เพิ่งไปดูหนังเรื่อง The Day The Earth Stood Still มาเมื่อวันก่อนแล้วก็นึกถึงหนังสารคดีเรื่องนี้ที่เพิ่งดูไปตัวหนังไม่ถือว่าดีเมื่อเทียบกับ An Inconvenient Truth แต่ก็ไม่แย่มาก รูปแบบง่ายมากคือมีผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆมานั่งให้สัมภาษณ์ คั่นด้วยภาพประกอบทั้งจริงและกราฟฟิก สลับกับหน้าอ้วนๆ เอ้ย หล่อๆของลีโอนาร์โดที่ออกมาพูด เดิน นั่งรถ และยืนชมวิวให้เห็นเป็นระยะๆ เรื่องนี้ไม่ได้เน้นที่หลักฐานหรือการค้นหาความจริงของภาวะโลกร้อนแต่ประเด็นหลักน่าจะอยู่ที่การกระตุ้นให้เราคิดถึงความรับผิดชอบของมนุษย์ที่มีต่อโลกและสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นมากกว่า ประเด็นที่น่าสนใจก็คือการพูดถึงสังคมมนุษย์มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษกว่าสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นก็ตรงที่สมองที่ทำให้เราเอาตัวรอดและพัฒนามาได้จนทุกวันนี้แต่ปัจจุบันนี้การพัฒนานั้นเน้นไปในด้านเศรษฐกิจและการเมือง มนุษย์คิดว่าตัวเองเหนือกว่าธรรมชาติเพราะเราสร้างทุกอย่างได้เอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาธรรมชาตินอกจากการเป็นแหล่งทรัพยากรทางการผลิต ทั้งน้ำมัน ป่าไม้ ดิน ถูกใช้และทำลายไปเป็นจำนวนมาก สิ่งมีชีวิตอื่นๆหลายชนิดสูญพันธุ์การพัฒนาทางเศรษฐกิจนับเป็นเป้าหมายสำคัญแต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตามมา เราอยู่ในสังคมที่นิยมการบริโภค ผู้ผลิตสรรหาโฆษณาและสินค้าต่างๆมาล่อใจ เราทำงานมากขึ้นเพื่อที่จะมีเงินใช้จ่ายได้มากขึ้น สร้างเอกลักษณ์ให้ตัวเองด้วยการใช้สินค้ายี่ห้อต่างๆ ต้องการบ้านและรถใหญ่ๆ โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่จำเป็นจริงๆคืออะไรเรานิยมการบริโภคสื่อและรับข่าวสารจากสื่อซึ่งไม่ใช่เรื่องไม่ดี แต่มันทำให้ขาดการเรียนรู้ด้วยประสบการณ์จริงและขาดการติดต่อกับโลกที่แท้จริงทำให้ไม่เห็นความสวยงามของโลกและธรรมชาติ ต้องหาสิ่งอื่นทดแทนซึ่งก็คือการบริโภคมันทำให้เราคำนึงถึงความมีตัวตนและการดำรงอยู่ของมนุษย์ นอกจากการรักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว เราควรจะคิดด้วยว่าอะไรคือสิ่งจำเป็นจริงๆในชีวิต เรามีตัวตนเพื่ออะไร มีบทบาทอะไรนอกจากทำงาน กิน ใช้ เที่ยว และสุดท้ายแล้วชีวิตก็กลับคืนสู่โลกดูเรื่องนี้แล้วไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคลาตูถึงอยากจะมาช่วยโลกจากฝีมือมนุษย์ --"ประโยคนึงบอกว่า การที่เราเริ่มคิดว่าเราจะสามารถทำอะไรได้บ้าง ก็นับได้ว่าเราได้สร้างทางเลือกและการเปลี่ยนแปลงให้ตัวเองแล้ว