เจ้าสวามิภักดิ์ต่ออำนาจ ยอมเป็นทาสคณาธิปไตย เพียงหัวโขนไม่กี่ใบ ก็ทำให้เจ้าลืมตน โดยลืมไปว่าคนที่หลงใหลต่อการเสพอำนาจนั้นมีจุดจบที่น่าสยดสยองเพียงใด เพราะคำกล่าวที่ว่า “อำนาจทำให้ฉ้อฉล ยิ่งอำนาจเบ็ดเสร็จเท่าใด ยิ่งฉ้อฉลเบ็ดเสร็จเท่านั้น” (power tends to corrupt ,and absolute power corrupts absolutely) ยังคงเป็นความจริงอยู่เสมอ
 
ธันวาคม 2549
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
26 ธันวาคม 2549

เมรุปราสาทมัทที

.....ดูรานางมัททีสรีสะอาด

ปองว่าสองราได้เสวยราชเมืองขวาง และมึงนางตายจาก ชีวิตพรากสันดาน กูพี่จักหื้อสร้างวิมานปราสาท งามวิลาศบวร แด่แม่เรือนนอนเหนือแผ่น แทบท้องแท่นปฐวี ปล่องรูชีสลอด ใส่ตงสอดขัดขวางเจือแป้นวางลาดเลื่อน บ่หื้อขดคล้ายเคลื่อนไปมา ด้วยอันช่างไม้หากรจนาตกแต่ง

ทุกที่แห่งท่ำกลาง ตีนเจือแป้นวางตงหีด งามประณีตสุวรรณ เสาขอมยันถ้อยถี่ คุงค้ามที่ตีนผังมัน เบ็งจะพาดผันขัดไขว่ ชายหลวงใส่มุงดี ตั้งยองปีและกาบจว้า แต่งมุขหน้าออกทุกพาย ทังขันหงายชายควบ รูปนาคอวบหลังจอง ยอหัวยองหลังกูบ เอาอกอูบหลังชาย ขันคว่ำหงายยายเถียวถอด เรียวรุดรอดเถิงปลาย ประดับแดงดำลายก้านกาบ เหลื้อมมะมาบมีวรรณ

กระบานใบขันแนวนีด จักหื้อช่างขีดลายลวง ลายดอกดวงเกี้ยวรอด บี้เบ้อสอดบินตอม เสาขอมประดับด้วยแก้ว เรืองร่างแล้วด้วยคำแดง พร่องพรายแสงด้วยโกฏิ์ งามสะโรจรังษี ประดับมณีแต่งตั้ง ทังสี่แจ่งจตุรา รูปเทวดายืนถ้อยเถียบ ตีนจับเลียบประนมกร งามบวรซะแล้ม ลายช่างแต้มสัพพะอันมี ทังรูปกินรีแอ่นฟ้อน รูปกินนรย้อนหลัง ถือปุบผังดวงดอก กิ่งก้านออกเพิงพาว รูปเดือนดาวและอากาศ รูปฟ้าหยาดกลางหาว รูปนางสาวใส่สร้อย ข่ายหิ่งห้อยประตูโขง ผ้าพับวงยาบย้อย แขวนข่ายสร้อยใบไร มีทังทุงไชยและทุงช่อช้าง ยายแลบข้างฉัตรคำ ขาวเขียวแดงดำด่าง หม่นเหลื้อมหย่างยายตาม สิ้วสองงามยะยาด

รูปนาคะบ้วงบาศก์เกี้ยวตีนโรง เครือดอกดวงเกี้ยวก่าย สิงห์มอมม่ายหมาหนี ทังกินรีแลเถื่อนถ้ำ ครุฑนาคน้ำมังกร รูปม้าอัศดรตัวองอาจ รูปช้างแก้วราชกุญชร งาเงยงอนเง้าเงื่อน ใหญ่หน้อยเพื่อนพังพลาย รูปงัวควายอุสุภราช รูปนกจากะพากแลหงสา รูปมิคาเทียวตีนข่าย รูปช้างม้าก่ายงวงงา รูปพยัคฆาตัวองอาจ รูปเสือโคร่งหยาดยังยาย รูปตัวกลายแลกระแตกระต่าย นกเขียนม่ายหัสดีลิงค์ อิงฅนิงแลการวีก แขกเต้าปีกเขียวจี สัพะสัพพีรูปงูรีและงูเงี้ยว แมบลิ้นเกี้ยวเครือหนา ทังปักขีทิชาแบ้วบ่าง บี้เบ้อซว่างบินบน ดอกดวงสนเกี้ยวกอด บินดั้นสอดไปมา นกปะทาและกาป่า กาน้ำฝ่าเฟืองฟอง รูปไก่หยองและเป็ดพาบ รูปกาลาบและตระเหวา รูปนกเขาและนกขุ้ม มีเป็นชุมเป็นหมู่ จับไม้อยู่เหนือคอน รูปกินรีนรอนม่ายฟ้อน ยายเหยียบหย้อนหากัน มีหลายพรรณหลายหลาก รูปนาคน้ำนาคี อัสสหัตถีช้างม้า หลายหลากหน้าเสือสิงห์

รูปผู้ญิงโสมแสล้ม ชายจูบแก้มเล้าโลมใจ รูปเมฆะไหลเดระดาษ เครือวัลย์วาดสมตัว ดอกบัวบานสะอาด ดอกพ้านพาดเจจน ดอกนิโลบลเขียวอะทุ่ม ดอกแก้วหนุ่มแกมกัน เครือวัลย์หวันสะอาด ปราสาทแก้วแววยูง กองหลัวสูงร้อยชั้น ไม้แก่นขั้นจันทน์แดง ละมุนแว้งมันซวะซวาด ปราสาทแก้วเรียงราย มีเชิงชายงามสะอาด น้ำแต้มหยาดเพิงพาว ดำแดงขาวหยดหว่าง แมงพู่ซว่างชมละออง เอนกนองแสนสิ่ง ข่ายหิงแก้วทุกพาย

ตระบอมคว่ำพี่จักใส่รูปม้าน้ำตัวกลาย ตระบอมหงายพี่จักใส่แก้วแว่น ตีนแท่นหั้นพี่จักใส่ลายวง ประตูโขงพี่จักหื้อแต้มรูปเทวดาถือดอกไม้ ประนมมือไหว้อยู่ซอนลอน ลางฅนพี่จักหื้อแต้มรูปทิพยาธรงามพ้นแป่ง ลางฅนพี่จักหื้อถือจามรแกว่งกวัดไกว ลางฅนพี่จักหื้อถือฉัตรใบไรหยาดย้อย ลางฅนพี่จักหื้อถือข่ายสร้อยและหางยูง ฝ่ายหลังคามุงพี่จักหื้อแต้มลายฟ้า ฝ่ายมุขหน้าพี่จักหื้อใส่ลายคำ ลายขะแจจำถ้วนถี่ ลายกาบควี่บานใบ ยายย้อยไกวยะยาบ เหลื้อมมะมาบส่องแสงสี มีทังพัดวีพัดพร้าวและจามรีดูยิ่ง ใต้ฟ้ากริ่งสถาน เพื่อส่งสการน้องแก้วพี่ ทุกด้าวที่แจจน ฝูงหมู่ฅนจักมาม่วนเหล้น ชักเชือกเต้นหกกะโดง ฝูงฅนโถงจักหื้อที่พาทย์ฆ้อง เสียตื่นต้องด้วยสัพพไชย สระไนจักหื้อสั่น สนั่นด้วยเบ็งตรา จากับด้วยเสียงปี่ นันทุกที่อือทือ ลางฅนพี่จักหื้อตบมือตางแส่ง จักหื้อมีเรื่องเหล้นหลายประการ เป็นประหมาณดังกล่าวแล้ว

พี่จักแต่งไฟม้าแก้วแล่นตามดิน พ่องก็พาบินเร็วแล่น บอกไฟช้างแฮ่นเสียงคราง บอกไฟรูปม้าตกหางเต้นตว่าง บอกไฟรูปกว่างป่วงจับหลังชาย บอกไฟรูปงัวผายเสียงส่ง บอกไฟรูปควายจ่งจับบน บอกไฟรูปแรดโยนปาวเปิบ แล่นผะเผิบเลยกัน แล่นพอมควันงะหงาด เป็นดังสายฟาดธรณี ฝุ่นผงธุลีพอมืดคุ้ม อากาศกุ้มพายบน บอกไฟรูปฅนก็ว่าจักแล่น บอกไฟรูปม้าก็จักริแฮ่นตามเสียง สัตตะสำเนียงเกิดก้อง นันทั่วท้องสากล พายบนหนอากาศ ผู้จักหื้อช่างฉลาดแต่งไฟยิง หนใต้พี่จักหื้อแต่งรูปสิงห์ไว้ถ้า ขึ้นขี่ม้ายาดยิงบน หนวันตกพี่จักหื้อแต่งไฟโยนรูปช้าง แล่นขึ้นม้างกองฟอน หนเหนือจักหื้อแต่งทิพยาธรและนางฟ้า ขึ้นขี่ม้าอัศดร หัวก็งอนน่องก็อ้า ดั่งว่าจักขึ้นฟ้าก็บ่หน แล่นขึ้นสะสนสะสาด ขึ้นเจาะโขงปราสาทแก้ว เจาะแล้วแล่นลงมา นางเทวดาพ้อยแล่นขึ้น เจาะแต่พื้นลายวงโขงปราสาทแก้ว เจาะแล้วแล่นลงมาบ่ติง นางสิงห์พ้อยแล่นขึ้น เจาะแต่พื้นขันหงาย ลงลวดยายกาบจว้า ติดช่อฟ้าและป้านลม หนวันออกพี่จักแต่งไฟเข้าตอก ทังไฟดอกและไฟขวี รูปมอมพีตัวใหญ่ ไต่เชือกขึ้นจับโขง รูปไฟยนต์หงษ์และนกยูงตัวมีปีก ขึ้นฟ้อนฟีกกันลง ลือทั่วโขงเมืองใหญ่ สะท้านไคว่ผืนธร แก่นปูนวอนแกมโศก เป็นที่เล้าโลกสงสาร ด้วยประการดั่งนี้แล้ว

ไฟม้าแก้วแยกเป็นเปลียว ควันไฟเขียว ติดซวะซวาด น้ำแต้มหยาดกองหลัว ควันไฟมัวชะโชติ โสลดขึ้นกลางหาว ปานดังดาวอยู่ยังฟ้า ยามนั้นกูพี่จักแหงนเหงี่ยงหน้าผ่อเล็งดู ขึ้นพระพรู่ตกพระพรั่ง เป็นคู่หลั่งไหลตาม เป็นไฟงามย้อยดอก ปานเข้าตอกเต้นประปราย ไฟสะหงายดอกน้อย ขวีดอกสร้อยแจจน สะโพกลนล่วนแตก ไฟม้าแยกแก้วเป็นเปลียว ควันไฟเขียวติดช่อฟ้า มานค่าอ้าปานจักบินบน ลมกิดกิวปั่นเค้า ปานดั่งจักยกเอาหอปราสาทเจ้าแม่เมือบน กระทำการสันนี้แล้ว จิ่งจักเป็นโบราณ ส่งสการนางพระยามาแต่ก่อน และนา ฯ ....
มหาเวสสันดรชาดกภาษาล้านนา
พรรณนาเมรุปราสาท และพิธีศพนางมัทรี



เขาพระสุเมรุ-สกลจักรวาล
ลาลับกลับสู่สรวงสวรรค์



พิธีศพมหาเทวีเชียงตุง


ความเชื่อที่ว่าพระมหากษัตริย์เป็นประหนึ่งสมมุติเทพ ที่อวตารมาในมนุษยโลก เมื่อถึงกาลดับแห่งอายุขัย ร่างก็จะกลับไปยังสรวงสวรรค์ดังเดิม คติเรื่องเขาพระสุเมรุจึงถูกนำมาใช้ในการจัดรูปแบบพิธีศพ เพื่อตอกย้ำความคิดที่มุ่งจะไปสู่สวรรค์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างปราสาท อันเป็นตัวแทนของวิมานพระอินทร์ซึ่งตั้งอยู่บนเขาพระสุเมรุหรือตัวเมรุที่มักสร้างให้สูง แวดล้อมด้วยพระเมรุทิศ พระเมรุแทรก สำซ่าง(หอประจำมุขสี่ด้านที่ล้อมพระเมรุ) อันแสดงสันฐานดุจเขาพระสุเมรุ ที่แวดล้อมด้วยเขาสัตตบริภัณฑ์ หรือแม้กระทั่งสัตว์ในขบวนศพก็ทำเสมือนเป็นสัตว์หิมพานต์ที่สถิตอยู่ ณ เชิงเขานั้น อาทิ คชสีห์ ราชสีห์ นรสิงห์ ทักกะธอ เป็นต้น)

ตามคติพิธีศพของชาวล้านนา ที่เรียกกันว่าพิธี"ปอยล้อ" "ปอยลากปราสาท"หรือ"ประเพณีลากปราสาท"ทำกันแต่ในหมู่ชนชั้นเฉพาะเจ้านายและพระสงฆ์เท่านั้น ซึ่งธรรมเนียมดังกล่าวเท่าที่มีหลักฐานพงศาวดารเก่าสุด ปรากฎอยู่ในพงศาวดารโยนก ของพระยาประชากิจกรจักร (แช่ม บุนนาค) กล่าวว่าเกิดครั้งแรกในงานพระศพนางพระยาวิสุทธิราชเทวี ดังนี้

"ลุศักราช ๙๔๐ ปีขาล สัมฤทธิศก เดือนอ้าย ขึ้น ๒ ค่ำ นางพระยาวิสุทธิราชเทวี ผู้ครองนครพิงค์เชียงใหม่ถึงพิราลัย พระยาแสนหลวงแต่งการศพ ทำเป็นพิมานบุษบกตั้งบนหลังนกหัสดินทร์ขนาดใหญ่ รองด้วยเลื่อนแม่สะดึง เชิญหีบพระศพขึ้นไว้ในบุษบกนั้น แล้วฉุดไปด้วยแรงคชสาร เจาะกำแพงเมืองไปถึงทุ่งวัดโลก ก็กระทำฌาปนกิจถวายเพลิง ณ ที่นั้น เผาพร้อมทั้งรูปสัตว์และวิมานที่ทรงศพนั้นด้วย จึงเป็นธรรมเนียมลาวในการปลงศพเจ้าผู้ครองนคร ทำเช่นนี้สืบกันมา"

ศักราช ๙๔๐ นั้นตรงกับ พ.ศ. ๒๑๒๑ หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก เพียง ๙ ปีเท่านั้น นับว่านานพอสมควร แต่บางคนอาจมีข้อแย้งว่าพงศาวดารโยนกเพิ่งจะเขียนขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์นี้เอง ข้อมูลที่ได้จากการบอกเล่านั้นจะเชื่อถือได้เพียงไร ในข้อนี้อาจยืนยันได้จาก วรรณกรรมสำคัญทางศาสนา ฉบับสร้อยสังกร ที่เชื่อว่าแต่งขึ้นในสมัยอยุธยาเวลาใกล้เคียงกับที่แต่งมหาชาติคำหลวง

ในกัณฑ์มัทรีของมหาชาติฉบับนี้ ได้บรรยายถึงความวิจิตรของตัวปราสาทและความยิ่งใหญ่โอฬารของงานพระเมรุไว้ อย่างละเอียดเลยทีเดียว

" ดูรานางมัททีสรีสะอาด ปองว่าสองราได้เสวยราชเมืองขวาง และมึงนางตายจาก ชีวิตพรากสันดาน กูพี่จักหื้อสร้างวิมานปราสาท งามวิลาศบวร แต่แม่เรือนนอนเหนือแผ่น แทบท้องแท่นปฐวี ปล่องรูชีสลอด ใส่ตงสอดขัดขวาง เจือแป้นวางลาดเลื่อน บ่หื้อขดฅ้ายเคลื่อนไปมา ด้วยอันช่างไม้หากรจนาตกแต่ง ทุกที่แห่งท่ำกลาง ตีนเจือแป้นวางตงหีด งามประณีตสุวรรณ เสาขอมยันถ้อยถี่ คุงค้ามที่ตีนผังมัน เบ็งจะพาดผันขัดไขว่ ชายหลวงใส่มุงดี ตั้งยองปีและกาบจว้า แต่งมุขหน้าออกทุกพาย ทังขันหงายชายควบ รูปนาคอวบหลังจอง ยอหัวยองหลังกูบ เอาอกอูบหลังชาย ขันคว่ำหงายยายเถียวถอด เรียวรุดรอดเถิงปลาย ประดับแดงดำลายก้านกาบ เหลื้อมมะมาบมีวรรณ กระบานใบขันแนวนีด จักหื้อช่างขีดลายลวง ลายดอกดวงเกี้ยวรอด บี้เบ้อสอดบินตอม เสาขอมประดับด้วยแก้ว เรืองร่างแล้วด้วยคำแดง พร่องพรายแสงด้วยโกฏิ์ งามสะโรดรังษี ประดับมณีแต่งตั้ง ทังสี่แจ่งจตุรา "

หรือพรรณนาถึงดอกไม้ไฟนานาชนิดที่ใช้ในการถวายพระเพลิง

" ไฟม้าแก้วแยกเป็นเปลียว ควันไฟเขียวติดซวะซวาด น้ำแต้มหยาดกองหลัว ควันไฟมัวชะโชติ โสลดขึ้นกลางหาว ปานดังดาวอยู่ยังฟ้า ยามนั้นกูพี่จักแหงนเหงี่ยงหน้าผ่อเล็งดู ขึ้นพระพรู่ตกพระพรั่ง เป็นคู้หลั่งไหลตาม เป็นไฟงามย้อมดอก ปานเข้าตอกเต้นผะผาย ไฟสะหงายดอกน้อย ขวีดอกสร้อยแจจน ซะโพกลนล่วนแตก ไฟม้าแยกแก้วเป็นเปลียว ควันไฟเขียวติดช่อฟ้า มานค่าอ้าปานจักบินบน ลมกิดกิวปั่นเค้า ปานดั่งจักยกเอาหอปราสาทเจ้าแม่เมือบน กระทำการสันนี้แล้ว จิ่งจักเป็นโบราณ ส่งสการนางพระยามาแต่ก่อน และนา ฯ "


นี่เป็นเพียงบางบทตอนที่คัดเอามาลงเท่านั้น หากใครได้มีโอกาสได้อ่านทั้งหมด แล้วจินตนาการไปกับคำรจนาของกวีคงอดไม่ได้ที่จะตะลึงถึงความงาม ความยิ่งใหญ่แห่งตัวปราสาท และงานพระเมรุที่ในยุคนี้คงยากจะมีโอกาสได้เห็น เพราะแม้แต่ในงานศพเจ้าแม่ทิพวรรณที่ผู้จัดพยายามจำลองและรักษารูปแบบของโบราณไว้ ก็ยังทำได้เพียงแค่เศษเสี้ยว ด้วยปัจจุบันค่าใช้จ่ายในการจัดสร้างมหาศาลนัก อีกทั้งช่างผู้มีฝีมือก็คงขาดแคลนเสียแล้ว

นอกเหนือจากความงามและความโอฬารของพิธีศพ ที่เราสามารถสัมผัสได้จากถ้อยพรรณนาของกวีโดยตรงแล้ว เรายังพบว่างานพิธีศพโดยเฉพาะของเจ้าฟ้ามหากษัตริย์และเจ้าผู้ครองนครนั้น ยังแฝงความหมายในเรื่องอำนาจไว้ด้วย เพราะยิ่งงานพระเมรุใหญ่โตมากเพียงใด ก็ยิ่งแสดงว่าผู้วายชนม์และญาติมิตรหรือผู้สืบตำแหน่งต่อมามีแสนยานุภภาพและศักยภาพ ที่จะระดมไพร่ฟ้าประชาชนให้มาจัดการงานอันยิ่งใหญ่นี้ได้

บางตอนจาก
พิธีศพมหาเทวีเชียงตุง
ภาพสะท้อนคติการปลงศพล้านนา
นิตยสาร"สารคดี"
ฉบับที่ 69 ปีที่ 6 เดือน พฤศจิกายน 2533
เรื่อง สุดารา สุจฉายา
แสงอรุณ กนกพงศ์ชัย
ภาพ สกล เกษมพันธุ์





 

Create Date : 26 ธันวาคม 2549
1 comments
Last Update : 26 ธันวาคม 2549 3:09:22 น.
Counter : 1254 Pageviews.

 

ค่อนข้างอ่านยากนะคะ แต่ก็เป็นความรู้ที่ดีที่เดียว

 

โดย: ปาล์ม (palmpada ) 26 ธันวาคม 2549 19:26:42 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Street Fighting Man
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ถึงชนจะชิงชัง แต่กูยังจะหยัดยืน
กู้เกียรติที่มารกลืน ให้มวลชนเข้าใจใจ
กูชาติทหารหาญ ประวัติการณ์นั้นยาวไกล
พิทักษ์ไผทไทย นี้สืบทอดมายาวนาน
ทหารไทยบ่ขายชื่อ บ่ขายชาติและวิญญาณ
เกียรติยศอุดมการณ์ บ่ขายกินเป็นเงินตรา
เพื่อผองประชาชาติ จะพลีชีพให้ลือชา
ลบคราบน้ำตา…อา ! ที่อาบนองแก้มผองชน
ผู้นำผู้ใดดี จะร่วมทางด้วยอดทน
ผู้นำที่เดนคน จะคัดค้านไม่เกรงใคร
น้ำใจนี้เดี่ยวเด็ด ดั่งเหล็กเพชรที่ทนไฟ
เนื้อร้ายต้องตัดไป ไม่ลังเลให้คนแคลน
ถึงแม้สมุนมาร จะคงคอยคำรามแทน
อุปสรรคถึงเหลือแสน จะบุกหน้าบ่ถอยหลัง
มอบรักต่อคนดี และต่อผีคือชิงชัง
ผีดิบจะล้มดัง เพราะเรี่ยวแรงที่ระดม
เสียงสูคือเสียงผี ที่หลอกคนด้วยคารม
[Add Street Fighting Man's blog to your web]