Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2554
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
23 มิถุนายน 2554
 
All Blogs
 

ซาตานรักบัลลังก์ทราย ตอนที่ 12

โดย แก้วอินทนิล

“องค์หญิงโซบีเด”
นางทาสร่างใหญ่น้อมกายถวายคำนับอย่างลนลาน ไม่ใช่เรื่องปกติที่นายหญิงผู้ดำรงศักดิ์สูงสุดแห่งอีแลมจะเสด็จยังห้องเครื่อง

หญิงอัปลักษณ์หมอบกายตัวสั่นงันงกด้วยหวาดกลัวความผิด

“นำนางมา” สุรเสียงกริ้วจัดตวาดดัง
นางทาสเบาปัญญายังคงตัวสั่นผวา ไม่เข้าใจความหมายจนต้องให้บอกซ้ำ

“นำนางทาสผู้นั้นออกมา”

องค์หญิงโซบีเดขุ่นแค้นแน่นอก ชีคหนุ่มผู้มีรูปลักษณ์ต้องตาแต่แรกเห็น เรือนร่างกำยำใบหน้าคมเข้ม ชาติตระกูลหรือก็ไม่ธรรมดา ชายชาตรีทั่วหล้าสำหรับนางแล้วขอเพียงต้องใจ อำนาจบารมี เงินทองล้วนไม่จำเป็น โซบีเดมีพร้อมแล้วทุกสิ่ง

ชั่วชีวิตขององค์หญิงผู้เลิศลักษณ์ ไม่มีสิ่งใดที่พึงใจแล้วไม่ได้มาครอบครอง องค์ชายจากเมืองไกล ขุนศึกหนุ่มผู้พิชิตมาแล้วทั่วทิศ ยังต้องสยบอยู่แทบเท้านาง

ยังไม่เคยพบชายเยี่ยงอัสเซมาน ชายผู้ปฏิเสธนางอย่างไม่ใยดี กลับห่วงหาแต่นางผู้ต่ำศักดิ์ นางทาสต่ำต้อยผู้นั้นมีดีอย่างไร อัสเซมานจึงห่วงหาไม่ว่ายามหลับหรือตื่น

โซบีเดเพิ่งละจากเขามา หลังจากตั้งใจว่าจะเข้าไปทำความรู้จักคุ้นเคยมากขึ้น แรกฟื้นคืนสติดูเขาพึงใจนางอยู่ไม่น้อย แต่หลังจากนั้นกลับวางท่าเฉยเมย ทั้งยังมองออกว่าไม่ยินดีในการสนทนากับนาง คำแรกที่หลุดจากปากคือถามหานางทาสที่เดินทางมาด้วยกัน

นั่นคือชนวนแห่งเพลิงโทสะขององค์หญิงโฉมงาม จนต้องรีบรุดมาด้วยตนเอง

วิภาฟาฮัตนางทาสร่างอ้วนฉุดกระชากดุลยาผลักลงแทบเท้า กล่าวประจบเอาใจใส่ไคล้

“นางทาสมาแล้วเพคะนายหญิง นางขี้โรคไร้เรี่ยวแรง ทำอะไรก็ไม่เป็นแถมโง่เง่า วิภาสอนอะไรก็ไม่จำเลยเจ้าค่ะ สมองกลวงจริงๆ”
นางแสยะปากเชิงรังเกียจ

ดุลยาตกใจตัวสั่น เธอทำงานเหนื่อยหนักมาทั้งวันอย่างไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน จู่ๆนางทาสอ้วนก็เข้าไปลากตัวถึงที่ ทั้งหยิกตีฉุดกระชาก ปากก็ร้องด่าสารพัด

“อีโง่ แกไปทำความผิดอะไรไว้ องค์หญิงถึงต้องเสด็จมาตามถึงที่นี่ ซวยจริงๆฉันไม่น่ารับแกมาดูแลเลย อย่าได้ซัดทอดฉันทีเดียวเชียว ถ้าแกพูดมากล่ะก็ ฉันจะตบให้น่วมเลยคอยดู” วิภาฟาฮัตชี้หน้ากล่าวคาดโทษเอาไว้

ร่างเล็กบอบบางทรุดอยู่แทบเท้าราวกองผ้าขี้ริ้วเก่าๆ โซบีเดชักเท้าหนีด้วยความเดียดฉันท์

“เงยหน้าขึ้นซิ เงยหน้าขี้น!” นังทาสสกปรกมันจะสักเท่าไรกันขนาดเสื้อผ้ายังเก่าขาดโสโครกเสียขนาดนี้

ดุลยาค่อยเงยหน้าขึ้นตามคำสั่ง เพราะหากยังขืนชักช้านางวิภาที่อยู่ด้านหลังคงไม่ใช้แค่มือสะกิดแน่

ใบหน้าเล็กมอมแมมเงยขึ้นสบตา โซบีเดรู้สึกชาวูบตลอดร่างยามเมื่อสบกับดวงตากลมที่วาววามคู่นั้น ตากลมโตสีนิลที่คลอด้วยน้ำตายิ่งส่องประกายพราว

แม้แววตาจะดูเลื่อนลอยหวาดหวั่นแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่างดงามยิ่งกว่าอัญมณีใดที่เคยพบมา ใบหน้างามประหลาดที่แม้คราบฝุ่นเขม่าดำหรือเสื้อผ้าขะมุกขะมอมก็ไม่อาจบดบังเอาไว้ได้

มันอย่างนี้นี่เล่า! ที่ขุ่นแค้นในใจดูเหมือนจะร้อนรุ่มเพิ่มอีกร้อยเท่าพันเท่าด้วยริษยา งามอย่างนี้นี่เล่า
“เจ้าเป็นทาสอย่างนั้นหรือ”

“ข้าเป็นทาสของท่านอัสเซมานเจ้าค่ะ นายหญิง” ดุลยาลนลานรับคำ

“นายของข้าเป็นอย่างไรบ้างนายหญิง เขาบาดเจ็บหรือเปล่า ท่านให้ข้าได้พบเขาได้หรือไม่นายหญิง”

โซบีเดมองนางทาสโฉมงามผู้เกาะกุมข้อเท้าของนางอย่างตรึกตรอง
มันสำคัญต่ออัสเซมานอย่างไร เหตุใดชีคหนุ่มจึงห่วงใยยิ่งกว่าความเป็นความตายของตนเอง

ที่สำคัญ

มันเป็นเพียงทาสแน่หรือ??

“นายของเจ้าปลอดภัย เขาสบายดี” โซบีเดยิ้มหยัน
“ไม่ต้องห่วง เขาอยู่ในความดูแลของข้า”

“เขาฝากข้าให้มาดูนางทาสที่ติดตามเขามา และตอนนี้เขายกเจ้าให้ข้าแล้ว” โซบีเดย่อกายลงเชยคางนางทาสสกปรก

“เจ้าเป็นคนของข้า เป็นทาสของข้า เข้าใจหรือไม่” ดุลยาได้แต่ค้อมศีรษะรับ

“องค์หญิงตรัสด้วยก็ตอบสินังโง่”
วิภาฟาฮัตที่ด้านข้างผลักไหล่บอบบางจนเซ ครั้นเงยหน้าขึ้นยิ้มประจบก็พบดวงเนตรแข็งกร้าวของนายเหนือหัวตวัดดั่งจะบอก “อย่าแส่” จึงหน้าซีดเผือดก้มหน้าค้อมหัวแทบจรดพื้น

“เจ้าค่ะ เข้าใจเจ้าค่ะ” ดุลยารีบกล่าว

“นายของเจ้าคงอยู่ที่นี่อีกหลายราตรี อาการของเขากำลังดีขึ้นเรื่อยๆ เขาว่าอยากจะอยู่อีกสักพักเพื่อศึกษาการใช้ชีวิตทีนี่ดู ไม่แน่นักอาจจะลงหลักปักฐานที่นี่” โซบีเดแย้มโอฐงามน้ำเสียงแฝงความสุขเป็นล้นพ้น

“ดูท่าเขาคงไม่อยากจากที่นี่ไปอีกแล้ว” คำกล่าวแฝงนัยซ่อนเร้น องค์หญิงโฉมงามเปิดโอฐหัวเราะเสียงใส

“เขาแทบไม่อยากห่างจากข้าแม้ขณะเดียว เจ้าเข้าใจหรือไม่นางทาสชั้นต่ำ” นางเชยคางดุลยาบีบเน้น จ้องลึกในดวงตาวาววาม

“อัสเซมานนายของเจ้า เป็นของข้าแล้วทั้งกายและใจ”

---------------------------------


เสียงคนพูดคุยและเสียงฝีเท้าหนักที่เดินมาตามทางเดิน ทำให้ชีคหนุ่มต้องพรางตนกลับเข้าด้านหลังเสาหินต้นใหญ่ ร่างกายของเขายังไม่ฟื้นตัวนัก แต่ก็แข็งแรงพอที่จะเคลื่อนไหวเล็ดรอดออกมาจากห้องรับรองได้ แต่ทหารยามชั้นนอกนี่สิ ดูท่ายากแก่การฝ่าออกไป

ตลับยาทำจากโลหะขนาดเล็กที่หยิบฉวยติดมือมา ถูกโยนไปทางเดินด้านตรงข้าม เสียงกุกกักเรียกความสนใจจากทหารที่คุมเชิงอยู่ รีบออกจากที่ประจำการไปตรวจดู อัสเซมานฉวยโอกาสนั้นสาวเท้าไปตามแนวกำแพงออกไปสู่ทางที่คาดว่าเป็นทางออกไปจากที่นี่

“นั่นใคร!” เสียงตวาดดังก้องช่องทางแคบๆนั้น อัสเซมานหันไปขยับกายในท่วงท่าเตรียมพร้อม

“จับตัวมัน” เสียงเดิมสั่งการ ทหารราวสิบกว่านายกรูกันมาตามทางเดิน

“มันมาจากไหน บุกรุกเข้ามาถึงที่นี่ จับเอาไว้” ดูท่าทหารยามชุดนี้ไม่ทราบความเป็นมาของแขกคนสำคัญ

อัสเซมานยิ้มหยัน แค่ทหารเลวหยิบมือหนึ่งบังอาจมาล้อมจับ พวกมันคงไม่รู้ว่าเขาและกองกำลังไม่กี่สิบนายเคยเร้นกายโจมตีทหารหมู่หนึ่งของฟาลุก กวาดล้างเสียสิ้นในคืนเดียว!

ชายหนุ่มร้อนรุ่มด้วยความเป็นห่วงดุลยา แม้องค์หญิงโซบีเดจะบอกว่านางถูกช่วยเหลือไว้พร้อมกับเขาและปลอดภัยดีก็ตาม

หากไม่เห็นกับตาเขาคงไม่อาจวางใจได้

ทหารเลวสองนายพุ่งตัวเข้ามาพร้อมอาวุธในมือ อัสเซมานเบี่ยงกายหลบเล็กน้อยอาศัยชั้นเชิงที่เหนือกว่าประชิดเข้าจับข้อแขนหักเสียแค่บิดมือคราเดียว เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดแผดก้องไปทั้งบริเวณ เจ้าพวกที่รั้งรออยู่ถึงกับผงะหน้าถอดสี ดวงตามีแววหวั่น

ทหารเลวอ่อนหัดเยี่ยงนี้ต้องจับไปฝึกกับไกฟาร์สักปีครึ่งปีจึงจะ “พอใช้ได้”

พวกหน้าตัวเมียขี้ขลาดมองตากันเลิ่กลั่กสุดท้ายกลุ้มรุมเข้ามานับสิบ หากเป็นยามปกติอัสเซมานจะจับหักแขนขาสั่งสอนเสียให้สาสม ความรุ่มร้อนในใจทำให้ชายหนุ่มลืมนึกร่างกายที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ เพียงชั่วครูเขาก็อ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด มดปลวกจำนวนมากอาศัยโอกาสนี้ลอบกัด

เขาป่ายปัดพวกมันออกไปได้ราวสี่ห้าคน พวกที่เหลือกลับเสือกตัวเข้ามาทุกด้านจับแขนขาของเขาไว้ อาวุธหนักอย่างหนึ่งฟาดเข้าที่ท้ายทอยถนัดถนี่จนชาวาบไปตลอดร่าง ร่างสูงทรุดฮวบลง มือเท้านับสิบได้โอกาสซ้ำเติมลงมาตามตัวเจ็บปวดจนแทบขาดใจ

“พวกหมาหมู่” ชายหนุ่มพึมพำในสติอันเลือนลาง

ก่อนจะหมดความรู้สึกชายหนุ่มมองเห็นดวงหน้างามอาบน้ำตาของสตรีที่อยู่ในห้วงคำนึงทั้งยามหลับยามตื่น

“ดุลยา”

ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะดับมืดลง

---------------------------------

“ใครเป็นคนสั่งพวกเจ้า” สุรเสียงเกรี้ยวกราดขององค์หญิงโซบีเดดังก้องไปทั่งบริเวณ

ทหารเลวรวมทั้งนางกำนัลทั้งหลายต่างอกสั่นขวัญแขวน ทรุดตัวถวายคำนับแทบจะแทรกกายลงกับพื้นตัวสั่นงันงกกันถ้วนหน้า

“ข้าถามว่าใครสั่งให้เจ้าทำร้ายเขาขนาดนี้” เมื่อไม่ได้รับคำตอบใดๆเท่ากับเป็นการกระพือโทสะของนางโหมยิ่งขึ้นไปอีก

“ใครรับผิดชอบที่นี่”

“องค์หญิง เกล้ากระหม่อมเองพระเจ้าค่ะ” หัวหน้าหมู่เวรยามก้าวออกมาคุกเข่าสีหน้าซีดเผือดแทบไม่เห็นสีเลือด

“ข้าบอกให้เฝ้าอารักขา ไม่ได้ให้รุมทำร้ายเขา” สุรเสียงเข้มกดให้นิ่งแม้ยามโทสะลุกโชน

“ข้าถามว่าใครสั่งให้เจ้าทำ”

“มะ มะ ไม่มีพระเจ้าค่ะ พวกที่มาเข้าเวรใหม่ไม่ทราบว่าท่านที่อยู่ฝ่ายในเป็นแขกคนสำคัญ จึงเข้าใจผิดว่าเป็นผู้บุกรุก”

“เจ้าเป็นหัวหน้า กลับไม่สามารถจัดการตามคำสั่งของข้าได้ ยังปล่อยให้ลูกน้องกระทำผิดใหญ่หลวง”

สุรเสียงยังนิ่งขณะสาวพระบาทเข้าไปหา หัตถ์งามดึงดาบประจำกายนายทหารหัวหน้าหมู่ คมดาบออกจากฝักก่อให้เกิดเสียงท่ามกลางความเงียบ ดาบโค้งแวววาวสะท้อนสายพระเนตรกร้าวกระด้างขององค์หญิงโฉมงาม

นายทหารหนุ่มผวาขึ้นสุดตัว ดวงตาเบิกค้างแม้เมื่อเงาดาบตวัดฉับลงมา เส้นเลือดใหญ่ที่คอถูกฟันขาดในดาบเดียว เลือดสีแดงเข้มพุ่งกระฉูดเปรอะไปทั่ว เสียงหวีดร้องเบาๆของนางกำนัลดังขึ้นแล้วกลับเงียบกริบ

โซบีเดทิ้งดาบลงกับพื้นเสียงดังเปรื่อง

“เก็บศพมันไปตัดหัวเสียบประจาน ก่อนพระอาทิตย์ตกแต่งตั้งหัวหน้าองครักษ์คนใหม่ บอกมันให้รู้หน้าที่ อย่าให้มีเรื่องแบบนี้อีก”

นางหันไปทางร่างที่หมดสติของอัสเซมาน
“พาเขาเข้าไปที่ห้องพักของข้า ตามหมอหลวง”

ขบวนตามเสด็จเคลื่อนกายรวดเร็วปฏิบัติหน้าที่โดยไม่กล้าปริปากแม้สักแอะเดียว ไม่มีผู้ใดสังเกตหญิงอ้วนหน้ามันเพราะกรำงานในครัว ผู้เร้นกายอยู่ในมุมอับและเห็นเหตุการณ์โดยตลอด

ใบหน้าอัปลักษณ์ซีดเผือดมือกำเกร็งยัดเข้าอุดปากสกัดเสียงกรีดร้องของตนเองเอาไว้ ค่อยคลานถอยกลับออกไปอย่างเงียบกริบ

---------------------------------

“งามเหลือเกิน หรือท่านจะเป็นเทพจำแลงมา”
โซบีเดพร่ำขณะลูบไล้ผืนผ้านุ่มชื้นไปตามร่างกายของชีคหนุ่ม ร่างกายท่อนบนของเขาถูกปลดเปลื้องอาภรณ์ออกจนสิ้น นางใช้ผ้าซับคราบเลือดและฝุ่นสกปรก

ชั่วขณะที่ได้สัมผัสผิวเนื้ออุ่นองค์หญิงโฉมงามถึงกับชะงักไป ก่อนจะจับต้องโลมลูบอย่างหลงใหล เรือนกายกำยำกล้ามเนื้อเต็มแน่นปลุกเร้าอารมณ์ประหลาดในกายให้พลุ่งพล่าน ดวงหน้าเข้มคมยามหมดสติแลดูอ่อนเยาว์ราวหนุ่มน้อย

เขาขยับกายเล็กน้อยเป็นสัญญาณของสติที่ค่อยฟื้นคืนมา ร่างกายยังคงบอบช้ำพละกำลังยังไม่สมบูรณ์นัก ชีคหนุ่มส่งเสียงครางแผ่วเบาในลำคอ โซบีเดยินดียิ่งรีบแนบร่างเข้าหา นางเอนอิงแนบเนื้อนวลเข้ากับเรือนกายที่ร้อนผ่าว โอฐงามประทับจูบไปตามแผ่นอกอย่างหวงแหน

“ท่านเป็นของข้า เป็นของข้าคนเดียวเท่านั้น”
นางยังพร่ำ หยัดกายขึ้นมอบจุมพิตด้วยความเสน่หาท่วมท้น

แขนแข็งแรงของอัสเซมานยกขึ้นเกาะเกี่ยวแม้ดวงตาหลับพริ้ม โซบีเด ลิงโลดในใจอย่างประมาณมิได้ นางส่งปลายลิ้นกระหวัดพันได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี ริมฝีปากหนาดูดกลืนความหอมหวานแนบแน่นล้ำลึก อุ้งมือใหญ่ปัดอาภรณ์บางเบาที่ปกปิดจนหลุดรุ่ยร่ายคว้าจับที่เนินอกงามเคล้นคลึง

“อา”
องค์หญิงโฉมงามแห่งอีแลมถึงกับเผลอตัวครวญเสียงหวาน ร่างกายร้อนผ่าวราวสาวน้อยวัยแรกแย้มที่มิเคยต้องมือชาย

อารมณ์พิศวาสนั้นแสนประหลาดนัก โซบีเดผู้สูงศักดิ์ถึงกับเผลอกายเผลอใจไร้อายเบียดบดร่างเข้าหา ไม่ว่าอัสเซมานจะสัมผัสนางรุนแรงปานใดนางกลับพึงพอใจไปเสียสิ้น

มือของเขากอดรัดป่ายปะไปทั่วร่าง ชั่วขณะหนึ่งเรือนร่างแข็งแรงกลับพลิกกายขึ้นคร่อมทับ ริมฝีปากร้อนผ่าวทาบทับไปทั่วใบหน้าและซอกคอ โซบีเดแย้มสรวลอย่างสมพระทัย

“ในที่สุดเจ้าก็ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป อัสเซมานของข้า ได้โปรด”
นางกอดเกี่ยวเขาไว้แนบอก กดศีรษะซุกซบกับอกคู่งาม พักตร์งามแหงนเงย

“ข้ารักเจ้าเหลือเกินดุลยา”
อัสเซมานกล่าวแผ่วเบา
---------------------------------




 

Create Date : 23 มิถุนายน 2554
0 comments
Last Update : 25 มิถุนายน 2554 12:18:41 น.
Counter : 662 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ดับตะวัน
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ดับตะวัน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.