มีนาคม 2554

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
The Reader : read to write a life กับ แสตมป์ อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข
ที่มา://www.happyreading.in.th/article/detail.php?id=118
ขอบคุณบทความจาก : รายการ The Library ห้องสมุดจุดฝัน


The Reader : read to write a life กับ แสตมป์ อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข





น้ำตา คือบทเพลงที่ได้รับรางวัลเพลงยอดเยี่ยม จากเวทีสีสันอวอร์ด ถือเป็นรางวัลแรกในชีวิตของการเป็นนักแต่งเพลงของ แสตมป์ อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข The reader ของเราในวันนี้


จากนิสิตหนุ่ม จากคณะสถาปัตย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ ใช้ความสามารถทางด้านดนตรี ร่วมกับเพื่อนๆ แต่งเพลงให้กับละครคณะ ค่อยๆก่อร่างสร้างฝันเป็น วงดนตรี the 7th scene และ มีโอกาสได้ร่วมงานกับ บอย โกสิยพงศ์ ที่ทำให้เขาได้ ค้นพบว่า ตัวเองหลงรักการแต่งเพลง มากแค่ไหน ผลงานมากมายทำให้เค้ากวาดรางวัลไปแล้วกว่า 19 รางวัลจากเกือบทุกสถาบันในประเทศ สำคัญที่สุด คือ เขาบอกว่า การอ่านหนังสือสร้างแรงบันดาลใจให้เขาแต่งเพลง

“หนังสือเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงได้จริงๆ นะครับ คือ หลายครั้งที่เราอ่านหนังสือและก็จะคิดอะไรออกอาจจะเป็นเพราะว่าเนื้อหาของมัน มันได้พูดถึงสิ่งที่เรารู้อยู่แล้วแต่เราไม่ได้คิดถึง หรือว่าบางครั้งเนื้อหามันไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่เราคิดออกเลย แต่ว่าเราอ่านหนังสือแล้วเราได้ใช้เวลากับตัวเอง เราได้ถามตอบตัวเอง เมื่อนั้นปัญญาก็เกิด มันน่าจะเป็นเพราะว่าการอ่านหนังสือทำให้เรามีสมาธิครับ”

“ผมว่า Moment ที่ได้อ่านหนังสือ มันคือ Moment ที่เหมือนเรานั่งสมาธิ มันทำให้เกิดปัญญา เกิดไอเดียต่างๆ คือการอ่านหนังสือมันคือการคุยกับสมองตัวเอง ซึ่งถ้าเราคุยกันสักพักหนึ่ง จะลึกถึงหัวใจได้ คือการได้คุยกับตัวเองเนี่ยะมัน มันเจ๋งอ่ะ มันทำให้เราได้รู้จักตัวเอง แล้วก็เรารู้จักตัวเองว่าเราอ่านข้อความนั้นๆแล้วเรามีปฏิกิริยาอย่างไร คือมันได้ใช้ตัวเองเข้าไปตอบโต้กับสิ่งที่เราอ่านอยู่ อืม..ผมว่ามันเป็น Moment ที่ดี”

“ตัวอย่างอย่างเช่น อย่างเพลง “บ้านเล็ก” ที่ผมเขียนครับ ก็...ผมไปอ่านหนังสือของพี่นิ้วกลม คือ “ลอนดอนไดอารี่” นะครับ แล้วก็เขาไม่ได้พูดถึงบ้านเล็กหรอกพูดถึงว่าเขาอยู่ลอนดอนแล้วก็ทุกอย่างมันแพงมากแล้วก็..เวลาที่เดินออกไปนอกบ้านพักเขาเนี่ยะ สิ่งต่างๆรอบกายมันตะโกนเรียกเขาให้ซื้อกลับบ้านไปหมดเลยเนี่ยะเพราะว่าทุกอย่างมันดีไซน์ออกมาดีมาก ผมจำได้ว่าอ่านจบแล้วผมก็จดคำว่า “บ้านเล็ก” ไว้ในสมุดเลยไม่รู้ว่าทำไม พออ่านปุ๊บเออ..บ้านเราเล็กมันไปลิงค์กับสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว อยู่กับความทะลึงตึงตังของเรามันก็ทำให้เกิดเพลงขึ้นมาอะไรยังงี้ครับ”

หากใครได้ลองฟัง เนื้อหาในบทเพลงที่แสตมป์แต่ง จะรับรู้ได้ถึงตัวตนและมุมมองของเขาที่แสนละเอียดอ่อนและ เข้าใจโลก ซึ่งแสตมป์บอกว่า ทัศนคติที่ดีเหล่านี้ล้วนหล่อหลอมมาจากการอ่านหนังสือครับ อย่าง หนังสือเล่มนี้ครับ โตเกียวไม่มีขา หนังสือนำเที่ยวที่แสตมป์บอกว่าประทับใจ ไม่ใช่ในแง่สถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็นเรื่องวิธีคิด และมุมมองสิ่งที่พบเจอ เหมาะกับงานที่ต้องการไอเดียดีๆ ไม่ง่าจะเป็นงานเขียน งานโฆษณา หรืองานแต่งเพลงอย่างเค้า ที่ได้สะท้อนถึงเสน่ห์ของหนังสือได้อย่างน่าสนใจ

“ถ้าพูดถึงเสน่ห์ของหนังสือก็น่าจะเป็น..ผมชอบความเงียบของมัน..ความเงียบ..คือการอ่านหนังสือเนี่ยะคุณต้องการความเงียบแน่นอน คุณต้องการความสันโดษนะครับ แล้วก็เวลาที่เราอยู่ในโลกแบบนี้เนี่ยะความเงียบหายยากมากเลยนะ ความเงียบ...เราเดินไปไหนก็จะมีคนเรียกเรา เสื้อยืดตัวนั้นก็กำลังเรียกเราอยู่ด้วยตัวอักษรนั้น แต่ว่าหนังสือ มันต้องการความเงียบแล้วก็ไม่มีใครมาเรียกเรานอกจากมัน แล้วเมื่อความเงียบมาถึงง่ะหนังสือพูดกับเรา ใจเราพูดกับหนังสือ ผมว่ามันได้แสดงออกสิ่งที่อยู่ในใจออกมามากกว่าการตะโกนอีก ความเงียบครับ ผมว่าเสน่ห์มันทำให้เราได้หยุดแล้วก็มองดูตัวเอง ได้ถามใจตัวเองว่า เฮ้ย!เราเป็นแผลตรงไหนบ้าง เราบาดเจ็บตรงไหนบ้าง เราต้องการเยียวยาอะไรบ้าง เราขาดอะไรบ้าง เรามีอะไรเกินบ้างนั่นน่าจะเป็นเสน่ห์ของมัน”

คุณผู้ชมครับ ยิ่งมา ฟังมุมมองของนักแต่งเพลงที่ได้ทั้งกล่องและการยอมรับจากแฟนเพลงจำนวนมากอย่างแสตมป์ ก็ยิ่งทำให้เรารู้ว่าประโยชน์ของการอ่านหนังสือเนี่ยมากมายจริงๆนะครับ ไม่น่าเชื่อเลยว่า เราสามารถเรียนรู้ เทคนิค การเขียนเพลงให้โดนใจคนฟังจากการอ่านหนังสือดีๆ ได้ด้วย และนอกจากผลงานของนิ้วกลมที่เค้าชื่นชอบเป็นพิเศษแล้ว แสตม์ปยังแนะนำหนังสือสำหรับคนที่อยากเป็นนักแต่งเพลงเอาไว้ด้วย ไปฟังกันเลยดีกว่าครับ


“ชอบอ่าน “โอโช” เพราะว่าโอโชเล่าปรัชญาที่ไม่มีใครกล้าเล่า แล้วก็เจ๋งมากในภาษาที่คนรุ่นใหม่เข้าใจได้ เช่น เขาจะพูดถึงเรื่องพระพุทธเจ้า พูดถึงเรื่องพระเยซู พูดถึงเรื่องความต้องการของมนุษย์ พูดถึงเรื่องสัญชาตญาณมนุษย์ในแบบที่เราไม่กล้าที่จะยอมรับว่าเราเป็นอย่างนั้นอะไรอย่างเงี้ยะ เรารู้สึกว่าเออ..ยุคนี่มันต้องยังงี้แล้ว มันต้องไม่โกหกตัวเองแล้ว ก็เลยชอบ”


“ถ้าน้องๆ อยากเป็นนักแต่งเพลงนะครับ ถ้าอยากจะอ่านหนังสือสักเล่มผมว่าลองอ่านหนังสือ “Post Modern” ของอาจารย์ไชยันต์ ชัยพร เป็นหนังสือที่ผมว่าเหมาะกับคนทำ creative ทุกสาขานะครับ เป็นการเล่าเรื่องของ “Post Modern” ว่ามันคืออะไรแล้วก็มันเหมาะกับคนไทยยังไงนะครับ ซึ่งถ้าน้องมีไอเดียนี้อยู่เนี่ย น้องจะทำงานที่มัน....น้องจะมีคำถามต่อโลกว่า ทำไมสิ่งที่มันเป็นอยู่จะต้องเป็นอย่างนี้ แล้วเราจำเป็นต้องตามมันไหม แล้วมันเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดจริงไหม ผมว่าไอเดียเนี่ยสำคัญที่สุดต่อคนทำงานศิลปะ ดนตรี ทุกๆอย่างคือคำถามข้อสงสัยว่า ทำไมมันต้องเป็นแค่นี้ด้วย”

ดูเป็นหนอนหนังสือแบบนี้ ความจริงในวัยเด็กของหนุ่มคนนี้ แทบจะไม่จับหนังสือเลยก็ว่าได้ มาเปลี่ยนแปลงเพราะได้รับอิทธิพลจากเพื่อนๆครับ และ แสตมป์ยังฝากข้อคิดเรื่องคุณค่าของการอ่านหนังสือมาถึงน้องๆ โดยเฉพาะคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสืออีกด้วย
“เพื่อนเป็นอิทธิพล เพราะรู้สึกว่าเพื่อนเราทำไมถึงฉลาดจัง เพื่อนเราทำไมพูดจาคมจังเลย แล้วทำไมเราถึงโง่จังเลย แล้วเราทำไมพูดจาเหมือนคนในทีวีเหมือนคนในหนังไปหมดเลย เพราะว่าเราเสพแต่สื่อทีวี หนัง อะไรอย่างเงี่ยะ แต่..การอ่านหนังสือมันก็...มันมี choice ที่ง่ายก็เยอะ คือว่าทุกคนไม่ได้อ่านหนังสือเล่มเดียวกัน เราสนใจเรื่องนี้ เราก็ซื้อเล่มนี้มาอ่าน เพราะว่า choice มันเยอะมาก”

“จะบอกน้องๆ ว่าการอ่านหนังสือมันส์มากนะครับ อ่านหนังสือสนุกมาก สนุกไม่แพ้การดูหนังสนุกกว่าด้วยบ้างครั้งนะครับ ก็อย่าปิดใจให้กับอะไรสักอย่างในโลกนี้ก็ลองเปิดใจให้มัน ถ้าน้องไม่ชอบจริงๆค่อยเลิกก็ได้ ผมว่าถ้ามนุษย์อ่านหนังสือออก ไม่มีทางที่จะไม่ชอบอ่านหนังสือ ถ้าได้เจอหนังสือที่ตัวเองชอบจริงๆ อ่านพวกนิยายไปก่อนก็ได้สนุกดี คือแค่อ่านนิยายแต่เรามีจินตนาการ มีสมาธิกับมัน มันก็ช่วย”

ฟังเรื่องราวประสบการณ์ การอ่านหนังสือของแสตม์ปในวันนี้แล้ว เราไม่แปลกใจเลยว่าทำไมบทเพลงของเขาถึงอยู่ในหัวใจของคนฟังได้มากมายขนาดนี้ ก็เพราะ ประสบการณ์ การเดินทางของความคิด ที่ได้จากโลกของการอ่านนั่นเองครับ the reader ของเรายังฝากทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจครับ

“ผมว่าไม่ต้องเป็นนักแต่งเพลงก็ได้ อยากจะเป็นอะไรก็ได้ในโลกเนี่ย การอ่านหนังสือก็จะช่วยได้หมดนะครับ เพราะว่าไม่ว่าคุณจะทำอะไรในโลกคุณต้องรู้จักตัวเองก่อน ผมว่าการอ่านหนังสือทำให้ตัวเองรู้จักว่าตัวเองคิดอย่างไรก่อนต่อโลกใบนี้ “





Create Date : 18 มีนาคม 2554
Last Update : 18 มีนาคม 2554 21:10:59 น.
Counter : 280 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

SunMoonTreeSmile
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง เรื่อยๆแต่สัมผัสได้
บังเอิญแต่ไร้ความจงใจ ผ่านตาแต่จับใจ
Full house Full of LoVe