กุมภาพันธ์ 2556

 
 
 
 
 
1
2
3
4
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
26
27
28
 
 
วันที่ 2 ฮิเมจิ - ฮิโรชิมา

วันนี้ตื่นตั้งกะหกโมงเช้า เพราะเราจองรถไฟไว้ตอนเจ็ดโมง ส่วนตัวเป็นคนนอนตื่นสายค่ะ แต่คราวนี้ไม่เป็นไร เพราะเราไม่ค่อยประทับใจโรงแรมที่เราพักอยู่แล้ว อีกอย่าง เราไปนอนต่อบนรถไฟก็ได้








พอเช็คเอ้าท์ที่โรงแรมเสร็จ เราก็ลากกระเป๋าเดินข้ามถนนเข้าสถานีรถไฟชินากาวากันเลย ตอนนั้นประมาณหกโมงครึ่ง คนก็เริ่มเยอะแล้วนะ เราก็เดินเดาๆไปเรื่อยตามป้ายบอกทางไปรถไฟชินคังเซน ระหว่างรอรถไฟ เรามีเวลาเหลือกันนิดหน่อย เลยเดินหาของกินกัน แล้วเราก็เจอ “เอกิเบนโตะ” หรือ “ร้านข้าวกล่องสถานีรถไฟ” อยู่หลายร้านเลยอ่ะ ปลื้มมาก ใฝ่ฝันอยากกินมานานล่ะ อาหารกล่องที่เค้าขายแต่ละอย่างก็น่าตาน่ากินทั้งนั้น เห็นแล้วอยากจะเหมาให้หมดร้าน











ก่อนจะขึ้นรถไฟ เราต้องไปรอขึ้นให้ตรงกับตู้ที่เราจองไว้ด้วยนะคะ เวรกรรมของคนถือ JR Pass แบบ กรีนคาร์อ่ะค่ะ ก่อนขึ้นก็ต้องจองที่นั่ง จะขึ้นรถไฟก็ต้องเดินไปรอขึ้นให้ตรงกับตู้โบกี้ของตัวเอง แล้วตู้กรีนคาร์มันมีน้อยอ่ะ แล้วมันชอบมีอยู่ที่หัวและท้ายขบวนเท่านั้น แล้วรถไฟชินคังเซนมันยาวไม่ใช่เล่นๆนะคะ กว่าจะเดินไปถึงตู้ของตัวเองเนี่ยะ เหนื่อยเหมือนกันนะคะ ดังนั้น ในจุดนี้ บีบีอิจฉาคนที่ถือ JR Pass แบบ ordinary มากค่ะ คุณมีอิสระมากจริงๆค่ะ อยากขึ้นรถไฟขบวนไหนก็ได้ ขึ้นตู้ไหนก็ได้ นั่งตรงไหนก็ได้ โคตรสะดวกเลยค่ะ








เป้าหมายแรกที่เราจะไปวันนี้คือเมืองฮิเมจิค่ะ รถไฟเราออกจากสถานีชินากาว่า โตเกียวตอน 7.10 ถึงฮิเมจิตอน 10.43 อืม นอนได้อีกประมาณสามชั่วโมงเศษ หุหุ ดังนั้น รถไฟเคลื่อนตัวได้ บีบีก็นอนเลยค่ะ นอนไปได้สองชั่วโมงเศษก็ตื่นมากินข้าวกล่องที่ซื้อมาจากสถานีรถไฟเมื่อเช้า น่าตาน่ากินอ่ะ แล้วรสชาดก็อร่อยด้วย มีฟามสุข..





ถึงสถานีรถไฟฮิเมจิแล้ว เราก็ลากกระเป๋าไปหาล๊อกเกอร์ไว้เก็บกระเป๋าในสถานี เสร็จแล้วก็แวะที่ศูนย์นักท่องเที่ยวในสถานีรถไฟเพื่อขอแผนที่เมืองฮิเมจิ





ที่เรามาที่นี่เพราะเราอยากเห็นปราสาทฮิเมจิค่ะ ปราสาทฮิเมจิ หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกกันว่า “ปราสาทนกกระสาขาว” เป็น 1 ใน 3 ปราสาทที่สวยงามที่สุดของญี่ปุ่น (อีก 2 ปราสาทคือ ปราสาทมัสซึโมโต และปราสาทคุมะโมะโตะ) ถ้านับกันตั้งแต่วันสร้างปราสาทแห่งนี้ ตอนนี้ปราสาทฮิเมจิก็มีอายุเกือบหนึ่งพันปีเต็มแล้วอ่ะค่ะ นับว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่สวยงาม และอลังมาก ขนาดผ่านสงครามโลกมาแล้วด้วยนะ ปราสาทยังคงสภาพสวยงามเหมือนเดิมเลย ปราสาทฮิเมจิถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกที่หนึ่งขององค์การยูเนสโก้ด้วย

ปราสาทฮิเมจิตอนนี้อยู่ในระหว่างปรับปรุงค่ะ ปรับปรุงกันมาตั้งแต่ปี 2010 จนถึงปี 2015กันเลยเชียว ก่อนมาที่นี่เรารู้กันอยู่แล้วล่ะว่าปราสาทด้านนอกมันปิด แต่คุณสามีเค้าก็อยากเห็น แล้วมันปิดแค่ด้านนอก แต่ด้านในมันยังเปิดอยู่ แล้วเค้าก็อยากเดินเล่นในเมืองด้วย แต่ว่าโชคไม่ดีเลยเพราะวันนี้ฝนตกค่ะ พนักงานที่ศูนย์นักท่องเที่ยวบอกว่าจากสถานีรถไฟถึงตัวปราสาท เดินไปประมาณ 15 นาทีก็ถึง แต่เนื่องจากฝนตก เราเลยนั่งแท๊กซี่ไปแทนอ่ะค่ะ แป๊ปเดียวเองแต่จ่ายไป 700 เหรียญ





ไปถึงแล้วก็นะ ฝนก็ตก ปราสาทด้านนอกก็สร้างอะไรมาครอบก็ไม่รู้ ความหวังสุดท้ายของเราจึงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ด้านในปราสาทอ่ะค่ะ หวังว่ามันคงจะคุ้มค่าที่เรามาไกลขนาดนี้นะ











ด้านในของปราสาทและส่วนของชั้นสังเกตการณ์ (Observation platform) ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเลยอ่ะ ในส่วนของชั้นสังเกตการณ์ เราจะเห็นส่วนของปราสาทจริงๆ ที่เค้ากำลังซ่อมแซมกันอ่ะค่ะ แล้วก็มีนิทรรศการเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่เค้าใช้ก่อสร้างปราสาทนี้ เช่นพวก เชือก หิน ปูน อะไรเทือกนี้ นอกนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว


















เราออกมาจากตัวปราสาทใหญ่ด้วยความผิดหวังน้อยๆ จากนั้นเราก็เดินชมบรรยากาศรอบๆปราสาท ท่ามกลางฝนปรอยและความหนาวที่ 10 องศาเซลเซียส เซงมาก











แต่จริงๆบีบีคิดว่าถ้าฝนไม่ตก ปราสาทนี้มันคงจะสวยงามกว่านี้มากเลยนะ เพราะเท่าที่เห็น สวนญี่ปุ่นมันน่ารักดีอ่ะ








ที่รอบๆปราสาท เค้าสร้างเป็นที่สิ่งก่อสร้างชั้นเดียว คล้ายๆว่าเป็นทางเดินและที่พักเล็กๆ ที่เดินเชื่อมกันได้ไว้รอบๆตัวปราสาทใหญ่ ก่อนเข้าไป จะมีเจ้าหน้าที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าทางเข้า แล้วเราต้องถอดรองเท้าเราออก เพื่อเปลี่ยนใส่รองเท้าที่เค้าเตรียมไว้ให้ (คล้ายๆรองเท้าแตะธรรมดา แต่เป็นพื้นยาง) ส่วนรองเท้าของเรา ให้เอาใส่ถุงพลาสติกแล้วถือขึ้นไปด้วย พอถึงทางออก ค่อยถอดรองเท้าคืนเขาไป บีบีไม่แน่ใจเหมือนกันนะว่าเพราะฝนมันตกรึป่าว เราถึงต้องเปลี่ยนรองเท้าแบบนี้ หรือเค้าทำแบบนี้ทุกวันเพื่อป้องกันพื้นตัวปราสาทไว้ให้คงสภาพเดิม มั้ง








เดินไปเรื่อยๆ เราก็เจอส่วนที่เป็นที่พักของเจ้าหญิงเซน ฮิเมะ เจ้าหญิงสุดสวยของญี่ปุ่น เราก็จะเจอรูปปั้นจำลองของเจ้าหญิงกำลังนั่งเล่นไพ่กับสาวใช้อยู่








ข้อมูลปราสาทฮิเมจิ
- เวลาเปิด 9.00 – 17.00
- ค่าเข้าชมปราสาท ปกติกคนละ 600 เยน แต่ตอนนี้ลดเหลือคนละ400 เยน เนื่องจากอยู่ในระหว่างซ่อมแซม
- ค่าเข้าชมในส่วนของ Observation platform คนละ 200 (ถ้าปราสาทซ่อมเสร็จแล้ว ส่วนนี้ก็จะยกเลิกไป)





ออกจากปราสาทเราก็นั่งแท๊กซี่กลับสถานีรถ เช็คดูเวลาแล้ว รถไฟชินคันเซนกำลังจะมาพอดี แต่เรายังไม่ได้จองที่นั่งเลย คุณสามีเลยบอกว่าขึ้นไปเหอะ ถ้าที่นั่งเต็มตู้กรีนคาร์เต็ม เรากค่อยย้ายไปนั่งตู้ออดินารี่ก็ได้ ว่าแล้วเราก็โดดขึ้นรถไฟไปฮิโรชิมากันเลย ขึ้นไปรถไฟแล้ว เราก็เดินหาพนักงานบนรถไฟ ยื่น JR Pass ให้ แล้วเค้าก็เช็คข้อมูลเค้าแปปหนึ่งแล้วก็หาที่นั่งให้เราจนได้





จากฮิเมจิไปฮิโรชิมาใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงเศษๆ ตอนที่เราอยู่บนรถไฟ เราก็เดินดูรอบๆรถไฟ ที่นั่งตู้กรีนการ์ก็กว้างดีค่ะ เป็นที่นั่งติดกันแบบ 2ที่นั่ง แต่ถ้าเป็นตู้ออดินารี่จะเป็นที่นั่งติดกันแบบแถวละ 3 ที่นั่ง บนหัวและท้ายตู้รถไฟแต่ละตู้จะมีห้องน้ำไว้บริการ (มีห้องน้ำแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ด้วยนะ) แล้วก็มีตู้กดน้ำอัตโนมัตไว้บริการด้วย นอกจากนั้นยังมีพนักงานเข็นรถเข็นคันเล็กๆ มาเดินขายขนม/ข้าวกล่อง/เครื่องดื่มด้วย เรียกว่า ไม่ต้องกลัวหิวกันเลยทีเดียว





ไปถึงสถานีรถไฟฮิโรชิมา คนเยอะแยะไปหมดเลย ร้านขายขนมและของฝากเต็มไปหมด คืนนี้เราจะค้างกันที่ฮิโรชิมาค่ะ โรงแรมที่เราจองไว้ครั้งนี้ เป็นที่เดียวที่ไม่อยู่ใกล้สถานีรถไฟ คือคุณสามีเค้าเลือกที่นั่นค่ะ เพราะมันใกล้เมโมเรียลพาร์ค เค้าจะได้เดินไหนมาไหนได้สะดวกๆ จริงๆที่หน้าโรงแรมที่เราจองไว้มันมีรถรางวิ่งผ่านอยู่ แต่คุณสามีคำนวณดูแล้วมันไม่ไกลจากสถานีรถไฟมากนัก นั่งแท๊กซี่ไปน่าจะสะดวกกว่า แต่ปรากฎว่า ตอนนั้นมันเวลาประมาณสี่โมงเย็นอ่ะค่ะ แล้วฝนตกด้วย รถเลยติดมาก กว่าจะไปถึงโรงแรมเกือบครึ่งชั่วโมงแน่ะ จ่ายค่าแท๊กซี่ไปประมาณ 1,500 เยน แน่ะ รู้งี้นั่งรถรางมาดีกว่า








โรงแรมที่เราพักคืนนี้คือ “Diawa Roynet Hotel Hiroshima” พักหนึ่งคืนจ่ายไป 7,272 เยน โรงแรมนี้ค่อนข้างใหม่ สะอาดสะอ้านใช้ได้ ใช้คีย์การ์ดแทนกุญแจ ด้านล่างของตึกเปิดเป็นร้านสะดวกซื้อแฟมิลี่มาร์ทด้วย พนักงานน่ารักมาก ถึงแม้จะพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่เค้าพยายามจะสื่อสารกับเราให้ได้มากที่สุดอ่ะ อ้อ ตอนที่เช็คอิน พอเขาเห็นว่ามีผู้หญิงมาด้วย เขาก็เอาถาดของใช้ผู้หญิงมาให้บีบีเลือกด้วย มีหวี กิ๊บติดผม หมวกคลุมอาบน้ำ ยางมัดผม สำลี อะไรประมาณนี้อ่ะค่ะ เค้าบอกว่าจะใช้อะไรก็หยิบไปเลย











ในส่วนของห้องพักของเรา ขนาดของห้องพักก็แคบตามมาตรฐานของห้องพักประเทศนี้ แต่ข้าวของเครื่องใช้มันยังใหม่หมดเลยอ่ะ มีตู้เย็นเล็กๆ มีชา-กาแฟ มีชุดนอนยูคาตะให้ด้วย ชอบมากค่ะ เสียดายที่เรานอนที่นี่แค่คืนเดียว











เอาของเก็บไว้ที่โรงแรมแล้ว เราก็ออกไปเที่ยวกันต่อเลยค่ะ จากโรงแรมที่พักอยู่ เดินไปเรื่อยๆ แวะร้านกาแฟบ้าน ร้านขนมบ้าง สักพักก็ถึง Peace memorial park สวนนี้สร้างไว้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์เมืองฮิโรชิมาโดนทิ้งระเบิดปรมาณูในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ่งที่น่าสนใจภายในสวนนี้ก็มี Peace memorial , Peace memorial museum, A-Bomb Dome และ Children’ peace monument ค่ะ











เราไปเดินชมพิพิธพัณฑ์กันก่อนค่ะ เนื่องจากว่าเย็นแล้ว เดี๋ยวมันปิดซะก่อน อีกอย่างคือ ด้านนอกฝนยังตกและหนาวด้วย














ด้านในพิพิธภัณฑ์นี้...น่าสนใจและน่าเศร้ามากค่ะ คือมันมีทั้งภาพถ่าย เรื่องราว ของใช้จริงๆจากสถานะการณ์ตอนนั้นมาจัดแสดงด้วย โดยเฉพาะในส่วนของโมเดลจำลองเมืองฮิโรชิมา “ก่อน” และ “หลัง” ระเบิดลง คือมันทำให้เข้าใจคำว่า “ราบเป็นหน้ากอง” จริงๆนะ














ยิ่งเดินเข้าไปลึก จะยิ่งเห็นภาพที่ไม่น่าดูชมมากยิ่งขึ้น ทำให้เราเข้าใจว่า ในตอนนั้น ที่คนฮิโรชิมาตายกันเยอะๆเนี่ยะ ส่วนใหญ่เค้าไม่ได้ตายทันทีในตอนที่ระเบิดลง แต่ทยอยตายเนื่องจากพิษของสารกัมมันตภาพรังสีต่างหาก











ตอนที่เรากำลังจะออกจากพิพิธภัณฑ์ มีเจ้าหน้าที่เค้ามาขอให้กรอกแบบสอบถามด้วย บีบีก็กรอกๆๆๆไป แป๊ปเดียวก็เสร็จ แล้วเค้าก็ให้ตะเกียบลายสวยๆมาเป็นที่ระลึกคู่หนึ่ง ของฟรี บีบีชอบค่ะ หุ หุ


ข้อมูล Peace memorial museum
- เวลาเปิดปิด 8.30 – 18.00 น.
- ปิดทุกวันที่ 29 ธันวาคม ถึงวันที่ 1 มกราคม
- ค่าเข้าชม คนละ 50 เยน, ค่าเช่า Audio guide คนละ 300 เยน (มีภาษาไทยด้วย)


ออกมาจากพิพิธภัณฑ์แล้ว เราก็เดินดูรอบๆ สวน เดินผ่าน Peace memorial จนถึงตอนนี้ก็ยังมีคนเอาดอกไม้สดมาวางไว้อยู่เต็มไปหมด





เดินผ่าน Children’ peace monument ไม่รู้ว่าเพราะฝนตก หรือเพราะว่ามันเย็นแล้ว ร้านขายของที่ระลึกตรงนั้นเลยปิดหมดเลย เราเลยได้แต่ window shopping ร้านแถวๆนั้น คนญี่ปุ่นนี้เค้าเก่งเรื่องพับๆ ประดิษฐ์ประดอยกันจริงๆเลยเนอะ








จาก Children’ peace monument เราก็เดินเลียบแม่น้ำไปจนถึง A-Bomb Dome ซากโดมที่เหลืออยู่ตอนที่โดยระเบิด ซากโดมนี้ได้รับการขึ้นระเบียบเป็นมรดกโลกของยูเน้สโก้ด้วยนะคะ เห็นซากโดมแล้วแล้วหันไปมองรอบๆ อืม...คนที่นี่เค้าเก่งเนอะ ผ่านมาไม่กี่สิบปีหลังจากโดนถล่มเรียบขนาดนั้น แต่คนญี่ปุ่นเค้าก็ซ่อมแซมและพัฒนาบ้านเมืองเขาได้เร็วมาก เก่งอ่ะ








สถานที่เที่ยวต่อไปที่เราจะไปคือ เกาะMiyajima ค่ะ อยู่นอกเมืองฮิโรชิมาไปหน่อยหนึ่ง จาก A-Bomb Dome เราเลยนั่งรถรางแถวๆนั้นกลับไปที่สถานีรถไฟฮิโรชิมา วิธีการขึ้นรถรางที่นี่ไม่ยากค่ะ เพราะที่ป้ายรอรถรางจะมี ป้ายบอกชื่อสถานีที่เรายืนอยู่ สายรถรางที่จะวิ่งผ่านตรงนี้ และสถานีก่อนหน้าและถัดไปที่รถรางจะวิ่งผ่าน แล้วยังมีแผนที่รถรางให้เราดูอยู่ตรงนั้นด้วย พอขึ้นไปบนรถรางแล้ว ยังไม่ต้องจ่ายเงินค่ะ ให้จ่ายตอนกำลังจะลงรถ ตรงประตูขึ้นลงรถรางจะมีตู้หยอดเงินหรือแท่นให้แสกนบัตรรถรางตั้งอยู่ ก่อนลงเราก็หยอดเงินค่ารถลงในกล่องนั้นค่ะ แต่ต้องเตรียมเงินให้พอดีด้วย เพราะตู้ที่นี่ไม่ทอนเงินนะคะ แต่ถ้าใครที่ไม่มีเงินย่อย ภายในรถรางจะมีตู้แลกเงินไว้ให้บริการด้วยค่ะ (ส่วนใหญ่จะอยู่หัวหรือท้ายรถค่ะ) ค่ารถรางที่นี่คนละ 200 เยนค่ะ เป็นราคา flat rate คือราคานี้ตลอดทั้งสายค่ะ

ถึงสถานีรถไฟฮิโรชิมาแล้ว เราก็เปลี่ยนไปขึ้นรถไฟ JR Sanyo line ไปลงที่สถานี Miyajiyama-guchi ถึงสถานี Miyajiyama-guchi แล้วเราก็เดินตามป้ายบอกทาง JR Ferry ไปเรื่อยๆค่ะ สถานีเรือเฟอรี่อยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟนั่นแหล่ะค่ะ กว่าจะไปถึงเกาะเหนื่อยอ่ะ ต่อรถเปลี่ยนเรือกันให้วุ่น แต่คุณสามีของบีบีเค้าอยากไปค่ะ เค้าอยากเห็นเสาโทริกับวัดตอนน้ำลง แต่ตอนที่เราไปถึงเนี่ยะ วัดเค้าและร้านค้าต่างๆมันก็ปิดหมดแล้ว นักท่องเที่ยวก็แทบไม่มีแล้ว เหมือนกับมันเป็นสถานที่ท่องเฉพาะตอนกลางวันเท่านั้นอ่ะค่ะ ยิ่งวันนี้ฝนตกด้วย คนยิ่งไม่มีใหญ่เลย
แต่ไหนก็มาถึงที่นี่ล่ะ เราเลยเดินดูรอบๆซะหน่อย ตอนน้ำลดวัดมันก็สวยไปอีกแบบนะ











เดินไปเดินมาสักพัก หนาวและเปียกมากมาย เลยตัดสินใจกลับฮิโรชิมากันดีกว่า เรือเฟอรรี่ข้ามฝากของที่นี่จะออกทุกๆ 15 นาทีในตอนกลางวัน แต่ถ้าหลังหนึ่งทุ่มเป็นต้นไปจะเริ่มน้อยลงละค่ะ เรือออกชั่วโมงละ 2 เที่ยว หรือหนึ่งเที่ยวประมาณนี้ เรือรอบสุดท้ายออกจากเกาะคือ 22.14 น.ค่ะ








กลับถึงสถานีรถไฟฮิโรชิมา เราเดินหาข้าวเย็นกันที่ห้างติดกับสถานีรถไฟนั่นล่ะค่ะ ร้านอาหารที่นี่ก็ดีเนอะ ที่หน้าร้านจะมีโมเดลอาหารพร้อมราคาบอกไว้เกือบทุกร้านเลย เนื่องจากเหนื่อยและหนาว บีบีเลยสั่งบะหมี่โซบะร้อนๆ มากินซด ส่วนคุณสามีเค้าสั่งข้าวมากิน








กินเสร็จเกือบสี่ทุ่มเราก็นั่งรถรางกลับโรงแรม เหนื่อยมาก แทบจะคลานกลับห้องพักอ่ะ วันนี้ทั้งวันรู้สึกว่าจะหมดไปกับการเดินทาง ทั้งรถไฟชินคังเซน แท๊กที่ รถราง รถไฟท้องถิ่น แถมยังเรือเฟอรรี่อีก เฮ้อ แต่คุณสามีของบีบีอึดมากค่ะ ยังอยากออกไปถ่ายรูปวิวนั่น นู้น นี่ตอนกลางคืนต่ออีกนิดหนึ่ง แต่อีเมียไม่ไหวแล่ว คุณสามีเลยออกไปคนเดียว กลับมาได้รูปสวยๆมาให้เราดูเพียบเลย










Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2556
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2556 14:04:39 น.
Counter : 10905 Pageviews.

1 comments
  
สุดยอดเลย
โดย: วิธวัฒน์ IP: 192.99.14.36 วันที่: 3 เมษายน 2559 เวลา:4:57:31 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Sugar lip
Location :
Seattle  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 156 คน [?]



วันหนึ่ง เราจะต้องทำบล็อคหน้าตาสวยๆออกมาให้ได้ คอยดูสิ หึ

บีบีได้มาใช้ชีวิตอยุ่ที่อเมริกาถึงวันนี้ก้อเกือบ 3 ปีล่ะค่ะ การได้มาใช้ชีวิตต่างแดนตัวคนเดียว เวลามีปัญหาหรือข้อสงสัยขึ้นมา มันก้อไม่รุ้จะไปถามใคร ภาษาเราก้อไม่ดี บีบีก้อจะหาข้อมูลในเวป google แล้วบีบีก้อจะได้คำตอบออกมาในรูปแบบของ bloggang บีบีเลยรู้สึกถึงความสำคัญของบล็อค รู้สึกขอบคุณคนเขียนบล็อคทุกๆคน ที่เสียสละเวลามาเล่าประสบการณ์ต่างๆที่เป็นประโยชน์อย่างมากมายกับคนที่ไม่รู้อะไรเลยอย่างบีบี ดังนั้นบีบีก้อเลยตั้งใจไว้ว่าจะทำบล็อคเพื่อบอกเล่าเรื่องราวประสบการณ์ และ how to ต่างๆ ของบีบี เผื่อว่าจะได้เป็นประโยชน์แก่คนอื่นๆมั่งค่ะ
New Comments