ติดต่อพูดคุยกันได้ในเฟซบุ๊คเพจนะคะ
https://www.facebook.com/srisurangwriter
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2549
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
6 กรกฏาคม 2549
 
All Blogs
 
วินธัย ๕ มหาดเล็กใหม่






๕. มหาดเล็กใหม่

ปีที่ยี่สิบแปดแห่งรัชสมัยพระบรมราชาที่สี่ สิบกว่าปีแห่งการดำเนินนโยบายเจริญราชไมตรีและการค้า ปาลีรัฐสงบร่มเย็นปลอดศึกสงคราม ไพร่ฟ้าหน้าใส ภูมิอากาศพอควรทุกฤดูกาลยังผลให้การเพาะปลูกได้ผลบริบูรณ์

หมู่ชนส่วนมากไม่ลำบากด้วยข้าวปลาอาหาร ล้วนนิยมทานและการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ผู้ยากจนจึงไม่ไร้ที่พึ่งพา โรงทานทั้งของหลวงและของราษฎร์ดาษดื่นทั่วไปในพระนคร คับคั่งทั้งยาจก วณิพก ผู้เดินทางและสมณะชีพราหมณ์รับอาหารเพื่อเป็นบุญกุศลแก่ผู้ให้ ราชสำนักและราษฎรต่างมีสุขสำราญทั่วกัน

เวลาในเขตพระราชฐานราวกับไม่ได้เคลื่อนคล้อยไปจากเมื่อทศวรรษก่อน การณ์ดำเนินมาเช่นที่เคยคล้ายยามพระราชกุมารีทรงพระเยาว์ ตั้งแต่พระราชินีเสด็จสวรรคต เจ้าฟ้าหญิงเกษราประทับร่วมตำหนักกับพระราชบิดา ณ ศศิประภาฝ่ายหน้าเรื่อยมา มิเคยทรงอยู่ในความดูแลอารักขาของท่านป้า ท่านยาย หรือฝ่ายในผู้ใดเลยตั้งแต่ประสูติ

มีแต่พระนมอัสสิริ และหมู่พระพี่เลี้ยงถวายการดูแล จนบัดนี้เจริญพระชันษายิ่งแล้ว….

“นะท่านพ่อเพคะ อนุญาตให้หญิงย้ายไปอยู่ดาริกา”

ห้องพระอักษรเปิดโล่งทางทิศใต้ รับสายลมอุ่นแห่งคิมหันตฤดูและแสงแดดสดชื่น หมู่ผีเสื้อสีสดสวยขยับปีกร่อนอยู่เหนือบุปผชาติในราชอุทยาน

“หญิงโตแล้ว ตำหนักท่านพ่อ ฝ่ายหน้าเพ่นพ่านเต็มไปหมด ข้างในหญิงก็ไม่อยากอยู่ ดาริกาเล็กๆ อยู่ใกล้ท่านพ่อแค่นี้เอง”

“จะได้ห่างหูห่างตา ต้มเหล้าเมากัญชากันได้สนุกไป ใครๆ ไม่รู้เห็น ป้าไม่เห็นด้วย”

ในห้องพระอักษรประทับอยู่สามพระองค์ มิได้อยู่เพียงลำพังพ่อลูกเท่านั้น

องค์ราชธิดาทำพระอาการราวกับจะพุ่งเข้าฉกท่านป้า หันพักตร์ขวับมาตาวาววับ แต่พระพี่นางทำใจดีสู้เสือ
“โตแล้วก็ควรไปอยู่กันฝ่ายหญิง ไม่อยากอยู่ข้างในก็ไปอยู่กับป้า…หรือกับท่านยายก็ได้นี่”

ทรงละไว้ในฐานที่เข้าใจแต่ไม่ตรัสว่า ก็ควรจะอยู่มาตั้งแต่เกิดแล้ว นี่โตมาไม่เหมือนใครๆ เขา ไม่เคยได้อยู่กับแม่กับป้า มีแต่พี่เลี้ยงโอ๋กันอยู่ฝ่ายหน้า แทนที่จะเห็นสาวๆ นุ่มนิ่มกรองดอกไม้ เห็นแต่ผู้ชายถือดาบเต็มตำหนัก

“ไม่ไหวหรอกเพคะ เดี๋ยวท่านยายเป็นลมทุกวัน”

พระราชาธิบดีทรงพระสรวล “ได้ซิลูก อยากอยู่ดาริกาก็ลองดู พ่อไม่ว่า”

นึกแล้ว… พระพี่นางนึกในพระทัยพลางค้อน ‘น้องชาย’ ขวับๆ

“มีอะไรปุบปับจะต้องย้ายตอนนี้ ทีเมื่อก่อนให้ย้ายจะต้องค้านคอเป็นเอ็น”

ราชธิดาหลบพระเนตร ความจริงแล้วถึงจะแทบไม่เคยเชื่อฟังเท่าใด แต่ท่านป้าก็เป็นผู้เดียวที่มักจะตามเกือบทันพระองค์เสมอ และแม้จะเฮี้ยวกับท่านตลอดมาก็ทรงทราบว่าท่านรักและหวังดี พยายามสั่งสอนอย่างไร้ผลมาจนเจริญพระชนม์

“หญิงจะไปลองใช้ชีวิตอย่างสามัญชน หุงข้าวต้มแกงเอง จะได้เข้าใจประชาชนของเราอย่างไรเพคะ”

ท่านป้าสำลักแล้วทรงสรวลก๊าก ขณะที่องค์เหนือหัวเลิกพระขนง

“ยังงั้นเชียว”

“ท่านป้าอย่าหัวเราะหญิงนะ !”

พระพักตร์แดงขณะที่พระเนตรหรุบลง สมพระทัย ที่พระพี่นางทรงขำจนลืมสังเกตไปว่า วันนี้ทรงพยศน้อยกว่าปกติไปมาก

มิได้ทรงคิดจะต้มเหล้าเมากัญชา แต่ก็มีเหตุที่จะทรงต้องการห่างหูห่างตาพระราชบิดาอยู่เหมือนกัน… เรื่องเริ่มตั้งแต่ปีก่อน ที่ทรงเรียนกฎหมายราชสำนัก ซึ่งมีข้อห้ามข้อบังคับแตกต่างจากสามัญชนมากมายหลายข้อ ควบคุมภายในพระราชอาณาเขตให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ขณะที่ราษฎรทำอะไรที่ราชวงศ์และข้าราชบริพารใกล้ชิดทำไม่ได้ตั้งเยอะแยะ

ราชกุมารีเกษราเคยทูลถามท่านพ่อว่า เหตุไฉนจึงไม่โปรดให้มีกฎเท่าเทียมกันทั่วแผ่นดิน คือที่ควรผ่อนก็ผ่อนให้เหมือนกัน ที่ควรเคร่งครัดก็เคร่งครัดทัดเทียมกัน

พระบิดาทรงแสดงเหตุผลมากมายที่ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เช่นเหตุใดจึงมิอาจให้ฝ่ายหน้าและฝ่ายในพบปะคบหากันได้เช่นชาวบ้านร้านตลาด เหตุไฉนนาฏศิลป์หลวงให้ใช้ผู้หญิงเล่นขณะที่ละครนอกนั้นต้องใช้ผู้ชายเล่นเท่านั้น แต่ก็มีอีกหลายๆ ประการที่เจ้าหญิงไม่ทรงเห็นด้วยกับท่านพ่อ เช่นห้ามประชาชนปลูก ซื้อขายและสูบฝิ่น ขณะที่เจ้านายบางองค์ยังสูบฝิ่นที่สั่งซื้อเข้ามาด้วยราคาแพงได้ เนื่องเพราะพระอัยกาองค์หนึ่งในรัชกาลก่อนพิสมัยการสูบฝิ่นจนเลิกไม่ได้

และการพนันตามโรงบ่อนที่ได้รับอนุญาตจากหลวงถูกกฎหมายในหมู่ประชาชน แต่ต้องห้ามสำหรับพระราชวงศ์ ไม้หอมแก่นกฤษณา เพชรทองและอัญมณีมีค่าบางประเภท หากมิได้เป็นของพระราชทานก็ต้องห้ามสำหรับสามัญชนด้วย

แต่ทว่า….
สำหรับพระราชธิดา ไม่เคยมีสิ่งใด ห้าม พระองค์ได้เลย….






“โกเมท เจ้ากะเลียวคอกลุงดำนั่นแหละ”

“เท่าไหร่”

“ยี่สิบหมื่น…” ผู้พูดวางปั้นทองสองอันลงบนโต๊ะไม้สีดำตรงหน้า นายบ่อนร่างใหญ่ท้องหนาสวมเสื้อกัมพลลายตาราง นุ่งไหมสีเข้มบ่งบอกฐานะอันดี แต่ร่างกายอันใหญ่โตบวมฉุจนล้นเก้าอี้ ผิวหน้าเนื้อหนังเหมือนส้มโอไม่น่าดู คิ้วหนาไม่เป็นระเบียบ ตาเล็กส่อแววหลุกหลิกอย่างคนเจ้าเล่ห์ มีเพียงเสียงห้าวดังกังวานเท่านั้นที่บ่งบอกราศี

ตวง นายบ่อนหลังโรงภาษีแห่งนี้ขยับแว่นส่องมองดูปั้นทองสลับกับหน้าผู้วางอย่างไม่เชื่อใจ
“เอ็งไปรวยมาจากไหน เหอ อ้ายชื่น”

หาใช่เสียงกังวานของนายบ่อนไม่ ที่ทำให้นายชื่นหรือนายนันทิตัวสั่น เสียงสั่นระรัว

“ปล่าว นายตวง เจ้านาย…ให้รางวัล…ข้า…หลายๆ คนรวมกันมา”
เขาหันหลุกหลิกมาทางข้างหลังหาบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งที่ยืนเยื้องไป

“อ้อ มาด้วยกัน ?” นายบ่อนพยักถาม

“ขอรับ” พอเห็นหน้าชัด ก็ต้องขยับแว่นแหงนดูอีกที

“อ้ายนี่ใครหวา ไม่เคยเห็น”

“คนเก่าหน้าใหม่น่ะ นาย คนเขาเพิ่งฝากย้ายมาจากชายแดน เอ้า รีบๆ จดใบรับเข้าเถอะ” นายชื่นเร่งมา

เจ้ามือร่างใหญ่จึงจำต้องผละมองอย่างขัดใจ ก้มลงจรดดินสอถ่านในมือลงบนกระดาษ ขณะที่ลูกน้องตัวดำปี๋ตากลมโตคนหนึ่งหยิบก้อนทองคำประทับตราขึ้นมากัดพิสูจน์ พลางเหลือบตามองไปทางหลังนายชื่น ตาต่อตาสบกัน เจ้าลูกน้องหลบตาลงตอบนายมันว่า

“ไม่ปลอมนาย ของแท้”

นายตวงชำเลืองไปทางมันแล้วเปรยกับนายชื่น

“เศษเหรียญเบี้ยเงินข้าก็ไม่ว่า ปั้นทองของยักของหลวงอย่าเอามาแล้วกัน พลอยข้าเข้าตาร้ายด้วยเมื่อไหร่ ไม่ว่าใครอย่ามายกมือไหว้ ข้าไม่เอาไว้นะโว้ย บอกก่อน”

นายชื่นหัวเราะแหะๆ “นายตวงนักเลงเก่า ข้ารู้”

จดเสร็จกระแทกใบวางลงบนโต๊ะจนแทบกระดาษบางจะขาด นายชื่นค่อยๆ เอื้อมมือสั่นๆ ไปรับ ก่อนหันกลับเดินอ้าวไม่เหลียวหลัง เหงื่อออกจนชุ่มเสื้อ

“คราวนี้ได้เรื่องแน่ เจ้าประคุณเอ๋ย อ้ายชื่นเพิ่งรับใช้ชาติมายังไม่ทันแก่ จะต้องสิ้นชื่อ สิ้นชาติ หัวขาดเสียแล้วละแน่”

เขาพับกระดาษใบรับบางๆ เหน็บเอวไว้ แล้วหยิบขึ้นมาคลี่ดู แล้วพับลงไปเหน็บไว้ใหม่ อย่างนี้หลายๆ เที่ยวกว่าจะผ่านป่าพุทราออกมาถึงถนนหลวงที่เป็นดินสีคล้ำอัดแน่นเรียบเตียนเป็นอันดี คนตามหลังยังเดินเงียบกริบ

วันนี้ถึงมาด้วยเรื่องหลวง แต่ทั้งสองก็มิได้แต่งตัวตามหน้าที่ มีเพียงเสื้อฝ้ายสีทึมๆ ปล่อยชาย กางเกงครึ่งแข้ง และรองเท้าสาน เหมือนชาวบ้านทั่วๆ ไปเท่านั้น หากไม่เคยคุ้นหน้ากันมาก่อน นายตวงคงทักไม่ถูกว่านายชื่นเคยเป็นข้าฝ่าละออง แต่ไม่เคยคุ้นหน้ามาก่อน ใครๆ ก็ต้องทักถูกว่าคนตามหลังไม่ใช่ชาวบ้าน

“นี่ ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกะเขามั่งเลยเรอะ พ่อวินธัย มิน่าคุณท่านถึงให้มา รู้ไหมล่ะมันผิดกฎมณเฑียรวังขั้นหลังขาด อย่างข้าคนไม่เคยหวายทวนไม่กี่ทีก็ถึงตายหนา”

“น้าชื่นรับราชการในพระอนุชาอย่างสุจริตมาถึงสิบปี มาทำเข้าอย่างนี้เห็นทีจะได้รับโทษหนักนะขอรับ”

นายชื่นชะงัก แกนึกจะกล่าวอะไรแต่พลอยลืมไป อ้าปากอยู่พักหนึ่งแล้วหุบลง คราวนี้เดินอย่างเดียวไม่พูดอีกเลย จวบจนกระทั่งถึงเรือนข้าราชการสองชั้นหลังโอ่อ่า ฝาไม้กระดานขัดเงาเรียบเป็นมันเห็นแต่ไกล ทั้งสองได้เข้าพบคุณสรจักษ์ ผู้เป็นนายทหารเอกดูแลมหาดเล็กวังหน้า รายงานเป็นอันดี ท่านเป็นชายวัยกลาง ผิวสองสี ไว้หนวดพองาม ท่านอนิรุทธ์ได้ฝากวินธัยมารับใช้ ให้ฝึกการงานให้เมื่อปลายปีที่ผ่านมา

“บ่ายนี้ไปดูแข่ง รับเงินแล้วมานี่ วินธัยเข้าไปด้วยกัน”

“ระ รับเงิน แน่รึขะรับ”

คุณสรจักษ์หันมาดุนายชื่น

“รับหรือไม่รับก็แล้วแต่ ข้าไม่ได้รู้เห็นเรื่องม้าแข่ง เข้าใจไว้”

งานคราวนี้เป็นที่เข้าใจว่าไม่มีใครในวังหลวงกล้ารับทำ ถึงถูกส่งออกมา ‘บังคับ’ ข้างนอกให้ดำเนินการ เมื่อรู้ว่าเรื่องผ่านมา คุณสรจักษ์ก็รีบรับอาสาทำ ก่อนที่จะตกไปถึงมือไม่สมควร มือไม่ถึง หรือมือที่สาม อันอาจทำให้เรื่องยุ่ง ใหญ่ และยากนี้บานปลายกลายเป็นอนันตริยกรรมขึ้นมาได้

“เจ้าสองคนอยากจะได้ใครไปเป็นเพื่อนเพิ่มเติมไหม บ่ายนี้”

วินธัยนิ่ง ขณะที่นายนันทิผู้ต้องมีหน้าที่ตอบ ตั้งท่าจะสั่นอีกรอบ

แน่นอน ถ้าไม่ต้องรับเงิน ก็มิทราบจะต้องรับทัณฑ์ฐานคัดเลือกอัศดรตัวผิดแทนไหม… หรือว่า ถ้าต้องรับเงินแต่ไม่ได้รับ แล้วจะต้องเสียเลือดเสียเนื้อในการให้ความเชื่อมั่นนายบ่อนเป็นการช่วยตัดสินใจว่าควรจะจ่ายให้ครบหรือไม่….

และถ้าหากว่าต้องรับเงินและได้รับมาแล้ว เกิดทำเศษเหรียญเบี้ยเงินทั้งร้อยหมื่นหายหกตกกระเด็นไปเข้ากระเป๋าโจรที่ไหนในระหว่างทาง… แล้วชีวิตจะยังยืนยงพอได้กลับมาสั่งเสียลูกเมียไหม

งานนี้รู้มากคนเสี่ยงมาก แต่คนน้อยก็เสี่ยงมาก

ถ้าคิดเลิกทำทั้งที่หลวมตัวทำเข้าไปครึ่งนึงแล้ว ยิ่งเสี่ยงมากที่สุด

“ไปกันสองคนก็พอขอรับ” วินธัยทำหน้าที่ตอบแทนเมื่อเห็นน้าชื่นหรือนายนันทิ ทำท่าว่าจะตัดสินใจไม่ได้

“ผิดนักก็สู้กันไม่กระไรนัก เรื่องคงเงียบ”

คุณสรจักษ์ลูบเรียวหนวดครุ่นคิด ถ้าเกิดเรื่อง กรมตำรวจคุมคนมาสืบก็คงเป็นนักเลงพนันสองคนมีเรื่องกับนายบ่อน ปากสองปากนี้ท่านแน่ใจแล้วว่ายามคับขันจะหุบสนิท จึงพยักหน้าให้งาน

บรรยากาศแข่งม้างวดนี้คงร้อนรุ่มยิ่งนัก ทั้งผู้อยู่ในสนามและนอกสนาม


อากาศอึมครึมคล้ายฝนจะเท ไม่ทันล่วงเที่ยงสักกี่ยาม ฟ้าก็รั่ว

หยาดน้ำเกาะพราวบนดวงหน้ากร้านแกร่งของนายนันทิ อดีตมหาดเล็กคู่พระทัยสมเด็จพระธราธรราชอนุชา ผู้ซึ่งสามารถเป็นได้ทั้งตลกหลวงและนายทัพในคนเดียว ตามแต่สถานการณ์

ตั้งแต่ฝนตก น้าชื่นก็ไม่พูดอีกเลย

เป็นเวลาบ่ายจัดใกล้จะถึงเวลาแข่ง ฝนซึ่งทำทีท่าว่าจะไม่หยุดง่ายๆ ไปจนถึงค่ำก็ขาดเม็ดลงอย่างรวดเร็ว ฟ้าเปิด ทั้งสองอันนั่งคอยเวลาอยู่ที่ในศาลาริมป่าพุทราจึงไม่ต้องใช้ร่มไปในสนาม หากว่าฝนตกเช่นนี้มาแล้วเมื่อวันวาน การแข่งก็อาจจะงดได้ แต่เนื่องจากฝนมิได้เยือนฟ้ามากว่าเดือน ลู่วิ่งดินแห้งแตกระแหงเป็นฝุ่นธุลีซึมซับน้ำไว้ชุ่มฉ่ำ

ผู้คนหลั่งไหลมาจากสี่ทิศ เข้ากลุ้มรุมเปลี่ยนม้าและเพิ่มลดเงินพนันกันวุ่นวายโกลาหล วินธัยสังเกตเห็นนายนันทิมีสีหน้าชุ่มชื่นขึ้นหลังฝนหยุด

“ฟ้าให้พร พ่อวินธัย” ทั้งคู่เดินไปหยุดยั้งยังม้าที่นั่งยาวข้างหนึ่ง ซึ่งแลเห็นเส้นชัยได้ชัดเจน นายนันทิลงนั่งพลางถูมือไปมา

“ค่อยยังชั่วหน่อย”

“ลู่ออกจะแฉะไปสักนิดนะขอรับ”

“น้าถึงมานั่งถึงนี่ยังไง ไม่งั้นจะลงไปให้ชิดรั้วเชียว”

วินธัยชอบชมม้าวิ่ง ในทุ่งหญ้าป่าเขาหรือสนามฝึกซ้อม ชอบชมความแข็งแรงปราดเปรียว และพลังในการโลดแล่นซึ่งแสดงออกในความสมบูรณ์พ่วงพีและการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วสง่างามตามธรรมชาติ

ม้าแข่งเพื่อความเร็วในระยะสั้นถูกคัดเลือกพันธุ์และเลี้ยงให้ผอมเพรียว น้ำหนักเบา ว่องไวที่สุด ภายในระยะเวลาจำเป็น ไม่เหมือนเช่นม้าศึก ที่ต้องทรหดแข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ ทนต่องานหนักในระยะเวลายาว หนทางไกล แล้วยังมีจิตเข้มแข็ง ไม่ตื่นเตลิดง่ายต่อสภาวะแวดล้อมต่างๆ

เสียงฝีเท้าตะกุยดินชุ่มฝนเป็นจังหวะรัวหนักอึงอล ทั้งฝูงพุ่งออกจากซองราวจะเหิน เด็กชายร่างบางทั้งหลายที่เกาะหลังกุมแส้เชี่ยวชาญชำนาญ ต่างแต่งเสื้อสีสดสะดุดตา เสียงปรบมือตีตีนผิวปากโห่ร้องสนั่นก้องขึ้นพร้อมเพรียงจากทุกทิศ

นัดนี้มีแข่งสามชุดเช่นที่เคยประจำ เจ้ากะเลียวของลุงดำนั่นอยู่ชุดที่สาม ซึ่งเป็นนัด ‘รวมดารา’ ของบ่อนนายตวง ซึ่งกินเนื้อที่กว้างขวางรวมการกีฬาพนันมากมายหลายชนิด ทั้งแข่งอาชา ชนโค วิ่งคนพนัน หรือเกมในห้องอย่างไพ่ แทงเลข ลูกแก้วในกำมือ หรือวงล้อโชคชะตา

คล้ายกับว่าคนทั้งหลายต่างหลับใหลลืมตัวชั่วขณะ ที่ม้าวิ่งผ่านเส้นชัย ในนาทีนั้นก็คงเป็นเช่นกันกับเมื่อบัตรเปิด เจ้ามือคลายอุ้งมือ เฉลยเลข อันใดก็ตามที่ลิขิตชะตาในวันนั้นแก่มหาชนผู้หลงงมงาย

เสียงสรรเสริญอวยชัยให้พรแก่ความเจริญแห่งศีลธรรมมิเคยดังเทียบเท่ายามผู้คนกู่ตะโกนอยู่ปากทางแห่งความหายนะเหล่านี้เลย

“เอ้า จะแข่งแล้ว พ่อวินธัยเอาใจช่วยเจ้ากะเลียวโกเมทของเราหน่อย เจ้าประคู้ณ…”

วินธัยยิ้มต่อท่าทางลุกลนของน้าชื่น ซึ่งช่วยทำให้บรรยากาศสมจริงสมจังขึ้นอีก

“ผมขอให้แพ้” เขากระซิบขึ้นข้างๆ

นายชื่นสะดุ้งโหยงพร้อมๆ กับประทัดปล่อยตัวลั่นดังปัง เสียงโห่ร้องอึงคะนึง ผู้คนล้นหลามพร้อมกันลุกขึ้นยืนกู่ตะโกนโบกผ้าเชียร์กันสนันหวั่นไหวกว่าทุกคราว

ม้าเพรียวขนดำเป็นมันวาว สะท้อนแสงตะวันบ่ายในพยับเมฆแลเห็นเหมือนเหลือบสีเขียวเรือง ติดหมายเลขเจ็ดบนหลังคนขี่พุ่งออกจากซองรวดเร็วเป็นที่หนึ่ง อีกแปดตัวที่ควบตะกุยออกมาพร้อมๆ กันก็มิได้ทิ้งห่างเกินช่วงคอ ไม่นานก็ถูกเจ้าสีน้ำตาลแดงเบียดจนตกเป็นที่สามในโค้งแรก ด้วยถือบังเหียนมือดีของคอกวิชัยถีบเข้าตะโพกให้มันเสียจังหวะไปได้ ลงมาเป็นม้าตามอยู่จนเข้าโค้งที่สอง

คนโห่ร้องก่นด่าโคตรเหง้าบุพการีของเจ้าคนขี่อยู่ไม่ทันไร ม้าที่สองสีขาวปลอดติดหมายเลขหนึ่งก็เบียดขึ้นมานำคู่กับเจ้าน้ำตาลแดง ถือบังเหียนเตะถีบกันเป็นพัลวัน เจ้ากะเลียวโกเมทจึงได้โอกาสแทรกช่องขึ้นนำได้อีกในโค้งที่สาม ทั้งผ้า หมวก บุหรี่ สารพัดสิ่งของบรรดามีที่ติดมือของผู้ชมปลิวประดังกันลงไปในสนาม จนมิรู้ว่าลืมตัวหลุดมือหรือต้องการประทุษร้ายคนขี่หรืออาชาหมายเลขใดที่ไม่ชอบใจ

ถือบังเหียนม้าขาวกับน้ำตาลเบอร์สามเห็นต้องตกเป็นรองกระนั้นก็หยุดใช้กลวิธีทะเลาะกันหันมาเฆี่ยนแส้เร่งความเร็วเต็มที่ พุ่งเข้าโค้งสุดท้าย โกเมทอยู่ชิดรั้วด้านใน ม้าแดงอยู่กลาง ขณะม้าขาวอยู่วงนอก ตามด้วยม้าเข้าแข่งทั้งหมดอย่างประชิดติดพันไม่มีทิ้งห่าง

กล่องบุหรี่โลหะฝังลายของผู้ชมคนหนึ่ง ปลิวละลิ่วลงหัวคิ้วของขับม้าแดงพอดิบพอดี ผู้คนโห่กันสนั่น วินธัยมองเห็นตวงนายบ่อนลุกขึ้นยืนหันหน้าหาเจ้าของด้วยสีหน้าไม่พอใจ พวกพนักงานรักษาความสงบวิ่งกันกรูลงมาตามช่องอัฒจันทร์ ตะโกนบอกให้หยุดปาข้าวของ ขณะนั้นเจ้าแดงก็เสียทีระยะสุดท้ายให้เจ้าขาวและดำลายอีกสองตัวหลังเบียดจนเกือบติดรั้ว เกี่ยวถูกโกเมทเข้าด้วย….

ฉะนั้น ที่เส้นชัย ม้าสีขาวหมายเลขหนึ่งจึงนำจมูกแตะแผ่นผ้าแพรเป็นตัวแรก ตามด้วยม้าดำลายประขาว และกะเลียวโกเมทมาเป็นอันดับสาม

เสียงอึงคะนึงยังโกลาหลอยู่อีกพักกว่าจะค่อยซาลง วินธัยยิ้มให้กับชัยชนะของเจ้าตัวขาว ขณะที่น้าชื่นหมดแรงลงนั่งแปะกับเก้าอี้พลางถอนใจเฮือก สมหวังกับผิดหวังก้ำกึ่งกันอย่างละครึ่งพอดี

สภาพสนามดินแฉะชื้นเปรอะไปด้วยรอยเท้าม้า เศษดินที่มันตะกุยขึ้นมากระจายไปถึงขอบรั้วและม้านั่งแถวล่างสุดซึ่งไม่มีแผงไม้กั้น สรรพสิ่งอันเคยเป็นเครื่องถือประดับมือของกุลบุตรกุลธิดา ตั้งแต่พัดใบบัว พัดด้ามจิ้ว ผ้าเช็ดหน้า พวงดอกไม้ กล่องบุหรี่ และขนมขบเคี้ยวเกลื่อนกลาดทิ้งอยู่ตามลู่วิ่ง บ้างก็จมโคลนเลอะเทอะ ณ ขณะนี้ สรรพเสียงโกลาหลวุ่นวายย้ายไปที่โต๊ะจ่ายเงินแทน

ชายทั้งสองลุกเดินตามกันออกมาเงียบๆ เมื่อพ้นประตูอัฒจันทร์ด้านหลัง ยังสังเกตเห็นนายตวงที่ยืนคุมช่องจ่ายเงินส่งสายตาชำเลืองมองมาเหมือนกัน น้าชื่นแกล้งทำคอตกฮึดฮัดด่าพึมพำครู่หนึ่ง จนลับสายตา

“ข้าว่าแล้ว เงินตั้งเยอะตั้งแยะ ทำมั้ยถึงได้แทงแค่ตัวเดียว มันน่าจะต่อมั่งรองมั่ง ให้ครบวงจร แข่งเสร็จไม่ได้ไม่เสียสักเท่าไหร่ หยั่งงั้นมันถึงจะดี”

วินธัยยิ้ม “อย่างนี้สิน้าชื่น ถึงเรียกว่ากล้าได้กล้าเสีย ทำให้การดูมีรสชาติขึ้น ไม่งั้นไม่รู้จะลุ้นตัวไหน”

“ข้าว่า” น้าชื่นลดเสียงลงกระซิบ “เล่นไม่เป็นมากกว่า”

“ใครเล่นอะไรกัน !” เสียงเข้มเฉียบขาดดังมาจากปากทางเข้าป่าพุทรา นายชื่นสะดุ้งโหยง หันขวับ

“ธ่อ คุณก็ เล่นเอากระผมใจตกพื้น มาทำอะไรแถวนี้ละคะรับ”

“ก็ผ่านมา” คุณสรจักษ์ตอบห้วนๆ ข้างหลังมีบริวารติดตามอีกสามคน

“ไปสวนลดาวัลย์มา เจ้าล่ะ”

“ชวนพ่อวินธัยไปเดินเล่นแถวย่านค้าใหม่คะรับ เห็นเขาต่อนกเขามาได้งามๆ ว่าอยากจะเล่นก็เล่นไม่เป็น”

แสดงได้สนิทสนมสมเป็นนันทนากรหลวงเก่า มากับข้ารับใช้ในพระราชวงศ์ชั้นสูง มีรึตอบนายตรวจว่าไปแทงอาชา เสียม้ากลับมาจากบ่อนได้

คุณสรจักษ์คงเป็นห่วงจึงได้มาเมียงมองดู

แยกย้ายกันกลับ แต่ก็กลับไปเจอกันที่เก่า ทั้งสองไปเถลไถลอยู่ที่ตลาดแพริมน้ำสักครู่จึงตามมาถึงเรือนท่าน

“เป็นยังไง”

เพียงคำถามเดียวก็เรียกให้นายนันทิบรรยายน้ำลายแตกฟองได้เป็นฉากๆ ตั้งแต่ต้นจนปลาย แถมท้ายด้วยความคิดความเห็นอย่างที่แกได้แสดงแก่วินธัยมาแล้ว

“แหม กระพ้มเสียดาย…”

“พอ…พอ… อย่างนี้ ถึงไม่อยากจะพาไปไหนด้วย” คุณปรามอย่างอ่อนใจ

“จะพูดจะจา ถึงปลอดคนก็ให้ระวังๆ หน่อย”

“คะรับ”

“ไหนๆ แล้วก็เข้าไปเสียด้วยกันเถอะ จะได้ทูลถวายรายงานได้ครบถ้วน” กล่าวพลางให้หน้าให้ไปเตรียมตัวเพราะถึงเวลาอันควรแล้ว

ชายหนุ่มขยับตัวจะถอยออกมาจากบริเวณที่นั่งเล่นอันลาดด้วยพรมเนื้อดีนั้น แต่ต้องชะงักไว้เมื่อชายสูงวัยผู้นั่งนอบน้อมเยื้องไปข้างหน้าไม่ขยับตัวออกตาม

“ทำไมรึ นายชื่น” คุณสรจักษ์ถามมาจากบนเก้าอี้ยาวที่เตี้ยจนดูคล้ายตั่งมีพนัก และกว้างขวางพอจะขึ้นไปนั่งเก็บขาข้างบนได้

“กระผมไม่เข้าไปดีกว่าขอรับ” ด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน

“คุณกับพ่อวินธัยยังรับราชการอยู่วังหน้า กระผมถวายบังคมลาแล้วตั้งแต่สิ้นพระอนุชา จะเข้าไปเห็นไม่เหมาะ เกรงจะเป็นที่เอิกเกริกให้คนตั้งข้อสังเกตพูดจากัน ควันความมันจะ…. เอ่อ…ควรไม่ควรทั้งนี้ก็แล้วแต่คุณนะขอรับ”

นายทหารเอกวัยกลางทอดถอนใจพลางครุ่นคิด

“มันก็จริง …แล้วทั้งนี้นายชื่นคิดว่าวินธัยเขาจะตอบข้อซักถามแทนได้รึ หากจะทรงสงสัยขึ้นมา”

นายนันทิกระแอมขึ้นทีหนึ่ง ก่อนชำเลืองมาทางวินธัยแล้วว่า

“กระผมคิดว่าคงจะไม่ทรงถาม…เอ่อ เด็กผู้ติดตามนักหรอกขอรับ”

“หมายความว่าให้ฉันรับหน้าอย่างนั้นล่ะสิ” ไม่รู้คุณสรจักษ์จะไม่พอใจใคร

“ก็ได้ ไหนๆ ก็เสนอหน้าเข้ามารับเสียแล้วตั้งแต่ต้นนี่นะ ความดีความชอบอะไร ฉันก็จะรับคนเดียวก็แล้วกัน ! เอ้า… ไปสิ วินธัย ได้เวลาแล้ว !”

วินธัยน้อมตัวลงแล้วลุกถอยออกมา

ไม่ได้เตรียมตัวอะไรนอกไปกว่าผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เหมาะสม สวมกางเกงยาว สีและแถบข้างตามกรมที่สังกัด เสื้อแขนยาวคอปิด ติดเครื่องหมายแสดงสถานะสูงต่ำของยศและเครื่องหมายพิเศษของการผ่านการฝึกประเภทต่างๆ กางเกงของเขาสีเหลืองจัดมีแถบสีดำ คงจะตัดกันอย่างตรงข้ามกับสีน้ำเงินของ ‘ในพระธิดา’ กับสีแดงของ ‘วังหลวง’

หลังจากสิ้นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าธราธรองค์อุปราชที่การรบริมฝั่งตโตลามหานทีแล้ว นภาพรมหาปราสาทพระราชวังบวรก็ว่างลง มหาดเล็กเด็กชา พนักงาน ชาวดนตรีชาวละครอันเคยคับคั่งก็แยกย้ายกันไปมากมาย เข้าสู่วังหลวงบ้าง อภิบาลนครบ้าง พระคลังหรือหน้าที่อื่นๆ อันตนมีใจสมัคร บัดนี้วังหน้านภาพรเหลือแต่ฝ่ายในและกองทหารอันเกณฑ์ไว้รักษาหน้าที่ ‘ทัพหน้า’ ในสงครามกับชาวที่คอยบำรุงรักษาพระปราสาทจำนวนน้อยเท่านั้นประจำอยู่ มิได้พรั่งพร้อมเช่นแต่ก่อน พวกมหาดเล็กเหลือน้อยนับตัวได้ คอยดูแลบำรุงรักษาเครื่องสูงส่วนพระองค์และพระแสงอาวุธตลอดจนเครื่องราชูปโภคอันมีค่าสำคัญต่างๆ

พวกนาฏศิลป์ขับร้องก็ออกไปตั้งคณะเร่ประกอบอาชีพในเมือง หรืออยู่จวนข้าหลวงคนสำคัญกันเสียเกือบหมด นายนันทิไปเป็นคนสนิทให้ท่านสุเทพ เจ้ากรมพระราชไมตรี อันไม่มีที่ข้องเกี่ยวกับวังหน้า จึงมีแค่กางเกงยาวสีน้ำตาลไร้แถบข้างเป็นเครื่องแบบ อันเป็นปกติของข้าราชการซึ่งมีหน้าที่โดยตรงอยู่นอกเขตพระราชฐานและวังตำหนักทั้งหลายของพระราชวงศ์

ทุกคนสวมเสื้อสีขาว จะต้องมีเสื้อข้างนอกอีกหรือไม่ย่อมแล้วแต่ฤดูกาล และอำนาจหน้าที่พิเศษ ขณะนี้วินธัยเป็นนายทหารมหาดเล็กที่ยังไม่มีที่พิเศษใดๆ….

เมื่อเขากลัดเครื่องหมายอันสุดท้ายรูปนกอินทรีถือสารเข้าที่ ก็นึกอยากจะให้เป็นที่ปรากฏเช่นนั้นเหมือนกัน ดังนั้นจะต้องถอดออกอีกสักสอง สาม หรือว่าห้าอันดี อันที่เป็นรูปใบพาย รูปกงล้อ รูปถุงใส่งู กับรูปถ้วยข้าวเมล็ดแฟง ………

มีเสียงเคาะประตูขึ้นขัดความคิดเสียก่อน ชายหนุ่มจึงต้องเดินออกมา และทิ้งความคิดแปลกประหลาดนั้นไปเสีย




ดาริกานันทสถาน ในยามตะวันใกล้ตก
แต่งแต้มด้วยรัศมีสีกุหลาบงามนักหนา ในท่ามกลางสวนรุกขชาติและหมู่พรรณผกานานาชนิด ‘บ้าน’ หลังเล็ก เทียบขนาดกับสถาปัตยกรรมอันโอฬารรอบข้าง ดูอบอุ่นและเปล่งประกาย องค์พระตำหนักไม้ฉาบฝุ่นสีขาวดูนุ่มนวล มุงหลังคาด้านบนด้วยกระเบื้องเผาสีดำสนิท ประดับลวดลายไม้ฉลุราวติดลูกไม้รอบพระบัญชร

ดอก ‘ภิรมย์โสมนัส’ กับดอก ‘ดาวประดับฟ้า’ แข่งกันบานเป็นช่อใหญ่ในกระถางตั้งสลับริมช่องกระจกและทางดำเนิน

มีการจัดตกแต่งพระตำหนักเล่นสวนนี้เสียใหม่เมื่อไม่นานนี้ ยังไม่เรียบร้อยดีนัก ทั้งสองจึงได้คอยเฝ้าในห้องเล็กซึ่งสมควรเป็นห้องพักผ่อนทรงดนตรี เพราะท้องพระโรงประจำตำหนัก อันจักได้ชื่อเลียนแบบมาจากศศิประภาว่า ห้องทรงฟ้า นั้นช่างยังทำไม่สำเร็จสมดังพระหฤทัย แต่พระธิดาก็เสด็จมาประทับประจำ ณ ชั้นบนหลายเพลามาแล้ว

นายทหารเอกคุมมหาดเล็กวังหน้ามีสีหน้าครุ่นคิดหนักใจ องค์ราชกุมารีทรงกระทำการหนักเกินไปในคราวนี้จริงๆ หากเหนือหัวทรงทราบเรื่องจะกริ้วสักเพียงไหน….

เสียงกระดิ่งเงินดังเบาๆ เป็นสัญญาณ ก่อนนางข้าหลวงสองนางจะนำเข้าประตูมาหมอบใกล้ที่ประทับ มหาดเล็กเวรประจำห้องถวายคำนับลง พร้อมๆ กันนั้นบุรุษผู้มาเฝ้าทั้งสองลุกขึ้นถวายบังคมอย่างต่ำรับเสด็จ ด้วยการคุกเข่าข้างซ้ายลง วางมือขวาบนเข่าขวา น้อมศีรษะถวายความเคารพ

เสียงแพรส่ายเบาๆ ที่พระทวาร ก่อนจะปรากฏเสียงฝีเท้าค่อยๆ เคลื่อนมาตามพรมจนถึงเบื้องหน้า แลเห็นเพียงรองพระบาทไหมปักลายสีชมพูเข้มจนเกือบแดง ชายฉลองพระองค์ยาวระพื้นสีอ่อน เมื่อพระธิดาประทับลง ณ พระที่นั่งแล้ว เสียงระฆังเงินใบเล็กจึงดังขึ้นอีกครั้ง ทั้งผู้มาเฝ้าและผู้มีหน้าที่ถวายอารักขาจึงได้รับอนุญาตให้คืนกลับสู่อิริยาบถเดิมของตน

สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอทรงอยู่ในฉลองพระองค์แขนยาวคอกว้างขลิบริมด้วยพลอยแดง รัดบั้นพระองค์ด้วยผ้าไหมแถบใหญ่สีเพลิง พระภูษาทิ้งชายยาวจรดพื้น ทรงประดับด้วยแก้วมณีอันสูงค่า ที่พระศอขาวนวลกลมกลึงแขวนสร้อยเพชรรัตน์เส้นยาว พระเกศามุ่นเมาลีสูงปล่อยชายพันเส้นทองเป็นเกลียวลงเบื้องพระปฤษฎางค์ หยาดทับทิมสีโลหิตแขวนอยู่เหนือพระนลาฏโค้งมน พระเนตรดำขลับทรงอำนาจอยู่เหนือพระปรางสีชมพูอิ่มเต็ม และพระโอษฐ์สีสดยิ่งกว่าสีรัดบั้นพระองค์เสียอีก

เสียดายที่พระพักตร์มิได้ประดับด้วยรอยแย้มพระสรวล

ทรงสะบัดด้ามพัดไม้ฉลุในพระกรเบื้องซ้ายลงกับข้างพระที่นั่ง มหาดเล็กสองคนที่อยู่เวรก็รีบถวายคำนับแล้วออกไป เมื่อนั้นคุณสรจักษ์จึงคุกเข่าขึ้นถวายรายงานตามพิธีการ

“ขอเดชะ ร่มพระบารมีปกเกล้า เกล้ากระหม่อมนาย…”

“รู้แล้ว !!!”

ทั้งวินธัยและคุณสรจักษ์สะดุ้งพร้อมกันเพราะพระสุรเสียงแหลมดังสวนขึ้นมา

“พูดสั้นๆ เท่าที่เราอยากรู้ก็พอ !”

ราวกับว่า เสียง กับพระวรองค์อันงดงามสูงส่งยิ่งนี้ไม่น่าจะรวมกันอยู่ได้ ในอิริยาบถที่ยังสง่างามเช่นนี้ ขมวดพระขนงเป็นรอยจางๆ และพระโอษฐ์เม้มลงอีก

“พูดซิ !! จะคอยให้ถึงพรุ่งนี้รึไง หา !!”

“อะ เอ้อ…เกล้า”

“ไม่ต้องเกล้า ได้ หรือว่าเสีย !!”

วินธัยตกตะลึงมองพระพักตร์อันงามบึ้งตึง และ ‘ต้นสังกัด’ ของเขาที่เริ่มจะตะกุกตะกักอย่างไม่คาดฝัน

“สะ เสียพระเจ้าค่ะ”

คราวนี้ทรงกระแทกพัดในพระหัตถ์ปังลงบนโต๊ะเล็กข้างพระที่นั่ง

“เลือกม้าให้ข้ายังไง มันถึงได้แพ้ ข้าบอกให้เลือกที่ดีที่สุด ฟังไม่ออกรึ !”

คุณสรจักษ์ได้แต่กลอกตา ขณะที่ทรงบริภาษ นายมหาดเล็กผู้ติดตามที่นั่งเยื้องมาทางหลังเล็กน้อยสังเกตว่านางข้าหลวงทั้งสองคนยังคงหมอบนิ่งมิได้มีทีท่าตกอกตกใจแต่อย่างใดแล้วก็ประเมินกับตนเองว่า นี่ หรือจะเป็นสถานการณ์ ‘ปกติ’

“ใครเป็นคนเลือกม้า”

“อะ …เอ่อ”

“อย่าโกหกนะ ไม่งั้นเจ้าตาย”

คุณสรจักษ์รีบเปลี่ยนจากชื่อตนเป็นนายนันทิแทนแทบจะไม่ทัน

“แล้วมันเรื่องอะไรไปให้คนอื่นเลือก เจ้ารับสนองบัญชาเราไม่ใช่รึ”

“นายนันทิ…”

“ชำนาญกว่า ?!”

“พระเจ้าค่…”

“นายคนนั้นรึ ?!”

“หามิได้พระเ….”

“แล้วใคร ? ทำไมไม่พามา !!”

“….เอ่อ เขามิได้เป็นข้าในราชสำนักเกล้าฯเกรงว่าจะลือกันมากความ…”

แม้จะแสนเบาและแสนเร็วที่สุดแล้ว…

“งั้นเจ้า ต้องรับผิดชอบ !!!”

ทรงลุกขึ้นเสด็จดำเนินไปมา เคาะพัดกับพระหัตถ์

“ม้า ยังเลือกไม่เป็น แล้วจะเลือกคนเป็นได้ยังไง ฮึ”

“…………”

“ไม่อยากให้มากความ แล้วทำไมไม่เข้ามาคนเดียว นายนั่นเอามาทำประโยชน์อะไร”

“อ……..”

“รู้ไหมเจ้าผิดพลาดไปเท่าไหร่ ?!…..” หยุดพระดำเนินที่เบื้องหน้าเน้นพระสุรเสียง
“ยี่-สิบ-หมื่น-อุรคะ…..สองปั้นทองหลวง !!”

นายทหารสรจักษ์มิทราบจะกราบทูลคำใด

“เจ้าต้องไปเอาคืนให้เรา !!”

ไขว้พระหัตถ์ไปเบื้องพระปฤษฎางค์ เมื่อไกวพระหัตถ์กลับมาปรากฏปั้นทองประทับตราที่พระกรข้างละหนึ่งปั้น

“เอาไปสอง ต้องได้คืนมาสิบ เอาไปอีกสองคราวนี้ต้องได้คืนมายี่สิบ”

สองร้อยหมื่น !!! แม้จะไม่มีเสียงลอดออกจากปาก แต่ทั้งนายและลูกน้องต้องอุทานคำนี้อยู่ในใจ

“มะ….”

“ไม่มีคำว่าไม่ได้ !!” ทรงกระแทกก้อนทองลงบนพานที่นางข้าหลวงลนลานคว้ามารองพระหัตถ์

“ม้าที่ดีที่สุดไม่เคยมีเดิมพันสูงเกินห้าเท่าพระเจ้าค่ะ”

“นั่นเป็นเรื่องของเจ้า” สะบัดพระพักตร์ แต่ก็ยังทรงพระกรุณา

“ลองเลือกตัวที่ไม่ต้องดีที่สุด แต่ต้องชนะดูสิ !!”

คราวนี้นายของเขาเป็นใบ้ไปแล้ว

“สรจักษ์ใช่ไหม” สภาพภายในท้องพระโรงชั่วคราวนี้คงคล้ายโยกไหวได้ในความรู้สึกของหัวหน้านายทหารมหาดเล็กวังหน้าผู้เคร่งครัดและสงบเสงี่ยม ด้วยเขามิได้ทูลตอบคำใด หรือมีกิริยาว่าได้ยินพระเสาวนีย์ต่อๆมาจากพระดำรัส ‘ยี่สิบ’ ของพระองค์อย่างชัดเจนอีก คงปล่อยให้ทรงดำเนิน และตรัสช้าๆ ด้วยพระสุรเสียงใสกังวานไปเรื่อยๆ

“ข้าพิเคราะห์ดูแล้ว เจ้าเห็นจะเลือกคนไปเลือกม้าผิด คราวนี้เจ้าต้องเลือกเอง และเจ้านันทิคนนั้นไม่ต้องให้เข้ามารู้เห็นอีก คราวที่แล้วเจ้าเลือกอาชาเพราะเหตุใด เหตุนั้นผิด ไตร่ตรองแล้วตอบเรามา ม้าที่ดีในคราวนี้ ที่จะทำให้เจ้าได้ยี่สิบปั้นทองคืนมา และรักษาศีรษะเจ้าไว้ได้คือม้าชนิดใด ?”

“…….”

หยุดพระบาท ตวัดพระสุรเสียง

“ตอบซิ !! ม้าที่ดีเป็นอย่างไร !”

“อะ เอ่อ…ทรงหมายความถึง”

“ถ้าแค่นี้ไม่รู้ไปดื่มน้ำในรอยกีบม้าเสียเถอะ”

“ม้าที่ชนะเป็นม้าที่ดีพระเจ้าค่ะ” ผู้ทูลตอบเสียงเครือ

“ดีมาก…” พยักพระพักตร์แย้มพระสรวล “แล้วม้าไม่ดีล่ะ ?”

คุณสรจักษ์ก้มศีรษะจะทูลตอบอีกครั้ง แต่มหาดเล็กหนุ่มที่นั่งเบื้องหลังสิ้นสุดความอดทนเสียก่อน

“ม้าเกเรเจ้าพยศ กินน้ำกินหญ้ายาก ดื้อดึงไม่เชื่อฟัง วาจากระด้าง ใช้เงินเปลือง เล่นการพนัน ไม่ดีพระเจ้าค่ะ!”

ทั่วทั้งห้องเงียบกริบ พระราชธิดาประทับนิ่งขึง ขณะที่คุณสรจักษ์หันขวับมาทางเขาอย่างตกตะลึงสุดขีด นางข้าหลวงที่นั่งประคองพานอ้าปากค้างตาถลน ขณะที่อีกคนละจากการพิจารณาลายพื้นพรมขึ้นจ้องหน้า

วินธัยบอกกับตนได้ในคราวนี้ว่า สถานการณ์ ‘ไม่ปกติ’ แล้ว

พระเนตรทั้งสองเต้นระยิบดุจแสงเพลิง ขณะที่พระพักตร์สงบ ทรงยกพระดรรชนีเล็กเรียวขึ้นเจาะจงชี้อกของเขา

“คนนี้ใคร”

จากคำถาม คุณสรจักษ์เป็นผู้ทูลตอบ

“ว วินธัย ในราชการทหารวังหน้า คนใหม่พระเจ้าค่ะ”

มิได้ไม่พอพระทัยกับคำตอบที่คงจะได้ทรงทราบอยู่แล้วนั้นอีก ทรงเพ่งพินิจเหรียญตราและเครื่องหมายบนอกเสื้อของเขาทีละอัน

“ต่อไปนี้… ตั้งแต่เดี๋ยวนี้” ทรงย้ำ “เจ้าอยู่ในราชการทหาร ‘ในพระธิดา’”

“มะ มิได้พระเจ้าค่ะ” คุณสรจักษ์รีบร้อน “เกล้ากระหม่อมมิได้เป็นผู้มีอำนาจโดยตรงที่จะ..”

“ต้องขอใคร” ตรัสสวนมา

“…อ………...” หัวหน้าเขาหาคำตอบไม่ได้

“เราถามตามตรง ไม่ได้ยอกย้อน ไม่มีใครจะไม่อนุญาตราชธิดา แต่เราต้องบอกกล่าวกับใคร !”

วินธัยรู้สึกว่าใบหน้าชาไปทั้งหมดขณะที่คุณสรจักษ์กราบบังคมทูลนามท่านอนิรุทธ์





กัมพล - ผ้าทอด้วยขนสัตว์
ปิตุลา - อาผู้ชาย,ลุง
กะเลียว – สีของม้าชนิดหนึ่ง ขนเขียวอมดำ บางที่ว่า ม้าที่มีสันหลังดำเป็นทางตลอดหาง สีตัวเขียวหม่น
นินทิ - ยินดี พอใจ
พัดใบบัว – ชื่อสมมติ ตั้งใจจะให้หมายความถึงพัดที่มีรูปลักษณะคล้ายใบบัว ใช้โบกลมให้เย็นอันเล็กๆ
พัดด้ามจิ้ว – พัดชนิดคลี่ออกและพับเข้าได้
ภิรมย์โสมนัส, ดาวประดับฟ้า – ชื่อสมมติ (บานชื่น, ดาวกระจาย)





Create Date : 06 กรกฎาคม 2549
Last Update : 30 เมษายน 2553 20:56:19 น. 0 comments
Counter : 1442 Pageviews.

ศรีสุรางค์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]












visit me at:
Srisurang's book recommendations, liked quotes, book clubs, book trivia, book lists (read shelf)




ประวัติผลงาน





สงวนลิขสิทธิ์

การนำส่วนหนึ่งส่วนใด หรือทั้งหมดของงานเขียนในเว็บนี้ ไปเผยแพร่ ดัดแปลง เสนอขาย โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร ถือเป็นความผิดตามกฎหมาย
Srisurang's bookshelf: read

หัวใจที่ถูกจอง รักนี้ (ไม่) มีสตรอว์เบอร์รี รวมมิตรแต้พานิช มายานาง เจ้าดวงใจ คนในผ้าเหลือง A Man in Saffron Robes

More of Srisurang's books »
Book recommendations, book reviews, quotes, book clubs, book trivia, book lists

My Goodreads bookshelf

Dream Lake
Rose
เหยื่ออธรรม
ประมูลหัวใจ
Something About You
ปทมาศวรรย์
อานาปานสติ วิถีแห่งความสุข
Celebrity in Death
The Madness of Lord Ian Mackenzie
รักหลงฤดู
สามชาติสามภพ ป่าท้อสิบหลี่ เล่ม 1
จิตสดใสแม้กายพิการ
Love me, please...เพียงรักฝากใจ
พระสูตร ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ภาค๑ และอรรถกถา Tipitaka The Pali Canon (Thai Translation) Book 15
Born in Sin
Dark Desire
ตุ๊กตา
นาคราช
ทวิภพ
Red River, Vol. 8


Srisurang's favorite books »
Friends' blogs
[Add ศรีสุรางค์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.