ธันวาคม 2554

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
และแล้ว เทอมแรกของฉันในอเมริกาก้อผ่านไป

ในที่สุด เทอมแรกของการเรียนแบบเครดิตที่อเมริกาผ่านไปด้วยดี (รึป่าว?) ช่างเหอะ ยังไงก้อปิดเทอมแล้ว ตอนนี้ก้อเลยอยากบ่นๆ อะไรสักหน่อย เพราะช่วงที่เรียนอยู่การบ้านเยอะมาก ทั้งต้องทำงานไปด้วย เลยไม่มีเวลามานั่งอัพเดตบล็อคตัวเองเลยเชียว


เทอมที่ผ่านมาลงเรียนวิชาภาษาอังกฤษไป 2 ตัวคือ English 092 (Improving Reading) และ English 093B (Beginning English) เรียนช่วงเช้าทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ วันละ 1.30 ชั่วโมง – 2.30 ชั่วโมง เรียนสองตัวก้อจริงแต่อาจารย์ที่สอนเป็นคนเดียวกัน อาจารย์ก้อเพิ่งมาสอนที่โรงเรียนนี้เป็นเทอมแรก ได้สอนอยู่สองวิชา แล้วบีบีก้อเป็นนักเรียนแค่คนเดียว ที่เรียนกับแกทั้งสองวิชาที่สอนเลย สรุปว่าเรา 2 คนเจอหน้ากันทุกวันจันทร์ถึงศุกร์เป็นเวลาเกือบ 3 เดือนเต็ม เหอ เหอ เบื่อหน้ากันฉิบหายเลย

อาทิตย์แรกที่เปิดเทอม บอกตามตรงเลยว่า shock มาก อาจารย์พูดไวมาก แล้วบรรยากาศในห้องเรียนมันเป็นแบบเย็นยะเยือกมากเลยอ่ะ คือไม่มีใครคิดจะทำความรู้จักกันเลยอ่ะ ไม่มีใครคุยกันเลย เหมือนกับตั้งใจมาเรียนกันอย่างเดียว แล้วพออาจารย์พูดไว พูดในเรื่องที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ ตามไม่ค่อยจะทัน อาจารย์ก้อบอกให้ นักเรียนทำใจซะ มันต้องยากอยู่แล้ว เพราะนี่เป็นการเรียนระดับคอลเลจ ไม่ใช่ไฮสคูล บีบีช๊อคอ่ะ งง ไม่เข้าใจ ทำใจไม่ค่อยได้


คือในความคิดของบีบี บีบีวาดภาพไว้ว่ามันจะต้องเรียนเหมือน ESL class แบบ non-credit ที่เคยเรียนมาอ่ะ แบบว่าจะมีอาจารย์ผู้หญิงใจดีมาสอน เปิดเทอมวันแรกอาจารย์ก้อจะให้นักเรียนแนะนำตัว แล้วทำความรู้จักกันโดยให้จับกลุ่มทำงานอะไรเทือกนี้ แต่เรื่องจริงปรากฏว่าไม่ใด้เป็นเหมือนที่คิดเลยสักติ๊ด เปิดเทอมมาวันแรกอาจารย์ก้อสอนเลย ฉันมีหน้าที่สอน ฉันสอนอย่างเดียว แกมีหน้าที่เรียนแกก้อเรียนกันอย่างเดียว ฉันกับแกไม่ต้องรู้จักกันก้อได้ เพราะฉะนั้นแกจะเป็นใครมาจากไหน มีพื้นฐานภาษาอังกฤษมายังไง มาจากประเทศไหนบ้าง ฉันไม่สนใจ ส่วนพวกนักเรียนเองก้อไม่ต้องรู้จักกันก้อได้ ยิ่งดีเพราะเวลาฉันสอน พวกแกจะได้ไม่ต้องคุยกัน วิชาแรกเปิดเทอมมีนักเรียนอยู่ 12 คน สองอาทิตย์ผ่านไปเหลือกนักเรียนอยู่ 6 คน อีกวิชาหนึ่ง เปิดเทอมมีนักเรียนเกือบ 30 คน ผ่านไปไม่ถึงครึ่งเทอมเหลือกันอยู่ 14 คน เฮ้อ


อาทิตย์แรกที่เปิดเทอม มีอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้บีบีช็อค คือในคลาสของบีบีมีนักเรียนที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักเรียนอยู่ด้วย ก้อสงสัยอ่ะ พวกเมิงพูดภาษาอังกฤษได้อยู่แล้ว แล้วทำไมยังต้องมาเรียนอีก แล้วบางคนย้ายมาจากมหาลัยอื่น แล้วทำไมต้องมาเรียนภาษาใหม่อีก ในเมื่อเขาก้อเป็นอเมริกันอยู่แล้วด้วย งงมาก กลับบ้านไปถามโฮส กับเพื่อนอเมริกันคนหนึ่งที่กำลังเรียนอยู่ในมหาลัย เลยได้ความมาว่า สำหรับเด็กที่ย้ายโรงเรียนหรือเด็กที่จบไฮสคูลมาใหม่ๆ จะต้องทำข้อสอบ Compass (ข้อสอบวัดระดับภาษาอังกฤษกับคณิตศาสตร์) ถ้าคะแนนภาษาอังกฤษไม่ดี เขาก้อจะส่งมาเรียนคลาสเตรียมความพร้อมหรือปรับพื้นฐานทางภาษาอังกฤษกันก่อน เพื่อที่นักเรียนจะได้มีพื้นฐานภาษาอังกฤษที่เท่ากัน และไปในทางเดียวกัน ก่อนที่จะลงเรียนวิชาในโปรแกรมหรือเมเจอร์หลักที่ตัวเองเลือก บีบีก้อเลย อ๋อ มิน่าล่ะ ทำมันพวกมันถึงต้องมาเรียนกะบีบีๆ เหอ เหอ แล้วเรียนผ่านไปสักพักบีบีก้อเข้าใจ เด็กอเมริกันพวกนี้พูดเก่ง ฟังเข้าใจ เวลาอาจารย์ถามอะไร มันสามารถแสดงความคิดเห็นได้ทันที แต่พอถึงการเขียนหรือการตีความ เด็กพวกนี้กลับทำไม่ได้อ่ะ แล้วกลายเป็นกะเหรี่ยงต่างด้าวอย่างบีบีจะทำคะแนนได้ดีกว่า ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่า พวกต่างชาติที่กลับไปเรียนอย่างบีบี หรือหลายๆคน ส่วนใหญ่เราเป็นผู้ใหญ่ที่มีอายุกันแล้ว 25-45 ปี บางคนก้อมีครอบครัวแล้ว บางคนเรียนจบปริญญาตรีแล้วเคยทำงานดีๆมาแล้วในประเทศตัวเอง แต่พอมาอยู่ที่อเมริกา เราต้องมาเริ่มใหม่หมด ถ้าอย่างได้งานดีๆ มันก้อต้องลงทุนกลับมาเรียนเพื่อให้ได้ใบประกาศอะไรสักอย่างเอาไปไว้ใช้สมัครงาน ดังนั้นพอกลับไปเรียนอีกครั้ง ด้วยประสบการณ์ที่มากกว่า มันเลยทำให้เราทำได้ดีกว่าเด็กอเมริกันที่เพิ่งจบไฮสคูลอ่ะ อ่านไปอ่านมาอาจจะดูเหมือนว่าบีบีมองว่าเด็กเมกันที่เพิ่งจบไฮสคูลนี่โง่ แต่จริงๆก้อไม่เสมอนะ แต่ที่แน่นอนที่สุดคือเด็กจบไฮสคูลที่หัวดีๆ หรือมีเงิน เขาจะเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยกันค่ะ ไม่ค่อยมีใครมาเรียนคอลเลจกันหรอก


เมาท์เรื่องนักเรียนไปแระ ต่อไปจะเมาท์เรื่องอาจารย์มั่งล่ะ อาจารย์คนนี้เป็นผู้ชาย หนุ่ม & หล่อ & เฟริ์มมาก เพราะอายุ 27 ปีเอง ไว้ผมทรงสกินเฮด เจาะหูแล้วใส่ตุ้มหูห่วงเล็กๆข้างละ 2 ห่วง วันแรกที่เปิดเทอมแกก้อเพิ่งสอนที่นี่วันแรกอ่ะนะ เลยไม่รู้ว่าต้องแต่งตัวยังไง เฮียแกเลยจัดเต็ม ใส่สูทกับกางเกงสแลกมาสอนอ่ะค่ะ (แต่มีตุ้มหูห่วงเล็กๆข้างละสองห่วงอยู่ – ช่างไม่ได้เข้ากันกับสูทเลย) หลักจากนั้นมาเฮียแกก้อมาแบบ เสื้อยืด/กางเกงยีนส์/รองเท้าผ้าใบ/สะพายเป้ มาสอนทุกวัน แบบว่าเด็กกว่านักเรียนอีกอ่ะ อาจารย์คนนี้แกเคยสอนที่ University of Washington มาก่อน มันก้อเป็นมหาลัยมีชื่อเสียงติด top 20 ของเมกาอ่ะนะ เฮียเลยสับสนนิดหน่อยในช่วงแรกๆว่า นักเรียนที่นี่หัวจะไบรท์มากเหมือนนักเรียน UW วิธีการสอนของแกเลยออกหัวก้าวหน้ามากๆ คือไม่ได้สอนตามหนังสืออ่ะ แต่มีธีมเป็น critical thinking โดยเน้นให้ศูนย์กลางการเรียนอยู่ที่ตัวนักเรียนเอง ไม่ใช่อยู่ที่คนสอนหรืออยู่ที่หนังสือ (เพราะบีบีไม่มีหนังสือเรียนเลยทั่งสองวิชา) หลังจากผ่านสองอาทิตย์แรกไปได้ บีบีก้อเริ่มเข้าใจ ปรับตัวได้ และยอมรับอ่ะว่าแนวคิดนี้เจ๋งดี ชอบอ่ะ สอนให้นักเรียนคิด เป็นคลาสสำหรับการพัฒนาสมอง ไม่ใช่คลาสสำหรับการเรียนรู้


พอทำความเข้าใจอาจารย์กับวิธีการสอนของอาจารย์ออกแล้ว บีบีก้อสบายขึ้นเยอะ ถึงอาจารย์จะพูดเร็วมากๆ แต่การที่ต้องฟังอาจารย์พูดทุกวันมันก้อทำให้บีบีฟังรู้เรื่องมากขึ้นอ่ะ ส่วนความสัมพันธ์กับอาจารย์ก้อดีขึ้นเรื่อยๆ หลักจากช่วงอาทิตย์แรกๆ ที่บีบีไม่อยากมาเรียนเลย แล้วก้อไม่อยากมองหน้าอาจารย์เลยด้วย (ถึงหน้าอาจารย์จะหล่อมากก้อตามเหอะ) คนอะไรวะ ขวางโลกฉิบหายเลยอ่ะ แต่หลังๆมา ชินซะล่ะ เจอหน้ากันทุกวัน บางครั้งก้อหัวเราะกันอยู่สองคน เพราะไม่มีใครเข้าใจมุขที่เราพูดกัน วันไหนที่บีบีไม่เข้าเรียน วันต่อมาอาจารย์ก้องอนบ้าง อะไรบ้าง แล้วก้อมาเมาท์ให้ฟังว่าเมี่อวานในคลาสทำอะไรกันมั่ง เหอ เหอ วันสุดท้ายของเทอม บีบีเลยซื้อปากกาให้อาจารย์เป็นที่ระลึก อ่ะๆ อย่าเพิ่งคิดไปไกลว่าจะเป็นปากกาหมึกซึมยี่ห้อหรู ราคาแพง ไม่ใช่อ่ะค่ะ บีบีซื้อปากกาเขียนกระดานไวท์บอร์ดให้แกโหลหนึ่ง เพราะทั้งเทอมที่ผ่านมา อาจารย์แกขาดแคลนปากกาเหลือเกิน เลยซื้อปากกาให้เป็นการประชดซะเลย ฮ่าฮ่า ตอนแรกกะว่าอยากให้อะไรแกสักอย่างเป็นการขอบคุณ เพราะเฮียแกเป็นอาจารย์สอนแบบเครดิตคลาสคนแรกในอเมริกาของบีบี เริ่มต้นด้วยความประทับใจในทางลบ แล้วก้อเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เลยคิดว่าจะเขียนการ์ดขอบคุณกับทำคุ๊กกี้ให้ แต่เฮียแกก้อขวางโลกเกิน ถามเรายังอายุพอๆกันด้วย เดี๋ยวเฮียแกจะคิดไปไกลว่าบีบีมีใจให้ (ถึงจะน่ามีใจให้มั่กๆ ก้อตาม) เลยซื้อปากกาดีกว่า ได้ใช้ชัวร์ เพราะได้ข่าวว่า บีบียังต้องเรียนกับแกไปอีก 2 เทอม หุหุ เฮียแกยังล็อบบี้บีบีด้วยว่า ถ้าบีบีลงเรียนกะแกเทอมหน้า แกจะให้บีบีเป็นหัวหน้าห้อง หาเสียงกันเป็นนักการเมืองไทยเลยเชียว


พูดถึงเรื่องขวางโลกของเฮียแก นึกออกป่ะว่าคำชมของอาจารย์ส่วนใหญ่ในส่วนของการบ้าน งานเขียนเรียงความ หรือรายงานพวกนี้ ส่วนใหญ่เค้าก้อจะชมแบบ good, very good, great, awesome, excellent, wonderful, fantastic, amazing อะไรประมาณนี้ แต่เฮียคนนี้เค้าชมงานเรียงความของบีบีว่า “kick-ass” อืม..คนแบบนี้ ก้อคงต้องใช้คำชมแบบนี้ล่ะนะ


เรื่องต่อไปที่จะเมาท์คือ เรื่องการตัดเกรดของที่นี่ แต่ละวิชาเค้าไม่ให้เกรดเป็น A,B,C เหมือนบ้านเรานะ เค้าให้มาเป็น GPA เลยอ่ะ ถ้าอยากรู้ว่าได้เกรด A,B,C เท่าไหร่ ต้องไปถามอาจารย์เอาว่าเราได้กี่เปอร์เซนต์แล้วก้อเทียบเอาเอง ที่โรงเรียนบีบีตัดเกรดประมาณนี้ค่ะ


95-100% = A / GPA 4.0
90-94% = A- / GPA 3.7
80-89% = B+ / GPA 3.3 , B / GPA 3.0 ,
70-79% = B- / GPA 2.7 ,C+ GPA 2.3 , C / GPA 2.0


ใกล้ๆปิดเทอมบีบีคำนวณดูละ ทั้งสองวิชาบีบีได้คะแนน 88% อีกวิชาได้ 90% เศษๆ บีบีก้อสบายไม่เครียดเพราะกะไว้แล้วว่ายังไงก้อได้ A แน่ๆ (ก้อเมืองไทยตัด A ที่ 80% นี่) จนก่อนวันสุดท้ายของเทอมเพื่อนคนหนึ่งบอกว่าที่คอลเลจเก่าเค้าตัด A ที่ 90% บีบีคิดอยู่ในใจว่าตายละกู อยากได้ A อ่ะ เลยทำ extra credit ส่งอาจารย์ กะว่ายังไงต้องได้ 90% แหล่ะ แล้ว A ก้อจะเป็นของเรา พอเกรดออก บีบีได้ GPA 3.70 ทั้งสองวิชา เลยเพิ่งจะรู้ว่าที่โรงเรียนนี้ตัด A ที่ 95% เศร้าเลย ไม่น่าเชื่อนังคนที่ย้ายโรงเรียนมาเลยเชียว มิน่าละโรงเรียนเก่าหล่อนเรียน Eng 101แล้ว แต่ย้ายมาที่นี่เค้าต้องส่งหล่อนกลับมาเรียน Eng 92 ใหม่ หึหึ


ตัด A ที่ 95% อืม....คิดอยู่ในใจ(แต่เสียงดังๆ)ว่าใครจะไปทำได้วะ แล้วอาจารย์บอกว่ามีคนหนึ่งทำได้ 99% อ่ะ พี่น้องคับ บีบีถึงกับอึ้ง มันยังมีความเป็นคนอยู่รึป่าว หรือว่าเค้าเป็นเทพกลับชาติมาเกิด เธอคนนั้นที่ได้ 99% เธอเป็นคนญี่ปุ่น อายุ 36 ล่ะ บีบีก้อไปถามเค้าทำยังไงถึงได้คะแนนเยอะขนาดนี้ เพราะเวลาเรียนในห้อง เค้าไม่ค่อยพูดอะไรเลยอ่ะ เค้าเลยบอกว่าที่เค้าไม่พูดอะไรเพราะเค้าฟังอาจารย์ไม่ค่อยรู้เรื่อง ฟังออกไม่ถึงครึ่ง ดังนั้นเวลาทำงานหรือการบ้าน เค้าเลยต้องค้นคว้าข้อมูลเยอะและกว้างมากๆ เค้าเลยทำคะแนนได้ดี แล้วเค้าทำ extra credit ด้วย โห..เก่งว่ะ แล้วพอไปถามพวกเด็กเมกันพูดเก่งๆ B กับ C กันแค่นั้นล่ะ อืมๆ การเรียนเทอมนี้เลยทำให้มั่นใจว่า คนที่พูดเก่งๆ หรือแสดงความคิดเห็นบ่อยๆ ใช่ว่าจะฉลาดเสมอไป เวลาสอบออกมา อาจจะสู้คนที่ไม่ค่อยพูดอะไรเลยก้อได้ งืม งืม แล้วเราจัดอยู่ในกลุ่มไหนหว่า พูดก้อไม่เก่ง คะแนนก้อไม่ดี สรุปว่า เป็นพวก “นอกคอก” ละกัน ก๊ากกก


ป.ล. รู้ไว้ใช่ว่า เทอมหน้าฉันจะเอาเกรด A ให้ได้





Create Date : 22 ธันวาคม 2554
Last Update : 23 ธันวาคม 2554 5:57:56 น.
Counter : 4363 Pageviews.

2 comments
  
เล่าเรื่องได้สนุกมากๆเลยค่ะ สู้ๆนะคะ เทอมหน้าได้เอsแน่นอน เป็นกำลังใจให้ค่ะ
โดย: มารน้อยไร้สังกัด วันที่: 23 ธันวาคม 2554 เวลา:3:38:37 น.
  
เอาใจช่วยเรื่องเรียนนะคะ
อ่านประสบการณ์คุณบีบีเหมือนอ่านเรื่องของตัวเองเลยฮ่าๆๆเพราะเราก็ออร์แพร์เก่าเหมือนกัน

เราไม่ต้องเรียน ESL แล้ว ตอนนี้กำลังเรียนเทคนิคการแพทย์(อนุปริญญาจ้ะ) เราอยู่นี่มานานกว่าคุณบีบี เรื่องฟังพูดก็เลยไม่เป็นปัญหา แต่เขียนนี่สิ ยังไม่ไปไหนเลย

ยังไงก็ขอให้เรียนจบเร็วๆนะคะ โรงเรียนของเรา Medical Assisting ใช้เวลาปีเดียวก็จบแล้ว คิดว่าคุณบีบีคงจะเรียนจบในเร็ววันนี้เหมือนกัน

ชอบอ่านเรื่องของคุณบีบีค่ะ เขียนสนุกดี ขอสมัครเป็นแฟนคลับนะ อิอิ

ปล.เห็นว่าไปเที่ยวยุโรปกับคุณสามีด้วย ขอให้เที่ยวให้สนุกนะ
โดย: มิอากะจัง วันที่: 26 ธันวาคม 2554 เวลา:10:02:48 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Sugar lip
Location :
Seattle  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 156 คน [?]



วันหนึ่ง เราจะต้องทำบล็อคหน้าตาสวยๆออกมาให้ได้ คอยดูสิ หึ

บีบีได้มาใช้ชีวิตอยุ่ที่อเมริกาถึงวันนี้ก้อเกือบ 3 ปีล่ะค่ะ การได้มาใช้ชีวิตต่างแดนตัวคนเดียว เวลามีปัญหาหรือข้อสงสัยขึ้นมา มันก้อไม่รุ้จะไปถามใคร ภาษาเราก้อไม่ดี บีบีก้อจะหาข้อมูลในเวป google แล้วบีบีก้อจะได้คำตอบออกมาในรูปแบบของ bloggang บีบีเลยรู้สึกถึงความสำคัญของบล็อค รู้สึกขอบคุณคนเขียนบล็อคทุกๆคน ที่เสียสละเวลามาเล่าประสบการณ์ต่างๆที่เป็นประโยชน์อย่างมากมายกับคนที่ไม่รู้อะไรเลยอย่างบีบี ดังนั้นบีบีก้อเลยตั้งใจไว้ว่าจะทำบล็อคเพื่อบอกเล่าเรื่องราวประสบการณ์ และ how to ต่างๆ ของบีบี เผื่อว่าจะได้เป็นประโยชน์แก่คนอื่นๆมั่งค่ะ
New Comments