|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | |
|
|
|
|
|
|
|
สัมภาษณ์งานมาแหล่ะ
และแล้วก็ไปสัมภาษณ์งานที่บริษัทใหม่จนได้
เหลือแค่รอลุ้นผล ถ้าผู้บริหารญี่ปุ่นระดับสูงตกลงรับเราจริงๆ เราก็ต้องหาเรื่องลาเพื่อไปคุยกับผู้บริหารเกี่ยวกับเงื่อนไขการจ้างงาน
ตั้งแต่สัมภาษณ์งานมาในชีวิต รวมครั้งนี้เข้าไปด้วย นับรวมได้หกครั้งพอดีสินะ แต่ในการสัมภาษณ์งานทั้งหมด ครั้งนี้เป็นครั้งที่ประทับใจมากที่สุด ทั้งๆที่ก่อนไปเราไม่เคยคาดหวังอะไรเลย คิดแค่ว่าอยากลองไปสัมผัสบรรยากาศของบริษัทระดับไฮคราสดูบ้าง ประมาณว่าแค่บอกชื่อใครๆก็รู้จัก แฮะแฮะ กะแค่ไปลองลิ้มเป็นของว่างให้ชีวิต ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ซีเรียสอะไร
บริษัทนี้มีระบบที่ดีเลยไม่ใช่เรื่องแปลกที่บุคคลากรก็สุดยอด แค่ประชาสัมพันธ์ที่คอยรับโทรศัพท์ลูกค้าหรือต้อนรับคนที่มาติดต่อยังน่ารัก ไม่ใช่หน้าตาดีอย่างเดียว การพูดจา การทอดเสียง สายตาที่มองอีกฝ่าย ดูยังไงๆ ก็ไม่มีทางรู้ว่าน้องเค้าตอแหล แค่คุยด้วยแวบเดียว จ้องหน้าน้องเค้านิดเดียว โหหห เหมือนทุกอย่างออกมาจากใจ วินาทีแรกที่ก้าวเท้าเหยียบบริษัทก็ทึ่ง นี่แค่ประชาสัมพันธ์ยังขนาดนี้ แล้วสต๊าฟคนอื่นล่ะ โหหหหหหหหห มิผิดไปจากที่คาดคิดไว้เลย สุดยอดครับขอบอก ถ้าได้เข้าที่นี่มันคงเจ๋งไปเลย ให้ตายเถอะ
อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย แค่เดินเข้าตัวอาคาร ยังตระการตา เต็มไปด้วยผู้คนที่สวมชุดสูท ชาวต่างชาติก็เยอะ กรี๊ดดดดดดดดด ตอนชึ้นลิฟท์จ๊ะเอ๋กับหนุ่มฝรั่งหน้าตาดี โหหหหห ถ้าทุกวันได้เจอคนหล่อๆแบบนี้ สุนิภาพร้อมถวายหัวทำงานเลยค่ะ ฮะฮะฮะ น่าเสียดายพี่ฝรั่งสุดหล่อไม่ได้อยู่บริษัทเรา แต่แค่ได้เห็น ได้เดินผ่าน ได้เหลือบแลบ้าง แค่นี้ก็เพิ่มพลังให้สุนิภาพร้อมลุยกับปัญหาแล้วแหละ
กรี๊ดดดด ตอนลงจากลิฟท์ขากลับ พี่ฝรั่งสุดหล่อคนเดิมอยู่ในลิฟท์ด้วยอีกแล้ว สงสัยเนื้อคู่เราแน่นอนเลย ฟ้าประทานพรให้เราแล้ว ฮื่ม ฮื่ม ฮืม
นอกเรื่องเสียนาน เล่าเรื่องการสัมภาษณ์ดีกว่าเผื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนบ้างแต่ขอออกตัวไว้ก่อนว่าการไปสัมภาษณ์ในวันนี้เราไม่ได้เตรียมตัวเลย เตรียมใจอย่างเดียว ขนาดเอกสารหลักฐานยังเตรียมตอนก่อนออกเดินทางเลย スニパーらしいจริงๆ
พอไปถึงน้องประชาสัมพันธ์ผู้แสนจะน่ารักก็ให้เราเข้าไปนั่งที่ห้องประชุมและให้กรอกใบสมัครงาน จากนั้นคนญี่ปุ่นก็เดินเข้ามาเก็บใบสมัครและหลักฐานต่างๆ แล้วพี่ท่านก็เอาแบบทดสอบมาให้ทำ เป็นบทความสั้นๆหกเจ็ดบรรทัด เนื้อหาเกี่ยวกับระบบอะไรก็ไม่รู้เกิดมาไม่เคยได้ยิน บทความแรกให้แปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาญี่ปุ่น บทความที่สองให้แปลจากภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาอังกฤษ แม่เจ้า ให้เวลาหนูแค่สามสิบนาที ข้าน้อยรีบปั่นใหญ่เลย เราให้เวลาตัวเองบทความละสิบห้านาที เสร็จไม่เสร็จไม่รู้ทำเท่าที่ทำได้แต่เราต้องทำทั้งสองส่วน เพราะนายจ้างคงอยากเห็นระดับความสามารถภาษาญี่ปุ่นกับภาษาอังกฤษของเรา (คิดเองนะ)
ผ่านไปสามสิบนาที พี่คนญี่ปุ่นคนเดิมก็เดินกลับเข้ามาในห้อง นั่งอ่านงานแปลเราแป๊บนึงแล้วก็ถามว่า ยากไหม แฮ่ แฮ่ ยากมากส์ส์ส์เลยค่ะ
จากนั้นพี่ท่านก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง บรรเลงคำถามเป็นภาษาญี่ปุ่นรัวเร็ว
ตอนนี้ทำงานที่ไหน ทำหน้าที่อะไรบ้าง ทำไมอยากออก ก่อนมาทำงานนี้ เคยทำที่ไหน ทำหน้าที่ไรบ้าง ทำไมอยากออก ก่อนหน้านั้นทำงานที่ไหน ทำหน้าที่ไรบ้าง ทำไมอยากออก
นี่ถ้าเราผ่านมาสักห้าบริษัทพี่ท่านคงเดินหน้าถามหมดเกลี้ยง ดีนะที่มีแค่สามแห่ง
ทำไมอยากทำงานที่นี่ บอกตรงๆไปเลยว่าอยากอยู่กรุงเทพ แฮ่แฮ่ ทำไมอยากอยู่กรุงเทพ เราก็บอกตรงๆไปเลยว่าอยากเรียนเพิ่มเติม อยากเรียนอะไร ที่ไหน วันไหน เวลาเท่าไหร่ โหหหหหห พี่ท่านอยากรู้ไปหมด
พูดภาษาอังกฤษได้แค่ไหน เราก็บอกว่าพอได้แต่ภาษาญี่ปุ่นคล่องกว่า จากนั้นพี่ท่านก็เปลี่ยนเวอร์ชั่นเป็นภาษาอังกฤษทันที
คุณรู้เรื่องรถยนต์ดีแค่ไหน "ไม่รู้เลยค่ะ แฮ่ แฮ่"
ตอนเป็นครูสนุกไหม ชอบไหม แล้วจัดการเรียนการสอนยังไง
ข้อดีของคุณคืออะไร ข้อเสียของคุณล่ะ
เวลาเครียดๆ คุณทำไง "แชทกับเพื่อน ดูหนังฟังเพลง" แค่นี้คลายเครียดได้หมดไหม "เอ่อออ ไม่หรอกค่ะ แต่ที่คลายได้สนิทนักก็กินเบียร์ค่ะ"
ตอนเรียนที่ญี่ปุ่นคุณเรียนอะไร เรียนที่ไหน อยากเรียนต่ออีกไหม "โอ้ อยากมากเลยค่ะ"
อยากเรียนสาขาอะไรและทำไม
ตั้งใจว่าจะไปเรียนปีไหน "เอ่อ คงอีกหลายปีน่ะค่ะ เพราะต้องเก็บตังค์ก่อน แต่แผนที่ตั้งไว้ตอนนี้ คงอีกสามปีค่ะ"
ดูจากเงินเดือนที่คุณเสนอมา คุณเขียนขอน้อยกว่าเงินเดือนปัจจุบันนะ ทำไมล่ะ "คือว่า ก่อนย้ายมาที่ทำที่ปัจจุบัน ตอนนั้นคิดว่าตัวเองมีประสบการณ์แล้วหนึ่งปี ซึ่งมันน่าทำจะช่วยให้เราทำงานให้เค้าเต็มที่ แต่พอไปทำงานจริงๆ และได้เห็นพี่ล่ามคนญี่ปุ่นทำงานระดับเซียน ดิฉันเลยตระหนักได้ว่าตัวเองยังอ่อนด๋อยนัก จึงประเมินตัวเองว่ายังไม่คู่ควรกับเงินเดือนขนาดนั้น"
แล้วพี่ท่านก็ร่ายยาวเรื่องเนื้อหางานที่เราต้องรับผิดชอบถ้าได้เข้ามาทำงานที่นี่
"ที่นี่เรารับล่ามสองคน คนหนึ่งจะรับผิดชอบเป็นล่ามงานจีเอ ส่วนอีกคนเป็นล่ามในส่วนของการวิจัยและพัฒนา ล่ามจีเอเราได้แล้วตอนนี้ก็เหลือในส่วนหลัง แต่ก็อยากถามความสมัครใจคุณด้วยว่า คุณอยากทำล่ามส่วนไหน"
"ขอทำในส่วนวิจัยและพัฒนาค่ะ"
มีคำถามอะไรไหมคะ "มีค่ะ แล้วเราก็ถามๆ ถามๆ ถามมันทุกอย่างที่อยากรู้ จากนั้นก็บอกหมดคำถามค่ะ"
พี่ท่านเดินออกไป สักพักผู้จัดการฝ่ายบุคคลก็เดินเข้ามา
"สวัสดีครับ ผมชื่อxxx เมื่อกี้คุยกับคุณxxxที่สัมภาษณ์คุณเมื่อสักครู่ คุณxxxประทับใจและสนใจในตัวมาก เอาล่ะ เล่าเรื่องของคุณให้ผมฟังสิครับตั้งแต่เรียนประถมแต่ไม่ต้องเป็นภาษาญี่ปุ่นนะเพราะผมฟังไม่รู้เรื่อง(หัวเราะ)"
ข้าน้อยก็ร่ายยาวเลย
"อืมมมม คุณรับราชการมาก่อนนี่ ช็อคโลกมากเลยนะ ใครๆก็อยากเข้ารับราชการ ถ้าอยู่ทำงานที่นั่นต่อก็มีโอกาศเติบโตได้เป็นตำแหน่งอะไรนะ พวกศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ แล้วทำไมถึงออกล่ะ"
ไอ้เราก็ไม่รู้ว่าจะตอแหลทำไม บอกความจริงไปเลย ไม่ต้องปั่นแต่งให้เรื่องราวในชีวิตมันสวยหรู คิดและรู้สึกยังไงเราก็บอกความจริงทุกอย่าง (จริงๆแล้ว ไม่ได้เตรียมบทพูดหรูๆไว้ง่ะ) ณ ตอนนั้นคิดว่า ทำยังไงก็ได้ให้เค้ารู้จักตัวตนเราให้มากที่สุด ถ้ารับเราได้ก็แปลว่าเค้ารับที่เราเป็นเรา เมื่อถึงคราวที่ต้องทำงานร่วมกันเราจะได้ไม่เหนื่อยในการสร้างภาพให้ตรงกับตอนที่บอกว่าในวันสัมภาษณ์
"คุณได้อะไรจากการเป็นครู"
อืมมม "การให้ค่ะ การให้ที่ไม่หวังผลตอบแทน"
"เข้าใจความรักที่บริสุทธิ์และความเมตตาของครูที่มีให้กับลูกศิษย์"
"การทำงานแบบเซเว่นอีเลฟเวน ทำหน้าที่ครูยี่สิบสี่ชั่วโมง"
"พอได้คลุกคลีกับคนหลายรูปแบบ ต่างพ่อต่างแม่ ต่างระดับในสังคม การที่เราได้เห็นพัฒนาการของนักเรียนอย่างใกล้ชิดและการที่เราได้คลุกคลีกับคนที่หลากหลายทำให้เราเข้าใจเพื่อนมนุษย์มากขึ้น รู้จักที่จะอดทนและควบคุมความอารมณ์ความรู้สึก"
ตอบยาวเหยียดแต่พี่ผู้จัดการก็ตั้งใจฟังเราพล่ามแบบไม่ละสายตาไปจากใบหน้าเราเลย
"เราแยกลักษณะคนทำงานออกเป็นสองแบบใหญ่ๆ คือ คนที่ชอบท้าทายออกนอกกรอบ กับ คนที่ชอบยึดมั่นอยู่ในกรอบการทำงาน คุณคิดว่าคุณเป็นคนประเภทไหน"
"ตอนเรียนที่ญี่ปุ่นสนุกไหม ประทับใจอะไรบ้าง เรียนรู้อะไรจากการเรียนในต่างประเทศ"
"คุณรู้จักคนญี่ปุ่นดีแค่ไหน ต่างกับคนไทยตรงไหน"
"คุณจะประสานความต่างระหว่างญี่ปุ่นกับไทยได้อย่างไร"
"ที่ทำงานคุณในปัจจุบัน อืมมม เป็นบริษัทที่ใหญ่มากเลยนะ ผมรู้จักหลายคนที่นั่น ทำไมถึงอยากออก ตัดสินใจนานไหมก่อนที่จะสมัครงานนี้"
"โอเค จากที่ได้พูดคุยกับคุณ ผมรู้สึกประทับใจ และคิดว่าคุณคงสร้างสีสันให้พวกเราได้มากทีเดียว(เอ๊ะยังไง) เอาเป็นผมกับคุณxxx ประทับใจและโอเคกับคุณมาก เพราะคุณมีคุณสมบัติที่ตรงกับวัฒนธรรมของที่นี่ (เออ สงสัยจะชอบคนแปลกๆ) จากท่าท่าง น้ำเสียง การพูดจา บุคคลิกลักษณะ แนวความคิดและความเป็นตัวของตัวเอง ผมคิดว่าคุณน่าจะช่วยพัฒนาองค์กรของเราได้ (เฮ้ย จะรับกูแล้วเหรอวะ) เอาเป็นตอนนี้พวกผมยินดีต้อนรับ แต่คงต้องรบกวนให้คุณเข้ามาพูดคุยกับผู้บริหารญี่ปุ่นระดับสูง ซึ่งผมว่าคงไม่มีปัญหา ถ้ายังไงเราจะติดต่อกลับไปเพื่อนัดวันเวลานะครับ"
โอ้แม่เจ้า กระบวนการสัมภาษณ์เริ่มตั้งแต่เก้าโมงถึงเที่ยงกว่าๆ แค่ไม่กี่ชั่วโมง พี่ท่านตัดสินใจแล้วง่ะ สุดยอดจริงๆ
การสัมภาษณ์ในวันนี้ทำให้เรารู้ว่า การโกหก การเสแสร้ง และการสร้างภาพให้ตัวเองดูดี ไม่ได้ช่วยให้เราได้งานที่ตรงใจเราเสมอไป ในทางกลับกัน การที่เราพูดด้วยความจริงใจ ซื่อสัตย์ และตรงไปตรงมา กลับทำให้อีกฝ่ายรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา ทำให้เค้ายอมรับในความเป็นเรา และเป็นประโยชน์กับเราเช่นกันตรงที่เราก็จะสบายใจที่เค้ารับตัวเราจริงๆ ไม่ใช่ภาพที่เราสร้างขึ้น ไม่ต้องเกร็งและเสแสร้ง ไม่ต้องทำลายความรู้สึกเค้าเวลาที่ตัวตนเราเผยออกมาหลังจากที่ได้ร่วมงานกัน และเวลาทำงานจริงเราก็สามารถเป็นตัวของเราได้ ประมาณว่า "มึงรับกูมาเพราะกูเป็นนี้ดังนั้นอย่ามาว่ากูทีหลังนะโว้ย" ฮะฮะฮะ
ปัญหาต่อไปคือ เราจะบอกเจ้านายปัจจุบันว่าอย่างไรดี เคสนี้อาจต้องสตรอเบอรี่เล็กน้อย เพื่อไม่ให้เจ้านายเสียใจ แฮ่แฮ่
อินุ
Create Date : 20 กันยายน 2550 |
|
13 comments |
Last Update : 21 กันยายน 2550 7:35:07 น. |
Counter : 3338 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: p_tham 23 ตุลาคม 2550 11:01:13 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
สวัสดีคร้าบ ดูจากชื่อblogคงรู้ว่าเราชื่อจริงว่าอะไร แต่เพื่อนๆชอบเรียกว่า "อินุ" ขอย้ำว่า "อิ" ไม่ใช่ "อี" คนที่ทำงานเรียก "โอ๋" เพื่อนญี่ปุ่นบางคนเรียก "สุนิจัง" บางคนเรียก "สุนิปะ" อยากเรียกอะไรก็สุดแล้วแต่จะสะดวก ขออย่างเดียวเวลาด่า กรุณาด่าในใจนะคร้าบบบ
|
|
|
|
|
|
|