วันอังคาร ที่ 30 ตุลาคม 2555

ที่มา : คมชัดลึก 

 ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ภายหลัง "ยงยุทธ วิชัยดิษฐ" อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้ลาออกจากทั้งสองตำแหน่ง หลัง อ.ก.พ.มหาดไทย 

มีมติให้ออกจากกรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์

                   ทำให้นอกจากจะต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรีแล้ว ยังต้องเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยใหม่

                   ในการปรับ ครม.ยิ่งลักษณ์ 3 ก็ถือว่าผ่านพ้นและชัดเจนไปแล้ว เมื่อในหลวงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ครม.ใหม่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา จำนวน 23 ตำแหน่ง ซึ่งมีทั้งรัฐมนตรี

หน้าเก่าหน้าใหม่ ถูกใจ ไม่ถูกใจ ก็ต้องดูผลงานหลังจากนี้

                   ที่ต้องลุ้นคือ ใครจะมาเป็น รองนายกฯ อันดับหนึ่ง ซึ่งหากเกิดปัญหาขึ้น คนคนนี้ต้องทำหน้าที่ "เบอร์หนึ่ง" แทน "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"

                   ที่ผ่านมา ผู้ที่เป็นรองอันดับหนึ่งมักจะเป็น รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีใครกล้ารับ เพราะถือว่าเป็นภาระที่หนักอยู่พอตัว ดังนั้นทุกเป้าสายตาจึงจับจ้องไปที่ "สุรพงษ์ โต

วิจักษณ์ชัยกุล" ที่ควบตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ซึ่งต้องดูความมั่นคงระหว่างประเทศอยู่กลายๆ "สุรพงษ์" จึงเป็นผู้ที่มีความเหมาะสมมากกว่ารองนายกฯ อีก 3 คน ไม่ว่าจะเป็น "ปลอดประสพ 

สุรัสวดี - พงศ์เทพ เทพกาญจนา - เฉลิม อยู่บำรุง"

                   และที่สำคัญเหนืออื่นใดเขาคนนี้ "ทักษิณ ชินวัตร" ไว้ใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องด้วยที่ผ่านมาทำงานอย่างมอบกายถวายชีวิต และไม่หวั่นต่อผลกระทบใดๆ ดังนั้นเชื่อได้ว่า เขาจะกลายเป็นตัว

เลือกอันดับหนึ่ง

                   ที่เหลือคือตำแหน่งหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ของพรรคเพื่อไทย ที่จะมีการเลือกในช่วงบ่ายวันที่ 30 ตุลาคม ซึ่งจะเป็นการลงคะแนนลับใช้เสียงข้างมากตัดสิน

                   โครงสร้างกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่คาดว่าคงไม่น้อยกว่า 21 คน ตามโครงสร้างเดิม แต่จะไม่เกิน 29 คน ตามที่กฎหมายกำหนด

                   มีกระแสข่าวการล็อบบี้ วิ่งเต้น ใน เก้าอี้หัวหน้าพรรคอันดับหนึ่งของประเทศไม่น้อยเพราะนอกจากจะสวมหัวโขนหัวหน้าพรรคแล้ว ย่อมต้องได้พ่วงเก้าอี้รัฐมนตรีไปด้วย เพราะจะได้

สมศักดิ์ศรี

                   ที่ผ่านมามีชื่อแคนดิเดตออกมาหลายคน ไม่ว่า ภูมิธรรมเวชยชัย, พล.ต.ท.วิโรจน์เปาอินทร์, พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์, พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต และจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ

                   อย่างไรก็ตาม สเปกคนใหม่มองกันว่า น่าจะต้องคล้ายกับหัวหน้าพรรคคนเดิม คือ รู้เรื่องการเมืองพอสมควร เป็นคนเข้ากับคนง่าย ศัตรูทางการเมืองน้อย คนในพรรคและเสื้อแดงยอมรับ ที่สำคัญถึงขนาดขีดเส้นใต้หนาๆ คือ นายใหญ่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องไว้ใจ

                   ข้อจำกัดต่อไป คนที่จะมาเป็นกรรมการบริหารพรรคต้องไม่เป็น ส.ส.เขต เพราะหากเกิดอุบัติเหตุก็ไม่จำเป็นต้องเลือกตั้งใหม่ หรือกระทบต่อพรรคในอนาคต

                   หากดูจากรายชื่อ ครม.ใหม่แล้ว ที่ปรากฏออกมาผู้ที่เหมาะสม น่าจะเหลือเพียง "จารุพงศ์" เพียงคนเดียวซึ่งโยกจาก "คมนาคม" มาคุม "มหาดไทย" แทน ยงยุทธ

                   เพราะคุณสมบัติน่าจะเข้าเกณฑ์มากที่สุดคือ ไม่ได้เป็น ส.ส.มีตำแหน่งรัฐมนตรี บุคลิกคล้าย "ยงยุทธ" ได้รับการยอมรับในพรรคและเสื้อแดง ที่สำคัญ พ.ต.ท.ทักษิณ"ไว้ใจ"

                   เก้าอี้ต่อไป เลขาธิการพรรค ปรากฏชื่อ เสี่ยอ้วน ภูมิธรรมเวชยชัย ซึ่งมีข่าวเป็นแคนดิเดตรัฐมนตรีใหม่แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ปรากฏชื่อใน ครม.ปู 3

                   การที่ เสี่ยอ้วน ไม่ได้เก้าอี้รัฐมนตรีในคราวนี้เนื่องจากนายใหญ่ต้องการให้มาจัดการวางระบบในพรรคใหม่ ให้แข็งแกร่งเป็นระบบมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาไม่มีการวางระบบอย่างชัดเจน

                   ดังนั้นการเร่งหาสมาชิกเพิ่ม คิดนโยบายใหม่ วางยุทธศาสตร์ ต้องเป็น เสี่ยอ้วน เท่านั้นถึงขนาดถูกมองว่า เป็นมันสมองของ ทักษิณ และตำแหน่งที่ได้คงหนีไม่พ้นเป็น แม่บ้านพรรค

                   ส่วนตำแหน่งโทรโข่ง หรือโฆษกพรรค เจ้าของเดิม เด็จพี่ นายพร้อมพงศ์นพฤทธิ์ ก็ต้องหนาวๆ ร้อนๆ ไม่น้อย เมื่อมีความพยายามจากบางกลุ่ม ต้องการอยากให้เปลี่ยนตัว เพราะไม่พอใจการทำงาน ที่ชอบออกมาพูดตอบโต้รายวัน เปิดศึกหลายด้านให้รัฐบาล

                   แต่ เด็จพี่ ก็ได้รับการช่วยเหลือจาก"นพดล ปัทมะ" ต่อสายหานายใหญ่ และเห็นตรงกันว่า "เด็จพี่" เหมาะสมเพราะทำงานมาตลอดและอาจถึงขั้นได้รับการยกเว้น ให้เป็นกรรมการพรรค

แต่เป็น ส.ส.ได้ เพราะตำแหน่งนี้อาจถูกฟ้องร้องหรือดำเนินคดี จึงอาจต้องมีเอกสิทธิ์คุ้มครอง แต่ก็มีบางฝ่ายไม่เห็นด้วยและกดดันให้มีการเซ็นใบลาออกไว้  

                   ส่วนกรรมการพรรคคนอื่นๆ คาดว่าน่าจะเป็นชุดเดิมหรือหน้าเก่า เพราะตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคเป็นที่ไม่ปรารถนาของใคร เพราะเสี่ยงต่อการถูกยุบพรรคและถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองได้

                   ลองนั่งคิดถึงการทำหน้าที่ของกรรมการบริหารชุดใหม่ หัวหน้าพรรคคงไม่ต่างกับหัวหน้าคนเดิม พูดน้อย นิ่งๆ เดินตามหลังนายกฯ ไปไหนขอไปด้วย โฆษกพรรคคงเดินสายยื่นสอบ

เรื่องต่างๆ นานา ตอบโต้รายวันเป็นกันชนเหมือนเคย

                   แต่ที่น่าจับตาคือเลขาฯ พรรค เพราะถือเป็นตัวจริง คือมันสมอง อยู่หลังฉากมาตลอด คราวนี้ออกมาอยู่หน้าฉาก เราคงได้เห็นการเดินหน้าเต็มรูปแบบของเพื่อไทยแน่ๆ

                   ซึ่งยุทธศาสตร์ของเพื่อไทย จะไปในทิศทางใด ต้องจับตา รอดูกันต่อไป แต่ที่แน่ๆ เราจะได้เห็นยุทธศาสตร์ 3 เดิน เดินตามเดินยื่น เดินหน้า