อะไรจะเกิดขึ้น.. เมื่อน้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างรวดเร็ว .....
ยุคน้ำแข็งยุคสุดท้ายบนโลกผืนแผ่นดินถูกปกคลุมด้วยธารน้ำแข็ง (Glaciers) จำนวน 32 เปอร์เซ็นต์ แต่ปัจจุบันนี้ธารน้ำแข็งเหลือเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ หากธารน้ำแข็งทั้งหมดบนโลกและน้ำแข็งอื่นๆบนพื้นผิวละลายไปจนหมด ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น 270 ฟุต หรือ 70 เมตร ธารน้ำแข็งอาจมีอายุยาวนานหลายล้านปี การเปลี่ยนแปลงโดยการเพิ่มขึ้นหรือการหดตัวของธารน้ำแข็งขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของอากาศ ปกติธารน้ำแข็งจะไหลหรือเคลื่อนที่อย่างช้าๆ และใช้เวลาเป็นศตวรรษหรือนับพันปี ทว่าขณะนี้มันเปลี่ยนแปลงภายในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น
ภาพถ่ายปริมาณน้ำแข็งบริเวณอาร์ติก เซอร์เคิล เมื่อปี ค[1].ศ. 2003 โดยดาวเทียมเทอรา
ปี ค.ศ. 2003 ดาวเทียมตรวจสภาพแวดล้อม เทอรา ขององค์การนาซ่าตรวจพบว่าน้ำแข็งบริเวณ อาร์ติกเซอร์เคิล ขั้วโลกเหนือละลายไปเป็นจำนวนมาก นักวิทยาศาสตร์โครงการเทอรากล่าวว่านี่คือหลักฐานแสดงว่าโลกร้อนขึ้นซึ่งเกิดจากน้ำมือของมนุษย์และเป็นสัญญาณในระดับอันตราย ต่อมาในปี ค.ศ. 2004 นักวิทยาศาสตร์สองทีมเผยผลการศึกษาสภาวะโลกร้อนขึ้นซึ่งได้ผลตรงกันว่า อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นราว 1 องศาฟาเรนไฮต์มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1900 และในบริเวณอาร์กติกอุณหภูมิสูงขึ้น 4 ถึง 7 องศาฟาเรนไฮต์ในรอบ 50 ปีเลยทีเดียว มันทำให้ปริมาณหิมะลดลง และธารน้ำแข็งละลายลงสู่ทะเล การเปลี่ยนแปลงนี้ยังคุกคามต่อชีวิตหมีขั้วโลก 25 ปีที่ผ่านมาพวกมันลดจำนวนลง 15 เปอร์เซนต์และน้ำหนักตัวลดลดลงด้วย ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมาธารน้ำแข็งบริเวณแอนตาร์กติกา ขั้วโลกใต้ และอาร์กติก ขั้วโลกเหนือ ละลายอย่างรวดเร็วรวมทั้งแผ่นน้ำแข็งชายฝั่งก็ละลายจนแตกออกเป็นภูเขาน้ำแข็งขนาดมหึมาหลายก้อน การศึกษาล่าสุดโดยทีมวิจัย British Antarctic Survey(BAS) นำโดยอลิสัน คุก ซึ่งตีพิมพ์ผลงานในนิตยสาร journal Science. ฉบับวันที่ 22 เมษายน 2005 เผยว่า ธารน้ำแข็งจำนวน 84 เปอร์เซ็นต์ ในบริเวณบางส่วนของแอนตาร์ติกหดตัวจากการละลายตลอดระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา ด้วยสาเหตุอุณหภูมิที่สูงขึ้น ทีมวิจัยบาสทำการศึกษาจากภาพถ่ายทางอากาศจำนวน 2,000 ภาพ ซึ่งบางภาพถ่ายไว้ตั้งแต่ทศวรรษ 1940 รวมทั้งภาพถ่ายจากดาวเทียมด้วย คุกกล่าวว่า ครึ่งศตวรรษที่ผ่านมาธารน้ำแข็งเกือบทั้งหมดบริเวณแอนตาร์กติกซึ่งไหลลงจากภูเขาสู่ทะเลยาวขึ้นอย่างช้าๆตลอดมา ทว่า เดี๋ยวนี้มันกลับตรงกันข้าม 5ปีหลัง ธารน้ำแข็งส่วนใหญ่หดตัวอย่างรวดเร็ว เดวิด วอนจ์ นักธารน้ำแข็งวิทยา หนึ่งในทีมสำรวจบอกว่า การหดตัวของธารน้ำแข็งจำนวนมากบริเวณคาบสมุทรแอนตาร์กติกในช่วงเวลา 50 ปี มีสาเหตุใหญ่จากการเปลี่ยนแปลงของอากาศ ทีมวิจัยบาสเคยทำนายไว้ในปี ค.ศ. 1998 ว่า แผ่นน้ำแข็งชายฝั่งหลายก้อนรอบๆคาบสมุทรแอนตาร์กติกจะละลายเพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้น คำทำนายนี้กลายเป็นความจริงและรุนแรงกว่าที่คาดหมายไว้มาก มันเกิดขึ้นในระหว่างวันที่ 31 มกราคม ถึง 7มีนาคม 2002 แผ่นน้ำแข็งชายฝั่งชื่อ ลาร์เซน บี (Larsen B ice shelf) ขนาด 3,250 ตารางกิโลเมตร และหนา 200 เมตร ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของคาบสมุทรแอนตาร์กติกแตกออกเป็นภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่และเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยอีกนับพันชิ้น ชิ้นที่ใหญ่ที่สุดมีขนาดยาว 100 ไมล์ ชื่อ B15A และกลายเป็นภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และล่าสุดเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2005 แผ่นน้ำแข็งลาร์เซน บี แตกอีกครั้งหนึ่งส่วนที่แตกออกกลายเป็นภูเขาน้ำแข็ง ขนาด 16 คูณ 35 ตารางไมล์ ชื่อ A-53
แผ่นน้ำแข็ง ลาร์เซน บี ถ่ายจากเรือสำรวจ เจมส์ คลาร์ก รอส ของทีมวิจัยบาส เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2002
ทีมวิจัยบาสเชื่อว่าอากาศบริเวณคาบสมุทรแอนตาร์กติกคงที่เป็นเวลาอย่างน้อยที่สุด 1800 ปี แต่ปัจจุบันนี้มันกำลังเปลี่ยนแปลงไป 50 ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิบริเวณนี้สูงขึ้น 4.5 องศาฟาเรนไฮต์หรือ 2.5 องศาเซลเซียส มากกว่าพื้นที่อื่นๆในบริเวณขั้วโลกใต้ ทางด้านอาร์กติกขั้วโลกเหนือ ธารน้ำแข็งก็หดสั้นลงและละลายอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกันกับขั้วโลกใต้ ปลายเดือน ธันวาคม 2004 ทีมสำรวจธารน้ำแข็งบนเกาะกรีนแลนด์รายงานว่า ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุดของกรีนแลนด์ชื่อ Jakobshavn Isbrae มีอัตราการละลายเป็นสองเท่าจากเดิมและไหลลงทะเลอย่างรวดเร็ว ธารน้ำแข็งนี้เคยไหลลงทะเลในอัตราความเร็ว 3.45 ไมล์ต่อปีในระหว่างปี 1992-1997 แต่ในปี 2003 มันไหลด้วยอัตราความเร็ว 7.83 ไมล์ต่อปี และความหนาของมันลดลงราว 49 ฟุตในทุกๆปีนับตั้งแต่ปี 1997เป็นต้นมา ผลจากการละลายอย่างรวดเร็วนี้ทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น .002 นิ้วต่อปี(.06 มิลิเมตร) หรือราว 4 เปอร์เซนต์ของอัตราการเพิ่มของระดับน้ำทะเลในศตวรรษที่ 20 และธารน้ำแข็งอื่นๆในกรีนแลนด์ก็บางลงประมาณ 1 เมตรต่อปีซึ่งเกิดจากการละลายด้วยสาเหตุโลกร้อนขึ้น โลกร้อนขึ้นเป็นผลมาจากปรากฏการณ์เรือนกระจก(greenhouse effect) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ชั้นบรรยากาศของโลกถูกห่อหุ้มด้วยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งกั้นรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่ตกลงบนผิวโลกไม่ให้สะท้อนกลับขึ้นสู่อวกาศ เหมือนเรือนกระจกที่ใช้เพาะปลูกต้นไม้ในประเทศเขตหนาว ซึ่งพลังงานแสงอาทิตย์ผ่านเข้าไปภายในเรือนกระจกได้แต่ความร้อนยังคงอยู่ภายใน ก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญมี 6 ชนิด ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ก๊าซมีเทน (CH4) ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O) ก๊าซไฮโดรฟลูโรคาร์บอน (HFCS) ก๊าซเปอร์ฟลูโรคาร์บอน (CFCS) และก๊าซซัลเฟอร์เฮกซ่าฟลูโอโรด์ (SF6) โดยเฉพาะอย่างยิ่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมและยานยนต์เพิ่มปริมาณจาก 278 ส่วนในล้านส่วน ก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็น 380 ส่วนในล้านส่วนในปี 2003 ผลการศึกษาภาวะโลกร้อนชิ้นล่าสุดของนักวิทยาศาสตร์นาซ่า มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย มหาวิทยาลัยนิวยอร์คและห้องปฏิบัติการลอว์เรนซ์เบิร์กเลย์ ซึ่งตีพิมพ์ในนิตยสารไซน์ฉบับล่าสุดสรุปว่าโลกดูดกลืนพลังงานจากดวงอาทิตย์มากกว่าที่สะท้อนหรือแผ่กลับไปสู่อวกาศทำให้พลังงานอยู่ในสภาวะไม่สมดุล ส่งผลให้โลกร้อนขึ้น ความไม่สมดุลของพลังงานมีค่าเท่ากับ 0.85 วัตต์ต่อตารางเมตร ซึ่งจะทำให้โลกร้อนขึ้น 0.6 องศาเซลเซียสหรือ 1 องศาฟาเรนไฮต์เมื่อสิ้นสุดศตวรรษนี้ จิม แฮนเซน หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ จาก NASA's Goddard Institute for Space Studies อธิบายว่า ความไม่สมดุลของพลังงานเป็นผลมาจากพอลลูชั่นในชั้นบรรยากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ มีเทน โอโซน และอนุภาคคาร์บอนดำ พอลลูชั่นเหล่านี้กั้นความร้อนที่แผ่จากโลกที่ไปยังอวกาศและยังเพิ่มการดูดกลืนแสงอาทิตย์อีกด้วย เมื่อ 30 ปีก่อน นักอุตุนิยมวิทยาทำนายไว้ว่าภาวะโลกร้อนจะปรากฏเด่นชัดในบริเวณขั้วโลก ขณะนี้มันกลายเป็นความจริงแล้ว การเปลี่ยนแปลงของน้ำแข็งที่ขั้วโลกไม่เพียงแต่ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเท่านั้น แต่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาวะทางเคมีในมหาสมุทร การไหลเวียนของบรรยากาศและมหาสมุทรและระบบอากาศของโลกด้วย
บทความโดย บัณฑิต คงอินทร์ bandish.k@psu.ac.th
Create Date : 22 กันยายน 2549 |
|
23 comments |
Last Update : 22 กันยายน 2549 18:15:19 น. |
Counter : 2434 Pageviews. |
|
|
|
แต่เราจะทำกันอย่างไรคะ เพราะดูเหมือนว่า ยิ่งเรารับรู้ข่าวคราวพวกนี้แล้ว เรายิ่งพากันปล่อยเลยตามเลย
ผู้คนส่วนมากทำตัวเป็นชนชั้นผู้ชม ชมแล้วก็ทอดถอนใจว่า "ช่างมัน ถ้าถึงเวลานั้นจริงๆ เราก็ไม่ได้ตายคนเดียว" หรือไม่ก็ "แล้วเราจะทำอะไรได้ เพราะเราก็แค่มนุษย์ตัวเล็กๆ" ทั้งที่ต้นเหตุที่แท้จริงมันก็มาจากฝีมือมนูษย์ตัวเล็กๆอย่างเราๆ ท่านๆนี่แหละค่ะ
คิดแล้วก็น่าใจหายนะคะ