดไปอยู่กับป๋าเปรมสักพักแล้วพี่จะขอตัวกลับมาอยู่กับพวกเราอีก" จึงทำให้ความกังวลของบิ๊กแอ้ดผ่อนคลายลงทันที บิ๊กแอ้ดได้กลับคืนหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษตามสัญญาสุภาพบุรุษชายชาติทหารยี่ห้อบิ๊กจ๊อดและก็เติบโตมาจนเป็นผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษแ&# 3627;่งนี้ และ แทนที่จะได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้ช่วยบัญชาการทหารบก เหมือนรุ่นพี่อย่าง พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ แต่กลับโดนย้ายไปดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ ๒ แทน แล้วก็ขยับขึ้นไปครองยศพลเอกในตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ นับได้ว่าห้วงแห่งความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตราชการทหาร ถึงกลับทำให้มีความคิดที่จะลาออก แต่ก็ได้รับการทัดทานจากผู้ยิ่งใหญ่แห่งบ้านสี่เสา บิ๊กแอ้ดจึงใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ด้วยการศึกษาธรรมและฝึกสมาธิ จวบจนกระทั่งฟ้าเปลี่ยนสี พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลที่เรียกว่าชวน ๒ นายชวน หลีกภัย จะต้องเข้ารายงานตัวต่อพล.อ.เปรม แห่งสำนักสี่เสาเพื่อรับคำบัญชา ตามธรรมเนียมปฏิบัติอันเป็นนโยบายแห่งพรรค ดังนั้น จึงอย่าได้แปลกใจที่นายชวน ในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในเวลานั้น จะออกมาประกาศเสียงดังฟังชัดในฤดูโยกย้ายในปีนั้นว่า รัฐบาลจะไม่ยุ่งกับเรื่องโผทหารและจะไม่มีการล้วงลูกอย่างเด็ดขาด แต่จะขอเพียงตำแหน่งเดียวคือ "ผู้บัญชาการทหารบก" โดยกำ หนดว่าจะต้องเป็น พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ที่ทำให้ พล.อ.สำเภา ชูศรี เพื่อนร่วมรุ่น จปร ๑๒ ซึ่งอยู่บนตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารบกผู้จ่อคิวเป็นเต็งหนึ่ง อยู่ในเวลานั้นต้องอกหักชนิดกระอักเป็นโลหิต พลันที่บิ๊กแอ้ดก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง ผบ.ทบ.ได้สำเร็จในยุคของพรรคประชาธิปัตย์นี่แหละ ส่งผลให้พี่จิ๋วต้องออกมาฟาดงวงฟาดงาว่า "ทำไมต้องรีบร้อนแต่งตั้งให้บิ๊กแอ้ด ทั้งที่ยัง อยู่ในราชการอีกตั้งห้าปี" อันเป็นการแสดงให้เห็นความรักและเอ็นดูต่อนายทหาร จปร.รุ่นน้องผู้นี้ได้เป็นอย่างดี การกลับมาผงาดในกองทัพบกของบิ๊กแอ้ดในปี ๒๕๔๑ นั้นไม่ได้มีความมุ่งหวังอยู่เพียงแค่ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกเท่านั้น หากเป้าหมายที่แท้จริงได้มีการตั้งไว้ที่ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเลยทีเดียว (ดังที่ผมได้เคยฟันธงในบทความเรื่อง "บิ๊กแอ้ด ไม่ได้หยุดอยู่แค่ ผบ.ทบ." ที่ลงตีพิมพ์ในนครซิดนีย์) ทั้งนี้เนื่องจากความฟอนเฟะทางการเมืองอันเกิดจากฝีมือของบรรดานักเลือกตั้งทั้งหลายที่ผลัดกันเข้ามากอบโกยแบบชนิดที่เรียกว่าสมบัติผลัดกันชม โดยมีจุดเริ่มต้นที่ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ นายชวน หลีกภัย นายบรรหาร ศิลปอาชา และสุดท้ายก็มาพังทลายเอายุครัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจในปี ๒๕๔๐ หรือที่เรียกกันว่าวิกฤติการณ์ต้มยำกุ้ง รัฐบาลชวน ๒ นี้ที่นายชวนหยิบยื่นชีวิตใหม่ให้กับ พล.อ.สุรยุทธ ดังนั้น ผลต่างตอบแทนนั่นก็คือ รัฐบาลนายชวนสามารถอยู่รอดปลอดภัยจนเกือบจะครบเทอม ทั้งที่มีปัญหาความขัดแย้งของสองขุนพลเศรษฐกิจ อันเป็นจุดขายของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมี ดร.ศุภชัย พานิช ภักดิ์ เป็นหัวหน้าทีมที่เรียกว่า "ดรีมทีม" ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ดูแลด้านเศรษฐกิจและควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพานิชย์ กับ นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ความขัดแย้งทั้งคู่ทำให้เป็นที่มาของคำว่า "เกาเหลา" ซึ่งนายชวนก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขหรือจัดการได้ตลอดห้วงเวลาที่อยู่บนตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้เศรษฐกิจที่ย่ำแย่อันมีผลมาจากวิกฤติการณ์ปี ๒๕๔๐ ที่นอก จากไม่ได้รับการแก้ไขแล้ว ยังทำให้มีสภาวะน่าเป็น ห่วงมากยิ่งขึ้น
ส่วนผลงานที่เข้าตาประชาชน ก็มีอยู่บ้างโดย พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เลขาธิการพรรคฯในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสั่งการให้ตำรวจปล่อยหมากัดม๊อบ และการปราบโต๊ะรับแทงม้าเถื่อนอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยการใช้นายทหารจปร.๑๒ อันเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับบิ๊กแอ้ดที่มีนามว่าเสือดิ่งหรือ พล.ท.บุญยัง บูชา ทำหน้าที่ แทนตำรวจในการกวาดล้าง เพราะนั่นถือเป็นหม้อข้าวและรายได้หลักของพล.ต.สนั่น เป็นเหตุให้ผู้คนเริ่มถามหา "พี่หาร" จึงอย่าได้แปลกใจเลยว่าเหตุใดนายชวนและพรรคประชาธิปัตย์จึงมีอันต้องเหี่ยวเฉาจวบจนกระทั่งทุกวันนี้ นายชวน หลีกภัย ประกาศยุบสภาก่อนที่รัฐบาลจะหมดวาระ ด้วยมั่นใจในความได้เปรียบในการเป็นรัฐบาลรักษาการ แต่อย่างว่าการเมืองในช่วงนี้ นับได้ว่าเป็นที่น่าเบื่อหน่ายของประชาชนทุกหมู่เหล่า ซึ่ง พล.อ.เปรม ก็ทราบดีและมีแผนที่จะล้มกระดาน หากการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นมีปัญหาความไม่เรียบร้อยและไม่สงบอันเกิดจากการช่วงชิงของบรรดานักเลือกตั้ง แต่พลันที่นโยบาย "คิดใหม่ ทำใหม่" ของอัศวินคลื่นลูกที่สาม ที่ได้ชื่อว่า "ตาดูดาวเท้าติดดิน" แห่งพรรคไทยรักไทย ได้ใช้กลยุทธ์ที่เหนือชั้นในการรวบรวม ส.ส. ระดับแม่เหล็กได้เป็นจำนวนมาก ส่งผลในการเลือกตั้งในครั้งนั้นชนะแบบฟ้าถล่มดินทลาย ชนิดที่ประวัติศาสตร์การเมืองไทยต้องจารึก ถึงแม้จะมีเสียงก่นด่าว่ามีการใช้เงินเป็นจำนวนมากในการซื้อตัว ส.ส. ที่รู้กันในหมู่คอการเมืองว่า "ดูด" จากดูด ส.ส.เป็นรายบุคคลก็พัฒนามาเป็นดูดทั้งพรรคอย่างเช่นความหวังใหม่ เป็นต้น แม้ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้ง แต่พรรคฝ่ายค้านซึ่งเป็นพรรคการเมืองเก่าแก่กลับไม่ยอมรับความพ่ายแพ้โดยกล่าวหาว่ามีการใช้เงินซื้อเสียง บ้างก็ออกมาแก้เกี้ยวว่าแพ้เพราะอำนาจเงิน และก็ไม่ลดความพยายามที่จะล้มทักษิณให้ลงจนได้ในกรณีซุกหุ้น แต่อย่างว่าเหมือนสวรรค์มีตา ประชาชนไม่ได้กินแกลบ บุคคลจากทุกวงการ กลับส่งเสียงเชียร์อย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมาย และพร้อมใจกันที่จะไม่นำเอา เรื่องความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ มาเป็นตัวตั้ง ทั้งนี้เป็นเพราะยังขยาดกับภาพการบริหารงานที่ผ่านมาของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคความหวังใหม่ ดังนั้น ทุกคนจึงไม่รีรอที่จะให้โอกาสสำหรับทางเลือกใหม่ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักได้แสดงฝีมือ เมื่อเป็นเช่นนี้ แผนการล้มกระดานของสี่เสาจึงมีอัน จะต้องติดเบรค แต่ก็ยังมีความหวังว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อาจต้องสะดุดเท้าตัวเอง แล้วคงมีชะตากรรมไม่แตกต่างไปจากนายบรรหารและ พล.อ.ชวลิต อันสืบเนื่องจากการช่วงชิง ตำแหน่งของกลุ่มก๊วนที่มารวมตัวกันอยู่ในพรรคไทยรักไทย โดยเฉพาะกลุ่มวังน้ำเย็น ของนายเสนาะ เทียนทอง ผู้ได้ชื่อว่านักปั้น "นายกรัฐมนตรี" พล.อ.สุรยุทธ์ มีอันจะต้องประสพภาวะโรคหืดกำเริบ เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายก รัฐมนตรี ได้เลือกเอา พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ์ มาดูแลความมั่งคง โดยมอบตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพร้อมกับให้อำนาจในการดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้อีกต่างหาก อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความรู้เท่าทันเกมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีต่อพล.อ.เปรมเป็นอย่างดี ผมจะขอทวนความจำให้ท่านผู้อ่านเพื่อประกอบเป็นข้อมูลว่า "บิ๊กแอ้ดไม่ได้หยุดอยู่แค่ ผบ.ทบ." ที่ผมเคยนำเสนอไปเมื่อปี ๒๕๔๑ นั้น ว่าผมไม่ได้นั่งเทียนเขียนและการที่ผมมีอันจะต้องกลับมาเขียนถึงอีกในวันนี้ ก็ไม่ได้เขียนขึ้นจากการมีอคติ หรือสืบเนื่องจาก ผมถือข้าง พ.ต.ท.ทักษิณ หากแต่เป็นการนำเสนอข้อมูลความจริงที่เกิดขึ้นโดยท่านผู้อ่านไม่ทันได้สังเกต จึงอยากชี้ให้เห็นเป็นมุมมองจากประสบการณ์ ถ้าหากท่านผู้อ่านทบทวนตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกของ พล.อ.สุรยุทธ์ให้ดี ก็จะพบ ว่าในเวลาเดียวกันนั้น เพื่อนร่วมรุ่น จปร.๑๒ ต่างก็ทะยานขึ้นมากุมตำแหน่งสำคัญไม่ใช่ เพียงแค่แม่ทัพภาคเท่านั้น หากแต่มีหัวขบวนโดยเริ่มตั้งแต่ พล.อ.ธวัช เกตุอังกูร ขึ้นดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.สำเภา ชูศรี เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด โดยที่ พล.อ.สุรยุทธ์ ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก การขึ้นครองบนตำแหน่งส่วนหัวของกองทัพ พร้อมกันของนายทหารรุ่นเดียวกันย่อมแสดงให้เห็นถึงนัยบางประการ ดังนั้น จึงมีการเคลื่อนไหวในด้านการทหารที่เป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามกับนโยบายการต่างประเทศของรัฐบาล ซึ่งในเวลานั้นนายกฯทักษิณให้ความสำคัญกับพม่าว่าเป็นมิตรประเทศเพื่อนบ้าน ที่ไม่ควรมีความขัดแย้ง (ท่านผู้อ่านบางคนอย่าเพิ่งแย้งนะครับว่า ผมไม่ กล่าวถึง ผลประโยชน์ด้านสื่อสารดาวเทียม เพราะเป็นคนละประเด็นที่ผมกำลังนำเสนอ) ในขณะที่กองทัพกลับมีการประเมินว่าพม่าเป็นศัตรูที่สำคัญในขณะนั้น ดังนั้นจึงอย่าได้ แปลกใจที่ พล.อ.สุรยุทธ์จะเกี่ยวก้อย พล.ท.วัฒนชัย ฉายเหมือนวงค์ เพื่อนร่วมรุ่น จปร.๑๒ แม่ทัพภาค ๓ ทำการซ้อมรบอยู่ แถบชายแดนใกล้พม่าจนเป็นที่มาของคำว่า "อย่าโอเวร์รีแอค" แต่ก็มีการสวนหมัดว่านั่นเป็นหน้าที่ของทหารที่จะต้องเตรียมพร้อมอยู่ตลอด เวลา ดังนั้นการฝึกซ้อมจึงยังคงมีอยู่จนกระทั่งคืนวันหนึ่งมีกำลังพลเคลื่อนย้ายออกสู่ถนน อันเป็นเหตุทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณมีอันผวาถึงกับต้องยกหูโทรศัพท์ถาม พล.อ. สุรยุทธ์ กลางดึกว่า "คุณจะปฏิวัติผมหรือ" จาก "คุณจะปฏิวัติผมหรือ" นำไปสู่ข่าวลือว่าจะมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกในเวลาต่อมา ข่าวลือดังกล่าวทำให้เกิดความตึงเครียดพอสมควรสำหรับวงการเมืองในเวลานั้นจน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องออกมาดับกระแสด้วยการให้สัมภาษณ์ว่าจะไม่มีการย้าย พล.อ.สุรยุทธ์ อย่างเด็ดขาด โดยให้เหตุผลว่า "พล.อ.สุรยุทธ์ ท่านเป็นนายทหารที่มีความสามารถสูง แล้วก็เหลือเวลา ราชการอีกเพียง ๑ ปี ถ้าย้ายขึ้นไปเป็นผู้บัญชาการสูงสุดก็แทบไม่มีเวลาได้เรียนรู้งานก็ ต้องเกษียณ ผมว่าให้ท่านอยู่ที่เก่า สามารถทำประโยชน์ให้กองทัพได้มากกว่า" เมื่อเป็น เช่นนี้ พล.อ.สุรยุทธ์ จึงสบายใจและคลายกังวลจากข่าวลือ แต่คลายได้เพียง ๕ วัน หลังจากนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ ก็มีอันต้องหลุดพ้นจากวงโคจรกองทัพบกไปอยู่บนตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดแบบชนิดเรียบร้อยโรงเรียนจิ๋ว อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ถึงความเป็นตัวตนของบิ๊กจิ๋ว เนื่องจากเติบโตมาจากสายยุทธการ จนกระทั่งเป็นเสธ.ทหารบก จึงบ่มเพาะประสบการณ์ด้านการวางแผนโดยมีกลยุทธ์ที่ทำให้ คู่ต่อสู้หลงทาง จึงไม่แปลกที่นายทหารรุ่นน้องอย่างบิ๊กแอ้ดนอกจากต้องจดจำไว้เป็นบทเรียนแล้ว ยังจะต้องเพิ่มความระมัดระวังในทุกครั้งที่จำเป็นต้องร่วมงานกับพี่จิ๋ว ดังนั้น แผนการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน 2549 ที่ผ่านมา ขิงแก่อย่างพล.อ.เปรมจึงมีความรอบคอบเป็นอย่างสูงที่จะหนีบ พล.อ.ชวลิต ให้มายืนอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วยการเอาตำแหน่งประธานมูลนิธิรัฐบุรุษเข้าล่อ ผมได้รับการบอกเล่าจากคนวงในว่าก่อนที่ พล.อ.เปรม จะตัดสินใจดึงจิ๋วให้มาร่วมงานใหญ่ในครั้งนี้มีเสียงทัดทานจากนายทหารรุ่นใหม่ซึ่งให้ข้อมูลกับ พล.อ.เปรมว่า บิ๊กจิ๋ว เป็นบุคคลไม่น่าเชื่อถือในทุกวงการ ไม่น่าเชื่อถือชนิดที่ตำนานเด็กเลี้ยงแกะ ต้องเปลี่ยน ชื่อใหม่เป็นจิ๋วเลี้ยงแพะ "ผมทราบดี ใครบอกว่าผมจะให้จิ๋วเข้ามาร่วมงาน ผมต้องการให้เขาเป็นแค่เรือให้กับพวกเรา" ดังนั้นจึงอย่าได้แปลกใจที่เมื่อทำการยึดอำนาจเสร็จ เรียบร้อยแล้วไม่เพียงมีรายการถีบหัวเรือที่ชื่อจิ๋วทิ้งเท่านั้น หากแต่ยังมีรายการหักหาญน้ำใจด้วยการให้หมอประสพ รัตนากร ลงจากตำแหน่งประธานมูลนิธิรัฐบุรุษ แล้วแทนที่จะยกให้บิ๊กจิ๋วตามสัญญา แต่ขิงแก่เปรมกลับมอบตำแหน่งประธานมูลนิธิ รัฐบุรุษให้ พล.อ.สุรยุทธ อันเป็นการตบหน้ากันอย่างแรง และถือเป็นการล้างแค้นเอาคืน ให้กับลูกแอ้ดอีกด้วย ดังนั้นรายการสอนน้องผ่านสื่อของบิ๊กจิ๋วจึงเกิดขึ้นอย่างไม่อ้อมค้อม จนกลายเป็นที่มา ของ "ผายลมใยต้องถอดกางเกง" แล้วอย่าได้แปลกใจว่าทำไมบิ๊กจิ๋วจึงต้องเดินทางไป ประเทศจีนอย่างเปิดเผยแบบชนิดให้รู้กันว่า การเสียรู้ของบิ๊กจิ๋วในครั้งนี้จะต้องมีรายการเอาคืนอย่างแน่นอนในอนาคตอันใกล้ และก็คงจะเพิ่มความหนักใจให้ขิงแก่อย่างเปรม และลิ่วล้อที่อยู่ภายใต้ระบอบเปรมาธิปไตยอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วเมื่อไรก็ตามที่บิ๋กจิ๋ว ไสช้างออกมาพวกใต้น้ำทั้งหลายก็คงจะโผล่ขึ้นเหนือน้ำ แล้วถึงเวลานั้นก็ตัวใครตัวมันก็แล้วกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ห้อยบารมีเปรมขึ้นมากร่างแต่ละคนคงมีจุดจบที่ทุลักทุเลไม่แพ้กัน ผมว่าเวลานี้จิ๋วคนดีคงระลึกได้แล้วว่าควรจะดำเนินการอย่างไรในช่วงสุดท้ายของชีวิต และอย่าเดินผิดทางให้เป็นปลาตายน้ำตื้นอีก ที่สำคัญอย่าพริ้วเรื่องนี้ให้ กลายเป็นปาหี่การเมืองเหมือนที่เคยทำ "เพื่อลบล้างคำว่า จิ๋วเลี้ยงแพะ" เพราะหมดเวลา แล้วสำหรับคนชื่อจิ๋วจริงๆ
บทสรุป
ท่านผู้อ่านคงได้เห็นแล้วนะครับว่าแผนล้มกระดานนั้นมีมายาวนานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนพล.อ.สุรยุทธเข้าดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกนั้น มีการไหว้ครูอันเป็นการส่งสัญญาณด้วยการลาออกจากตำแหน่งวุฒิสมาชิกโดยให้เหตุผลว่าจะขอเป็นทหารอาชีพไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เท่านั้นยังไม่พอยังให้หญิงติ๋มภรรยาสุดที่รักลาออกจากราชการทหาร ทั้งๆที่กำลังคั่วยศพลตรี อีกทั้งยังได้เห็นธาตุแท้ของพรรคประชาธิปัตย์ อันเป็นพรรคเก่าแก่ที่สุดที่ยังมีภาพรับใช้ทหารอย่างชัดเจน และยังทำตัวอยู่ภายใต้ระบอบเปรมาธิปไตยอย่างคงเส้นคงวาดังในอดีต จึงอย่าได้สงสัยว่าพอสิ้นเสียงระฆังอันเป็นสัญญาณเริ่มต้นในการล้มล้าง พ.ต.ท.ทักษิณ ดังขึ้น นายอภิสิทธิ์จึงได้บ่ายหน้ามุ่งสู่สำนักพระอาทิตย์ไปให้กำลังใจนายสนธิ ลื้มทองกุลเป็นรายแรก ดังนั้นภาพพระมหาอุปราชเปรม พรรคประชาธิปัตย์ และนายสนธิ ตลอดจนพวกนักวิชาการที่ออกมาร่วม ประสานเสียง.....ท้าก...ษิณ...ออกไป จึงไม่อาจแยกออกจากกันได้ด้วยประการฉะนี้
อาคม ซิดนี่ย์
arkomsydney@yahoo.com.au
copyright � arkomsydney 2007



โดย: pracha IP: 202.28.27.3 วันที่: 26 มีนาคม 2550 เวลา:10:36:07 น.  

 


เสียงจากออสเตรเลีย
ตอนที่๕ยุทธการเราพร้อมแล้ว
โดย อาคม ซิดนีย์
๒๒ ธันวาคม ๒๕๔๙
จากบทความที่ผมนำเสนอไปแล้วอันประกอบด้วย
๑.แค้นของคนชื่อเปรม
๒.เปรมาธิปไตย
๓.พระมหาอุปราชเปรม
๔. จิ๋วตายน้ำตื้น
บทความทั้ง ๔ เรื่องข้างต้นมีประเด็นสำคัญและความเกี่ยวเนื่องในเรื่องของอำนาจจากอดีตถึงปัจจุบัน
ซึ่งพอแยกเป็นประเด็นที่ชี้ให้เห็นในการนำเสนอมีดังนี้
๑. กรณี ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ อันเป็นการโค่นล้มระบอบเผด็จการจอมพลถนอม โดยกลุ่ม นักศึกษาปัญญาชนในนาม �ศูนย์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย�
๒. เหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ เป็นการทวงคืนอำนาจของกลุ่มข้าราชการที่ผมเรียกว่า พรรคข้าราชการหรืออมาตยาธิปไตย โดยมีการวางแผนอย่างเป็นระบบภายหลังจากการสูญเสียอำนาจ
๓. พฤภาทมิฬ เป็นการช่วงชิงอำนาจอันเกิดจากความขัดแย้งของนายทหาร จปร.รุ่น ๑, ๕ และ ๗ โดยอาศัยการตายของประชาชนไปเป็นเครื่องมือในการประกาศศักดาแห่ง บารมีเปรม อันเป็นการแจ้งเกิดของระบอบเปรมาธิปไตย ที่ผมบอกว่าน่ากลัวว่าระบอบเผด็จการในอดีต
๔. เหตุที่เกิดความวุ่นวายขึ้นในประเทศ เกิดจากกลุ่มบุคคลรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท โดยมีพรรคการเมืองเก่าแก่และสื่อมวลชนบางกลุ่มให้ความร่วมมือ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การโค่นล้มทักษิณเพื่อตอกย้ำให้เห็นอำนาจเบ็ดเสร็จและเด็ดขาดว่า �อำนาจและ บารมีของข้าใครอย่าแตะ� ซึ่งผมเรียกว่า �พระมหาอุปราชเปรม� ที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ มีอันจะต้องพลัดถิ่นอยู่ในเวลานี้ สำหรับบทความเรื่อง �ยุทธการเราพร้อมแล้ว� ผมต้องการชี้ให้เห็นเหตุการณ์ทั้งสี่ นับ ตั้งแต่กรณี ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ มาสู่เหตุการณ์ ท๊ากก..สินออกไป มีส่วนเกี่ยวเนื่องกัน จนแยกไม่ออก เพราะทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นล้วนเกิดจากกลุ่มผู้ได้ชื่อว่าบุคคลผู้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องยุคลบาททั้งสิ้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจและไม่เป็นการทำให้สับสน ผมจึงจะ แยกเหตุการณ์ ให้ท่านผู้อ่านได้ทบทวนความจำ เพื่อให้เห็นความเกี่ยวโยงกันอย่างชัด เจนดังนี้
กรณี ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ เป็นการต่อสู้เพียงครั้งเดียวที่เรียกได้ว่าเกิดจาก �พลังบริสุทธิ์� การถูกปกครองด้วยระบอบเผด็จการมายาวนาน ทำให้เกิดสภาวะแห่งความกลัว ปกคลุมไปทั่วทุกชีวิตในสังคมไทยจนกลายเป็นพลังความเก็บกด การห้ามชุมนุม พูด เขียนและวิจารณ์ทางการเมืองนั้นยังพอที่จะยอมรับกันได้ แต่ที่มีการจำกัดสิทธิเสรีภาพ ด้วยการออกกฏหมาย ซ่องสุมโจรหรือที่เรียกกันสั้นๆว่าซ่องโจรนั้น บุคคลที่มีอายุ ๕๐ ปีขึ้นไปคงรู้ซึ้งได้เป็นอย่างดี
กฏหมายซ่องโจรนั้นออกมาให้เป็นเครื่องมือหากินของตำรวจโดยเฉพาะ เพียงแค่ตั้งวงเหล้ากัน ๔-๕ คน ท่านผู้อ่านก็มีสิทธิโดนจับและถูกยัดเยียดข้อหาซ่องโจรหรืออื่นใด ตามแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะหยิบยื่นให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทุกๆอาทิตย์จะมีวันที่ ทุกคนไม่ยอมออกจากบ้านโดยไม่จำเป็น นั่นก็คือ �วันระดมพล� อันเป็นวันที่ตำรวจออกตรวจ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือวันออกหากินนั่นเอง จึงอย่าได้แปลกใจที่มีนักโทษข้อหาซ่องโจรเต็มคุกอยู่นับหมื่นคน ถ้าหากเราจะยกกรณี ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ขึ้นมาพิจารณา อาจจะหมิ่นเหม่ต่อการวิพากษ์ วิจารณ์จนอาจหาข้อสรุปไม่ได้ ในที่นี้ผมจะนำเสนอในมุมมองของผมอันเป็นความคิด เห็นส่วนตัวจากประสบการณ์จริง ซึ่งผมเป็นคนหนึ่งที่เข้าไปร่วมอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น โดยจะขอกล่าวถึงจุดเริ่มต้นอันเป็นที่มานั้นว่า เกิดจากอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกกลางทุ่งนาบางเลน จังหวัดนครปฐม ซากสัตว์ป่านาๆชนิดและอาวุธสงครามที่ใช้ในการล่าสัตว์ ตกกระจายไปเกลื่อนทุ่ง อันเป็นหลักฐานให้ขยายผลไปสู่การล่าสัตว์ทุ่งใหญ่นเรศวรของคณะนายทหารและตำรวจ รัฐบาลจอมพลถนอมออกมาปกป้องด้วยการบอกว่า คณะนายทหารไม่ได้เข้าไปล่าสัตว์ หากแต่ไปราชการลับเพื่อให้การอารักขาแก่นายพลเนวิน ประธานสภาปฏิวัติของพม่า ที่เดินทางมาเยือนไทยในเวลานั้นพอดี อันเป็นเสมือนหนึ่งดูแคลนปัญญาของประชาชน ว่าเป็นพวกคนกินแกลบ จึงได้เกิดมีการเคลื่อนไหวโดยเริ่มจากนักศึกษาปัญญาชนในรั้ว มหาวิทยาลัยรามคำแหง ด้วยการพิมพ์ข้อความลอยๆ ลงบนหนังสือชมรมคนรุ่นใหม่ ชื่อ มหาวิทยาลัยที่ยังไม่มีคำตอบว่า �สภาสัตว์ป่าแห่งทุ่งใหญ่ฯ มีมติต่ออายุสัตว์ป่าอีก ๑ ปี เนื่องจากสถานการณ์ภายในและภายนอกเป็นที่ไม่น่าไว้วางใจ� อันเป็นการแทงถูกกลางใจดำของจอมพลถนอมอย่างพอดิบพอดี เพราะมีการต่ออายุราชการในปีนั้นพอดี ผลของการออกหนังสือดังกล่าวเป็นเหตุให้ ดร.ศักดิ์ ผาสุขนิรันดร์ สั่งลบชื่อนักศึกษา ต้นคิดในเรื่องนี้ออกถึง ๙ คน ส่งผลให้เกิดการรวมตัวกันประท้วงคำสั่งของ ดร.ศักดิ์ จากนักศึกษาภายในมหาวิทยาลัยรามคำแหงและเหตุแห่งการประท้วงในครั้งนี้ ทำให้ศูนย์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยยื่นมือเข้าสนับสนุน จึงมีปรากฏการณ์นักศึกษา จากทุกสถาบันเข้าร่วมประท้วงที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อวันที่ ๒๑-๒๒ มิถุนายน ๒๕๑๖ จำนวนนับหมื่นคนในเวลาอันรวดเร็ว ดร.ศักดิ์ไม่อาจทนอยู่ภายใต้ความกดดัน จึงได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งอธิการบดี และทางมหาวิทยาลัยรามคำแหงมีมติให้ รับนักศึกษาทั้ง ๙ กลับเข้าศึกษาต่อ ซึ่งเหตุการณ์ควรถือได้ว่าสิ้นสุด แต่การกลับไม่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากเกิดมีปรากฏการณ์รุกคืบในเวลาต่อมา แต่ในครั้งนี้บทบาทในการเคลื่อนไหว เปลี่ยนมาเป็นศูนย์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยซึ่งนำโดยนายธีรยุทธ บุญมี โดยมีกลุ่ม อาจารย์ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เข้าร่วมและให้การสนับสนุนอย่างเปิดเผยในการก่อตั้ง �กลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญ� และได้ประกาศตัวด้วยการนัดสื่อมวลชนแถลงการณ์ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๑๖ เพื่อแจ้งวัตถุประสงค์ในการดำเนินการ อันเป็นเหตุการณ์ที่ ห่างจากกรณีนักศึกษารามฯ ประท้วงหลายเดือน ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไม่อาจที่จะปฏิเสธได้ว่า ไม่ได้ร่วมสนับสนุนในการโค่นล้มทักษิณ การเปิดประตูให้นายสนธิ ลิ้มทองกุลได้เข้าไป ตะแบงท้าก..ษิณออกไป โดยมีบรรดาคณาจารย์เข้าร่วม ดังที่ผมได้บอกว่าล้วนเป็นกลุ่มคนที่มีความสัมพันธ์กับบุคคลรับใช้ใกล้ชิดเบื้องยุคลบาท อันหมายถึง ดร.สุเมธ ตัณติ เวชกุล ผู้ดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วก็เลยทำให้ผมต้องย้อน มองอดีตทำให้ผมพบว่า อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ นั้นมี ชื่อว่า ศาตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์ ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งองคมนตรีตั้งแต่ปี ๒๕๑๐ และเป็นผู้มีบทบาทเป็นอย่างสูงในการอนุญาติให้ใช้สถานที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทำการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลจอมพลถนอม แล้วหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ท่านก็ ลาออกจากตำแหน่งองคมนตรีไปรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เช่นเดียวกับองคมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ นายกรัฐ มนตรีคนปัจจุบัน เหตุการณ์ล่มสลายของระบอบเผด็จการทหารที่ไม่มีใครเคยคาดคิดว่าเป็นไปได้ ดังนั้น การโค่นล้มจึงไม่ได้มีการวางแผนมารองรับ จึงทำให้ประเทศชาติเกิดปัญหาความไม่เป็นระเบียบ ประชาธิปไตยเบ่งบานจนมีกลุ่มคนที่เพลินกับเสรีภาพ ที่เพิ่งได้มาใหม่กัน อย่างที่เรียกว่าเกินขอบเขต ทหารตำรวจไม่กล้าแต่งเครื่องแบบออกปฏิบัติหน้าที่ บ้านเมืองขาดทั้งระเบียบและวินัย จึงกลายเป็นจุดอ่อนของกลุ่มอำนาจเก่าที่ผมเรียกว่า พรรคข้าราชการหรืออมาตยาธิปไตย สามารถวางแผนทวงคืนอำนาจได้ ภายใต้นโยบายขวาพิฆาตซ้าย โดยใช้ยุทธการ�ฆ่ามดต้องใช้มดฆ่าหรือฆ่าปลวกก็ต้องใช้ปลวกฆ่า� พูดให้เข้า ใจง่ายๆ นั่นก็คือ แผนปลุกให้มีการฆ่ากันเองในหมู่นิสิตนักศึกษา ดังนั้นการดึงนักศึกษา อาชีวะให้ออกมายืนอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับศูนย์นิสิตฯจึงเกิดขึ้น โดยมีการแบ่งฝ่ายกันอย่างชัดเจนให้เป็นฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย พล.ต.สุดสาย หัสดิน รองผู้อำนวยการ กอ.รมน. หรือที่รู้จักกันในนามเจ้าพ่อกระทิงแดง นั้น ได้ใช้งบประมาณราชการลับในการสนับสนุนในการฝึกซ้อมการสู้รบตลอดจนการใช้อาวุธให้กับกลุ่มนักศึกษาอาชีวะ โดยมีการเสนอยศร้อยตรีทหารเข้าล่อหัวโจกที่เป็นแกนนำบางคน และถึงกับลงทุนให้ลูกชายสืบสาย หัสดินร่วมกับ เฉลิมชัย มัจฉากล่ำ (ผู้พันตึ๋ง) สมศักดิ์ ขวัญมงคล เป็นหัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการเลยทีเดียว ในขณะที่การฝึกซ้อมเป็นไปอย่างจริงจัง พล.อ.สายหยุด เกิดผล เสนาธิการ กอ.รมน และ พล.อ.วัลลพ โรจนวิสุทธิ์ เจ้ากรมข่าวทหาร ก็ได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงก่อตั้งกลุ่มนวพลขึ้น มารองรับอย่างเร่งรีบ และนวพลคนสำคัญที่เป็นสมาชิกหมายเลข ๑ อันมีรหัสสมาชิก เลขที่ ๐๐๑ นั้นมีชื่อว่า พล.ท.สำราญ แพทย์กุล อดีตแม่ทัพภาคที่ ๓ ซึ่งก็ดำรงตำแหน่ง เป็น องคมนตรีอยู่ในเวลานั้น และได้เป็นผู้ที่ออกมาเรียกร้องให้เห็นความสำคัญเกี่ยวกับความรักชาติว่า �ชาติจะอยู่รอดได้เพราะวัดกับวัง� ด้วยความสำคัญแห่งวัดและวังนี่เอง จึงปรากฏมีพระนักเทศน์ชื่อดังนาม กิติวุฒิโฑ ร่วมเป็นสมาชิกนวพลในอันดับต้นๆ และทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพให้อย่างไม่ได้ตั้งใจในกรณี �ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป� ที่ท่านเทศน์ในวันหนึ่ง ซึ่งทำให้เกิดความสะท้านสะเทือน ไม่เพียงแต่ในวงการสงฆ์ด้วยกันเท่านั้น แม้แต่ต่างชาติต่างศาสนาที่ไม่ได้เป็นคนไทยหากได้ยินก็ยังต้องขนลุกขนพอง ท่านผู้อ่านโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ต้องอ่านชนิดคำต่อคำดังนี้ครับ �ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป ใครก็ตามที่คิดทำลายชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์นั้น ถือว่าเป็นมาร มิใช่มนุษย์ การฆ่ามารจึงไม่บาป หากแต่เป็นภาระหน้าที่ของคนไทยจะ ต้องทำ การฆ่า ถ้าเป็นการฆ่าเพื่อชาติ แม้จะได้บาปจากการฆ่า แต่ก็ได้บุญจากการป้องกันชาติให้พ้นจากศัตรู ถ้าจะเปรียบให้เข้าใจง่ายขึ้นนั้น การฆ่าคอมมิวนิสต์ก็เหมือน การฆ่าปลาตักบาตรถวายพระนั่นเอง� กลุ่มนวพลตั้งขึ้นเมื่อ เดือนตุลาคม ๒๕๑๗ และได้มีการอธิบายจากกลุ่มผู้ก่อตั้งว่าต้องการให้มีความหมายว่าเป็นกลุ่มพลังใหม่ โดยเลือกใช้คำนว(นะวะ)ซึ่งแปลว่า ๙ อัน หมาย ถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวราชการที่ ๙ ดังนั้นการสื่อความหมายจึงแปลได้ ความว่า พลหรือพลังใหม่ในพระเจ้าอยู่หัวของพวกเรานั่นเอง ส่วนจุดประสงค์หลักในการก่อตั้งกลุ่มนวพลนั้นก็เพื่อต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยมีนโยบายให้เป็นกลุ่มข้าราชการในระดับท้องถิ่นเป็นแรงขับเคลื่อนดำเนินการ โดยมีเป้าหมายในการหาสมาชิก อยู่ที่กลุ่มนักธุรกิจอย่างเป็นด้านหลัก ดังนั้นจึงไม่อาจปฎิเสธได้ว่า มีการวางแผนล่วงหน้าที่ จะยัดเยียดข้อหาคอมมิวนิสต์ให้แก่นิสิตนักศึกษาแบบเหมารวมจากรัฐด้วยความจงใจมาก่อน จึงอย่าได้แปลกใจที่ผลพวงในการก่อตั้งกลุ่มนวพลนั้นสามารถฉุดบทบาทของลูกเสือชาวบ้าน ให้ขึ้นมาโดดเด่นและกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันกับกลุ่มนวพลจนแยกกันไม่ออก ลูกเสือชาวบ้านก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ๒๕๑๔ โดยมีจุดประสงค์ในการส่งข่าวสารและแจ้งเบาะแสข้อมูลที่เกี่ยวกับคอมมิวนิสต์ให้กับทางราชการ เพราะลูกเสือชาวบ้านในเวลา นั้นมีการกระจายออกสู่คนทุกอาชีพ ทุกศาสนา และทุกชนชั้น รวมกันทั้งประเทศมีอยู่หลายล้านคน แต่ละคนจะถูกปลูกฝั่งให้ยึดมั่นอยู่กับชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ให้ยึดถือคอมมิว นิสต์เป็นศัตรูตัวร้ายในการทำลายชาติ ที่ต้องช่วยกันกวาดล้างให้สิ้นซาก ลูกเสือชาวบ้านดำเนินงานผ่านหน่วยงานระดับท้องถิ่นสังกัดกระทรวงมหาดไทย ประชาชนที่ได้เข้าร่วมการเข้าค่ายฝึกอบรมจะได้รับผ้าพันคอสีแดงเป็นสัญลักษณ์ ในปี๒๕๑๙ ลูกเสือชาวบ้านมีความคึกคักเป็นอย่างยิ่งในกลุ่มบุคคลชั้นสูงและกลุ่มบุคคล ผู้มีอันจะกินอันเนื่องจากมีการปลุกระดมในลักษณะกึ่งข่มขู่ให้เห็นถึงภัยคอมมิวนิสต์ ว่าหากปล่อยให้เข้ายึดครองประเทศได้จะถึงคราวสูญทรัพย์สิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน และดูเหมือนจะไม่มีรุ่นไหนโด่งดังเกินรุ่นเจ้าจอมมารดาฯ ที่ตั้งค่ายฝึกอบรมที่สวนลุมพินี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระราชดำเนินไปพระราชทานธงลูกเสือชาวบ้านและผ้าพันคอ ดังนั้นเหตุการณ์เมื่อ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ที่มีการปลุกกระแสว่าศูนย์นิสิตฯเป็นคอมมิวนิสต์และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ ในกรณีนักศึกษาแสดงละคร ล้อการเมืองโดยหยิบยกกรณีพนักงานการไฟฟ้าสองคนถูกฆ่าแขวนคอ แต่ภาพได้ถูกแต่งเติมให้ดูเหมือนพระบรมโอรสาธิราชฯ และมีการตีพิมพ์ออกสู่สาธารณะ จากหนังสือพิมพ์ดาวสยามและบางกอกโพสท์ และได้ถูกนำไปตอกย้ำผ่านทางวิทยุยานเกราะ จึงอย่าได้แปลกใจว่าทำไมกลุ่มลูกเสือชาวบ้านจึงไม่รีรอที่จะกระโจนเข้าร่วมกับกลุ่มกระทิงแดง และกลุ่มนวพลเข้ากวาดล้างด้วยวิธีรุนแรงอย่างกระหายด้วยความแค้น ส่วนกรณีพฤษภาทมิฬนั้น เป็นเรื่องของการเรียกร้องที่นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการ เลือกตั้ง โดยมีคนหัวเกรียน พล.ต.จำลอง ศรีเมืองและกลุ่มคนหัวโล้นจากสันติอโศกเป็นแกนนำ ที่ผมเห็นเป็นเรื่องไร้สาระและเคยปฎิเสธที่จะไม่ขอวิจารณ์ แต่ถ้าจะไม่พูดถึงเสียเลยทีเดียวก็จะทำให้บทความชิ้นนี้ขาดความสมบูรณ์ ดังนั้นผมจึงขอกล่าวในส่วนที่ มีความเกี่ยวข้องกับบทความเรื่องนี้เท่านั้น ซึ่งเรื่องก็มีจุดเริ่มต้นมาจากการช่วงชิง อำนาจ นั่นแหละ โดยที่พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ร่วมมือกับนายทหารจปร.รุ่น๕ ที่มี พล.อ.สุจินดา คราประยูร เป็นแกนนำโค่นล้มอำนาจกลุ่มนายทหารจปร.รุ่น ๗ เนื่องจากไม่มั่นใจในการ ที่จะได้ทะยานขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ดังนั้น พล.อ.ชวลิต จึงใช้กลยุทธ์แบ่งกันกิน ด้วยการประกาศชัดเจนว่าจะขออยู่ในตำแหน่งเพียงสองปี แล้วก็จะสละเก้าอี้ให้ พล.อ.สุจินดาได้นั่งต่อ ทั้งนี้เพื่อสกัดกั้นพล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ ที่มีกลุ่มนายทหารจปร.รุ่น ๗ ที่มี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นแกนนำให้การสนับสนุน และเมื่อเกิดรายการนัดแล้วใยไม่มา จึงทำให้นายทหารรุ่น ๗ มีอันต้องโดนปลดออกจากราชการหลายคน จึงกลาย เป็นรอยแค้นที่รอวันชำระ ส่วนพล.อ.พิจิตรเองก็โดนไปหลายเด้งจนแทบหมดสภาพ ความเป็นคนด้วยเหตุใยไม่มา
พล.อ.ชวลิตได้ขึ้นดำรงตำแหน่งผบ.ทบ.สมใจนึก และนาทีระทึกใจก็มาถึงเมื่อเวลาผ่านพ้นไปสองปี ถึงทีที่จะต้องส่งมอบเก้าอี้ตัวใหญ่ให้กับพล.อ.สุจินดา ตามสัญญา พล.อ. เปรม ก็ออกมาให้สติว่า �ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกนั้นได้มาง่ายนักหรือ� นายพล คนซื่อที่ว่านอนสอนง่ายอย่างจิ๋วจึงมีความจำเป็นที่ต้องอยู่ต่อไปอีกหนึ่งปี ครั้นพอครบ อีกปี พล.อ.ชวลิตก็เลยดำน้ำอ้างว่าผู้ใหญ่ขอให้อยู่เพื่อรับใช้ชาติต่ออีกหนึ่งปีหลังจากย่องเข้าพบเปรม ก็อย่างที่ผมเคยเรียนกับท่านผู้อ่านไปแล้วว่าฝีมือแยกแล้วปกครอง ไม่มีผู้ใดในแผ่นดินที่มีความเหนือชั้นไปกว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นรัฐบุรุษของผมคนนี้ ดังนั้นปรากฎการณ์ข้างบนฉุดข้างล่างดันจึงตามมา สุดท้ายพล.อ.ชวลิตก็ไม่อาจยื้ออยู่บนตำแหน่งได้อีกต่อไป จำต้องไปรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ จงใจเอาเข้าล่อเพื่อให้ออกจากถ้ำ และก็เป็นตำแหน่งที่พล.อ.ชวลิตมีอันจะต้องบอบช้ำที่สุด อันเกิดจากฝีมือคุณชายสุขุมพันธ์ประสานกับเหลิม ดาวเทียมในกรณีตู้ทองเคลื่อนที่ของหญิงหลุย พร้อมกับไล่ให้พล.อ.ชวลิต ไปปัดกวาดบ้านตัวเองก่อน การรุมยำพล.อ.ชวลิตได้รับการปกป้องจากฝ่ายทหารแบบชนิดตาต่อตา ทั้งพล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและพล.อ.สุจินดา คราประยูร ด้วยการประกาศกร้าว ว่า พล.อ.ชวลิต เป็นสัญลักษณ์ของกองทัพ การที่ฝ่ายการเมืองย่ำยี พล.อ.ชวลิตก็เหมือน ย่ำยีกองทัพ การกระทบกระทั่งทางการเมืองบานปลายจนกลายเป็นเงื่อนไขแห่งการปฎิวัติ และในที่สุดก็มีการยึดอำนาจโดย รสช. ช่วงนี้เป็นช่วงแห่งความหวาดระแวงอันมีเป้าหมายอยู่ที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่ง พล.อ. ชวลิต หมายมั่นที่จะไขว่คว้ามาให้จงได้ แต่พลันที่เฒ่าสารพัดพิษอย่างหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ แห่งซอยสวนพลูออกมาให้ความเห็นว่าโหงวเฮ้ง พล.อ.สุจินดา ดูดีมีราศีกว่า พล.อ.ชวลิต ส่งผลให้ความระแวงที่มีอยู่ก่อนแล้วกลายเป็นความกดดันที่ต้องออกมา ตีลูกกันว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง และเมื่อ พล.อ.สุจินดา ตระบัดสัตย์เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขบวนการต่อต้านจึงเกิดขึ้น ดังที่ผมเคยบอกว่า เป็นการต่อสู้ที่ไร้สาระ เพราะจริงๆแล้วเป็นการช่วงชิงอำนาจของสองผู้ยิ่งใหญ่แห่ง จปร.รุ่น ๑ และรุ่น ๕ โดยมีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นเดิมพันส่วน จปร.รุ่น ๗ ก็สบโอกาสที่จะล้างแค้นหลังจากที่ได้รอคอยมานานแต่มีประชาชนไปตายแทน และผู้ที่ได้ไปเต็มๆ ก็หนีไม่พ้นรัฐบุรุษเปรมจอมสร้างภาพนั่นเอง ที่ผมบอกว่าจอมสร้างภาพนั้น ซึ่งความจริงแล้วผมน่าที่จะใช้คำว่าจอมอำมหิตมากกว่า ทั้งนี้ผมไม่ได้ใส่ร้ายอันเกิดจากความเกลียดชังโดยปราศจากเหตุผล เพราะในเหตุการณ์ หน้าสิ่วหน้าขวานในขณะนั้นถ้าหาก พล.อ.เปรม มีความจริงใจที่จะแก้ปัญหาแล้ว เหตุใดจึงปล่อยให้เรื่องมันบานปลายจนเป็นเหตุให้เกิดการตายหมู่แล้วจึงลงมาหย่าศึก นั่นไม่เป็นเพราะต้องการอวดศักดานุภาพในความเป็นคนที่มากด้วยบารมีดอกหรือและเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็มีที่มาจากแผนแยกแล้วปกครองในระบอบเปรมาธิปไตยอย่างไม่อาจปฎิเสธได้ส่วนกรณีท้าก...ษิณออกไป ผมคงไม่ต้องนำเสนอในที่นี้ ให้ท่านผู้ที่ต้องการทราบรายละเอียดไปติดตามอ่านจากบาทความเรื่อง ความแค้นของคนชื่อเปรม เปรมาธิปไตย และ พระมหาอุปราชเปรม
บทสรุป
ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่าเหตุการณ์ต่อสู้ที่ผ่านมาและที่ กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้ ล้วนมีสาเหตุมาจากคนที่ได้ชื่อว่ารับใช้ใกล้ชิดฯจะด้วยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจผมไม่อาจทราบได้ แต่จากประเด็นที่ผมได้เขียนและชี้ให้เห็นนั้น ไม่อาจปฏิเสธหรือกล่าวหาว่าข้อมูลที่ผมนำเสนอเป็นเรื่องโคมลอย และในฐานะที่ผมเป็นคนไทยคนหนึ่งที่มีความจงรักภักดีต่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นที่เคารพสักการะสูงสุดของปวงชนชาวไทย ผมจึงได้มีการเรียกร้องให้ช่วยกันตรวจสอบพฤติกรรมของคนกลุ่มนี้ และที่ทำให้ผมหมดความอดทนจนต้องมานั่งเขียนร่ายยาวอยู่ขณะนี้ นั่นก็คือการทำปฏิวัติหรือรัฐประหาร นั้นทุกคนย่อมทราบดีอยู่แก่ใจแล้วว่าเป็นความผิดฐานกบฏซึ่งกฏหมายเขียนไว้ชัดเจนว่ามีโทษถึงประหารชีวิต แล้วเหตุใดผู้ก่อการรัฐประหารที่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้า จึงบังอาจใช้ชื่อว่า �คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมาหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(ดูคล้ายกับว่าชวนกระษัตริย์ปฏิวัติ ในที่นี้ข้าพระพุทธเจ้า มิได้หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพียงแต่ข้าพระพุทธเจ้ากำลังแปลเจตนาของฝ่ายทหารเท่านั้น ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกโกรธเคืองทหารกลุ่มดังกล่าว ที่บังอาจกระทำการข้ามฝ่าละอองธุลีพระบาท ทำให้พระองค์ทรงทุกข์ใจ)� การใช้กำลังเข้ายึดอำนาจนั้น บนความเป็นจริงแล้วจะใช้คำว่าในระบอบประชาธิปไตยนั้น ผมก็ยอมรับไม่ได้อยู่แล้ว ยังมีการต่อคำพ่วงท้ายว่า �อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข� ด้วยความจงใจที่จะให้เข้าใจว่า พระมหากษัตริย์ทรงยินยอมพร้อมพระทัยกระนั้นหรือ เพราะแม้แต่มีการถวายฏีกาขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯของเรายังมีกระแสพระราชดำรัสว่า “ให้พระราชทานมิได้....”A<>


โดย: pracha IP: 202.28.27.3 วันที่: 26 มีนาคม 2550 เวลา:10:36:55 น.  

 
อ่านข้อความทั้งหมดแล้วเข้าใจอะไรๆ ขึ้นเยอๆ ..เห็นด้วยกับบทสรุปครับ


โดย: คนกลาง IP: 203.188.54.161 วันที่: 3 เมษายน 2550 เวลา:3:29:48 น.  

 
ถ้ามีเวลาก็ช่วยนำบทความอื่น ๆ มาลงให้อ่านอีกนะครับ ได้ความรู้ลึก รู้จริง


โดย: คนกลาง IP: 203.188.54.161 วันที่: 3 เมษายน 2550 เวลา:3:33:34 น.  

 
แล้วรู้อ่ะป่าว ทักษิณ เจ๊ก ไหหลำ มัน รวยมาได้ยังงัยอ่ะ


โดย: mi5 IP: 203.155.29.60 วันที่: 1 พฤษภาคม 2550 เวลา:14:32:54 น.  

 
คนขายชาติทั้งหลายน่าไปอยู่เขมรให้รู้แล้วรู้รอดจะได้รู้ว่าสิ่งที่พูดอยู่ เวลาอยู่เขมรผลของการพูดจาอย่างนี้ผลมันจะได้อะไรกลับมา


โดย: พ่อทักษิณ IP: 125.25.23.138 วันที่: 20 สิงหาคม 2551 เวลา:17:34:47 น.  

 
ไอ้เลว เนรคุณ ใช้ภาษาไทย แต่ไม่ใช่คนไทย
หมายถึง อาคม ซิดนี่ย์


โดย: คนรักชาติ IP: 203.144.144.164 วันที่: 3 มีนาคม 2553 เวลา:9:34:25 น.  

 
คุณเข้า web นี้ได้ไม่ต้องสะเอะใช้แทนตัวว่า คนกลาง ถุย กลางใจพ่อคุณซิ


โดย: คนรักชาติ IP: 203.144.144.164 วันที่: 3 มีนาคม 2553 เวลา:9:45:31 น.  

 
สัตร์โลก ล่วนเป็นไปตามกรรม ไม่มีใครอยู่คำฟ้า เหนือฟ้ายังมีฟ้า


โดย: ฅนภูอ้อม IP: 203.121.162.40 วันที่: 1 มิถุนายน 2553 เวลา:13:05:26 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สุริยาอัสดง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




เปิดโลกด้วยแสงแห่งปัญญา
Thaiflood
Friends' blogs
[Add สุริยาอัสดง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.