กุมภาพันธ์ 2553

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
 
 
และแล้ว Dear John ก้อถุกเอามาทำเป็นภาพยนตร์
เนื่องจากนอนดึก ดึ๊กก ดึก เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา จึงได้มีโอกาส ได้รับรู้ว่า Box Office สัปดาห์ล่าสุด มีหนังใหม่เรื่อง Dear John รั้งอันดับ 1 ในช่วงเทศกาลแห่งความรัก

ฟังชื่อแล้วมันก้อคุ้น คุ๊นนน คุ้น จนกระทั่งเค้าบอกว่าทำมาจากหนังสือขายดีของ Nicholas Sparks เจ้าของนิยายโศก อย่าง Notebook, Message in a Bottle นั่นเอง

เลยนึกได้ว่านี่มันเป็นหนังสือที่เคยอยากจะพูดถึงมานานแสนนาน แต่ด้วยชีวิตเร่งรีบ ทำให้ Project ทั้งหลายที่วางไว้ นานๆจะถูกหยิบขึ้นมาทำ ทีละอย่างๆ

เรื่องของเรื่อง ที่อยากเขียนก้อคือ อ่านจบแล้วเกิดอาการอึ้งงง!!! อึ้งกิมกี่

ได้แต่สงสารชะตาชีวิตของตัวละครแต่ละตัว โดยเฉพาะพระเอก

ได้แต่เฝ้าอยากถามพี่ Sparks ว่า ชีวิตพี่ อะไรมันจะเศร้าปานนั้นฟระ

ถึงได้เขียนมาแต่ละเรื่องนิ ไม่ได้พบเจอความสุขสมในชีวิตกันมั่งเลย

ราวกับอยากจะบอกว่า ความสุขในชีวิตจริงเป็นเหมือนประกายแสงวิวับอันเล้กน้อยในชีวิต ที่อาจจะทำให้เรามีความหวังและพลังในการสู้ชีวิตที่เหลือต่อไป

สิงที่เป็นคำถามในเรื่องนี้ก้อคือ คุณสามารถทำอะไรเพื่อคนที่คุณรักได้มากแค่ไหน แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ทำแล้ว ไม่ทำให้คุณได้สมหวังในความรัก

จอห์น พระเอกในเรื่องนี้ คงเป็นตัวอย่างที่ดี (จนบางทีคิดว่าแอบโง่) ได้เลยทีเดียว

เรื่อง เล่าเรื่องราวของ จอห์น ทหารกรำศึก เป็นอาชีพ เนื่องจากพื้นเพครอบครัว และชีวิตเหลวไหลในช่วงวัยรุ่น ทำให้ไม่มีทางเลือกใดในชีวิตมากนัก นอกจากการอาสาสมัครเข้าเป็นทหาร เพื่อหาหนทางกลับสู่ความเป็นผู้เป็นคนกับคนอื่นเค้าซักที

ประสพการณ์ในการเป็นทหาร ได้บ่มเพาะตัวตน และสามัญสำนึกจนจอห์นได้มีความเป็นผู้ใหญ่ และกล้าหาญ หากแต่ต้องห่างพ่อ อันเป็นครอบครัวทั้งหมดที่เค้ามีอยู่ ไปประจำการอยู่ตามโพ้นทะเลแสนไกล หากแต่เค้าที่ไม่ได้มีความใกล้ชิดกับพ่อนัก ย่อมไม่ได้แยแสมากมาย จนกระทังในวันหยุดพักผ่อนปีละครั้งของเค้าที่ได้กลับมาเยี่ยมบ้าน ทำให้เค้าได้พบกับ ซาวันนา (ผู้หญิงอะไรชื่อเหมือนทุ่งหญ้า อิอิ)

ซาวันนา สาวมหาลัย ที่มาเยือนชั่วคราวเป็นอาสาสมัครชุมชน เป็นความประทับใจเล็กๆที่ก่อตัวขึ้น ผู้หญิงที่เฉลียวฉลาด โตเกินวัย แตกต่างจากสาววัยรุ่นคนอื่นๆ ที่สนใจแต่เรื่องความสัมพันธ์ หนุ่มสาว หากซาวันนา นักศึกษาด้านจิตวิทยาผู้เคร่งศาสนา กลับสนใจความเป็นไปของชีวิตคนอื่นๆ เพื่อยื่นความช่วยเหลือให้ แต่ขณะเดียวกัน ก้อแฝงไปด้วยความไร้เดียงสา อ่อนหวาน และอ่อนโยน

ซาวันนาจึงเป็นเหมือนสิ่งดีงามที่เค้าไม่เคยพบพานในชีวิต ได้ปรากฏกายอยู่ตรงหน้า ความสัมพันธ์ในช่วงระยะสั้น ได้ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ซาวันนา ได้ทำให้ความสัมพันธ์ของเค้าและพ่อที่แก่ชราได้กลับมาใกล้ชิดกันมาขึ้นอีกครั้ง หากแต่สิ่งนั้น กลับกลายเป็นว่า ซาวันนา เห็นพ่อของเค้าเป็นเคสในการศึกษาด้านจิตวิทยา ซึ่งจอห์น ยอมรับไม่ได้ว่าพ่อเค้ามีปัญหาทางบุคลิกภาพ จนกระทั่งเค้าเปิดรับมุมมองที่ซาวันนาบอกเค้า และเริ่มเข้าใจในสิ่งที่พ่อเค้าเป็น จอห์นจึงได้เข้าใจว่าสิ่งที่ซาวันนามอบให้ มาจากความหวังดีแท้ๆ

หากแต่วันหยุด ย่อมมีวันสิ้นสุด ด้วยหน้าที่การงาน จอห์นย่อมต้องกลับไปประจำการในพื้นที่แสนห่างไกล จดหมายจึงเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ทั้งสองได้ไกล้กัน

ความสัมพันธ์ระยะไกล ไม่ใช่เรื่องง่าย ความอดทนในความสัมพันธ์แต่ละฝ่ายไม่เท่าเทียมกัน เมื่อเจอกันได้ปีละครั้ง ช่วงเวลาที่ไว้หล่อเลี้ยงหัวใจ เพื่อตั้งตารอการพบเจอครั้งต่อไป จึงมีเพียงช่วงเวลาสั้นๆ และน้อยนิด

ในสยามรบ สิ่งเดียวที่ทำให้จอห์นฝ่าฟัน เพื่อมีชีวิตรอดกลับมาคือซาวันนา

ซาวันนา ทำให้เค้าตระหนักได้ถึงในบุคคลิกอันแปลกแยกของพ่อ พ่อที่ดูเหมือนไม่เอาไหนของเขา พ่อที่ไม่อาจเป็นแบบอย่างที่ดี ไม่เป็นฮีโร่สำหรับเขา กลับกลายเป็นพ่อที่ยิ่งใหญ่ ที่สามารถฝ่าพันผ่านความผิดปกติจนสามารถเลี้ยงเค้าให้เติบโต และไม่ต้องเผชฺยความยากลำบากใดๆ หากแต่เป็นตัวเค้าเองที่ไม่เคยมองเห็น และสร้างกำแพงขวางกั้นระหว่างพ่อให้ออกห่างจากเค้าโดยไม่รู้ตัว ตลอดเวลาที่ผ่านมา

และแล้วความสัมพันธ์ระยะไกลผ่านช่วงเวลาหลายปี ก้อได้มาถึงทางตัน เมื่อสิ่งที่ซาวันนา ปราถนาคือการได้อยู่ใกล้ชิดจอห์น แต่จอห์นไม่สามารถกำหนดทางเดินด้านหน้าที่การงานของเขา เพื่ออยู่ใกล้ชิดซาวันนาได้

จอห์นยอมรับการตัดสินใจของซาวันนาด้วยความเข้าใจ หากว่าตอนนี้โลกทั้งใบของเค้า เหลือเพียงพ่อ และความรู้สึกเจ็บช้ำที่แม้แต่ความตายที่เค้าต้องเผชิญท่ามกลางศึกสงครามก้อไม่อาจบรรเทา

และแล้วก่อนวันหยุดอีกรอบของเขา สิ่งเดียวที่เค้าเหลือในโลกก้อมีอันมาจากไป

พร้อมมรดกที่เค้าไม่เคยคิดว่าเค้าจะมี

ช่วงเวลาที่ว้าเหว่เป็นที่สุด เค้าได้แต่อยากรู้ว่าซาวันนาอยู่ไหน และป่านนี้จะเป็นอย่างไร

และการตามหาแสงสว่างเล็กๆที่เหลือในใจ ก้อไม่ใช่เรื่องยาก

หากแต่การค้นพบ ทำให้เค้าต้องเผชิญความจริงที่เจ็บปวด ยากจะยอมรับ และ ยากที่จะไม่รับรู้

กับความเป็นไปของซาวันนาหลังขาดการติดต่อกับเค้า เมื่อรู้ว่าเธอทรยศ กับคนใกล้ตัว

เหมือนโดนตบหน้าอย่างจัง

ที่ยิ่งกว่านั้นคือ เค้าได้รู้ว่า เค้าไม่เคยตัดเธอไปจากใจได้เลย

หากแต่ตอนนี้ซาวันนาเผชิญกับความยากลำบาก ที่ต้องเผชิญปัญหาชีวิตมากมาย ทั้งน้องชายสามีที่เป็นออทิสติก และสามีที่นอนรอความตาย ซาวันนาตัวคนเดียวกับภาระและปัญหาอันหนักอึ้งที่เธอเผชิญอยู่ ยากที่จะไม่สนใจ หากแต่ก้อเป็นโอกาสให้เค้าได้สานสัมพันธ์กับเธออีกเช่นกัน

หากแต่จอห์นจะเลือกเส้นทางไหนให้ตนเอง เส้นทางที่จะสมหวัง และ เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่มีความสุข เส้นทางที่เค้าไม่ต้องตรากตรำและขาดแคลนอีกต่อไป

หรือเขาจะเลือกทำอะไรซักอย่างเพื่อให้คนที่เค้ารัก เป็นสุข

คุณคิดว่าจอห์นจะทำอย่างไร

ถ้าคิดอ่านเรื่องนี้แล้ว เตรียมกระดาษทิชชู่ไว้ข้างตัวได้เลย

อ่านแล้ววางไม่ลงจริงๆ (วางทิชชู่นะ)

ตอนอ่านจบ ได้คิดอย่างหนึ่งคือ ต่อไปนี้ ตูจะไม่อ่านหนังสือของเฮีย Sparks อีกต่อไปแล้ว

เศร้าโคตตรรร

ส่วนเพื่อนๆ จะอ่าน ไม่อ่าน หรือจะรอดูหนัง ก้อเลือกเอานะ

เรื่องความสนุก คงไม่ผิดหวัง

ส่วนหนัง จะทำได้ละเมียดเหมือนหนังสือมั้ย คงต้องรอดูกัน

รักนะทุกคน...



Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2553 18:21:12 น.
Counter : 1928 Pageviews.

4 comments
  
ได้ข่าวว่า หนังสือจบไม่ Happy ไม่ใช่หรือค่ะไม่อยากอ่านเลยค่ะ กลัวเศร้ามาก ๆ เพราะชอบพระเอกมากไม่อยากให้ผิดหวังเลย แต่ในหนังก็ทำHappy นะค่ะ (ตอนสุดท้าย ประมาณว่าให้คิดเอง แต่ก็น่าจะประมาณว่าพระเอกมาอยู่กับนางเอกนะ เพราะเหมือนผมยาวขึ้น และมีหนวดด้วย คงไม่ได้เป็นทหารแล้ว)
โดย: อร IP: 113.53.83.3 วันที่: 2 กรกฎาคม 2553 เวลา:15:35:58 น.
  
ช่ายแล้วค่ะ จบเศร้าอย่างแรง.. แบบว่าอึ้งไปเลยว่า แล้วที่ผ่านมา แกจะเป็นคนดีไปทำเตี่ยไร แต่ในหนังผู้กำกับเค้าปราณี มีแบบจบแฮปปี้ และื จบเศร้าให้เลือกดูอ่ะ (ในดีวีดีนะ)
โดย: COS Stylist วันที่: 6 สิงหาคม 2553 เวลา:13:51:57 น.
  
ผมเพิ่งได้ดูหนังจากแผ่นดีวีดี ครับ เป็นเรื่องที่ผมสงสารนางเอกมากกว่าที่ชีวิตเกือบหมดทุกอย่าง พระเอกแสนดี อดทน ถ้าเป็นเรื่องราวชีวิตจริงๆ ผมคงยกนิ้วให้ ชอบนางเอกคนนี้มากเลยครับ ชอบตั้ง mean girl และอีกหลายๆ เรื่อง แต่ตอนผมดูดีวีดี พ่อกับแม่นางเอกหายไปไหนครับ ใครบอกได้ช่วยผมที
โดย: อภิชา IP: 125.27.73.149 วันที่: 26 กันยายน 2553 เวลา:12:52:09 น.
  
อือ น่านดิ พ่อ แม่ไปไหนหว่า ในหนังสือจำได้คุ้นๆ ว่า ตายหมดแล้วมั้ง
โดย: COS Stylist วันที่: 28 กันยายน 2553 เวลา:16:28:05 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

COS Stylist
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



การไตร่ตรองและคิด วิเคราะห์ เป็นหนทางสู่การพัฒนาสมอง การพัฒนาตนเอง และพัฒนาสังคม

คนเรามักสนใจแต่การปรุงแต่งรูปลักษณ์ภายนอก บุคคลิกภาพ พื้นฐานทางสังคม และความสุขส่วนตัว หากมีซักกี่คนที่มุ่งเน้นการพัฒนา "ใจ"

บล็อคนี้ เขียนจากคนธรรมดา ที่ไม่มีอะไรโดดเด่น หากแต่ชอบคิด ชอบเขียน และ อยากพัฒนา"ใจ"ของตนเอง ให้พบกับความสุขที่ยั่งยืน ที่ไม่มีวัตถุเป็นตัวกำหนด พร้อมทั้งยังอยากให้เพื่อนๆร่วมโลกได้ประโยชน์จากประสพการณ์และเรื่องเล่าต่างๆ ให้เป็นสาระแก่การดำเนินชีวิต และได้ข้อคิดแล้วต่อจะไปปรับใช้ในชีวิตของแต่ละคน

ทั้งนี้ ผู้เขียนขอไม่ประสงค์ออกนามของทั้งตนเอง และผู้ใดก้อตามที่ได้กล่าวอ้างถึง ไม่ให้พาดพิงต่อสิทธิส่วนบุคคลของทั้งตนเองและผู้อื่น

ทั้งนี้ข้อคิด และ เรื่องราวต่างๆนานาๆ ผู้เขียนไม่อาจรับรองได้ว่าเป็นวิธีคิด การกระทำ หรือทางเลือกที่ดีที่สุด สิ่งที่นำเสนอ เพียงแต่เป็นมุมมองของแต่ละบุคคล และขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้อ่านเป็นหลัก

ทั้งนี้ อยากให้เพื่อนๆเพียงแค่ได้นำสิ่งที่เขียนไปคิดพิเคราะห์ คนเขียนก็ปลื้มใจมากมายแล้ว

ทั้งนี้ในฐานะชาวพุทธ ขอยกคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้ปราดเปรื่องให้ข้อเตือนใจก่อนจะรับฟังเรื่องใดๆดังนี้

กาลามสูตร แปลว่า พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล (เรียกว่า เกสปุตสูตร ก็มี[1]) กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการคือ

อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล
ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ
ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข
เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่
ปัจจุบันแนวคิดและหลักสูตรที่สอนให้คนมีเหตุผลไม่หลงเชื่องมงาย ในทำนองเดียวกับคำสอนของพระพุทธองค์เมื่อ 2500 ปีก่อนได้รับการบรรจุเป็นวิชาบังคับว่าด้วยการสร้างทักษะการคิดหรือที่เรียกว่า "การคิดเชิงวิจารณ์" (Critical thinking) ไว้ในกระบวนการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยของประเทศพัฒนาแล้ว

ที่มา: http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3

New Comments
MY VIP Friend