บล๊อกสวยสมวัย MercuryBooks
Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
19 กรกฏาคม 2553
 
All Blogs
 
น้ำชาถ้วยที 5

นพศูลอดที่จะชำเลืองมองร่างบางที่ยังคงนั่งเบือนหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างรถไม่ได้ ตลอดทางที่เขาขับรถออกมาจากสำนักงานต้นข้าวไม่พูดเลยสักคำ เขาเลยถือว่าความเงียบนั้นคือการยอมรับที่จะไปด้วยกัน แม้นจะรู้ว่าเป็นการจำใจยอม แต่ทำให้อารมณ์ที่ร้อนระอุของหนุ่มใหญ่เย็นลงได้ และอดที่จะแปลกใจตัวเองไม่ได้ที่ร้อนแรงได้ถึงขนาดนั้น ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะรู้สึกรุนแรงกับผู้หญิงคนไหนเท่าเธอคนนี้มาก่อน ไม่ใช่เพราะความสวยที่ทำให้เขาปั่นป่วน นพศูลผ่านผู้หญิงสวยมามากจนชาชิน แต่ต้นข้าวมีอะไรในตัวบางอย่างที่มักทำให้อุณหภูมิในตัวเขาพุ่งสู่จุดเดือดได้อย่างง่าย ๆ สิ่งนั้นดึงดูดเขา เร่งเร้าเขาตั้งแต่ค่ำคืนที่ได้สัมผัสเธอ


“หิวไหม” ถามเสียงอ่อน เห็นเพียงม่านผมสีน้ำตาลยาวสลวยบดบังเสี้ยวหน้าด้านข้างจนมิด


“...”


“ไม่พูดถือว่ายอมรับนะ”


“...”


“ถ้าอย่างนั้นไปกินข้าวที่บ้านเธอแล้วกัน”


“เรื่องอะไร แล้วรถของข้าวล่ะ” คนที่นั่งปั้นปึ่งอยู่นานหันขวับมาร้องเสียงสูงทันที


“ฉันหิว แล้วไม่อยากให้เธอกลับบ้านค่ำเกินไปด้วย จอดรถค้างไว้ที่สำนักงานสักคืนคงไม่เป็นไร” เขาบอกเรียบ ๆ ยังคงขับรถไปอย่างปกติ สายตาไม่ได้ละจากถนนข้างหน้า


“แล้วข้าวจะไปทำงานยังไง” เสียงยิ่งสูงขึ้นไปอีก


“พรุ่งนี้จะมารับ” ตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร และยังคงขับรถไปเรื่อย ๆ แต่ด้วยความเร็วที่ลดลงมาก


“ไม่ต้อง! แล้วที่บ้านของข้าวไม่ได้ทำอาหารเผื่อแขกที่ไม่ได้รับเชิญด้วย” คราวนี้ต้นข้าวโวยวายลั่นรถไม่รักษาภาพพจน์ใด ๆ ทั้งสิ้น นี่เขาตั้งใจจะทำอะไรกันแน่


“เดี๋ยวหาซื้ออาหารสำเร็จรูปเข้าไปเสริม” เขารีบจอดรถเข้าข้างทางเมื่อชำเลืองเห็นอาการที่เตรียมจะกรี๊ดของเธอ นพศูลยิ้มทั้งปากทั้งตาให้หญิงสาว ดู ๆ ไปแล้วเหมือนหนุ่มน้อยขี้เล่นมากกว่าหนุ่มใหญ่มาดขรึมอารมณ์ร้ายคนเดิม


“พี่ศูลคะ ที่ทำไปแล้วยังไม่พอใจอีกหรือ ต้องการอะไรจากข้าวอีก” เสียงแข็ง เป็นตายอย่างไรเธอไม่มีทางให้เขาไปที่บ้านเด็ดขาด


“ฉันอยากรู้จักเธอ รู้จักพ่อแม่ของเธอ” เขามองเธอตรง ๆ แล้วบอกด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ เช่นเดิม และนี่แหละคือสิ่งที่ต้นข้าวกลัวที่สุด


“ท...ทำไมคะ” ชักหาเสียงของตัวเองไม่เจอ


“ฉันเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทำอะไรไปต้องรับผิดชอบ”


“รับผิดชอบอะไรคะ” ถามเสียงแผ่วแม้จะไม่อยากถาม แต่อดอยากรู้ไม่ได้


“เธอไง ต้นข้าว” เขาบอกอย่างหนักแน่น


ต้นข้าวได้แต่จ้องหน้าคมเข้มที่กำลังจ้องมองเธอเช่นกัน ทุกอย่างรวดเร็วจนเตรียมตัวเตรียมใจรับไม่ทัน เธอกับหัวหน้านพศูลจะเป็นไปได้อย่างไร ทว่าริมฝีปากที่ยังคงบวมช้ำอยู่เป็นหลักฐานได้ดีถึงสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าเป็นไปได้


ถ้าเธอบอกว่าไม่ต้องรับผิดชอบ เขาจะมองเธอเป็นผู้หญิงยุคใหม่ที่ไม่ถือสาการแตะเนื้อต้องตัวหรือเปล่า เพราะจริง ๆ แล้วต้นข้าวเป็นสาวหัวโบราณที่ถือเรื่องนี้มาก ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่ใช่คนที่ได้จูบแรกของเธอไป แต่ถ้าแค่จูบแล้วเธอต้องมีพันธะกับผู้ชายที่ไม่ใช่คนรัก ต้นข้าวคงทนไม่ได้


“ข้าว...”


“บ้านเธอไปทางไหน” เขาตัดบททันที


“พี่ศูลอย่าไปเลยนะคะ ข้าวกลับบ้านด้วยสภาพอย่างนี้ไม่ได้” ขอร้องเขาด้วยเสียงสั่นพร่า นพศูลรุกไล่จนไม่เหลือทางออกไว้ให้เธอเลย


นพศูลมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างครุ่นคิด ริมฝีปากที่เริ่มลดอาการบวมช้ำซึ่งเกิดจากฤทธิ์อารมณ์ที่ไม่สามารถยับยั้งได้ของเขา ยังคงแดงจัดและเผยอออกจนเห็นชัด ผมยาวสลวยยุ่งเหยิงนิด ๆ เป็นภาพที่เย้ายวน และชวนให้คนที่เห็นคิดเตลิดไปไกล แม้นแต่ตัวเขาเองคงจะเตลิดไม่กลับแน่ ถ้าไม่เป็นเพราะดวงตากลมที่มีน้ำใส ๆ เอ่อขึ้นมาสบตาเขาอย่างเว้าวอน


“ถ้าอย่างนั้นไปอยู่ที่บ้านฉันก่อน”


“ข้าวไม่ไป” รีบเงอะงะปฏิเสธ


“ถ้าไม่ไปบ้านฉันแล้วเธอจะไปไหน ยิ่งไปที่คนเยอะยิ่งโดนมองนะ และเขาคงคิดเลยเถิดไปไกลมาก”


“แล้วไปบ้านพี่ศูลไม่ยิ่งกว่าหรือคะ ทางบ้านพี่ศูลจะมองข้าวยังไง”


“ฉันอยู่คนเดียว” แววตาของนพศูลเศร้าลงนิดหนึ่งเมื่อคิดถึงการอยู่คนเดียวของตัวเอง แต่เพียงแค่ชั่ววินาทีกลับมาเป็นชายหนุ่มเคร่งขรึมคนเดิม โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันสังเกตเห็นอาการผิดปกติ


“นั่นยิ่งแย่กว่าเดิมเข้าไปอีก ไม่ล่ะ ไม่ไปไหนทั้งสิ้น ข้าวจะนั่งอยู่ที่นี่แหละ รอให้ปากหายบวมแล้วค่อยกลับบ้าน”


“แต่ฉันหิว ถ้าไม่ไปบ้านเธอก็ต้องไปบ้านฉัน เลือกเอาต้นข้าว”


“ไม่เลือก” ตะโกนใส่ แต่พอขาดคำเท่านั้นต้องร้องอย่างตกใจ


“อุ้ย!”


ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งของนพศูลวางทาบลงมาที่ต้นขาเนียนนุ่มที่ชายกระโปรงแสนสั้นของเธอปิดไว้อย่างหมิ่นเหม่


“รู้ใช่ไหมว่าถ้าฉันเลื่อนมือขึ้นไปอีกจะเกิดอะไรขึ้น” เสียงจริงจังพอ ๆ กับสีหน้า


“พี่ศูล...ไหนสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรข้าวอีกแล้ว” เธอเตือนเสียงสั่น หน้าแทบ


ไม่มีสีเลือด


“ใช่สัญญา แต่นั่นหมายถึงเธอต้องไปกับฉันดี ๆ ไม่ใช่ออกฤทธิ์อย่างนี้”


ต้นข้าวนิ่งงัน ไม่รู้ว่าจะตอบโต้อย่างไรดี ได้แต่โกรธตัวเองที่นุ่งกระโปรงตัวนี้มา


“ว่าไง ตกลงว่าเธอจะไปที่ไหน” เขาเร่ง มือใหญ่เขยิบขึ้นสูงอย่างน่าหวาดเสียว


“ไปบ้านของข้าวค่ะ” รีบละล่ำละลักตอบ กลับบ้านย่อมดีกว่าไปอยู่กับเขาตามลำพัง


“ก็แค่นั้น บอกทางมา” เขายอมยกมือออก แต่สีหน้ายังคงเคร่งขรึม พร้อมจะเอาเรื่องเธอได้ตลอดถ้ายังโยกโย้อยู่


ต้นข้าวรู้สึกว่าปากตัวเองแห้งผากตอนบอกทางไปบ้านของเธอ เขาหันไปบังคับรถให้ออกตัว และขับไปยังทิศทางที่หญิงสาวบอกซึ่งต้องย้อนกลับมาทางเดิมอีกค่อนข้างไกล และต้องฝ่าถนนที่มีการจราจรติดขัดที่สุด ดังนั้นกว่าที่จะถึงบ้านของต้นข้าวค่ำมากแล้ว แต่ขนาดว่าค่ำมากขนาดนี้ยังไม่มีใครกลับถึงบ้านเลยสักคน


“ยังไม่มีใครกลับบ้านเลยค่ะ”


“ที่บ้านมีใครบ้าง”


“มีคุณพ่อคุณแม่ และน้องชายอีกสองคนค่ะ”


ต้นข้าวบอกเบา ๆ คิดถึงมารดาซึ่งมักจะกลับถึงบ้านก่อนใคร พอดีกับที่อีกฝ่ายโทรเข้ามา


“คุณแม่อยู่ไหนคะ” ต้นข้าวรีบกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กบางของตัวเองทันที


“มางานแต่งงานลูกสาวเจ้านายคุณพ่อไงจ้ะ แม่บอกข้าวเมื่อเช้าแล้วนี่ว่าจะกลับดึกหน่อย แล้วนี่ถึงบ้านเรียบร้อยแล้วใช่ไหม เจ้าน้ำเขาเพิ่งโทรมาบอกว่าจะกลับดึกเหมือนกันมีเลี้ยงวันเกิดเพื่อน วันนี้เหลือแค่ข้าวกับรักนะลูก หนูดูแลน้องด้วยนะจ้ะ” มารดาพูดใส่มาเป็นชุดจนเธอตอบไม่ทัน และคุณแม่ผู้แสนดีไม่คิดจะฟังคำตอบ


“ข้าว แม่ต้องไปก่อนนะ เดี๋ยวจะโทรมาใหม่” เสียงโทรศัพท์โดนตัดสายดังอื้อ


ในหูต้นข้าว เธอแทบจะหมดแรงรับสถานการณ์บังเอิญเช่นนี้


“มีอะไรหรือต้นข้าว”


“คุณพ่อคุณแม่ไปงานแต่งงานค่ะ”


“แล้วน้อง ๆ ล่ะ”


“ต้นน้ำน้องชายคนโตไปงานเลี้ยงวันเกิดเพื่อน ส่วนคนเล็กชื่อต้นรักเดี๋ยวคงใกล้กลับมาแล้วค่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นเราเข้าไปจัดอาหารรอน้องเธอกันก่อน”


ต้นข้าวพยักหน้ารับ เหลือบตาไปมองอาหารสำเร็จรูปจำนวนไม่ใช่น้อยที่เขาแวะซื้อระหว่างทาง แล้วนี่มีกันแค่สามคนจะจัดการหมดได้อย่างไร แต่ที่จริงไม่มีใครอยู่อย่างนี้น่าจะดีกว่า เธอไม่อยากตอบคำถามเรื่องเขา


“ค่ะ ข้าวลงไปเปิดประตูรั้วให้”


เธอลงไปเปิดประตูรั้วอย่างชำนาญ บ้านของเธอไม่มีแม่บ้าน เคยจ้างเมื่อสมัยตอนเธอเด็ก ๆ แต่มีปัญหาจุกจิกมากมายจนมารดาเบื่อ พอน้อง ๆ โตพอรู้จักช่วยเหลือตัวเองได้เลยไม่จ้างแม่บ้านอีกเลย แต่ต้นข้าวเป็นพี่สาวคนโตที่เสียนิสัยซะแล้ว เพราะห่างจากน้องหลายปีเธอจึงชินกับการที่มีคนทำงานบ้านให้ ต้นข้าวจึงเป็นผู้หญิงที่ทำงานบ้านไม่เป็นสักอย่าง จนมารดาเริ่มกลุ้มใจกลัวจะไม่มีใครมาขอลูกสาว จึงพยายามฝึกเธอบ้าง แต่ที่ต้นข้าวช่วยงานบ้านได้ดีที่สุดคือการวิ่งเปิดปิดประตูรั้วนี่แหละ


“บ้านร่มรื่นดีนะ” นพศูลชมเมื่อต้นข้าวปิดประตูรั้วเรียบร้อยแล้วรีบวิ่งกลับมาเปิดประตูบ้าน เขาชอบบ้านขนาดไม่ใหญ่มากแต่มีบริเวณให้ปลูกต้นไม้ได้เช่นนี้ แต่พอต้องซื้อที่อยู่ของตัวเองเข้าจริง ๆ นพศูลกลับเลือกคอนโดมีเนียมที่ไม่ไกลที่ทำงานมากนัก เพราะเขาอยู่กรุงเทพ ฯ เพียงตัวคนเดียว บุพการีทั้งสองสิ้นชีวิตไปหมดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงพี่สาวที่รับราชการเป็นครูและมีครอบครัวอยู่ในอำเภอหนึ่งทางภาคเหนือ นาน ๆ ถึงเจอกันสักครั้ง


“คุณพ่อชอบปลูกต้นไม้ค่ะ เชิญเข้าบ้านก่อน”


เขาตามเธอเข้าไปในบ้าน โดยหอบหิ้วถุงอาหารมากมายเข้าไปเอง แม้นเจ้าของ


บ้านอยากจะช่วย ไฟห้องรับแขกหน้าบ้านถูกเปิดขึ้น ทำให้เห็นภายในตัวบ้านที่ตบแต่งแบบเรียบง่าย เน้นเครื่องเรือนที่ทำจากไม้เป็นส่วนใหญ่


“สงสัยคุณพ่อเธอคงชอบทุกอย่างจากไม้”


“ยิ่งกว่าชอบอีกค่ะ” เธอบอกเสียงใส รู้สึกดีจนแทบจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด คงเป็นเพราะเขาไม่แสดงท่าทีคุกคามเหมือนตอนที่อยู่ด้วยกันในรถ และไม่เคร่งครัดเหมือนตอนที่อยู่ที่ทำงาน เขาทำตัวตามสบาย ติดดิน อย่างที่เธอคิดไม่ถึง


“ครัวไปทางไหน”


“ทางนี้ค่ะ” ค่อนข้างแปลกใจที่ผู้ชายขอเข้าครัว แต่นำไปทางหลังบ้านที่ห้องครัวตั้งอยู่


“หุงข้าวก่อนซิต้นข้าว” เขาสั่งการเมื่อเห็นเธอยืนงง ๆ อย่างไม่รู้จะทำอะไร ส่วนตัวเขาเองไปสำรวจหาภาชนะที่จะมาใส่อาหารที่ซื้อมา นพศูลจัดการทุกอย่างแคล่วคล่อง และเสร็จในเวลาไม่ช้า แต่เจ้าของบ้านยังเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ที่ซิงค์น้ำ


“ทำอะไรน่ะ” เดินเข้าไปถาม และเลยดูผลงานของสาวเจ้า


“นั่นจะต้มข้าวต้มหรือเธอ”


ต้นข้าวหันมาค้อนเล็ก ๆ ให้คนถามที่เข้ามายืนจนเกือบชิดอยู่ด้านหลัง สบตาเข้มที่มีประกายวิบวับอย่างจังจนหันหน้ากลับแทบไม่ทัน


“เคยหุงข้าวหรือเปล่า” เขากระซิบถามที่ข้างหู


“เคยค่ะ แต่นาน ๆ ครั้ง” ต้นข้าวตอบเสียงแผ่ว รู้สึกตัวร้อนวาบเมื่อลมหายใจอุ่น ๆ เป่ารดลงมาเฉียดแก้ม


“ถ้าอย่างนั้นจะทบทวนวิธีให้ใหม่” เขายังคงกระซิบ ช่วงแขนกำยำโอบร่างนุ่มนิ่มจากทางเบื้องหลังเพื่อที่จะช่วยทบทวนวิธีการหุงข้าวได้อย่างใกล้ชิด


“ข้าวขาวถ้าซื้อแบบที่เขาบรรจุได้มาตรฐานแล้วไม่ต้องซาวน้ำได้ แต่ถ้าไม่แน่ใจซาวน้ำสักครั้งเพื่อล้างพวกฝุ่นละอองออก อย่าล้างหลายหนอย่างนี้เดี๋ยววิตามินจะไม่เหลือ แล้วใส่น้ำท่วมข้าวประมาณหนึ่งข้อนิ้วพอ เทออกเยอะ ๆ เลย ใส่ขนาดเมื่อกี้ได้เป็นข้าวต้มแน่” ปากสอน มือจับมือเธอให้ทำตามไปด้วย แต่พอสอนเสร็จแทนที่จะ


ปล่อย กลับยังคงโอบล้อมเธอไว้เช่นเดิม


“หุงข้าวไม่เป็นอย่างนี้ ทายได้เลยว่าทำกับข้าวไม่เป็นด้วย”


“ไม่เห็นต้องทำเป็นเลย ซื้อกินสะดวกกว่า”


“แล้วอย่างนี้คนมาขอต้องคิดหนักล่ะซิ”


“ไม่คิดอยากให้ใครมาขอค่ะ”


“แต่มีคนเขาอยากมาขอ”


“ใครคะ”


“ใครล่ะที่ยอมทนสอนให้เธอหุงข้าว”


“พี่ศูล!”


“ยังไม่ต้องตอบอะไรตอนนี้ มันอาจจะเร็วเกินไปสำหรับเธอ แต่สำหรับฉันพอเจอคนที่คิดว่าใช่ก็ไม่อยากรอให้เสียเวลาแล้ว”


“คนที่ใช่ของพี่ศูลจะเป็นข้าวไปได้อย่างไร เราแทบไม่รู้จักกันเลยนะคะ” และที่สำคัญเขาไม่เคยบอกว่าชอบ หรือรักเลยสักครั้ง


“เธออยากรู้อะไรเรื่องฉันก็ถามมา ส่วนเธออยากให้ฉันรู้อะไรก็บอกมา แต่อย่าใช้เวลานานนักแต่งงานให้เร็ว ๆ จะดีกว่าเพราะฉันเป็นคนที่ชอบเรียกร้องจากผู้หญิงของฉัน เธออาจจะเสียเปรียบมาก”


อย่างนี้มันยิ่งเสียกว่าการคลุมถุงชน เหมือนการถูกรวบหัวรวบหางที่ไม่เปิดโอกาสให้คนโดนรวบขยับตัวสักนิด คนที่ดูสมัยใหม่อย่างเขาทำไมถึงทำตัวราวกับเป็นมนุษย์ดึกดำบรรพ์ เจอเพศหญิงถูกใจตีหัวลากตัวเข้าถ้ำไปเลย


“ข้าวไม่ใช่ผู้หญิงของใคร ปล่อยนะ” พยายามบิดตัวออกจากวงแขนแกร่ง แต่อ้อมกอดนั้นกลับยิ่งโอบกระชับเข้ามาอีก


“เมื่อเช้าฉันปล่อยเธอไปแล้วนะต้นข้าว แต่เธอดึงฉันกลับมาเองด้วยของนั่น”


“มันคือคำขอโทษเท่านั้นค่ะ”


“แต่เธอบอกว่าพร้อมรับการลงโทษทุกอย่าง”


“ใช่ค่ะ...แต่นี่มันไม่ใช่อย่างที่ข้าวคิด”


“แล้วเธอคิดว่าอะไร คิดหรือว่าจะมีผู้ชายคนไหนยอมปล่อยผู้หญิงที่พูดดูถูก


ขนาดนั้นไปอย่างง่าย ๆ แต่ฉันยอมปล่อยเธอไปเพราะเห็นว่าเธอยังเด็ก แต่เด็กคนนี้ยังกวนใจไม่เลิก ของฝากกับคำง้องอนนั่นคืออะไรต้นข้าว มันแค่คำขอโทษเท่านั้นหรือ”


“ข้าวไม่รู้ว่ามันจะทำให้พี่ศูลเข้าใจผิดขนาดนี้” เธอตระหนกกับสิ่งที่เขาคิด


“แน่ใจหรือว่าฉันเข้าใจผิด”


“ค่ะ” สำหรับเธอในตอนนี้มันคือคำขอโทษจริง ๆ


“ได้ ฉันจะรอจนกว่าเธอจะเข้าใจตัวเองดีกว่านี้” เขาปล่อยเธออย่างง่าย ๆ “หุงข้าวต่อเถอะต้นข้าว ฉันจะไปรอที่ห้องรับแขก” บอกเบา ๆ ก่อนผละออกไป


ต้นข้าวต้องใช้เวลาเป็นนาทีกว่าที่จะกดปุ่มเริ่มทำงานของหม้อหุงข้าวไฟฟ้าได้ และใช้เวลาอีกหลายนาทีกว่าที่จะตัดสินใจออกไปหาเขา ด้วยความเป็นเจ้าบ้าน เธอไม่ควรปล่อยให้นพศูลนั่งเก้ออยู่คนเดียวนานขนาดนี้ แต่ต้นข้าวคิดผิด คนที่เธอคิดว่านั่งเก้ออยู่ บัดนี้กำลังนั่งคุยอย่างออกรสชาติกับต้นรักบนเก้าอี้ไม้สักตัวยาวที่เบาะรองนั่งหุ้มด้วยผ้าฝ้ายพื้นเมืองสีสดใส


“ผมไม่ค่อยอยากบอกชื่อจริงใครหรอกฮะ มันเขิน โดยเฉพาะสาว ๆ นี่ยิ่งเขินใหญ่”


“ชื่อเป็นเอกลักษณ์ดี คุณพ่อคุณแม่เข้าใจตั้งชื่อลูก”


“โอ้ย อย่าได้ชมเชียวฮะพี่ศูล เขาภาคภูมิใจกับชื่อพวกเราสามคนมาก คุยถึงที่มาได้ทั้งวัน”


“อืม แล้วชื่อต้นข้าวนี่มีที่มายังไง”


“ต้นรัก”


“พี่ข้าว ทำไมหุงข้าวช้าจัง ให้แขกนั่งรอตั้งนาน ดีนะที่รักกลับมาพอดีเลยนั่งเป็นเพื่อนคุยกับพี่ศูล”


“แหม รู้จักกันเร็วดีนะ”


“เป็นแฟนพี่สาวทั้งคน ไม่รีบทำความรู้จักได้ยังไงล่ะฮะ”


“ไม่ใช่นะ!”


“อุ้ย! ปากหาเรื่องอีกแล้วเรา รักไปอาบน้ำก่อนนะ พี่ศูลเคลียร์เองแล้วกันครับผม” คนปากไม่อยู่สุขรีบหลบไปอย่างนกรู้ ที่จริงที่พูดนะเดาเอาเองทั้งนั้นเพราะอยากดูปฏิกิริยาพี่สาว ตั้งหลายปีแล้วไม่เคยพาผู้ชายมาบ้าน วันนี้พาพี่ศูลสุดเท่มาจะให้คิดว่าอย่างไร แล้วมาทำร้องตกอกตกใจอย่างนั้น คิดหรือว่าจะเชื่อว่าไม่ได้เป็นแฟนกัน ร้อยไม่เชื่อ พันไม่เชื่อ


“พี่ศูลพูดอย่างนั้นหรือคะ” หันขวับไปใส่คนที่นั่งเป็นทองไม่รู้ร้อนทันที


“พูดอะไร” เขาทำเป็นถามด้วยเสียงซื่อ ๆ


“ก็...บอกเจ้ารักว่าเป็น...แฟนข้าว”


“ไม่ได้พูดอะไรเลย รักเขาพูดไปเอง”


“จริงนะคะ”


“จริง”


ต้มข้าวเม้มปากอย่างลืมตัว แล้วต้องครางออกมาเบา ๆ


“ยังเจ็บอยู่หรือ ไหนขอดูหน่อย” เขาดึงตัวเธอที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ลงไปนั่งข้างตัวเขาอย่างรวดเร็ว จนเธอฝืนตัวไว้ไม่ทัน คางมนถูกเชยขึ้นเพื่อให้เขาได้สำรวจริมฝีปากที่เขาเผลอจูบรุนแรงจนบวมเจ่ออย่างห่วงใย


“หายบวมแล้ว แต่คงช้ำอยู่ข้างใน”


“ใครเป็นคนทำล่ะ” เธอค่อนให้


“มันเป็นจูบทำโทษ แต่ตอนนี้เป็นจูบขอโทษ”


“อย่าค่ะ...” เสียงร้องห้ามเบาปานลมกระซิบ


ช้าไปแล้วสำหรับการหยุดยั้งเขา และเร็วไปสำหรับเธอที่จะยอมรับว่าชอบสัมผัสเบาบางแทนคำขอโทษนั้น ต้นข้าวเผลอไผลไปกับปลายลิ้นอุ่นซ่านที่ชักชวนอย่างมีชั้นเชิง พาให้คนไร้ประสบการณ์หลงเพริดเข้าไปติดกับดักของเขา ไม่มีแรงจะดิ้นหนี คงปล่อยให้เขาชักนำจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้


คนชักนำเองกำลังถูกความหอมหวานชักพาให้เตลิด จากแค่คิดเพียงจุมพิตบางเบาลบความทรงจำร้าย ๆ ของรอยช้ำ แต่พอได้รับการตอบสนองกลับอย่างอ่อนเดียงสา


อยากจะลิ้มชิมรสไปเรื่อย ๆ และดูเหมือนจะต้องการมากขึ้น ๆ


“น้องเธอกำลังมา” เขาถอนริมฝีปากออกอย่างแสนเสียดายเมื่อได้ยินเหมือนเสียงคนกำลังเดินอยู่นอกห้อง รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติอย่างไม่ยากนัก แต่คงยากสำหรับหญิงสาวที่ยังคงหน้าแดงก่ำอยู่ นพศูลเลยต้องกลับตัวนั่งบังร่างบางไว้ข้างหลังก่อนที่ผู้มาใหม่จะสังเกตเห็นอาการผิดปกติ


“หิวข้าวแล้วพี่” เด็กหนุ่มร้องขึ้นทันทีที่โผล่แต่หน้าเข้ามาในห้องรับแขก


“ไปซิ จัดใส่จานไว้แล้วที่ห้องครัว”


“งั้นเดี๋ยวผมไปยกมาไว้ที่โต๊ะอาหารเอง” บอกแล้วผลุบผลับไป แต่ไม่ก่อนที่จะทิ้งสายตารู้ทันไว้


“น้องไปแล้ว” หันไปหาคนที่มุดเป็นนางอายอยู่ที่หลังเขา


“รักเห็นแน่เลย” เริ่มกังวลใจอย่างหนัก เพราะรู้นิสัยขี้เล่น และช่างพูดของน้องชายคนเล็กดี


“ยิ่งเห็นซิยิ่งดี” เสียงเรียบ ๆ นั้นมุ่งหมายบางอย่าง


“ดียังไงพี่ศูล ถ้ารักไปบอกคุณพ่อคุณแม่ข้าวแย่ซิคะ” ร้อนรนจนเห็นชัด


“ดีนะซิ จะได้รีบแต่งงานให้หมดเรื่อง” เขาบอกเรียบ ๆ หน้าตายจนคนฟังไม่รู้ว่าพูดเล่นหรือพูดจริง แต่จากที่ประสบมา ต้นข้าวคิดว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า


“พี่ศูลค่ะ อย่าบังคับกันด้วยวิธีนี้ ไหนบอกว่าจะรอก่อนไง”


“รออยู่นี่ไง แต่ไม่รอเฉย ๆ หรอกนะ ฉันมีตัวกระตุ้นให้เธอรู้ใจตัวเองเร็ว ๆ อย่าง...เมื่อกี้นี้”


ต้นข้าวได้แต่นั่งนิ่ง


“รีบรู้ตัวเร็ว ๆ นะต้นข้าว ฉันเองถูกเธอกระตุ้นจนแทบทนไม่ไหวอยู่แล้ว” เขากระซิบด้วยเสียงแหบพร่า


หญิงสาวงุนงง ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด


“ข้าวทำอะไรคะ”


นพศูลหลับตาลง พยายามสะกดกลั้นอารมณ์เดือดพล่านของตัวเองไว้อย่างสุด


ความสามารถ


“แล้วจะบอกทีหลัง”


กัดฟันบอก ทีหลังของเขาคือต้องอย่างเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นคงได้คลั่งใจตายในไม่ช้า






Free TextEditor


Create Date : 19 กรกฎาคม 2553
Last Update : 19 กรกฎาคม 2553 12:41:22 น. 0 comments
Counter : 301 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

sorwor
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ต้นเหตุแห่งการยินดีที่ได้รู้จักกันนั้น เริ่มที่เว็บฟอร์ไรท์เตอร์ดอทคอมจากการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางงานเขียนนวนิยาย ทำให้พวกเรา สว. (สาวสวยสมวัย) เกิดความคิดที่จะรวมตัวกันจัดทำบล๊อกขึ้นมาเพื่อเผยแพร่งานที่พวกเราเขียนเอง งานที่พวกเราทำด้วยใจรักและรักเหลือเกิน อยากให้เพื่อนๆ ได้อ่านและอยากได้คำติชมจากเพื่อนๆ เพื่อเป็นกำลังใจและนำพัฒนาทางการเขียนต่อไป


ฝากข้อความถึง"สวยสมวัย"







ซัน
โรแมนติก-อบอุ่น
ราคา 220 บาท



น้ำชารสสตรอเบอร์รี่
รัก-โรแมนติก
ราคา 190 บาท



ปางเสน่หา
โดย น้ำดอกไม้ (บัดดี้)
สนพ.พลอยชมพู




งานเขียนใน “สวยสมวัย”
เป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียน
ได้รับความคุ้มครองตามกฏหมาย
ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
...........................
คิดเอง เขียนเอง
และสร้างความภาคภูมิใจ
ให้กับตัวเองกันเถอะค่ะ


Friends' blogs
[Add sorwor's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.