แบร์แนแด็ท....น่ารัก....น่ารัก ขี้ลืม.....ขี้ลืม ...... หนังปายหนายหว่า buy แล้ววbuyอีก......... faith, hope and charity เฟศบุ๊ค http://www.facebook.com/bernadette.soubirous.3
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2551
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
4 พฤษภาคม 2551
 
All Blogs
 
The Biblical World: An Illustrated Atlas No.6

The World Of Jesus = Eternal life Christian living



Holy Trinity
In the Name of the Father, the Son, and the Holy Spirit. Amen.


2 โครินธิ์ 13:13
13 ขอพระหรรษทานของพระเยซูคริต์องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอความรักของพระเจ้าและความสนิทสัมพันธ์ของพระจิตเจ้า สถิตอยู่กับทุกท่านเทอญ
2 Corinthians 13:13
13
The grace of the Lord Jesus Christ and the love of God and the fellowship of the holy Spirit be with all of you.
เชิงอรรถยาวเจงเจง



Source ://www.catholicsource.net/images/trinity2.jpg

ยอร์น John1:45

45 ฟิลิปพบนาธานาเอล และบอกเขาว่า "เราพบโมเสสและบรรดาประกาศกเขียนไว้ในพระคัมภีร์แล้ว ผู้นั้นคือ พระเยซู บุตรของโยเซฟ ชาวนาซาเร็ธ
45 Philip found Nathanael and said to him, 'We have found him of whom Moses in the Law and the prophets wrote, Jesus son of Joseph, from Nazareth.'
เชิงอรรถ นาธานาเอลอาจเป็นคนเดียวกันกับบารโธโลมิวในพระวราสารสหทรรศน์ (มธ 10:3 เทียบ ยน 21:2)

พันธสัญญาเก่า
อพยพ 34:4-6,8-9
การรื้อฟื้นพันธสัญญา
4 โมเสสก็สะกัดศิลาสองแผ่นเหมือนสองแผ่นแรก เช้าวันรุ่งขึ้นเขาขึ้นไปบนภูเขาซีนาย ถือศิลาสองแผ่นตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชา พระยาห์เวห์เสด็จมาในเมฆ ประทับอยู่กับโมเสสที่นั้น ทรงประกาศพระนามพระยาห์เวห์

พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์
6พระยาห์เวห์เด็จผ่านไปข้างหน้าเขา ทรงประกาศว่า "เราเป็นพระยาห์เวห์ พระเจ้าผู้ทรงเมตตา และกรุณา ไม่โกรธง่าย เปี่ยมด้วยความรัก มั่นคง และความซื่อสัตย์

เชิงอรรถ
บทที่ 34 เป็นเรื่องเล่าตามตำนานของยาห์วิสต์เกี่ยวกับพันธสัญญาที่ภูเขาซีนาย สำหรับความคิดเรื่อง "การรื้อฟื้นพันธสัญญา" ดู 32 เชิงอรรถ a
ขึ้นมาหาเราบนภูเขา ตามต้นฉบับภาษากรีก ต้นฉบับภาษาฮีบรู ละประโยคนี้

พระยาห์เวห์ทรงทำตามพระสัญญา (33:19-23) และทรงเผยให้รู้ถึงลักษณะของพระองค์เกี่ยวกับความรักมั่นคงของพระองค์

Exodus 34:4-6,8-9
4
Moses then cut two stone tablets like the former, and early the next morning he went up Mount Sinai as the LORD had commanded him, taking along the two stone tablets.
5
Having come down in a cloud, the LORD stood with him there and proclaimed his name, "LORD."
6
Thus the LORD passed before him and cried out, "The LORD, the LORD, a merciful and gracious God, slow to anger and rich in kindness and fidelity,

8
Moses at once bowed down to the ground in worship.
9
Then he said, "If I find favor with you, O Lord, do come along in our company. This is indeed a stiff-necked people; yet pardon our wickedness and sins, and receive us as your own."



ทูตสวรรค์แจ้งข่าวการประสูติของพระเยซูเจ้า
ลูกา 1:26-38

26เมื่อนางเอลีซาเบธตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์กาเบรียลมายังเมืองหนึ่งในแคว้นกาลิลีชื่อเมืองนาซาเร็ธ

27มาพบหญิงพรหมจารีคนหนึ่งซึ่งหมั้นอยู่กับชายชื่อโยเซฟ ในราชวงศ์ของกษัตริย์ดาวิด หญิงพรหมจารีผู้นั้นชื่อมารีย์

28ทูตสวรรค์เข้าในบ้านและกล่าวแก่พระนางว่า "จงยินดีเถิด ท่านผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับท่าน"

29เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ พระนางมารีย์รู้สึกวุ่นวายใจมาก ถามตนเองว่า คำทักทายนี้หมายความว่ากระไร?

30แต่ทูตสวรรค์กล่าวแก่พระนางว่า "มารีย์ อย่ากลัวเลย ท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าโปรด-ปราน

31ท่านจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ท่านจะตั้งชื่อเขาว่าเยซู

32เขาจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่และพระเจ้าผู้สูงสุดจะทรงเรียกเขาเป็นบุตรของพระองค์ พระเจ้าจะประทานพระที่นั่งของกษัตริย์ดาวิดบรรพบุรุษให้แก่เขา

33เขาจะปกครองวงศ์-ตระกูลของยาโคบตลอดไปและพระอาณาจักรของเขาจะไม่มี สิ้นสุดเลย"

34พระนางมารีย์จึงถามทูตสวรรค์ว่า "เหตุการณ์นี้จะเป็นไปได้อย่างไรเพราะข้าพเจ้าตั้งใจจะเป็นพรหมจารี?"

35ทูตสวรรค์ตอบว่า "พระจิตเจ้าจะเสด็จลงมาเหนือท่านและพระอานุภาพของพระผู้สูงสุดจะแผ่เงาปกคลุมท่าน เพราะฉะนั้น บุตรที่เกิดมาจะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์และจะรับนามว่าบุตรของพระเจ้า

36ดูซิ! เอลีซาเบธ ญาติของท่าน ทั้งๆที่ชราแล้ว ก็กำลังตั้งครรภ์บุตรชาย ใครๆคิดว่านางเป็นหมัน แต่นางก็ตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว

37เพราะไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำไม่ได้"

38พระนางมารีย์จึงกล่าวว่า "ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด" แล้วทูตสวรรค์ได้จากพระนางไป
เชิงอรรถ


Luke 1:26-38
26
10 In the sixth month, the angel Gabriel was sent from God to a town of Galilee called Nazareth,
27
to a virgin betrothed to a man named Joseph, of the house of David, and the virgin's name was Mary.
28
And coming to her, he said, "Hail, favored one! The Lord is with you."
29
But she was greatly troubled at what was said and pondered what sort of greeting this might be.
30
Then the angel said to her, "Do not be afraid, Mary, for you have found favor with God.
31
Behold, you will conceive in your womb and bear a son, and you shall name him Jesus.
32
He will be great and will be called Son of the Most High, 11 and the Lord God will give him the throne of David his father,
33
and he will rule over the house of Jacob forever, and of his kingdom there will be no end."
34
But Mary said to the angel, "How can this be, since I have no relations with a man?" 12
35
And the angel said to her in reply, "The holy Spirit will come upon you, and the power of the Most High will overshadow you. Therefore the child to be born will be called holy, the Son of God.
36
And behold, Elizabeth, your relative, has also conceived 13 a son in her old age, and this is the sixth month for her who was called barren;
37
for nothing will be impossible for God."
38
Mary said, "Behold, I am the handmaid of the Lord. May it be done to me according to your word." Then the angel departed from her.
เชิงอรรถ
10 [26-38] The announcement to Mary of the birth of Jesus is parallel to the announcement to Zechariah of the birth of John. In both the angel Gabriel appears to the parent who is troubled by the vision (Luke 1:11-12, 26-29) and then told by the angel not to fear (Luke 1:13, 30). After the announcement is made (Luke 1:14-17, 31-33) the parent objects (Luke 1:18, 34) and a sign is given to confirm the announcement (Luke 1:20, 36). The particular focus of the announcement of the birth of Jesus is on his identity as Son of David (Luke 1:32-33) and Son of God (Luke 1:32, 35).



ยอร์น 3: 15-17
15 เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร
16 พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมาก จึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศแต่จะมีชีวิตนิรันดร
17 เพราะพระเจ้าทรงส่งพระบุตรมาในโลกนี้มิใช่เพื่อตัดสินลงโทษโลกแต่เพื่อโลกจะได้รับความรอดพ้นเดชะพระบุตรนั้น

เชิงอรรถขอแสกนแหละยาวเจงเจง

John 3:15-17
15
6 so that everyone who believes in him may have eternal life."
16
For God so loved the world that he gave 7 his only Son, so that everyone who believes in him might not perish but might have eternal life.
17
For God did not send his Son into the world to condemn 8 the world, but that the world might be saved through him.

เชิงอรรถ
6 [15] Eternal life: used here for the first time in John, this term stresses quality of life rather than duration.

Source ://www.sofc.org/imageprint/st-john-baptist.jpg

พระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้าง
มัทธิว 3:15-17

15 พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า "เวลานี้ ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปก่อน เพราะเราควจจะทำทุกอย่างตามพระประสงค์ของพระเจ้า" ยอร์นจึงยอมทำตาม
16 เมื่อพระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้างแล้วเสด็จขึ้นจากน้ำ ทันใดนั้นท้องฟ้าเหิดออก พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระจิตของพระเจ้าเสด็จลงมาเหนือพระองค์ดุจนกพิราบ
17 และมีเสียงจากสวรรค์กล่าวว่า "ผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเราเป็นที่โปรดปรานของเรา"

ขอแสกนแหละยาวเจงเจง

Matthew 3:15-17
15
Jesus said to him in reply, "Allow it now, for thus it is fitting for us to fulfill all righteousness." Then he allowed him.
16
12 After Jesus was baptized, he came up from the water and behold, the heavens were opened (for him), and he saw the Spirit of God descending like a dove (and) coming upon him.
17
And a voice came from the heavens, saying, "This is my beloved Son, 13 with whom I am well pleased."
เชิงอรรถ
12 [16] The Spirit . . . coming upon him: cf Isaiah 42:1.


Source ://www.ourladyofmountcarmel.org/cu_baptize_christ.jpg

โรม 5:10
5 ความหวังนี้ไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะพระจิตเจ้าซึ่งพระเป็นเจ้าประทานให้เรา ได้หลังความรักของพระเจ้า ลงในดวงใจของเรา

ขอแสกนแหละยาวเจงเจง



Source ://sherrysheartbeats.homestead.com/files/Jesus.._shepherd.._beautiful.jpg

พระเยซูเจ้าทรงทำให้ธรรมบัญญัติสมบรูณ์มัทธิว 5:17-18
17 "จงอย่าคิดว่าเรามาเพื่อลบล้างธรรมบัญญัติหรือคำสอนของบรรดาประกาศก เรามิได้มาเพื่อลบล้าง แต่มาเพื่อปรับปรุงให้สมบรูณ์
18 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินไม่สูญสิ้นไป แม้ตัวอักษรหรือจุดเดียวจะไม่ขาดหายไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าทุกอย่างจะสำเร็จไป
ขอแสกนยาวอะ


Matthew 5:17-18
17
13 "Do not think that I have come to abolish the law or the prophets. I have come not to abolish but to fulfill.
18
Amen, I say to you, until heaven and earth pass away, not the smallest letter or the smallest part of a letter will pass from the law, until all things have taken place.
เชิงอรรถ
13 [17-20] This statement of Jesus' position concerning the Mosaic law is composed of traditional material from Matthew's sermon documentation (see the note on Matthew 5:1-7:29), other Q material (cf Matthew 18; Luke 16:17), and the evangelist's own editorial touches. To fulfill the law appears at first to mean a literal enforcement of the law in the least detail: until heaven and earth pass away nothing of the law will pass (Matthew 5:18). Yet the "passing away" of heaven and earth is not necessarily the end of the world understood, as in much apocalyptic literature, as the dissolution of the existing universe. The "turning of the ages" comes with the apocalyptic event of Jesus' death and resurrection, and those to whom this gospel is addressed are living in the new and final age, prophesied by Isaiah as the time of "new heavens and a new earth" (Isaiah 65:17; 66:22). Meanwhile, during Jesus' ministry when the kingdom is already breaking in, his mission remains within the framework of the law, though with significant anticipation of the age to come, as the following antitheses (Matthew 5:21-48) show.




Mass จงทำการนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด
ยอร์น 4:14

14 แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซี่งเราจะให้นั้น จะไม่กระหายอีก น้ำที่เราจะให้เขา จะกลายเป็นธารน้ำในตัวเขา ไหลรินเพื่อชีวิตนิรันดร

ยอร์น 6:47-51
47 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเราจะมีชีวิตนิรันดร
48 เราเป็นปังแห่งชีวิต
49 บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายได้กินมานนาในถิ่นทุรกันดาร แล้วยังตาย
50 แต่ปังที่ลงมาจากสวรรค์เป็นอย่างนี้ คือผู้ที่กินปังนี้แล้วไม่ตาย
51 เราเป็นปังทรงชีวิต ที่ลงมาจากสวรรค์ ใครที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป
และปังที่เราจะให้นี้ คือเนื้อของเรา เพื่อให้โลกมีชีวิต



ความหมาย : พระเยซูเจ้าทรงเป็นปังแท้ เพราะเป็นพระวจนาตถ์ของพระเป็นเจ้า(ข้อ 32) และเพราะทรงเป็นเครื่องบูชา พระกายและพระโลหิตถูกถวายเป็นบูชาให้โลกมีชีวิต(ข้อ 51-58 เทียบ ข้อ 22 เชิงอรรถ d) คำว่า
"เนื้อ" ทำให้เราเห็ฯความสัมพันธ์ระหว่างศีลมหาสนิทและการบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระวจนาตถ์

"พระวจนาตถ์ผู้ทรงรับเอาเนื้อหนังเป็ฯมนุษย์" (1:4 เชิงอรรถ) และเป็นอาหารแท้

Chapter 4: 14

14
but whoever drinks the water I shall give will never thirst; the water I shall give will become in him a spring of water welling up to eternal life."

John Chapter 6:47-51

Amen, amen, I say to you, whoever believes has eternal life.
48
I am the bread of life.
49
Your ancestors ate the manna in the desert, but they died;
50
this is the bread that comes down from heaven so that one may eat it and not die.
51
I am the living bread that came down from heaven; whoever eats this bread will live forever; and the bread that I will give is my flesh for the life of the world."


Source ://www.spiritrestoration.org/images/Crucifixion%20of%20Jesus.jpg

พระเยซูเจ้ากับพระมารดา
ยอร์น19:26-27
26 เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็ฯพระมารดาและศิษย์ที่รักยืนใกล้ๆ จึงตรัสกับพระมารดาว่า "แม่ นี้คือลูกของแม่"
27 แล้วตรัสกับศิษย์ผู้นั้นว่า "นี้คือแม่ของท่าน"นับแต่นั้นศิษย์ผู้นั้นรับพระนางเป็นพระมารดาของตน

John 19:26-27
26
When Jesus saw his mother 11 and the disciple there whom he loved, he said to his mother, "Woman, behold, your son."
27
Then he said to the disciple, "Behold, your mother." And from that hour the disciple took her into his home.
เชิงอรรถ
11 [26-27] This scene has been interpreted literally, of Jesus' concern for his mother; and symbolically, e.g., in the light of the Cana story in John 2 (the presence of the mother of Jesus, the address woman, and the mention of the hour) and of the upper room in John 13 (the presence of the beloved disciple; the hour). Now that the hour has come (John 19:28), Mary (a symbol of the church?) is given a role as the mother of Christians (personified by the beloved disciple); or, as a representative of those seeking salvation, she is supported by the disciple who interprets Jesus' revelation; or Jewish and Gentile Christianity (or Israel and the Christian community) are reconciled.


Source ://www.cambridge2000.com/gallery/images/P71821441e.jpg

พระเยซูเจ้าสิ้นพระชมน์
ยอร์น 19:30
30 พระเยซูเจ้าทรงจิบน้ำองุ่นเปรี้ยวแล้วตรัสว่า "สำเร็จบริบรูณ์แล้ว"พระองค์ทรงเอนพระเศียร สิ้นพระชมน์
เชิงอรรถ

John 19:30
30
14 When Jesus had taken the wine, he said, "It is finished." And bowing his head, he handed over the spirit.
เชิงอรรถ
14 [30] Handed over the spirit: there is a double nuance of dying (giving up the last breath or spirit) and that of passing on the holy Spirit; see John 7:39 which connects the giving of the Spirit with Jesus' glorious return to the Father, and John 20:22 where the author portrays the conferral of the Spirit


Source ://oneyearbibleimages.com/jesus_resurrection.jpg

วันกลับคืนพระชมน์ชีพของพระเยคริสตเจ้า
ยอร์น20:9
9 เขาทั้งสองคนยังไม่เข้าใจพระคัมภีร์ ที่ว่าพระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย

เชิงอรรถ
ยน ไม่ได้อ้างถึงพระคัมภีร์ตอนใด เข้าเพียงแต่ต้องการเน้นว่า บรรดาศิษย์ไม่ได้คิดว่าพระเยซูเจ้าจะกลับคืนพระชมน์ชีพ ทั้งๆที่พระคัมภีร์กล่าวล่วงหน้าไว้แล้วก็ตาม เทียบ 2:22 12:16 ลก 24:27 32 44-45
John 20:9
9
7 For they did not yet understand the scripture that he had to rise from the dead.
เชิงอรรถ
7 [9] Probably a general reference to the scriptures is intended, as in Luke 24:26 and 1 Cor 15:4. Some individual Old Testament passages suggested are Psalm 16:10; Hosea 6:2; Jonah 2:1, 2, 10.

ยอร์น 20:21-22
21 พระองค์ทรงตรัสกับเขาอีกว่า "สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด" พระบิดาส่งเรามาฉันใด เราก็ส่งท่านทั้งหลายไปฉันนั้น
22 ตรัสดังนี้แล้วพระองค์ทรงเป่าลมเหนือเขาทั้งหลายตรัสว่า "จงรับพระจิตเถิด
23ท่านทั้งหลายอภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นได้รับการอภัย ท่านทั้งหลายไม่อภัยบาปผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ไม่ได้รับการอภัยด้วย"

เชิงอรรถ
ลมที่พระเยซูเจ้าทรงเป่าเหนือบรรดาศิษย์ เป็นสํญญาลักษณ์ของพระจิตเจ้า (ruah) ในภาษาฮีปบรู และ Pneuma ในภาษากรีก แปลได้ทั้ง ลมและจิต
พระเยซูเจ้าทรงส่งพระจิตซึ่งจะทรงรื้อฟื้นทุกสิ่งขึ้นใหม่ (ปฐก 1:2 2:7 ปชญ 15:11 อสค 37:9 ดูยน 19:30 เชิงอรรถ o และ มธ 3:16 เชิงอรรถ n

John 20:20-22
20
When he had said this, he showed them his hands and his side. 13 The disciples rejoiced when they saw the Lord.
21
14 (Jesus) said to them again, "Peace be with you. As the Father has sent me, so I send you."
22
15 And when he had said this, he breathed on them and said to them, "Receive the holy Spirit.
เชิงอรรถ
14 [21] By means of this sending, the Eleven were made apostles, that is, "those sent" (cf John 17:18), though John does not use the noun in reference to them (see the note on John 13:16). A solemn mission or "sending" is also the subject of the post-resurrection appearances to the Eleven in Matthew 28:19; Luke 24:47; Mark 16:15.

15 [22] This action recalls Genesis 2:7, where God breathed on the first man and gave him life; just as Adam's life came from God, so now the disciples' new spiritual life comes from Jesus. Cf also the revivification of the dry bones in Ezekial 37. This is the author's version of Pentecost. Cf also the note on John 19:30.




สมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์
มธ 28:16-20

แล้วจงรู้เถิดว่าเราอยู่กับท่านทุกวันตลอด ไปตราบจนสิ้นพิภพ

Matthew 28:16-20

20
teaching them to observe all that I have commanded you. 13 And behold, I am with you always, until the end of the age."
เชิงอรรถ
13 [20] All that I have commanded you: the moral teaching found in this gospel, preeminently that of the Sermon on the Mount (Matthew 5-7). The commandments of Jesus are the standard of Christian conduct, not the Mosaic law as such, even though some of the Mosaic commandments have now been invested with the authority of Jesus. Behold, I am with you always: the promise of Jesus' real though invisible presence echoes the name Emmanuel given to him in the infancy narrative; see the note on Matthew 1:23. End of the age: see the notes on Matthew 13:39 and Matthew 24:3.


กจ 1:1-11


“ชาวกาลิลีเอ๋ย ท่านทั้งหลายยืนแหงนมองท้องฟ้าอยู่ทำไมพระเยซูเจ้าพระองค์นี้ที่ทรงเสด็จขึ้นสู่สวรรค์จะเสด็จกลับมาเช่นเดียวกับที่ท่านทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงจากไปสู่สวรรค์”

เชิงอรรถ พระคริสตเจ้าจะเสด็จมาในพระสิริรุ่งโรจน์ในวันสุดท้าย (ดูเชิงอรรถ ใน มธ 24 และ ลก 17:22-37, 21:5-33)
Acts 1:11
11
They said, "Men of Galilee, why are you standing there looking at the sky? This Jesus who has been taken up from you into heaven will return in the same way as you have seen him going into heaven."

have hope in Jesus


Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible



Create Date : 04 พฤษภาคม 2551
Last Update : 17 มิถุนายน 2551 22:21:31 น. 49 comments
Counter : 6373 Pageviews.

 

This third-century c.e. synagogue of Capernaum may stand on the site of an earlier one where, according to Luke, Jesus taught on the Sabbath

ทรงรักษาชายมือลีบ (มธ 12:9-14; มก 3:1-6)
6:6 ต่อมาในวันสะบาโตอีกวันหนึ่ง พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาและสั่งสอน ที่นั่นมีชายคนหนึ่งมือขวาลีบ
6:7 ฝ่ายพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีคอยดูพระองค์ว่า พระองค์จะทรงรักษาเขาในวันสะบาโตหรือไม่ เพื่อจะหาเหตุฟ้องพระองค์ได้
6:8 แต่พระองค์ทรงทราบความคิดของเขา จึงตรัสแก่คนมือลีบนั้นว่า "จงลุกขึ้นมายืนอยู่ข้างหน้า" เขาก็ลุกขึ้นยืน
6:9 แล้วพระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า "เราจะถามท่านทั้งหลายว่า ในวันสะบาโตให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติควรจะทำการดีหรือทำการร้าย จะช่วยชีวิตดีหรือจะผลาญชีวิตดี"
6:10 พระองค์จึงทอดพระเนตรดูทุกคนโดยรอบ แล้วตรัสกับชายคนนั้นว่า "จงเหยียดมือออกเถิด" เขาก็กระทำตาม และมือของเขาก็หายเป็นปกติเหมือนมืออีกข้างหนึ่ง
6:11 แต่คนเหล่านั้นต่างก็มีความเดือดดาล และปรึกษากันว่าจะกระทำอย่างไรแก่พระเยซูได้

Luke 6:6-11
6
On another sabbath he went into the synagogue and taught, and there was a man there whose right hand was withered.
7
The scribes and the Pharisees watched him closely to see if he would cure on the sabbath so that they might discover a reason to accuse him.
8
But he realized their intentions and said to the man with the withered hand, "Come up and stand before us." And he rose and stood there.
9
Then Jesus said to them, "I ask you, is it lawful to do good on the sabbath rather than to do evil, to save life rather than to destroy it?"
10
Looking around at them all, he then said to him, "Stretch out your hand." He did so and his hand was restored.
11
But they became enraged and discussed together what they might do to Jesus.

Jesus in the holy land - Capernaum
s

ในปีสุดท้ายของปกครองHerod the Great เด็กชายคนหนึ่งเกิดจากผู้หญิงยังสาว ชื่อ Miriam หรือ Mary เด็กชายเล็กๆๆ ที่ภาษาพื้นเมืองอาราเมอิก จะเรียกเค้าว่า Yeshua bar Yosef ("Jesus, son of Joseph")
เติบโตและทำงานในหมูบ้านเล็กๆๆชื่อ Nazareth วันหนึ่งเมื่อเค้าอายุ 30-33 เค้าออกจากกาลิลีไปร่วมเป็นผู้นำความขัดแย้งในทะเลทราย โดยประกาศกนักเทศน์ John the Baptist นักบุญยอร์นเป็นผู้นำด้านทางการเมืองและศาสนา(ทฤษฎีที่ว่าความจริงคือการดำเนินการที่บริสุทธิ์โดยเฉพาะทางจิต)ได้ถูกจับกุมประหารชีวิต โดย Tetrach of Galilee, Herod Antipas

พระเยซูเริ่มดำเนินงานเป็นครูผู้สอน หรือ Rabbi ไม่ว่าถิ่นทุรกันดารในจอร์แดน แต่ในเมืองและหมูบ้านเล็กๆในกาลิลี พระเยซูถูกจับกุมเป็นนักโทษด้วยความสงบ และถูกประหารชีวิตโดยถูกตรึงบนไม้กางเขน ไม่นานหลังจากพระองค์ถูกฝังพระศพไว้ในคูหา เปิดพระคูหาออกมาว่างเปล่า และ กลุ่มพยาน ให้เหตุผล พวกเข้าเห็นพระเยซูเจ้าฟื้นคืนชีพจริง

บทสรุปสำคัญเบื้องต้นเหล่านี้ของชีวิตพระเยซูเจ้า บันทึกโดยพระวราสาร แต่เกิดอะไรขึ้นระหว่างสองปีที่พระองค์ใช้ชีวิตภาระกิจที่กาลิลี ยังคงเป็นประเด็นสำหรับนักวิจัยให้เหตุผลกันต่อไป

สิ่งหนึ่งที่พวกเรารู้คือ พระวาจาและความลึกซึ้งของพระเยซูเจ้าชาวนาซาเร็ท คือ ความรอดที่พระองค์สละพระชนม์ชีพถูกตรึงบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปแก่มนุษย์ และแรงบันดาลใจของศาสนา นั้นคือในไม่ช้าจะชนะท่วมท้นในโลกของอาณาจักรโรมัน

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 5 พฤษภาคม 2551 เวลา:11:42:21 น.  

 
Go galilee!



A Son OF Galilie
กาลิลีซึ่งตั้งอยู่ไกลที่สุดของทางทิศเหนือ ในวันนี้เป็นส่วนหนึ่งของอิสราเอล ในศตวรรษที่ 1 Josephus นักประวัติศาสตร์ชาวยิว บันทึกว่า กาลิลีมีชายแดนติดกับ Akko (Acre)และ Mount Carment ในทางตะวันตกของ แม่น้ำจอร์แดนทางตะวันออก หุบเขา Jezreel และ สะมาเรียในทางใต้ และเมือง Baca (ในปัจจุบันนี้คือ Bezet)ในทางตอนเหนือ อาณาเขตดินแดนที่มีชื่อเสียงอย่างเห็นได้ชัด คือ ทะเลสาบกาลิลี ในวันนี้คือ Plain of Gennesarer ในทางตอนเหนือ และทางตะวันตกเฉียงเหนือ เนินเข้ากาลิลีทางตะวันตก และที่ราบเป็นขั้นๆๆลดหลั่นGolan และที่ราบสูงในทางตะวันออก ทะเลทราบกาลิลีเป็นอาหารหล่อเลี้ยงจอร์แดน ที่รุ่งเรือง ในด้านการอุตสาหกรรมการประมง และ การค้าขายแลกเปลี่ยนที่แห่งอื่น ในกาลิลี มีภูมิภาคในด้านเกษตรกรรมที่เด่นกว่า ในภูมิภาคนี้มีฝนตกอย่างต่อเนื่อง และอุดมสมบรูณ์ในอาณาเขตของอิสราเอล Josephus เขียนว่า" ดินโดยทั่วไปเป็นเงินเป็นทอง และอุดมสมบรูณ์ นั้นคือดินแดนเพาะปลูกทั้งหมดของประชากรที่อาศัยอยู่นี้ และไม่ตั้งอยู่ให้รกร้าง"

เพราะมันเป็ฯรางวัลของธรรมชาติในประวัติศาสตร์กาลิลี ที่แยกมาจาก Judahในทางตอนใต้ วัฒนธรรมประเพณีนิยมในภูมิภาคนี้ของพี่น้องชนเผ่า Naphtali,Zebulun, Issachar, Asher และDan เป็นเป็นรูปแบบส่วนหนึ่งของการรวมกันเป็นพันธมิตรของพี่น้องชนเผ่า นั้นคือเลิกจงรักภักดีต่อกับ โซโลมอน การรวมเป็ฯหนึ่งเดียวกันของการปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ในปี 931 ก่อนคริสตกาล จาก อาณาจักรตอนเหนือ หรืออิสราเอล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความไม่พอใจของ การปกครองระบบ โซโลมอน สำหรับ king ที่ให้เมือง 20 เมือง ใน กาลิลี แก่King Hiram of Tyre ในการจ่ายค่าต้นสนซีดาร์ และเครื่องมืออื่นๆ
คาทอลิกใช้ New Jersulam Bible source

//www.catholic.org/bible
1 Kings 9:11
9:11 (now Hiram the king of Tyre had furnished Solomon with cedar trees and fir trees, and with gold, according to all his desire), that then king Solomon gave Hiram twenty cities in the land of Galilee.

1 พงศ์กษัตริย์ 9:11
ขอยืมKJV ไบเบิ้ลอะ
9:11 (ฮีรามกษัตริย์เมืองไทระได้ส่งไม้สนสีดาร์ ไม้สนสามใบและทองคำให้

แก่ซาโลมอนตามที่พระองค์มีพระประสงค์แล้ว) กษัตริย์ซาโลมอนจึงทรงประทานหัวเมืองในแผ่นดินกาลิลีให้แก่ฮีรามยี่สิบหัวเมืองกาลิลีปกครองโดย อาณาจักรตอนเหนือ king Joreoboam I ถึง Pekah และ คงอยู่รอดมาได้ต่อการบุกรุกโจมตีของ Assyrian ในปี 733 ก่อนคริสตกาล อยู่ในมณทล Megiddo และ ยังคงอยู่ภายใต้ การปกครองของชนต่างชาติ โดยความเปลี่ยนแปลงหลากหลายจนกระทั้งการมาถึงของ การปกครองของ Hasmonean ในปี 142 ก่อนคริสตกาล หลังจากอาณาจักรโรมันพิชิต Hasmonean โดย Pompey กาลิลีเริ่มเป็นอาณาเขตของแคว้นเมืองหลวง Sepphoris จนกระทั้ง อาณาจักรโรมัน ได้ให้ Herod the Great ปกครองประเทศ ภูมิภาคนั้น "Palaestina" รากมาจาก ภาษากรีก "Philistines" Palaistinei.

กาลิลี เริ่มเป็นเขตเมืองส่วนหนึ่งของAssyrian ในศตวรรษที่8ก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็ฯไปได้มากที่ความยุ่งยากแตกแยกของพวกเขาเหล่านั้น ย้ายออกจากภูมิภาคเกษตรกรรมอย่างจำเป็ฯ ระหว่าง 600ปีของการประกอบอาชีพ
กาลิลีที่อุดมสมบรูณ์ ทำให้น่าสนใจดึงดูดความหลากหลายในการจัดตั้งถิ่นฐาน รวมถึง ชาว Assyrians, Phoenicians, Aramaeans, Greeksและ Persians ผู้ผสมผสาน และ แต่งงานระหว่างผู้มีเชื้อชาติ ศาสนาหรือสังคมต่างกัน กับชาวยิวซึ่งยังคงเป็นเกษตรกร ในเวลานั้น ปัจจัยสำคัญของชาวยิวในกาลิลีเริ่มแตกต่างจากยูดาห์ ที่ซึ่งวัฒนธรรมประเพณีนิยมของชาวยิว และ ศาสนาความเชื่อหรือหลักปฏิบัติที่มาแต่ดั้งเดิม ที่ใกล้ชิดและป้องกันได้ระหว่างหลังจากการเนรเทศ

ชาวกาลิลี มีการพูดและสำเนียงที่แตกต่าง คือ ภาษาท้องถิ่น Aramaic นั้นคือเป็นโลโก้ ตราประทับอย่างทันทีทันใดที่เห็นพวกเขาเหล่านั้นทางตอนเหนือ

มัทธิว 26:73
26:73 อีกสักครู่หนึ่งคนทั้งหลายที่ยืนอยู่ใกล้ๆนั้นก็มาว่าแก่เปโตรว่า "เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกนั้นแน่แล้ว ด้วยว่าสำเนียงของเจ้าก็ส่อตัวเจ้าเอง"

Matthew 26 :73
73 A little later the bystanders came up and said to Peter, 'You are certainly one of them too! Why, your accent gives you away.'


Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 6 พฤษภาคม 2551 เวลา:12:32:34 น.  

 


Source : //www.autoshippers.co.uk
โดยเริ่มต้นของยุคสมัยของการอยู่ร่วมกัน สังคมชุมชนชนบทชาวกาลิลีหมู่บ้านเล็กๆ และชุมชนในนิคม รูปแบบที่แน่นแฟ้นรวมเป็นหนึ่งเดียวของชาวยิวที่มีใจศรัทธา ในดินแดนเล็กๆ ที่มีวัฒนธรรมและเชื้อชาติแตกต่างจากดินแดนอื่นที่ล้อมรอบอยู่ และรวมถึงการปกครองของทั้งหมดนั้นคือ โลกของชาว Hellenistic ทางตอนเหนือสุดของ Caesarea Philippi the Hellenized เมืองของ Ptolemais Tyre และ Sidom ทางชายฝั่งเมดิเตอเรเนียน และทางตะวันออก ใน Transjordan ในสังคมชุมชนของ กรีก คือ "Ten Cities" "or Decapolis"

ชาวยิวในหลายๆๆหมู่บ้าน มีโบสถ์ของชาวยิว ที่ซึ่งเป็ฯธรรมดา และไม่ใหญ่โตโอ่อ่า สร้างเมืองกับบ้านธรรมดา กับกำแพงที่ฉาบด้วยปูน และปูหลังคาด้วยกองหญ้าปนกับโคลน ส่วนมากไม่เหลือรอดอยู่ ในเวลาที่ผ่านไป ชาวกาลิลี 204 คนของในเมือง หมู่บ้านที่Josephus ระบุไว้ นักโบราณคดี เคยพบหลักฐานของ Synagogues โบส์ถของชาวยิว ระบุไว้ในศตวรรษที่ 1 ของคริสตกาล

ข้อสรุปของกาลิลี ชาวชนบทกะสายน้ำที่ไหลย้อนกลับ ในพระวารสารของนักบุณยอร์น ฟีลิป1 ในอัครสาวกได้บอกเพื่อนที่ไว้วางใจชื่อ Nathanael นั่นพระเมสิอาห์ Messiah ที่มาจาก Nazareth Nathaneal มองไปและ พูดว่า "สิ่งดีอันใดจะมาจากนาซาเร็ธได้หรือ" ฟีลิปตอบเขาว่า "มาดูเถิด"

ยอร์น 1:40-50

1:40 คนหนึ่งในสองคนที่ได้ยินยอห์นพูด และได้ติดตามพระองค์ไปนั้น คืออันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตร
1:41 แล้วอันดรูว์ก็ไปหาซีโมนพี่ชายของตนก่อน และบอกเขาว่า "เราได้พบพระเมสสิยาห์แล้ว" ซึ่งแปลว่าพระคริสต์
1:42 อันดรูว์จึงพาซีโมนไปเฝ้าพระเยซู และเมื่อพระเยซูทรงทอดพระเนตรเขาแล้วจึงตรัสว่า "ท่านคือซีโมนบุตรชายโยนาห์ เขาจะเรียกท่านว่าเคฟาส"

ซึ่งแปลว่าศิลา
1:43 วันรุ่งขึ้นพระเยซูตั้งพระทัยจะเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี และพระองค์ทรงพบฟีลิปจึงตรัสกับเขาว่า "จงตามเรามา"
1:44 ฟีลิปมาจากเบธไซดา เมืองของอันดรูว์และเปโตร
1:45 ฟีลิปไปหานาธานาเอลและบอกเขาว่า "เราได้พบพระองค์ผู้ที่โมเสสได้กล่าวถึงในพระราชบัญญัติ และที่พวกศาสดาพยากรณ์ได้กล่าวถึง คือพระเยซูชาวนาซาเร็ธบุตรชายโยเซฟ"
1:46 นาธานาเอลถามเขาว่า "สิ่งดีอันใดจะมาจากนาซาเร็ธได้หรือ" ฟีลิปตอบเขาว่า "มาดูเถิด"
1:47 พระเยซูทอดพระเนตรเห็นนาธานาเอลมาหาพระองค์จึงตรัสถึงเรื่องตัวเขาว่า "ดูเถิด ชนอิสราเอลแท้ ในตัวเขาไม่มีอุบาย"
1:48 นาธานาเอลทูลถามพระองค์ว่า "พระองค์ทรงรู้จักข้าพระองค์ได้อย่างไร" พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ก่อนที่ฟีลิปจะเรียกท่าน เมื่อท่านอยู่ที่ใต้ต้นมะเดื่อนั้น เราเห็นท่าน"
1:49 นาธานาเอลทูลตอบพระองค์ว่า "รับบี พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล"
1:50 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เพราะเราบอกท่านว่า เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อนั้น ท่านจึงเชื่อหรือ ท่านจะได้เห็นเหตุการณ์ใหญ่กว่านั้นอีก"
1:51 และพระองค์ตรัสกับเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ภายหลังท่านจะได้เห็นท้องฟ้าเปิดออก และเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นและลงอยู่เหนือบุตรมนุษย์"

เชิงอรรถ


John 1:40-51
40 One of these two who became followers of Jesus after hearing what John had said was Andrew, the brother of Simon Peter.

41 The first thing Andrew did was to find his brother and say to him, 'We have found the Messiah' - which means the Christ -

42 and he took Simon to Jesus. Jesus looked at him and said, 'You are Simon son of John; you are to be called Cephas' - which means Rock.

43 The next day, after Jesus had decided to leave for Galilee, he met Philip and said, 'Follow me.'

44 Philip came from the same town, Bethsaida, as Andrew and Peter.

45 Philip found Nathanael and said to him, 'We have found him of whom Moses in the Law and the prophets wrote, Jesus son of Joseph, from Nazareth.'

46 Nathanael said to him, 'From Nazareth? Can anything good come from that place?' Philip replied, 'Come and see.'

47 When Jesus saw Nathanael coming he said of him, 'There, truly, is an Israelite in whom there is no deception.' 48 Nathanael asked, 'How do you know me?' Jesus
replied, 'Before Philip came to call you, I saw you under the fig tree.'

49 Nathanael answered, 'Rabbi, you are the Son of God, you are the king of Israel.'

50 Jesus replied, 'You believe that just because I said: I saw you under the fig tree. You are going to see greater things than that.'

51 And then he added, 'In all truth I tell you, you will see heaven open and the angels of God ascending and descending over the Son of man.'

เชิงอรรถ
29 [41] Messiah: the Hebrew word masiah, "anointed one" (see the note on Luke 2:11), appears in Greek as the transliterated messias only here and in John 4:25.
Elsewhere the Greek translation christos is used.

30 [42] Simon, the son of John: in Matthew 16:17, Simon is called Bariona, "son of Jonah," a different tradition for the name of Simon's father. Cephas: in Aramaic = the Rock; cf Matthew 16:18. Neither the Greek equivalent

Petros nor, with one isolated exception, Cephas is attested as a personal name before Christian times.

31 [43] He: grammatically, could be Peter, but logically is probably Jesus.

32 [47] A true Israelite. There is no duplicity in him: Jacob was the first to bear the name "Israel" (Genesis

32:29), but Jacob was a man of duplicity (Genesis
27:35-36).

33 [48] Under the fig tree: a symbol of messianic peace (cf Micah 4:4; Zechariah 3:10).

34 [49] Son of God: this title is used in the Old
Testament, among other ways, as a title of adoption for the Davidic king (2 Sam 7:14; Psalm 2:7; 89:27), and thus here, with King of Israel, in a messianic sense. For the evangelist, Son of God also points to Jesus' divinity (cf John 20:28).

35 [50] Possibly a statement: "You [singular] believe because I saw you under the fig tree."

36 [51] The double "Amen" is characteristic of John. You is plural in Greek. The allusion is to Jacob's ladder
(Genesis 28:12).

อย่างไรกะตาม Josephus (กะเป็นคนกาลิลีโดนกำเนิด) ยืนยันถึงนั้นคือ การเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น (คำโบราณ),โดยปรกติของพวกเขาเหล่านั้นภูมิใจในความเป็นชาวกาลิลีของเขาอย่างเป็ฯพิเศษ คือ" เต็มใจต่อสู้อย่างอดทนระหว่างช่วงเวลาในสงคราม"

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 6 พฤษภาคม 2551 เวลา:12:59:28 น.  

 
The Church of the Annunciation - Nazareth - Israel



The Church of the Annunciation occupies the center ,Built on the location where tradition holds that the archangel Gabriel visited Mary.

Jesus in History

ในใจกลางของกาลิลี ในหมูบ้านเล็กๆๆเรียกว่า หมู่บ้าน นาซาเร็ท เด็กชายที่อาศัยอยู่ที่เราเรียกเขาว่า Jesus เพราะมีข้อถกเถียงในบางครั้งเกี่ยวกับพระวารสารใหม่ ในความถูกต้องแม่นยำของการเกิดและการสิ้นพระชนม์ของพระ
เยซูเจ้า ที่เราไม่รู้ นอกจากนี้ไม่มีหลักฐานประวัติของพระเยซูเจ้า ในการเกิดจากในช่วงชีวิตของพระองค์ ชื่อของพระองค์ไม่ได้ประกฎใน Cuneiform ตัวอักษรอัสซีเรียน หินจารึก ม้วนกระดาษปาปิรุส cylinders prisms หรือ
Ostraca (งะ อันนี้เขาใจกันก่อน เหตุผลส่วนตัวอะ หินจารึก ม้วนกระดาษ ไซเลนเดอร์ ปริซึม Ostraca หรืออื่นๆกะบันทึก ความรุ่งเรืองเจริญ อาณาจักรกว้างใหญ่ ประชาชนอยู่ดีกินดี ของกษัตริย์อะ พระเยซูเจ้าเป็นกษัตริย์ในหัวใจประชาชนอะ และอีกอย่าง คนคริสสมัยโน้นต้นๆๆ กะอยู่อย่างหลบๆๆซ่อนๆๆชาวยิว ไม่เอาเลย หรือที่อื่นๆๆเพราะพระองค์ไม่ได้ยุ่งกะการเมืองอะ พระองค์มาปฎิวัติหัวจายอะ และที่รุ่งเรืองที่สุด จักรพรรดิ์คอน
สแตนไทล์ พระองค์อนุญาติให้นับถือศาสนาคริสได้และไม่ต้องหลบๆๆซ่อนๆๆยิ่งกว่าคนชั้นสามอีกอะ พระมารดาคือ เซ็นต์เฮเลน )

เหตุผลที่ต้องการ สำหรับข้อมูลของยุคสมัยของพระองค์ บางที น้อยคนในกาลิลีรู้ว่าจะเขียนยังไง ผู้ติดตามพระองค์ที่รู้จักกันคือ Apostles (อัครสาวก) ภาษากรีก Apostolos ความหมายคือ " a person sent (forth)" ได้อธิบาย ว่าอัครสาวกไม่ได้รับการศึกษา

กิจการอัครสาวก 4:13
13 เมื่อเขาเหล่านั้นเห็นว่าเปโตรและยอร์นพูดอย่างกล้าหาญทั้งรู้ว่าทั้งสองคนไม่เคยได้รับการศึกษา และไม่มีความรู้พิเศษใดๆ ก็ประหลาดใจและระลึกได้ว่าทั้งสองคนเคยอยู่กับพระเยซูเจ้า

คาทอลิกใช้New Jerusalem Bible
//www.catholic.org/bible/

Acts of Apostles 4:13
13 They were astonished at the fearlessness shown by Peter and John, considering that they were uneducated laymen; and they recognised them as associates of Jesus;

เป็ฯการสันนิฐานบ่อยๆว่านั้นคือพระเยซูเจ้าสามารถอ่าน(แม้ว่าไม่แน่ใจ ที่การให้นั้นคือความรู้ในพระคัมภีร์ ที่สอนบ่อยๆๆมาจากความทรงจำ)แต่ไม่มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่า พระเยซูเจ้าทรงเขียน พระเยซูเจ้าไม่ได้มีชื่อเสียงทาง
ระบบการเมืองราชาการหรือกษัตริย์ พระองค์ไม่ใช่ประกาศก ตัวอย่างเช่นประกาศกเยเรมีย์ ผู้ซึ่งเป็ฯอาลักษณ์ คัดลอก ซึ่งได้แก Baruch (3: an Apocryphal book ascribed to Baruch) พระองค์คือRabbi ในหมู่
บ้าน ผู้ซึ่งสอน ในชนบทของกาลิลี และไกลจากในใจกลางของพวกปัญญาชนในJudea.

นอกจากนั้น นักวิจัยสรุปจากพระวรสารพันธสัญญาใหม่ว่า ชีวิตสงฆ์ของพระเยซูเจ้าทรงสั้น บางทีน้อยกว่าสองปีด้วย ในทางตรงกันข้าม ประกาศก Ezra,Nehemiah และ Jeremiah ยังคงทำงานอยู่ในหลายๆที่ ประมาณ
20-40ปี เพียงพอสำหรับในเวลาที่รับผิดชอบ พวกเขาเหล่านั้นมีความจำเฉพาะตัว ในการพูดหรือเขียน พระเยซูเจ้าทรงประกอบอาชีพ โดยเปรียบเทียบกับเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อพระองค์ถูกประหารชีวิตด้วยการถูกตรึงบนไม้กางเขน

หลักฐานสนับสนุนการดำรงอยู่ของพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงมีจริงในการทำงานของนักเขียน Roman ประวัติศาสตร์โรมันของ Suetonius 75-130
ในปีคริสตกาล เขียนเกี่ยวกับชีวิตของอาณาจักรโรมันคลาวดิอัส Claudius ในปี 119ของคริสตกาล ระบุว่า " ชาวยิวทรงทำสิ่งที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง และทำให้บ้านเมืองไม่สงบ ยุยงส่งเสริม Chrestus (sic)"เขาขับไล่พวกเขา
เหล่านั้นออกจากโรม" นั้นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประมาณ ปี 49 ของคริสตวรรษ ตามมาด้วยสังคมของความเจริญรุ่งเรืองชาวChristians (หลายๆพวกยังคงเชื่อฟังชาวยิว )
ในโรม ยุคแรก 20 ปีหลังจากพระเยซูเจ้าทรงตรึงพระชมน์บนไม้กางเขน

นักวิจัยระบุว่า อยู่ในช่วงระหว่าง 29-33 ในปีคริสตกาล
เหตุผลที่เสริมเข้ามาคือการปรากฎของหนังสือพันธสัญญาใหม่ และกิจการอัครสาวก เขียนโดยนักบุณลูกา

กิจการอัครสาวก 18:2
2 เขาพบชาวยิวคนหนึ่งชื่อ อาควิลา ชาวแคว้นปอนทัสเพิ่งมาจากอิตาลีพร้อมกับภารยาชื่อปริสซิลลา เพราะพระจักรพรรดิคลาวดิอาสทรงออกพระราชกฤษฎีกาให้ชาวยิวทุกคนออกจากโรม เปาโลไปพบเขาท้งสองคน

เชิงอรรถ
ยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า "ปริสคา" รม 16:3 1 คร 16:9 2ทธ 4:19

อาควิลา และ ปริสซิลา ทั้งสองเป็นคริสเตียนในเวลานั้นพวกเขามาถึง Corinth

ดู กจ 18:26
26 เขาเริ่มเทศน์สอนอย่างกล้าหาญในศาลาธรรมปริสซิลลาและอาควิลลาได้ฟังจึงเชิญเขาไปที่บ้านและอธิบายให้เขาเข้าใจวิถีทางของพระเจ้าอย่างละเอียดชัดเจนยิ่งขึ้น

Acts of Apostles 18:26
26 He began to teach fearlessly in the synagogue and, when Priscilla and Aquila heard him, they attached themselves to him and gave him more detailed instruction about the Way.

เกี่ยวกับ 1 โครินทธิ์ 16:19
19 พระศาสนจักรต่างๆในแคว้นอาเซีย(แคว้านอาเซียในจักรวรรดิ์โรมัน) ฝากความคิดถึงท่าน อาควิลลา และปริสลิสลา พร้อมกับพระศาสนจักรที่ชุมนุมกันในบ้านของเขาส่งความคิดถึงท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้า

1 Corinthians 16:19
19 The churches of Asia send their greetings. Aquila and Prisca send their best wishes in the Lord, together with the church that meets in their house.

บ้านของพวกเขาเหล่านั้นเริ่มเป็นสถานที่สำหรับพี่น้อคริสเตียน จักรพรรดิ์คลาวดิอาส ทรงขับไล่ชาวยิวออกจากโรม ในปี ที่ 40ของคริสตกาล ในประวัติศาสตร์โรมัน Suetoniusให้เหตุผลของการขับไล่คือ การก่อความไม่สงบของชาวยิว "at the instigation of Chrestos,การยั่วยุ ของชาวคริสเตียน" บางทีหมายถึงการถกเถียงเกี่ยวกับ เรื่องความรอดในคำสอนพระเยซูเจ้า

Acts of Apostles 4:13
2 where he met a Jew called Aquila whose family came from Pontus. He and his wife Priscilla had recently left Italy because an edict of Claudius had expelled all the Jews from Rome. Paul went to visit them,

Suetonisus ยันยันอีกครั้งด้วย พี่น้องคริสเตียนถูก ก่อกวนข่มเหงรังแกจับมาลงโทษ ระหว่างการครองราชย์การปกครองของ จักรพรรดิ์เนโร Nero "การลงโทษของเนโรสร้างความเจ็บปวดเดือดร้อนให้พี่น้องคริสเตียน ปีศาจ(satan)เนโรปล่อยข่าวว่าพี่น้องคริสเตียนเป็นหายนะ อันตรายเป็นตัว ก่อกวนความเชื่องมงายเชื่อถือผิดๆๆ"

ประวัติศาสตร์ของโรมัน เขียนโดย Tacitus ในปี 56-117 ของปีคริสตกาล อธิบายว่า เนโรเป็นผู้กระทำการนี้ในปี 117 ของคริสกาล ที่พระองค์ครองราชย์ ที่มาของจดหมายเหตุ บันทึกเหตุการณ์ประจำปี เนโรต้องการแพะรับบาป สำหรับไฟไหม้ครั้งยิ่งใหญ่ ในปี 64ของคริสตกาล นั้นคือการล้างผลาญโรม "เนโรสร้างหันเหความสนใจภายใต้ ความเกินธรรมดา เพื่อจุดประสงค์พิเศษ ความทรมาน ทำให้เจ็บปวด ของพวกเขาเหล่านั้น ที่เกลียด ประชาชนสามัญชนที่เรียกว่า Christians (Chritianos)" ผู้ริเริ่ม ความเชื่อ
Tacitus บอกว่า Christ (Christus)ผู้ซึ่ง อยู่ในรัชสมัย Tiberius ตัดสินพิพากษาประหารชีวิต โดยผู้แทนข้าหลวง Pontius Piatus" (ที่มาจดหมายเหตุบันทึกเหตุการณ์ประจำปี 15, 44) "Christus"ภาษาลาติน Christos ภาษากรีก ภาษายิว Moshiach (ภาษาอาราเมอิก Meshiach)หรือ
"anointed one"ชื่อนี้สำหรับพระเยซูเจ้านั้นคือการบรรลุผลสำเร็จแล้วหลังจากพระองค์สิ้นพระชมน์

บางทีความน่าทึ่งหลักฐานรับรองของพระเยซูเจ้า ในศตวรรษที่ 1 ที่ไม่ใช่มาจากลายลักษณ์อักษรของพี่น้องคริสเตียน มาจากประวัติศาสตร์ยิว เขียนโดย Josephus หนังสือของเค้า Antiquiies of the Jews เต็มไปด้วยความ
เชื่อถือได้ ที่คัดลอกในอารามของพี่น้องคริสเตียน โดยทุกหนทุกแห่ง ในยุค Middle Ages

ในขั้นตอน อย่างไรกะตาม พระในอาราม มักใส่เนื้อหาเข้าไปในต้นฉบับ นักวิจัย เรียกว่า สิ่งสอดแทรก การศึกษาหลากหลาย ความพยายามของนักวิจัยที่จะตีความนั้น แม้ว่าผลของมันยังคงอยู่ในประเด็นเนื้อหาสาระสำคัญที่พิจารณา เป็นที่เข้าใจ นั้นคือแก่นของเรื่องของ Josephusที่อธิบายรับรองว่าจริง ผู้เขียน บอกเรานั้น นั้นคือ "เกี่ยวกับช่วงเวลาของพระเยซูเจ้า, a wise man ผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ปฎิบัติิกระทำในสิ่งที่อัศจรรย์ และดึงดูดความสนใจชาว
ยิวหลายๆๆคนและไม่ใช่คนยิวคนนอกศาสนามาหาพระองค์"

Josephus บอกอีกว่า "เมื่อ ปิลาตข้าหลวงโรมันปกครองยิว Pilate เสนอแนะผู้มีอำนาจสูงสุดท่ามกลางพวกเรา ปิลาตสั่งให้พระองค์ไปตรึงการเขน นั่นคือความรักของพระองค์ ไม่ใช่การสิ้นสุดยุดติด้วยการโจมตีปะทะด้วยความรุนแรง

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 7 พฤษภาคม 2551 เวลา:21:09:17 น.  

 
Creation of the Gospels


ในวันนี้ พี่น้องคริสเตียน เชื่อถือศรัทธาในพระวรสารทั้งสี่ และจดหมายของนักบุญเปาโล รวมถึงพันธสัญาใหม่ในทั้งหมด มีต้นกำเนิดแหล่งข้อมูล หลักฐานพิสูจน์จริง ซึ่งเชื่อถือได้ในชีวิตของพระเยซูเจ้า คำว่า Gospel มาจาก
ภาษากรีก euangelion (evangelium ในภาษาลาติน) เป็นคำที่รู้จักกันดี ความหมายคือ "authoritative message สารที่เชื่อถือไว้ใจได้ " หลังจากนั้นได้เรียนรู้ มีความหมายว่า การพูดถึง "Good news ข่าวดี"

อย่างไรกะตาม พระวารสารมีความสำคัญ ในความทรงจำนั้นคือ พระวารสาร ไม่ใช่ชีวประวัติ แต่เป็นการตะหนักเข้าใจรับรู้แบบใหม่ เป็นหนังสือรับรองของศาสนา ในด้านแรงบันดาลใจ ในความศรัทธา นักเขียนในสมัยโบราณ,ประวัติศาสตร์ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เขียนตามลำดับเหตุการณ์ แต่คือเตรียมการจัดการในข้อเท็จริงเป็นเครื่องมือสื่อกลางสำหรับ ความรู้ คำแนะนำ การสอน

ไม่ได้มีวัตถุประสงค์การอธิบายที่แสดงการพัฒนาหรือวิวัฒนาการตามลำดับเวลา เช่น ภาษา หรือสังคม พวกเขาสอนในหลักปรัชญา(หลักแห่งความรู้และความจริงของชีวิต)หรือคุณค่าของการสอนใจเกี่ยวกับความรู้สึกผิดชอบชั่วดี

เกี่ยวกับผู้เขียนคัมภีร์ศาสนาไม่ได้เขียนเกี่ยวข้องกับการเตรียมการในอัตชีวประวัติของพระเยซูเจ้าตามลำดับเหตุการณ์ แต่ เกี่ยวกับหลักเทววิทยา มีการถกเถียงเรื่องให้ความสำคัญ ตามลำดับของเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุด 1 ในผู้นำพระศาสนาจักร แรกเริ่ม Bishop Papias of Hierapolis (ในตุรกีปัจจุบัน)ในจดหมายเหตุ ตอนต้นของศตวรรษที่ 1 ของปีคริสตกาล นั้นคือ Mark นักบุณมะโรโก เขียนได้เที่ยงตรงแม่นยำ ในสิ่งที่นักบุณMark มะระโก ในความทรงจำที่(พระเจ้า คือ พระเยซูเจ้าพระบุตรคนที่สองในสภาวะมนุษย์ พระบุตรคนที่ สามคือพระจิตที่อยู่กับพี่น้องที่เป็นคริสเตียน สามรวมเป็ฯหนึ่งเดียว)"ตรัส และทรงปฎิบัติภาระกิจ หรือไม่ทรงบัญชา แต่งตั้ง มอบอำนาจ "

การเขียนGospel ได้แพร่หลายออกไปไกลแค่ใหน จากประวัติศาสตร์ของพระเยซูเจ้า ในไบเบิ้ลส่วนมาก นักวิจัย ยอมรับ ผู้เขียนคัมภีร์คริสต์ศาสนา ไม่ใช่ผู้เห็ฯเหตุการณ์แม้ว่าพวกเข้าได้อธิบาย พระวารสารเก่าแก่ที่สุด ในพันธสัญญาใหม่ของนักบุญมะระโก เชื่อว่า เขียนเมือ 40 ปีมาแล้วหลังจากพระเยซูเจ้าทรงสิ้นพระชมน์ถูกตรึงบนไม้กางเขน ดังนั้น ข้อเท็จจริงของพระวารสาร น่าเชื่อถือและเป็นจริงได้ จากการอ้างอิงจากประวัติและขนมธรรมเนียมถ่ายทอดสู่รุ่นต่อไปโดยเล่าปากเปล่า เกี่ยวกับพระเยซูเจ้า ในการเขียน การตีความคือตลอดทั้งหมดเป็นมิติทางด้าน เทววิทยา ของทั้งหมด บางทีกำเนิดขึ้นมาจากการอยู่โดดเดี่ยวภาวะความยากลำบากของอัครสาวก (โดยไม่มีพระเยซูเจ้า หลังจากพระองค์สิ้นพระชมน์และกลับคืนชีพ อยู่กับพวกเขา 40 วัน และพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์)

นักวิจัยเชื่อว่า นั้นคือ ต้นฉบับของข้อมูลข้อเท็จจริงอย่างครอบคลุม ของทั้งหมด และ น่าจะ รวมถึง การบอกกล่าว,การอุปมาอุปมัย,เรื่องอัศจรรย์,ประวัติเล็กๆน้อยๆ และเรื่องอื่นๆเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า

ผู้เขียนคัมภีร์คริสศาสนาที่อยู่ในภาวะยากลำบากเหล่านั้น ชุมนุมรวมกลุ่มกัน รวบรวม ข้อมูล ความรู้ เข้าไปในของความเป็นหนึ่งเดียว และยึดติดกันในด้านเหตุผลเทววิทยา

บางอย่างที่แตกต่างของสภาวะที่ยากลำบาก ความรอดของพวกเขาเหล่านั้นทำงาน ซึ่งอธิบายว่าทำไม พระวารสาร แตกต่างกัน ในลายละเอียดเฉพาะ ของชีวิตพระเยซูเจ้า

ความไม่สอดคล้องกันของพระวารสารทั้งสี่เหล่านั้น แต่ ผู้มีทักษะเชี่ยวชาญเชื่อว่า นั้นคือ งานเขียนของพวกเขาเหล่านั้นมีอิทธพลจาก ความเป็ฯศตรูระหว่างชาวยิว และ โรมัน หลังจากการเกิดขึ้นอย่างรุนแรงและทันทีทันใด ในการก่อกบฎของชาวยิว ในปีที่ 66 ของคริสตกาล และพระวิหารThe Second Temple ถูกทำลายในปี 70 ของคริสตกาล พระวารสารน่าจะ ให้ความช่วยเหลือ ชุมชนพี่น้องคริสเตียนที่ห่างไกลหรือผู้ที่เริ่มเชื่อใหม่ ซึ่งรวมถึงพี่น้องชาวยิว ที่ติดตามพระเยซูเจ้า จาก Jewish Zealot ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อย นั้นคือ ก่อให้เกิดการใช้เวลาความพยายามทำสงครามต่อต้านโรมัน ถ้านี้คือความจริง ต่อจากนั้น ผู้เขียน นักบุญมัทธิว น่าจะเขียน พระวาราสารด้วยเช่นกันไม่มากก็น้อย ระหว่างหลังจาก สงครามยิวช่วงสุดท้าย จนกระทั้งในปี ที่ 70 ของคริสตกาล

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 10 พฤษภาคม 2551 เวลา:8:38:08 น.  

 
12 Apostles

การตีความที่ช่วยเหลือพี่น้องคริสเตียน แม้ว่าพระวารสารของนักบุญลูกา และนักบุณมัทธิ เกี่ยวกับการพินิจวิเคราะห์ แยกแยะ ที่แสดงให้เห็ฯนั้นคือ นักบุณลูกาและนักบุณมัทธิว ทั้งสอง ส่วนหนึ่งกำเนิดมาจาก การบรรยายลำดับเหตุการณ์พระวารสารของนักบุญมะระโก ข้อเท็จริงนี้หมายความว่า ผู้เขียนพระคัมภีร์ในศาสนาคริส นักบุญลูกา และนักบุณมัทธิว คือความมีประสิทธิภาพ หลังจาก พระวารสารของนักบุญมะระโก เข้าไปรวมกันอีกอย่างกว้างขึ้นของการแพร่หลาย เป็นไปได้ระหว่างปี ที่ 70 ของคริสตกาล และปีที่ 90 เกี่ยวกับธรรมเนียมประเพณีพี่น้องคริสเตียน ผู้เขียนนักบุญลูกา อยู่ในกิจการอัครสาวก ซึ่งเชื่อถือได้ และแน่ใจว่าได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง นักบุณมัทธิว เขียนจริงๆแล้วประมาณ ปี ที่ 80-90 ของคริสตกาล นักวิจัยหลายๆคนเชื่อเช่นนั้น

คำสั่งสอนสำหรับบรรดาอัครสาวก
พระเยซูเจ้าทรงส่งอัครสาวกสิบสองคน

มัทธิว 10:2-4
2 อัครสาวกสิบสองคนมีนามดังนี้ คนแรกคือซีโมน ผู้มีสมญานามว่าเปโตร กับอันรูน้องชายของเขา ผยากอบบุตรของเศเบดีกับยอร์นน้องชาย
3 ฟิลิปและบาร์โธโลมิว โธมัสและมัทธิวคนเก็บภาษี ยากอบบุตรอัลเฟอัส และธัดเดอัส
4 ซีโมนจากลุ่มชาตินิยม และยูดาส อิสคาริโอท ต่อมายูดาสผู้นี้เป็ฯผู้ทรยศพระองค์

คาทอลิกใช้ New Jersulam Bible //www.catholic.org/bible
Matthew 10:2-4
2 These are the names of the twelve apostles: first, Simon who is known as Peter, and his brother Andrew; James the son of Zebedee, and his brother John;
3 Philip and Bartholomew; Thomas, and Matthew the tax collector; James the son of Alphaeus, and Thaddaeus;
4 Simon the Zealot and Judas Iscariot, who was also his betrayer.

อธิบายถึง อัครสาวก 12คน แม้ว่าไม่เหมือนในพระวารสารของนักบุณมะระโกMark (Mark 3:13-14)

พระเยซูเจ้าทรงแต่งตั้งอัครสาวก 12 คน
มะระโก 3:13-14
13 พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปบนภูเขาทรงเรียกผู้ที่พระองค์ทรงต้องการให้มาพบ เขาเหล่านั้นก็มาเฝ้าพระองค์
14 พระองค์จึงทรงแต่งตั้งอัครสาวกสิบสองคนให้อยู่กับพระองค์และเพื่อจะส่งเขาออกไปเทศน์สอน

เชิงอรรถ
ผู้นำใหม่ของประชากรที่รับเลือกสรรจะต้องมีจำนวนสิบสองคน เช่นเดียวกับจำนวนเผ่าของอิสราเอล จำนวนนี้ต้องรักษาไว้ให้ครบหลังจากที่ยูดาสได้ทรยศไปแล้ว (กจ 1:26)เพื่อให้คงอยู่ตลอดไปในสวรรค์ด้วย (มธ 19:28 ;วว 21:12-14 เชิงอรรถ J)
Mark 3:13-14
13 He now went up onto the mountain and summoned those he wanted. So they came to him
14 and he appointed twelve; they were to be his companions and to be sent out to proclaim the message,

ของนักบุญมัทธิว ไม่มีการดำเนินในเรื่องของพระเยซูเจ้าเลือกอัครสาวก 12 คน นักบุณมัทธิว แสดงถึงกลุ่มที่ผู้อ่านรู้จัก แรกเริ่มในพันธสัญญาใหม่เนื้อหา
1 โครินทธ์ Cor 15:5
บรรดาผู้ตายจะกลับคืนชีพ
ข้อเท็จจริงของการกลับคืนชีพ
5 และทรงแสดงพระองค์แก่เคฟาส แล้วจึงทรงแสดงพระองค์แก่อัครสาวกสิบสองคน
5 and that he appeared to Cephas; and later to the Twelve;

ตัวเลข 12 บาวทีหมายถึง การเรียกอีกครั้ง ของพี่น้องสิบสองตะกูลเผ่าของประชาชาติอิสราเอล และ แสดงนัยะ พระเยซูเจ้าทรงเรียกประชาชาติอิสราเอล เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า

ขณะที่ ลูกาLuke (Luke 6:13)


พระเยซูเจ้าทรงเลือกสาวกสิบสองคน
13 ครั้นถึงรุ่งเช้า พระองค์ทรงเรียกบรรดาศิษย์เข้ามาแล้วทรงเลือกไว้สิบสองนประทานนามว่า "อัครสาวก"
13 When day came he summoned his disciples and picked out twelve of them; he called
ภาษากรีก Apostolos แปลว่า "ผู้ถูกส่งไป"


และ มะระโก Mark (Mark 4:10, 34)
เหตุผลที่พระเยซูเจ้าตรัสอุปมา
10 เมื่อประชาชนจากไปแล้ว อัครสาวกสิบสองคนกับผู้ที่อยู่รอบๆพระองค์ทูลถามเรื่องอุปมา
การใช้อุปมา
34 พระองค์มิได้ตรัสกับเขาโดยไม่ใช่อุปมา แต่เมื่อทรงอยู่เฉพาะกับบรรดาศิษย์ก็ทรงอธิบายทุกเรื่องให้กับเขาเหล่านั้น
10 When he was alone, the Twelve, together with the others who formed his company, asked what the parables meant.
34 He would not speak to them except in parables, but he explained everything to his disciples when they were by themselves.

ความแยกแยะระหว่าง อัครสาวก 12 คน และ ความใหญ่โตของกลุ่มที่ติดตามในวาระที่พระเยซูเจ้าทรงมีชีวิตอยู่ นักบุญมัทธิว ผู้รับใช้ระบุ พระองค์ให้อัครสาวก มีอำนาจ .....รักษาคนเจ็บป่วย และร่วมมือร่วมใจบำเพ็ญกิจต่างๆ ตามหน้าที่ให้สอดคล้องและเกื้อกูลกันและกัน เพื่อประโยชน์ส่วนรวม และเหมือนพระเยซู ดู

มัทธิว Matthew 4:23; Matthew 9:35; 10:8.

พระเยซูทรงประกาศข่าวดีและทรงรักษาผู้เจ็บป่วย
23 พระองค์เสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลีทรงสั่งสอนในศาสาธรรม ทรงประกาศข่าวดี เรื่องพระอาณาจักร ทรงรักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิดของประชาชน
23 He went round the whole of Galilee teaching in their synagogues, proclaiming the good news of the kingdom and curing all kinds of disease and illness among the people
เชิงอรรถ
การรักษาโรคอย่างอัศจรรย์ เป็นเครื่องหมายเด่นชัดว่า ยุคของพระเมสิยาห์ได้เริ่มแล้ว (ดู 10:1,7 11:4)
ความทุกของประชาชน
มัทธิว Matthew 9:35
35 พระเยซูเจ้าเสด็จไปตามเมืองและตามหมู่บ้าน ทรงสั่งสอนในศาลาะรรมทรงประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักร ทรงรักษาโรค และความเจ็บไข้ทุกชนิด
พระเยซูเจ้าทรงส่งอัครสาวกสิบสองคน
35 Jesus made a tour through all the towns and villages, teaching in their synagogues, proclaiming the good news of the kingdom and curing all kinds of disease and all kinds of illness.
มัทธิวMatthew 10:8.
8 จงรักษาคนเจ็บไข้ จงปลุกคนตายให้กลับคืนชีพ จงรักษาคนโรคเรื้อนให้สะเอาด จงขับไล่ปีศาจให้ออกไป ท่านได้รับมาโดยไม่เสียค่าตอบแทนก็จงให้เขาโดยไม่รับค่าตอบแทนด้วย
8 Cure the sick, raise the dead, cleanse those suffering from virulent skin-diseases, drive out devils. You received without charge, give without charge.

อัครสาวกประกาศอาณาจักรของพระเจ้า(Matthew 10:7).
มัทธิว 10:7
7 จงไปประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว
7 And as you go, proclaim that the kingdom of Heaven is close at hand.
พระเยซูเจ้าทรงประกาศข่าวดี ดูมัทธิว (Matthew 4:23; 7:28; 9:35), อัครสาวกยังไม่ได้ประกาศข่าวดีและสอน หลังจากอัครสาวกได้รับอำนาจจากพระจิตเจ้าหลังจากพระเยซูเจ้าทรงสิ้นพระชมน์และทรงฟื้นคืนชีพ พวกเขาออกไปประกาศข่าวดี มัทธิว 28:16-20 (Matthew 28:20)

พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์ในแคว้นกาลิลี ทรงส่งบรรดาอัครสาวกไปทั่วโลก

16บรรดาศิษย์ทั้งสิบเอ็ดคนได้ไปยังแคว้นกาลิลี ถึงภูเขาที่พระเยซูเจ้าทรงกำหนดไว้
17 เมื่อเขาเห็ฯพระองค์ก็กราบนมัสการ แต่บางคนยังสงสัยอยู่
18พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาใกล้ตรัสแต่เขาเหล่านั้นว่า "พระเจ้าทรงมอบอำนาจอาชญาสิทธิ์ทั้งหมดในสวรรค์และบนแผ่นดินให้แก่เรา
19เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจไปสั่งสอนนานาชาติให้มาเป็ฯศิษย์ของเรา ทำพิธีล้างบาปให้เขาเดชะพระนาม พระบิดา พระบุตร และพระจิต
20จงสอนเขาให้ปฎิบัติตามคำสั่งทุกข้อที่เราให้แก่ท่าน แล้วจงรู้เถิดว่าเราอยู่กับท่านทุกวันตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ

16 Meanwhile the eleven disciples set out for Galilee, to the mountain where Jesus had arranged to meet them.
17 When they saw him they fell down before him, though some hesitated.
18 Jesus came up and spoke to them. He said, 'All authority in heaven and on earth has been given to me.
19 Go, therefore, make disciples of all nations; baptise them in the name of the Father and of the Son and of the Holy Spirit,
20 and teach them to observe all the commands I gave you. And look, I am with you always; yes, to the end of time.'
คุณลักษณะของนักเขียนชาวยิว ในด้านเทววิทยาที่เห็ฯเด่นชัดบ่อยๆๆของรูปแบบในไบเบิ้ล คือ สนับสนุนช่วยให้จิตใจเข้มแข็งขึ้น และ เชื่อถือไว้วางใจ มันเป็นไปได้ที่ นักเขียนตกแต่งต้นฉบับเดิม หรือ รวบรวมใหม่ เข้ากับ พระวารสารนักบุญมัทธิว
เพราะความเหมือนลักษณะคล้ายกันของนักบุญลูกา และนักบุญมัทธิว และนักบุญมะระโก ได้ชื่อว่า synoptic Gospels (พระวารสาร "สหทรรศน์") เกี่ยวกับใจความสำคัญ ของพระวารสาร (ภาษากรีก sunoptikos ความหมายคือ "Seen together เห็ฯ,เข้าใจ,รับรู้ ร่วมกัน " (Synoptic แปลว่ามองพร้อมกันครั้งเดียว)

งานเขียนของพระวารสารทั้งสามที่วิเศษไม่ธรรมดา แตกต่างจากพระวารสารที่สี่
และท้ายสุดของพระวารสาร ของพี่น้องคริสเตียนที่ยอมรับ โดยผู้เขียนที่รู้จักกันดีคือ นักบุญยอร์น พระวารสารของนักบุญยอร์นแสดงถึงบทบาทของพระเยซูในด้านโครงสร้างเทววิทยาขั้นสูง เป็นลักษณะของบทความยืดยาวที่บทพูดคนเดียวที่พูดโดยพระเยซู นักวิจัยให้ความเห็นว่าพระวารสารของนักบุญยอร์นแสดงแนวโน้มบทบาทของพระเยซู ใกล้ๆๆสิ้นสุดในศตวรรษที่ 1 ของคริสตกาล อย่างไรกะตาม เนื้อหาใจความสาระ ของนักบุญยอร์นไม่ปรากฎ ใจความสำคัญของพระวารสาร ซึ่งแน่ใจว่า นักบุญยอร์น ใช้ต้นกำเนิด สัญลักษณ์หรือเครื่องหมายที่รับรองว่าเป็นเรื่อง เกี่ยวกับพระเยซูเจ้า ซึ่งไม่มีนักเขียนพระคัมภีร์ศาสนาคริสคนใหนเขียนเข้าไป
Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 10 พฤษภาคม 2551 เวลา:9:57:22 น.  

 
Jesus'Birth and Childhood
Gabriel's Message


พระวารสารของนักบุญมัทธิว และนักบุญลูกา แต่ละเล่มได้เตรียมการที่แตกต่างกันใน เรื่องราวการประสูติของพระเยซูเจ้า นักบุญลูกาบอกกล่าว นั้นคือพระแม่มารีย์ Mary ผู้หญิงยังสาว
ทูตสวรรค์แจ้งข่าวการประสูติของพระเยซูเจ้า
ลูกา Luke 1:26-27

26เมื่อนางเอลีซาเบธตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์กาเบรียลมายังเมืองหนึ่งในแคว้นกาลิลีชื่อเมืองนาซาเร็ธ
27มาพบหญิงพรหมจารีคนหนึ่งซึ่งหมั้นอยู่กับชายชื่อโยเซฟ ในราชวงศ์ของกษัตริย์ดาวิด หญิงพรหมจารีผู้นั้นชื่อมารีย์

Luke 1:26-38
26
10 In the sixth month, the angel Gabriel was sent from God to a town of Galilee called Nazareth,
27
to a virgin betrothed to a man named Joseph, of the house of David, and the virgin's name was Mary.
28
And coming to her, he said, "Hail, favored one! The Lord is with you."
เป็ฯการประกาศ พระนางมารีย์ให้กำเนิดพระเยซูเจ้าเปรียบเทียบกับ เศคารียาห์พ่อของนักบุญยอร์น เด๊อะแปบติส ในทั้งสองทูตสวรรค์กาเบียล มาปรกฎกับครอบครัวซึ่งเป็นปัญหาของนิมิตการรู้ล่วงหน้าดู (Luke 1:11-12, 26-29) และบอกทูตสวรรค์บอกว่าไม่ต้องกลัว และ (Luke 1:13, 30) หลังจากประกาศทำให้ (Luke 1:14-17, 31-33) และครอบครัวทำตามพระประสงค์ (Luke 1:18, 34) และเป็นเครื่องหมายสัญญาลักษณ์ของการประกาศ (Luke 1:20, 36).เป็นจุดสำคัญพิเศษในคุณลักษณะพิเศษของการประสูติพระเยซูเจ้า ในอัตลักษณ์บุตรของกษัตริย์ดาวิด (Luke 1:32-33)และบุตรของพระเจ้า (Luke 1:32, 35).


ในพระวารสารของนักบุญยอร์น ได้เปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน กล่าวถึง โยเซฟ มาจาก นาซาเร็ท
ยอร์น John1:45

45 ฟิลิปพบนาธานาเอล และบอกเขาว่า "เราพบโมเสสและบรรดาประกาศกเขียนไว้ในพระคัมภีร์แล้ว ผู้นั้นคือ พระเยซู บุตรของโยเซฟ ชาวนาซาเร็ธ
45 Philip found Nathanael and said to him, 'We have found him of whom Moses in the Law and the prophets wrote, Jesus son of Joseph, from Nazareth.'

เชิงอรรถ นาธานาเอลอาจเป็นคนเดียวกันกับบารโธโลมิวในพระวราสารสหทรรศน์ (มธ 10:3 เทียบ ยน 21:2)
นักบุญลูกาอธิบาย ทูตสวรรค์กาเบียล ปรากฎแก่พระแม่มารีย์บอกพระนาง

นั้นคือ ลูกา Luke 1:31
31ท่านจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ท่านจะตั้งชื่อเขาว่าเยซู
31
Behold, you will conceive in your womb and bear a son, and you shall name him Jesus.

นี้คือตอนที่เกี่ยวกับพระคัมภีร์ขนบธรรมเนียมหรือประเพณีที่มีมาก่อน เกี่ยวกับการพยากรณ์ ในพันธสัญญา นั้นคือ ผู้หญิงจะให้กำเนิดเด็กผู้ชาย และในเคสของภารยาอับราฮัม นางซาร่าห์ และแม่ของประกาศกซามูเอล นาง ฮานนาHannah. พระนามว่า เยซู Jesus หรือ Yeshua ในภาษาอาราเมอิก คำย่อของ Yehoshuah ความหมายคือ "YHWH" แปลว่า ความรอด

เมื่อพระแม่มารีย์ยืนยัน นั้นคือพระแม่มารีย์ ยังคงความบริสุทธิ์"vergin"ทูตสวรรค์กาเบียล ยืนยันกับพระแม่มารีย์ว่า Luka 1:34-37
34พระนางมารีย์จึงถามทูตสวรรค์ว่า "เหตุการณ์นี้จะเป็นไปได้อย่างไรเพราะข้าพเจ้าตั้งใจจะเป็นพรหมจารี?"

35ทูตสวรรค์ตอบว่า "พระจิตเจ้าจะเสด็จลงมาเหนือท่านและพระอานุภาพของพระผู้สูงสุดจะแผ่เงาปกคลุมท่าน เพราะฉะนั้น บุตรที่เกิดมาจะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์และจะรับนามว่าบุตรของพระเจ้า

36ดูซิ! เอลีซาเบธ ญาติของท่าน ทั้งๆที่ชราแล้ว ก็กำลังตั้งครรภ์บุตรชาย ใครๆคิดว่านางเป็นหมัน แต่นางก็ตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว

37เพราะไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำไม่ได้"
34
But Mary said to the angel, "How can this be, since I have no relations with a man?" 12
35
And the angel said to her in reply, "The holy Spirit will come upon you, and the power of the Most High will overshadow you. Therefore the child to be born will be called holy, the Son of God.
36
And behold, Elizabeth, your relative, has also conceived 13 a son in her old age, and this is the sixth month for her who was called barren;
37
for nothing will be impossible for God."


คำพูดเหล่านั้นเตือนให้ระลึกถึง ทูตสวรรค์ ตอบ นางซาร่าห์และอับราฮัม ในปฐมกาล เมื่อ ประกาศถึงการเกิดของ อิสอัก Isaac Genesis 18:4
14 มีสิ่งใดที่ยากเกินไปสำหรับพระยาห์เวห์หรือ เมื่อถึงเวลากำหนดเราจะกลับมาหาท่านในปีหน้า และนางซาร่าห์จะมีบุตรชายคนหนึ่ง
14 Nothing is impossible for Yahweh. I shall come back to you at the same time next year and Sarah will have a son."
ในพระวารสารของนักบุญมัทธิว โดยการเปรียเทียบ ทูตสวรรค์ปรากฎแก่โยเซฟ มัทธิว Mattew 1:18-20
โยเซฟรับพระเยซูเจ้าเป็นบุตรบุญธรรม
18 เรื่องราวการประสูติของพระเยซูคริสตเจ้าเป็ฯดังนี้ พระนางมารีย์ พระมารดาของพระองค์หมั้นกับโยเซฟ แต่ก่อนที่ท่านทั้งสองจะครองชีวิตร่วมกันปรากฎว่าพระนางตั้งครรภ์แล้วเดชะพระจิตเจ้า
19 โยเซฟคู่หมั้นของพระนางเป็นผู้ชอบธรรมไม่ต้องการฟ้องหย่าพระนางอย่างเปิดเผย จึงคิดถอน หมั้นอย่างเงียบๆ
20 ขณะที่โยเซฟกำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็ฯเจ้า ก็มาเข้าฝัน กล่าวว่า "โยเซฟ โอรสกษัตริย์ดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็ฯภารยาของท่านเลย เพราะเด็กที่ปฎิสนธิในครรภ์ของพระนางนั้นมาจากพระจิตเจ้า
เชิงอรรถ : การหมั้นตามธรรมเนียมชาวยิวมีผลทำให้คู่หมั้นฝ่ายชายเรียกได้ว่าเป็ฯ"สามี" และจะพ้นจากพันธะนี้ได้ ก็โดยการฟ้องหย่าเท่านั้น (ข้อ 19)

แปลตรงตัวว่า "ส่งเธอกลับไปอย่างเงียบๆ" อาจเป็ฯเพราะว่าโยเซฟเป็นผู้ชอบธรรม และไม่ต้องการรับบุตรของชายที่เขาไม่รู้จักมาเป็ฯบุตรของตน หรืออธิบายได้อีกอย่างหนึ่งว่า เขาไม่ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปของพิธีแต่งงาน เพราะมีความเคารพต่อธรรมล้ำลึกที่พระนางมาย์เป็ฯพระมารดาของพระเมสิยาห์ จึงต้องได้รับคำแนะนำจากทูตสวรรค์ว่าพระเจ้าปรารถนาให้เขารับพระนางมาเป็ฯภารยา

18 This is how Jesus Christ came to be born. His mother Mary was betrothed to Joseph; but before they came to live together she was found to be with child through the Holy Spirit.

19 Her husband Joseph, being an upright man and wanting to spare her disgrace, decided to divorce her informally.

20 He had made up his mind to do this when suddenly the angel of the Lord appeared to him in a dream and said, 'Joseph son of David, do not be afraid to take Mary home as your wife, because she has conceived what is in her by the Holy Spirit

เกี่ยวกับพระวารสารของนักบุญมัทธิว เกี่ยวเนื่องกับพระคัมภีร์พันธสัญญาเก่าที่มีอยู่ก่อน ของพระเยซูเจ้า ตามความบรรลุเป้าหมายตามพระประสงค์
พระสัญญายิ่งใหญ่ว่า อิมมานูเอลจะบังเกิดจากหญิงพรหมจารีคนหนึ่ง อิสยาห์ Isaiah 7:14
7:14 เพราะฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานหมายสำคัญเอง ดูเถิด หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่าอิมมานูเอล
7:14 Therefore the Lord himself will give you a
sign: behold, a virgin shall conceive, and bear a
son, and shall call his name Immanuel.
สัญญาลักษณ์เสนอแผนการถึง อิสยาห์ มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับการปกปักรักษาคุ้มครองอาณาจักรยูดาห์ ในท่ามกลางความยุ่งยาก(ดูอิสยาห์ 15-17cf Isaiah 7:15, 177)แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพระประสงค์ความพอใจของพระเจ้า พระองค์ทรงสัญญากับดาวิด (ดู 2 ซามูเอล 7:12-16 2 Sam 7:12-16)เอมมานูเอลกำลังจะมา เอมานูเอลความหมาย (meaning, "With us is God")และในนามธรรมของ กษัตริย์ (ดู อิสยาห์ 9-5-6, 11:1-5 Isaiah 9:5-6; 11:1-5) พระศาสนจักร เข้าใจ (คำอธิบาย, ความหมาย)ของSaintมัทธิว อยู่เสมอ ในความเป็นจริงาโลกนะ เหนือธรรมชาติ ตามความพระประสงค์ ในพระวารสาร ในพระเยซูคริส และพระแม่มารีย์


นักบุญมัทธิว อธิบายเรื่องความฝันของนักบุญโยเซฟอีกครั้งในคำพยากรณ์

ในอนาคต เน้นย้ำ ความสัมพันธ์ระหว่าง คำพยากรณ์นั้นกับพระเยซูเจ้า มัทธิว Matthew 1:23

23 "หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชาย ซึ่งจะได้รับนามว่า "อิมานูเอล" แปลว่า พระเจ้าสถิตกับเรา"
23 Look! the virgin is with child and will give birth to a son whom they will call Immanuel,
*[Is 7:14] a name which means 'God-is-with-us'.
พระเจ้าสถิตกับเรา God is with us: พระเป็นเจ้าทรงสัญญาการปลดปล่อยชาวยูดาห์ในอิสราเอลให้เป็นอิสระ ในเวลาที่ปรากฎโดยนักบุณมัทธิว ตามความพระประสงค์คือการประสูติของพระเยซูเจ้า ในที่ซึ่งพระเจ้ากับประชากรของพระองค์ ชื่อ เอมมานูเอลEmmanuel หมายถึง วัตถุประสงค์ของพระวารสาร ที่ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชมน์ชีพ เป็ฯการยืนยัน อธิบายว่าพระองค์ทรงดำเนินปรากฎอยู่ " I am with you always, until the end of the age"แล้วจงรู้เถิดว่าเราอยู่กับท่านทุกวันตลอด ไปตราบจนสิ้นพิภพ (มัทธิว Matthew 28:20).

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 10 พฤษภาคม 2551 เวลา:19:48:08 น.  

 
Location of Jesus'Birth
Oh Little Town of Bethlehem - Virtual Tour

นักบุญยอแซฟและพระแม่มารีอา อยู่ที่เมืองนาซาเร็จ พระเยซูเจ้าเกิดที่เมืองเบชเลเฮมแคว้นยูเดีย เพราะ ซีซาห์มีคำสั่งให้ มีการสำรวจสัมโนครัวประชากร ลูกา Luke2:4
4 โยเซฟออกเดินทางจากเมืองนาซาเร็ธในแคว้นกาลิลีไปยังเมืองของกษัตริย์ดาวิด ชื่อเบชเลเฮมในแคว้นยูเดีย เพราะโยเซฟสืบเชื้อสายมาจากราชวงค์กษัตริย์ดาวิด
4
And Joseph too went up from Galilee from the town of Nazareth to Judea, to the city of David that is called Bethlehem, because he was of the house and family of David,

ธรรมเนียมประเพณีพี่น้องคริสเตียน โดยธรรมชาติสถานที่พระเยซูเจ้าทรงประสูติ ในปีแรก(Common era the time period beginning with the supposed year of Christ's birth [syn: {Christian era}, {Common era}) แต่ลายละเอียด พระวารสารชวนให้คิดอีกอย่างหนึ่ง เกี่ยวกับพระวารสารทั้งสองของนักบุญมัทธิว และนักบุญลูกา พระเยซูเจ้าทรงประสูติระหว่างการครองราชย์การปกครองของ Herod the Great ซึ่งระบุไว้ ไม่ในภายหลังไม่เกิน ปีที่ 4 ก่อนคริสตกาล ปีที่ Herod สิ้นพระชนม์ นักบุญลูกา ระบุไว้
คาทอลิกใช้ New Jersulam Bible //www.catholic.org/bible
ลูกา Luke 2:1-2
การประสูติของพระเยซูเจ้า
1 ครั้งนั้น พระจักรพรรดิออกัสตัสทรงออกพระราชกฤษฎีกาให้มีการสำรวจสำมะโนประชากรทั่วจักรวรรดิโรมัน
2 การสำรวจสำมะโนประชากรครั้งแรกนี้มีขึ้นเมื่อคีรีนิอัสเป็นผู้ว่าราชการแคว้นซีเรีย
2 Now it happened that at this time Caesar Augustus issued a decree that a census should be made of the whole inhabited world.
2 This census-the first-took place while Quirinius was governor of Syria,
3 and everyone went to be registered, each to his own town.

รัฐบาลเคยทำการสำรวจสัมโนครัวประชากร คือ Publius Sulpicius Quirinius ผู้ซึ่งเป็ฯผู้ว่าราชการซีเรีย แต่ Quiriniusปกครอง ในปีที่6-12 ของคริสตกาล หลังจากHerodสิ้นพระชมน์ จากนั้น ไม่มีคำสั่ง Sulpicius Quirinus รายงานการสำรวจประชากรอีก

นักบุญมัทธิวระบุการประสูติของพระเยซูเจ้า การคาดหมายโดย ดวงดาวที่สุกใสสว่างไสวปรากฎขึ้น มัทธิว Matthew 2:2
โหราจารย์มาเฝ้าพระกุมาร

2สืบถามว่า"กษัตริย์ชาวยิวที่เพิ่งประสูติอยู่ที่ใด พวกเราได้เห็ฯดาวประจำพระองค์ขึ้นจึงพร้อมใจกันมาเพื่อนมัสการพระองค์"
2 asking, 'Where is the infant king of the Jews? We saw his star as it rose and have come to do him homage.'
ในอนาคตพวกเขาชาวอิสราเอลไม่ยอมรับพระเยซูเจ้า และพระองค์ได้รับการยอมรับจากเกี่ยวกับGentilesคนที่ไม่ใช่ยิว,เป็นคริสเตียน (ซึ่งแตกต่างจากยิว)และร่วมมือกับพระองค์ ในเหตุการณ์นี้
ในการครองราชย์ของHerod จากปีที่ 37-4 ในปีคริสตกาล Magi คือชื่อโดยแรกเริ่มมาจาก Persian เป็ฯชนชั้นพระสมณะ magi เริ่มใช้เกี่ยวกับผู้ซึ่งควรให้แก่การเคารพในสิ่งที่พวกเขารู้มากกว่าคนทั่วไปรู้ ของนักบุญมัทธิว magi คือ โหราจารย์

เราเห็นดวงดาวWe saw his star:มันเป็นความเชื่อในสมัยโบราณนั้นคือดาวดวงใหม่ปรากฎในเวลาที่นักปกครองหรือกษัตริย์ทรงประสูติ นักบุญมัทธิวบรรยายดึงในพันธสัญญาเก่าเรื่องของ Balaam ผู้ซึ่งทำนายนั้นคือ"A star shall advance from Jacob ดาวดวงหนึ่ง กำลังขึ้นมาจากยาโคบ" (กันดารวิถี Numbers 24:17)
แม้ว่าดวงดาวเหล่านี้หมายถึง ไม่ใช่เกี่ยวกับปรากฎการดวงดาว แต่หมายถึงกษัตริย์ อิสยาห์ 14:12


ปรากฎการณ์ดวงดาวที่สุกสว่างในชั่วขณะเชื่อมโยงกับการเกิดขึ้นอย่างทันทีทันใดของการสังเกตการณ์ดวงดาว โดยนักดาราศาสตร์ชาวจีนในปีที่ 5 ก่อนคริสตกาล และกลุ่มอื่นๆความสะดุดตา การบังเกิดขึ้นพร้อมกันของโลก planet ดาวพฤหัสJupiter และ ดาวเสาร์ Saturn เกิดขึ้น 3 ครั้งในรอบปีเหมือนกัน ซึ่งเคยมองเห็นได้อย่างชัดเจน ด้วยตาเปล่า ซึ่งน่าสังเกตปรากฎการณ์บนท้องฟ้า ในปี 1603 นักดาราศาสตร์ Johannes Kepler คำนวนว่านั้นคือ เคยเกิดขึ้น ในปีที่ 7 ของคริสตกาล อ้างอิงจากข้อมูล มันเป็นเหตุผลยอมรับในศตวรรษที่ 1 ของปีคริสตกาล(ซึ่งหมายถึงปีที่พระเยซูเจ้าทรงประสูติ) ในความเป็นจริงพระเยซูเจ้าอายุประมาณ 4-6 ชันษา

พระวารสารของนักบุญมะระโก และนักบุญยอร์น เริ่มเรื่อง เมื่อพระเยซูเจ้าทรงโต ไม่มีการกล่าวถึงการแจ้ง พระเยซูเจ้าทรงประสูติ หรือ ตอนพระเยซูเจ้าทรงเยาว์วัย พระวารสารของนักบุญมะระโก กับของนักบุญยอร์นเปิดเรื่องด้วย มะระโก Mark 1:4
เหตุการ์ณก่อนที่พระเยซูเจ้าทรงเริ่มเทศนาสั่งสอน
4 เพื่อให้ข้อความนี้เป็นจริง ยอร์นจึงทรงทำพิธีล้างในถิ่นทุรกันดาร เทศน์สอนเรื่องพิธีล้าง ซึ่งแสดงการกลับใจเพื่อจะได้รับการอภัยบาป
4 John the Baptist was in the desert, proclaiming a baptism of repentance for the forgiveness of sins.
พระเยซูเจ้าไม่ปรากฎขึ้นนกระทั้งในบทที่ 1 ข้อที่ 9 มะระโก Mark 1:9
พระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้าง
9ครั้งนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จจากเมืองนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลี และทรงรับพิธีล้างจากยอร์นในแม่น้ำจอร์แดน
9 It was at this time that Jesus came from Nazareth in Galilee and was baptised in the Jordan by John.

เป็นวันที่พระเยซูเจ้าประสูติและเสด็จหนีออกจากเมืองไปหลบภัยที่อียิปต์

พระวารสารของนักบุญลูกา ระบุอย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า นักบุญยอโซฟและพระแม่มารีย์ เดินทางจากนาซาเร็จ ไปเบทเลเฮ็ม เพื่อลงชื่อในการสัมรวจสัมโนครัว ระหว่างในช่วงของ Sulpicius Quirtinius ลูกา Luke 2:3-4
เหตุผลสำหรับการเดินทางนี้ นักบุญลูกาได้อธิบาย นั้นคือ นักบุญยอโซฟสืบทอดราชวงค์เชื้อสายกษัตริย์ดาวิด ซึ่ง รากฐานมาจากเมืองเบชเลเฮ็ม นี้ข้อความสนับสนุนประวัติศาสตร์ของปัญหา อย่างไรกะตาม จุดประสงค์ของการสำรวจสัมโนครัวประชากรของโรมัน เพื่อเป็นกลไกของข้อมูล สำหรับเก็บภาษีท้องถิ่น ต่อจากนั้นประชากรกาลิลีซึ่งเคยเรียกร้องสถานที่อยู่อาศัยของตนให้ปรากฎออกมา แหล่งรวบรวมเก็บภาษีอยู่ที่ใหน สามารถตรวจสอบได้หรือไม่ ในทางตรงกันข้ามกับในสถานทีเกิดของพวกเขา หรือพี่น้องชุมชนเผ่า

นักบุญลูกา ระบุตำแหน่งพระเยซูเจ้าประสูติ ณ เมืองเบชเลเฮ็ม ซึ่งมีแรงบันดาลใจจาก ประกาศกมีคาร์ นั้นคือ มีคาร์ Micah 5:2-3
คำพยากรณ์เรื่องการบังเกิดของพระเยซูที่เบธเลเฮม
มีคาห์ 5:2-3

5:2 เบธเลเฮม เอฟราธาห์เอ๋ย แต่เจ้าผู้เป็นหน่วยเล็กในบรรดาคนยูดาห์ที่นับเป็นพันๆ จากเจ้าจะมีผู้หนึ่งออกมาเพื่อเรา เป็นผู้ที่จะปกครองในอิสราเอล ดั้งเดิมของท่านมาจากสมัยเก่า จากสมัยโบราณกาล
5:3 ดังนั้น พระองค์จะทรงมอบเขาไว้จนถึงเวลาที่หญิงผู้เจ็บครรภ์จะคลอดบุตร แล้วบรรดาพี่น้องที่เหลืออยู่จะกลับมายังคนอิสราเอล
5:2 But you, Bethlehem Ephrathah,
Being small among the clans of Judah,
Out of you one will come forth to me that is to be ruler in Israel;
Whose goings forth are from of old, from everlasting.
5:3 Therefore he will abandon them until the time that she who is in labor gives birth.
Then the rest of his brothers will return to the children of Israel.
ผู้หญิงผู้ซึ่งให้กำเนิ She who is to give birth: พระมารดาของพระเมสิอาห์ the mother of the Messiah; ดูอิสยาห์ Isaiah 7:14.

ในพันธสัญญาใหม่นักวิจัย Bruce Chilton ทำให้นึกถึง การให้เหตุผลของนักบุญลูกา เกี่ยวกับชาวกาลิลีในหมูบ้านที่เรียกว่า เบชเลเฮ็ม สถานที่ซึ่ง นักโบราณคดี กระบวนการขุดค้นหาวัตถุโบราณ (ในสถานที่ทางประวัติศาสตร์) พบ ตั้งอยู่ 7 ไมล็จาก เมือง นาซาเร็ท

เป็นวันที่พระเยซูเจ้าประสูติและเสด็จหนีออกจากเมืองไปหลบภัยที่อียิปต์
Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 12 พฤษภาคม 2551 เวลา:11:58:30 น.  

 
Mary Speaks Words of Wisdom - Let It Be


Jesus' Youth in Nazareth
เรารู้ว่าพระองค์เติบโตที่นาซาเร็ท ธรรมเนียมจารีตประเพณีที่นักบุญยอโซฟถืออยู่และนักบุญยอโซฟมีอาชีพเป็นช่างไม้ และพระเยซูเจ้าประสูติไม่ต้องสงสัยเลยว่าพระองค์ได้ฝึกฝนในงานช่างไม้ที่นักบุญยอโซฟสอน

แต่พระวารสารให้ความแตกต่างได้อย่างน่าประทับใจ หลายๆๆเรื่องสั้นที่สั่งสอนศีลธรรม อุปมาอุปมัย หรือสัญญาลักษณ์ เครื่องหมายของเรื่อง ในการเป็นพยานพิสูจน์ให้เห็น พระเยซูเจ้าทรงใกล้ชิดสนิทสนมคุ้นเคยกับการเกษตรกรรม และระมัดระวังวัฒนธรรมศิลปะแห่งการเพาะปลูก ในพื้นแผ่นดินกาลิลี

ในพระวารสารของนักบุญมะระโก พูดถึงพระเยซูเจ้ากับ หลักฐานและอำนาจ เกี่ยวกับสิ่งที่เห็นและเข้าใจ มะระโก Mark 4:3-9
คาทอลิกใช้New Jersulam Bible //www.catholic.org/bible
ขอยืมKjvไบเบิ้อะ

อุปมาเรื่องผู้หว่าน (มธ 13:1-23; ลก 8:4-15)
4:3 "จงฟัง ดูเถิด มีผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านพืช
4:4 และต่อมาเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง แล้วนกในอากาศก็มากินเสีย
4:5 บ้างก็ตกที่ซึ่งมีพื้นหิน มีเนื้อดินแต่น้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็วเพราะดินไม่ลึก
4:6 แต่เมื่อแดดจัด แดดก็แผดเผา และเพราะรากไม่มี จึงเหี่ยวไป
4:7 บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย จึงไม่เกิดผล
4:8 บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วงอกงามจำเริญขึ้น เกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง"
4:9 แล้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า "ใครมีหู จงฟังเถิด"
3 'Listen! Imagine a sower going out to sow.
4 Now it happened that, as he sowed, some of the seed fell on the edge of the path, and the birds came and ate it up.
5 Some seed fell on rocky ground where it found little soil and at once sprang up, because there was no depth of earth;
6 and when the sun came up it was scorched and, not having any roots, it withered away.
7 Some seed fell into thorns, and the thorns grew up and choked it, and it produced no crop.
8 And some seeds fell into rich soil, grew tall and strong, and produced a good crop; the yield was thirty, sixty, even a hundredfold.'
9 And he said, 'Anyone who has ears for listening should listen!'

สิ่งที่ได้จากการหล่อหลอม วิธีปัฎิบัติในสายตาและ เป็นการอุปมาอุปมัยของการหว่านพืช นั้นคือสิ่งที่ส่งผ่าน(ความคิด)ที่งอกงามสำหรับสามปีของต้นมะเดื่อ ของพระเยซูเจ้ามีวัฒถุประสงค์คือ ลูกา Luka 13:8-9

อุปมาเรื่องมะเดื่อเทศไร้ผล

คำอุปมาเกี่ยวกับต้นมะเดื่อที่ไร้ผล (อสย 5:1-7; มธ 21:18-20)
13:6 พระองค์ตรัสคำอุปมาต่อไปนี้ว่า "คนหนึ่งมีต้นมะเดื่อต้นหนึ่งปลูกไว้ในสวนองุ่นของตน และเขามาหาผลที่ต้นนั้นแต่ไม่พบ
13:7 เขาจึงว่าแก่คนที่รักษาสวนองุ่นว่า `ดูเถิด เรามาหาผลที่ต้นมะเดื่อนี้ได้สามปีแล้ว แต่ไม่พบ จงโค่นมันเสีย จะให้ดินรกไปเปล่าๆทำไม'
13:8 แต่ผู้รักษาสวนองุ่นตอบเขาว่า `นายเจ้าข้า ขอเอาไว้ปีนี้อีก ให้ข้าพเจ้าพรวนดินเอาปุ๋ยใส่
13:9 แล้วถ้ามันเกิดผลก็ดีอยู่ ถ้าไม่เกิดผล ภายหลังท่านจงโค่นมันเสีย'"
6 He told this parable, 'A man had a fig tree planted in his vineyard, and he came looking for fruit on it but found none.
7 He said to his vinedresser, "For three years now I have been coming to look for fruit on this fig tree and finding none. Cut it down: why should it be taking up the ground?"
8 "Sir," the man replied, "leave it one more year and give me time to dig round it and manure it:
9 it may bear fruit next year; if not, then you can cut it down." ' Healing of a crippled woman on the Sabbath

เหตุการณ์เรื่องต้นมะเดื่อเทศถูกสาปให้เหี่ยวเฉาใน มก 11:20-25 อาจทำให้เราคิดว่าพระเยซูเจ้าทรงเคร่งครัด แต่ลูกาใช้อุปมาเรื่องนี้เพื่อแสดงความเพียรอดทนของพระองค์มากกว่า

ตามที่เรียกกันว่า "ความสำนึกผิดเกรงกลัวต่อบาป repentance ใน ลูกา Luke 13:1-5, คือเหตุการณ์ที่ชวนให้กลับใจ ในเรื่องการอุปมาอุปมัยในเรื่องต้นมะเดื่อไม่ให้ผล แสดงถึงเรื่องราวอุปมาอุปมัยเกี่ยวกับ ความอดทน หักห้ามใจที่พระเป็นเจ้าให้เลือกที่ดำเนินต่อไปกับพวกเขาเหล่านั้นซึ่งไม่เคยแสดงให้เห็นว่าสำนึกผิดเกรงกลัวต่อบาป ดูลูกา Luke 3:8 จงประพฤติตนให้สมกับที่ได้กลับใจแล้วเถิด และอย่ามาอ้างว่า "เรามีอับราฮัมเป็นบิดา" ข้าพเจ้าบอกท่านทั้งหลายว่าพระเจ้าทรงบันดาลให้ก้อนหินเหล่านี้กลายเป็นลูกของอับราฮัมได้ 8 Produce fruit in keeping with repentance, and do not start telling yourselves, "We have Abraham as our father," because, I tell you, God can raise children for Abraham from these stones.เรื่องอุปมาอุปมัย หมายถึง ความล่าช้าของเวลาที่สิ้นสุดเมื่อการลงโทษจะมาถึง และมีความสำคัญมากในการเตรียมตัวสำหรับวันสิ้นสุดของอายุขัยเพราะ ความล่าช้าทำให้เราไม่รู้ถึงความสำนึกเกรงกลัวต่อบาปดูลูกา Luke 13:8-9

และ ความสำคัญที่เน้น นั้นคือ ความดีในหัวใจที่สร้างความดีให้เกิดขึ้น

พระเยซูเจ้าทรงเตือนผู้ฟัง นั้นคือ ลูกาLuke 6:44
44 เรารู้จักต้นไม้แต่ละต้นได้จากผลของต้นไม้นั้นเราย่อมไม่เก็บผลมะเดื่อเทศจากพงหนามหรือเก็บผลองุ่นจากกอหนาม
44 Every tree can be told by its own fruit: people do not pick figs from thorns, nor gather grapes from brambles.

คำเหล่านี้ในพระวารสารรังสรรค์จากความประทับใจ นั้นคือพระเยซูเจ้า(หรือพระเยซูเจ้าลูกช่างไม้นักบุญยอโซฟ)ชาวชนบทกาลิลี พระองค์เป็นมนุษย์ธรรดาซึ่ง ล้อมรอบไปด้วยพืชผลที่เก็บเกี่ยวและธรรมชาติตามฤดูกาล ค่อนข้างจะใช้ค้อนและเลื่อยไม้ ในวัฎจักรของชีวิตพระองค์ ในประวัติสาตร์Josephus สังเกตการณ์และออกความเห็น นั้นคือทุกๆๆคนในกาลิลีใช้ชีวิตในทางเดียวกันเกี่ยวพันกับในที่ดินกสิกรรมอย่างแท้จริง

ความเป็นตัวตน อย่างแท้จริงนี้ในหมู่บ้านเล็กๆๆนาซาเร็ท และเริ่มขึ้นในปี

1955 Franciscan นักโบราณคดี Bellarmino Bagatti หัวหน้าใน

โครงการ กระบวนการขุดค้นหาวัตถุโบราณ (ในสถานที่ทางประวัติศาสตร์)ข้างใต้โบส์ถ Annunciation in Nazareth traditionally the site associated with the grotto สถานที่ซึ่ง พระแม่มารีย์รับสารทูตสวรรค์กาเบียล พื้นที่นี้ได้แสดงปรากฎให้เห็นเรื่องราวโครงสร้างบนยอด ต่อกัน ที่เก่าแกที่สุด ของก่อนโบส์ถยิว น่าจะเป็นจริงว่า (โดยมีเหตุผล และหลักฐานสนับสนุน) สร้างโดย ชาวยิวที่เป็นคริสเตียน ในศตวรรษที่ 3 ของปีคริสตกาล ภายใต้โบส์ถ Bagatti พบยุ้งฉางข้าว น้ำมันโอลีฟ และพิสูจน์เป็นเครื่องยืนยันถึง การดำรงอยู่การมีชีวิตอยู่จริง ของเกษตกรของหมู่บ้าน ก่อนศตวรรษที่ 1-2 ของปีคริสตกาล

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 12 พฤษภาคม 2551 เวลา:19:44:06 น.  

 
Revolt in Galilee
Herod's kingdom divided

Source :www.livius.org

ทำไม อธิบายว่า นักบุญยอโซฟมีอาชีพเป็นช่างไม้ในพันธสัญญาใหม่ คำถามนี้พบได้ในประวัติศาสตร์ของศตววรษที่ 1 ของปีคริสตกาลในกาลิลี ตั้งแต่หลังจาก Herod the Great สิ้นพระชนม์ ในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงที่ยิ่งใหญ่ ชาวกาลิลีที่เป็ฯชาวนาลึกๆๆไม่พอใจ Herod ในเรื่องการเก็บภาษียุบยับ ระหว่างเทศกาลปัสกาPassover ใน เดือนเมษายน ในศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล สมาชิกชาวยิวไม่เห็นด้วยได้ จัดตั้งเป็นองค์กรต่อต้านในพระวิหารที่ลานหน้าอาคารพระวิหาร กลุ่มทหาร โรมัน ได้ระงับ ผู้ต่อต้านคัดค้านโจมตีอย่างรุนแรงด้วยหิน ทำให้แน่ชัดว่านั้นคือ การปฎิวัติส่วนมาก เพิ่มขึ้นที่ละน้อย และทำให้น่าวิตกในการปกป้องมรดกสมบัติของพระองค์ พระโอรสของHerodคือ Archelaus ส่งกองทัพโรมัน รวมถึงทหารม้า ผู้ซึ่งสังหารชาวยิวประมาณ 3000 คน ประชาชนส่วนมากคือผู้เห็นเหตุการณ์ คนมุงเป็ฯผู้บริสุทธิ์ แม้ว่าได้ส่งผลความสะเทือนใจอย่างรุนแรงไปทุกหนทุกแห่งของประเทศ

ขณะที่ Archelaus อยู่ในโรม ได้กล่าวอ้างตำแหน่งกษัตริย์ที่ได้แบ่งส่วนการปกครอง(Tetrachyการปกครองของโรมจังหวัดหรือมณทลหนึ่งแบ่งการปกครองเป็นสี่ส่วน อยู่ใต้บังคับบัญชา หรือขึ้นอยู่กับกษัตรยิ์ หรือผู้มีอำนาจสูงสุดของประเทศ)จากจักรพรรดิ์ ออร์กัสตัส Emperor Augustus,และผู้ซึ่งมีนามว่า Judah ก่อให้เกิดการยุยง การปฎิวัติในกาลิลี นำคนท้องถิ่นในเมืองหลวงของ Sepphoris และ จับกุมที่นั้น เกี่ยวกับJosephus โรมันตอบโต้โดยเข้าโจมตีปะทะ Sepphoris จับพวกคนพื้นเมืองไปเป็นทาส และเผาเมืองให้ราบเป็นหน้าดิน ต่อจากนั้นส่งกองทัพส่วนหนึ่งไปล้อมรอบประเทศข้างเคียง ตามค้นหาและโยนความผิดให้พวกปฎิวัติ การก่อกบฎปราบปราม แต่ชุมชนสังคมของชาวเกษตรกรรม เต็มไปด้วยความโกรธและเดือดดาล ความโกรธนี้ระเบิดปะทุอีกครั้งในไม่ช้าอีก 10 ต่อมา

ในคริสตวรรษที่ 6 เมื่อพระเยซูเจ้าพระชมน์มายุ 12 ชันษา ชายผู้ชื่อ Judas แห่ง Gamala ผู้ซึ่งชาวยิวในภายหลังอยู่ในกลุ่มเกี่ยวกับหน่วยส่งเสริมทหาร เรียกว่า Zealors ได้รวบรวมชาวกาลิลีอีกครั้งเพื่อปฎิวัติ การรวมกลุ่มกองทหารโรมันขนาดใหญ่ ส่งคนไปยังSyriaเพื่อปราบปรามพวกก่อกบฎ



under king Herod the Great
www.livius.org

ทุ่งนาของชาวกาลิลีได้ถูกเผาและเป็นมลพิษ และเข้าไปทำลายในหมู่บ้าน ประชากรชาวยิว 2000 คนถูกประหารชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น เยาวชนเด็กๆ 6000 คนชาวกาลิลี ถูกเนรเทศออกนอกประเทศ เข้าไปเป็นทาส เกษตรกรชาวกาลิลีท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกหมดหวัง ครอบครัวชาวนาได้สูญเสียที่ทำกินและทุกๆๆสิ่งที่พวกเค้าเคยมี บางทีกับความโชคร้ายเหล่านั้นที่มีอยู่ในหัวใจนั้นคือ พระวารสารของนักบุญมัทธิว ที่พระเยซูเจ้ากล่าวถึง
มัทธิว Matthew10:6
คาทอลิกใช้New Jersulam Bible //www.catholic.org/bible
คำสั่งสอนสำหรับอัครสาวก
6 แต่จงไปหาแกะพลัดฝูงของวงค์วานอิสราเอลก่อน
6 go instead to the lost sheep of the House of Israel.
"วงค์วานอิสราเอล "เป็นสำนวนที่พบบ่อยๆในพระคัมภีร์ หมายถึง ประชากรอิสเราเอลซึ่งพระเจ้าทรงเลือกสรรเป็นพิเศษให้มารับพระพรที่ทรงสัญญาไว้ ชาวยิวจึงเป็นพวกแรกที่จะได้รับผลการกอบกู้ของพระเมสสิยาห์
ดูกิจการ Acts of Apostles 8:5,13:5 เชิงอรรถ E

8:5ฟิลปไปเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรีย
8:5 And Philip went to a Samaritan town and proclaimed the Christ to them.

(ชาวสะมาเรียก็รอคอยพระเมสสิยาห์เช่นกัน ดูยน 4:25)

เอลีมัสผู้วิเศษ
13:5ครั้นถึงเมืองซาลามิสทั้งสองคนประกาศ พระวาจาของพระเจ้าในศาลาธรรมของชาวยิว มียอร์นเป็ฯผู้ช่วย
5 They landed at Salamis and proclaimed the word of God in the synagogues of the Jews; John acted as their assistant.
เชิงอรรถ นโยบายปกติของเปาโล (17:2) คือการเข้าหาชาวยิวเป็ฯอันดับแรก (ดู 13:14,14:1,16:13,17:10,17,18:4 19, 19:8 28:17,23) โดยมีหลัการว่าชาวยิวมีสิทธิได้รับการประกาศข่าวดีเป็ฯพวกแรก(ดู 3:26 13:46 มก 7:27 รม 1:16,2:9-10)หลังจากที่ชาวยิวปฎิเสธไม่ยอมรับเท่านั้นเปาโลจึงหันไปหาคนต่างศาสนา (ดูกจ 13:46, 18:6 28:28)

การบรรยายของJosephus พูดถึงชาวกาลิลีว่า"inured to war from their infacy ความเคยชินกับสงครามของพวกเขาเหล่านั้นกะตั้งแต่วัยทารกอะ"


ในผลที่ตามมาของสงคราม เกษตรกรหลายๆๆคน ซึ่งสูญเสียการเก็บเกี่ยวพืชผล และ ที่ดิน ซึ่งมีความต้องการมากที่หาอาชีพ ในที่อื่นๆๆ และมันก็เกิดขึ้น โครงการงานก่อสร้างที่ ใหญ่โตมหึมา( ที่ชั่วร้าย ไร้ศีลธรรม ภาษาโบราณ)
ภายใต้การปกครอง ไม่น้อยกว่าครึ่งวัน การเดินแถวจากในหมู่บ้านนาซาเร็ทเพื่อไปฟื้นฟูเมือง Sepphoris สถานที่ซึ่งชาวกาลิลีอยู่ในการปกครองของ (เขตปกครองอะ Tetrach)ของ Herod Antipas พักอยู่อาศัย เมือง Sepphoris เคยถูกทำลายระหว่าง การปฎิวัติจราจลครั้งแรกของชาวกาลิลีในเรื่องภาษี และ Antipas ตัดสินใจสร้างเมือง Sepphorisใหม่ใน สไตล์ Greek model และเป็นของรักของพระบิดาของพระองค์คือ Herod the reat

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 13 พฤษภาคม 2551 เวลา:13:12:16 น.  

 
Sepphoris
Tzippori (Hebrew: ציפורי‎), also known by the Greek Sepphoris, in Latin Dioceserea




ป็นเรื่องที่น่าสังเกตว่า เรื่องราวที่เต็มไปด้วยของเมือง Sepphoris ที่มาพร้อมกับความสว่าง เพียงเมื่อไม่นานมานี้ ตามด้วยกระบวนการขุดค้นหาวัตถุโบราณ (ในสถานที่ทางประวัติศาสตร์) ของพื้นที่บริเวณหลักฐานโบราณวัตถุ ในปี 1980 โดย Duke และทางมหาวิทยาลัย South Florida และ Heberw University of Jerusalem นักโบราณคดีทำงานที่บริเวณที่เปิดเผยตัวอย่างออกมาของเมือง Greco Roman นั้นคือถนนเส้นทางที่ตัดทางหลักเหนือ-ใต้ ที่รู้จักกันคือ Cardo และ ตัดขวางแบ่งออกเป็นสองส่วน ทางมุมด้านขวา โดยอีกแนวหลัก เป็นที่รู้จักกันคือ decumanus ถนนแต่ละเส้น เชื่อมต่อกันโดยความจอแจพลุกพล่านของร้านค้าและสำนักงาน ท้ายสุดเป็นผู้นำด้านการค้าและ ศูนย์กลางศาสนา ของในเมือง ที่พวกเค้าแสดงความคิดเห็น


The "Mona lisa from Gailee" is a detail from elaborate floor mosaics found in a third-century Roman villa in Sepphoris.



ในจุดนั้นแม้ว่า ทำให้ขาดลักษณะทางธรรมชาติ ในระบบสิ่งปฎิกูล รก,น้ำเสีย,น้ำเน่า (ที่ไหลผ่านท่อโสโครก)แฝงอยู่ภายใต้นี้ปล่อยให้เป็นไปตามของบาทวิถีที่ทำด้วยหิน นอกจากนั้น Antipas หมกมุ่นอยู่กับ การก่อสร้าง โรงละครโรมัน ที่แสนจะแพง ทำนองเดียวกันกับ อัฒจันทร์, ที่นั่งชมการแสดงรูปวงกลมที่ไม่มีหลังคา ที่มีชื่อเสียงของเยรูซาเล็ม สร้างโดยพระบิดาของพระองค์ "Sopphoris"ที่เขียนโดย Josephus เรียกว่า "อัญยมณีของกาลิลีทั้งหมด"



การก่อสร้างของ Sepphoris ใช้เวลาหลายปี เป็นโครงการควบคุมดำเนินการ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อหวังกำไรได้ ในกาลิลี และการบริโภคจำนวนมากผลรวมของกำลังคนเสบียง และอาหาร จากทั้งหมดรวมถึง ภูมิภาคโดยตลอดช่วงพระเยซูเจ้าทรงวัยหนุ่ม มันเป็นเรื่องยากที่จินตนาการ ได้แก่ความใกล้ชิดในภาระหน้าที่หมอบหมายของครอบครัวพระเยซูเจ้าอย่างแท้จริง Sopphoris แทบไม่น่าเชื่อ ตั้งอยู่ ห้าไมล์จากเมืองนาซาเร็ท สำหรับเกษตรกร ที่ไม่มีที่ดิน เครื่องมือ สัตว์ใช้ทำมาหากิน หรือเมล็ดพันธุ์ ความเจริญรุ่งเรื่องของการก่อสร้างกระทำแสดงให้เห็ฯถึงโดยบังเอิญ ของโอกาสได้รับรายได้ความเป็ฯอยู่ค้ำจุนการเติบโตของครอบครัว




The Roman theater of Sepphoris, built by Herod Antipas. Enlarged in the third to fourth centuries C.E., it could seat 4,000 People

และครอบครัวของนักบุญยอโซฟ กำลังเติบโต เกี่ยวกับพระวารสารของนักบุญมะระโก และนักบุญมัทธิว มะระโก Mark ุ6:3,มัทธิว Matthew 13:35
พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาที่เมืองนาซาเร็ท

มะระโก Mark ุ6:3
3คนนี้เป็นช่างไม้ ลูกนางมารีย์ เป็ฯพี่น้องของ ยากอบ โยเสท ยูดาและซีโมนไม่ใช่หรือ พี่สาวน้องสาวของเขาก็อยู่ที่นี้กับพวกเรามิใช่หรือ
3 This is the carpenter, surely, the son of Mary, the
brother of James and Joset and Jude and Simon? His sisters, too, are they not here with us?' And they would not accept him.
เชิงอรรถ
มะระโกบันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็น"ช่างไม้" ส่วนมัทธิว บันทึกว่าทรงเป็น"ลูกช่างไม้" (มธ 13:55) วิธีการเขียนของ มก สอดคล้องกันกับความ

เป็ฯจริงที่ว่าพระองค์ทรงบังเกิดจากพระมารดาพรหมจารี โดยเลี่ยงไม่พูดถึง "บิดา" ของพระองค์
โยเสท สำเนาโบาราณบางฉบับว่า "โยเซ หรือ โยเซฟ"

มัทธิว Matthew 13:55
พระศาสนจักรเป็นผลแรกแห่งอาณาจักรสวรรค์
พระเยซูเจ้าเสด็จเยี่ยมเมืองนาซาเร็ธ
55 เขาเป็นลูกช่างไม้มิใช่หรือ แม่ของเขาชื่อมารีย์ พี่ชายน้องชายของเขามิใช่ยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาสหรือ
55 This is the carpenter's son, surely? Is not his mother the woman called Mary, and his brothers James and Joseph and Simon and Jude?


ไบเบิ้ลบางเวอร์ชั่นเขียน Is he not the carpenter?:หรือไบเบิ้ลเวอร์ชั่นเขียน Jesus a carpenter, นิวเยรูซาเร็มไบเบิ้ล เขียน 3 This is the carpenterคนนี้เป็นช่างไม้ , ของนักบุญมัทธิวเป็น "the carpenter's son,"ลูกช่างไม้ ใน Matthew 13:55. Son of Maryบุตรของนางมารีย์: ซึ่งตรงกันข้ามกับขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวยิว ซึ่งเรียกว่า a man the son of his father นี้คือสำนวน สะท้อนให้เห็นว่า นักบุญมะระโกมีความศรัทธาในพระเป็ฯเจ้าซึ่งเป็นพระบิดา(พระบุคคลที่ 1 สามรวมเป็นหนึ่งแยกจากกันไม่ได้)ของพระเยซูเจ้า (พระบุคคลที่2 สามรวมเป็นหนึ่งแยกจากกันไม่ได้)(พระจิต พระบุคคลที่ 3อยู่กับพี่น้องคริสเตียน สามรวมเป็นหนึ่งแยกจากกันไม่ได้), ดู(มะระโกMark 1:1, 11; 8:38; 13:32; 14:36)

พี่ชายน้องชาย เจมส์..... ซีโมน.ในการใช้ภาษาเซเมติก Semitic การเรียกชื่อ "พี่ชายน้องชายBrother" "พี่สาวน้องสาว Sister" คือนำมาใช้กับเด็กๆ วงค์ตะกูล บรรพบุรุษ เชื้อสายเดียวกัน แต่หลาน ญาติ (half-brothers = พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน) และ ( half-sisters = พี่น้องผู้หญิงที่ร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน) ดู ปฐมกาล; cf Genesis 14:16; 29:15; Lev 10:4. ขณะที่ ไม่สามารถอนุมานสันนิฐานความหมายของคำภาษากรีก จะต้องค้นหาสถานที่แรก จากการใช้ภาษาเซเมติกSemitic พระคัมภีร์ไบเบิลฉบับเก่า, (แปลเป็นภาษากรีกในช่วงศตวรรษที่ 2 และ 3 ก่อนคริสตกาล) แปลความหมายจาก ภาษาฮิบรูเป็นภาษากรีก คำว่า adelphos "brother" และในแหล่งอ้างอิงของข้อความ ในความเป็นจริงของข้อถกเถียงการให้เหตุผลความคล้ายคลึงกันอย่างกว้างขวาง ในบทความบางบริบทในพันธสัญญาใหม่ สำหรับ ในV17 "brother"ใช้กับฟิลิปPhilip ผู้ซึ่งจริงๆแล้วเป็นhalf-brother(พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน) of Herod Antipas. ในทางกลับกัน นักบุญมะระโกเข้าใจในการเรียกชื่อตามตัวอักษรได้อย่างแท้จริง ดูMark 3:31-32; Matthew 12:46; 13:55-56; Luke 8:19; John 7:3, 5การตั้งคำถามในความหมายในที่นี้ ไม่มีผลเกิดขึ้นใดใด ต่อความศรัทธาของพระศาสนจักรต่อพระแม่มารีย์ในความเป็นหญิงพรหมจารีชั่วนิจนิรันดร

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 13 พฤษภาคม 2551 เวลา:23:46:17 น.  

 

Source :www.catholicinformationcenter.org

เกี่ยวกับพระวารสารของนักบุญลูกา พระเยซูเจ้าทรงปรากฎต่อหน้าสาธารณะชนครั้งแรกพระองค์ทรงไปที่ synagogueโบส์ถชาวยิว ที่นาซาเร็ท และอ่านบทประพันธ์จากหนังสือของประกาศกอิสยาห์ ลูกาLuke 4:16:20
คาทอลิก New Jersulam Bible //www.catholic.org/bible
พระเยซูเจ้าที่เมืองนาซาเร็ธ
ขอยืมKJVไบเบิ้ลอะ
4:16 แล้วพระองค์เสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ เป็นที่ซึ่งพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาในวันสะบาโตตามเคย และทรงยืนขึ้นเพื่อจะอ่านพระคัมภีร์
4:17 เขาจึงส่งพระคัมภีร์อิสยาห์ศาสดาพยากรณ์ให้แก่พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคลี่หนังสือนั้นออก ก็ค้นพบข้อที่เขียนไว้ว่า

4:18 `พระวิญญาณแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่บนข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ให้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้รักษาคนที่ชอกช้ำระกำใจ ให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ฟกช้ำเป็นอิสระ
4:19 และให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า'
4:20 แล้วพระองค์ทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้แก่เจ้าหน้าที่ แล้วทรงนั่งลงและตาของคนทั้งปวงในธรรมศาลาก็เพ่งดูพระองค์
4:21 พระองค์จึงเริ่มตรัสแก่เขาว่า "คัมภีร์ตอนนี้ที่ท่านได้ยินกับหูของท่านก็สำเร็จในวันนี้แล้ว"
4:22 คนทั้งปวงก็เป็นพยานรับรองคำของพระองค์ และประหลาดใจด้วยถ้อยคำอันประกอบด้วยคุณซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ และว่า "คนนี้เป็นบุตรชายของโยเซฟมิใช่หรือ"
4:23 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า "ท่านทั้งหลายจะกล่าวคำสุภาษิตข้อนี้แก่เราเป็นแน่ คือว่า `หมอจงรักษาตัวเองเถิด คือบรรดาการซึ่งเราได้ยินว่า ท่านได้กระทำในเมืองคาเปอรนาอุม จงกระทำในเมืองของตนที่นี่ด้วย'"



16 He came to Nazara, where he had been brought up, and went into the synagogue on the Sabbath day as he usually did. He stood up to read,

17 and they handed him the scroll of the prophet Isaiah. Unrolling the scroll he found the place where it is written:

18 The spirit of the Lord is on me, for he has anointed me to bring the good news to the afflicted. He has sent me to proclaim liberty to captives, sight to the blind, to let the oppressed go free,
19 to proclaim a year of favour from the Lord.
20 He then rolled up the scroll, gave it back to the assistant and sat down. And all eyes in the synagogue were fixed on him.
21 Then he began to speak to them, 'This text is being fulfilled today even while you are listening.'
22 And he won the approval of all, and they were astonished by the gracious words that came from his lips. They said, 'This is Joseph's son, surely?'
23 But he replied, 'No doubt you will quote me the saying, "Physician, heal yourself," and tell me, "We have heard all that happened in Capernaum, do the same here in your own country." '

นักบุญลูกาเปลี่ยนตำแหน่งการเริ่มต้นภาระกิจของพระเยซูเจ้า และเหตุการณ์เรื่องราวจาก Marcan source ซึ่ง ตั้งอยู่ใกล้สุดถนนของกาลิลี ภาระกิจ (มะระโก Mark 6:1-6a)
พระเยซูทรงกลับไปเยี่ยมเมืองนาซาเร็ธ (มธ 13:54-58; ลก 4:16-30)
6:1 ฝ่ายพระองค์ได้เสด็จออกจากที่นั่น ไปยังบ้านเมืองของพระองค์ และเหล่าสาวกของพระองค์ก็ตามพระองค์ไป
1 Leaving that district, he went to his home town, and his disciples accompanied him.

.ในการนี้นักบุญลูกากลับใช้เป็นบทแรกในเรื่องของความศรัทธา ( ลูกา Luke 4:22)
4:22 คนทั้งปวงก็เป็นพยานรับรองคำของพระองค์ และประหลาดใจด้วยถ้อยคำอันประกอบด้วยคุณซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ และว่า "คนนี้เป็นบุตรชายของโยเซฟมิใช่หรือ"
22 And he won the approval of all, and they were astonished by the gracious words that came from his lips. They said, 'This is Joseph's son, surely?'

และ ตามลำดับต่อมาพวกเขาเหล่านั้นปฎิเสธพระเยซูเจ้า ( ลูกา Luke 4:28-29)

4:28 เมื่อคนทั้งปวงในธรรมศาลาได้ยินดังนั้นก็โกรธยิ่งนัก
4:29 จึงลุกขึ้นผลักพระองค์ออกจากเมือง พาไปยังแง่ของเงื้อมเขาที่เมืองของเขา ซึ่งตั้งอยู่บนเนินนั้น หมายจะผลักพระองค์ลงไป
28 When they heard this everyone in the synagogue was enraged.
29 They sprang to their feet and hustled him out of the town; and they took him up to the brow of the hill their town was built on, intending to throw him off the cliff,

เกี่ยวกับนิมิตบอกล่วงหน้าในอนาคต ของภาระกิจที่สมบรูณ์ในอนาคตของพระเยซูเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นการปฎิเสธพระเยซูเจ้าในบ้านเกิดของพระองค์เอง คือการพูดเป็นนัยถึงอความยิ่งใหญ่าที่ชาวอิสราเอลปฎิเสธพระองค์( กิจการอัครสาวก Acts 13:46 )

พวกยิวไม่พอใจที่เปาโลเทศนาแก่คนต่างชาติ


13:46 แล้วเปาโลกับบารนาบัสมีใจกล้า ได้กล่าวว่า "จำเป็นที่จะต้องกล่าวพระวจนะของพระเจ้าให้ท่านทั้งหลายฟังก่อน แต่เมื่อท่านทั้งหลายปัดเสีย และตัดสินว่าตนไม่สมควรที่จะได้ชีวิตนิรันดร์ ดูเถิด พวกเราจะบ่ายหน้าไปหาคนต่างชาติ
46 Then Paul and Barnabas spoke out fearlessly. 'We had to proclaim the word of God to you first, but since you have rejected it, since you do not think yourselves worthy of eternal life, here and now we turn to the gentiles.

เกี่ยวกับธรรมเนียมประเพณีของพระองค์ พระเยซูเจ้าซึ่งทำเป็ฯกิจวัตรเป็นประจำสม่ำเสมอ คือเข้าร่วมพิธีในธรรมศาลา และทรงดำเนินต่อไป โดยแต่แรกก่อนที่พี่น้องคริสเตียนทำเป็นกิจวัตร ของการร่วมชุมนุมกัน ใน พระวิหาร (Acts 2:46; 3:1; 5:12)

ผู้กลับใจกลุ่มแรก( กิจการอัครสาวก Act 2:26)


2:46ทุก ๆ วันเขาพร้อมใจกันไปที่พระวิหารแลไปตามบ้านเพื่อทำพิธีบิขนมปังร่วมกินอาหารด้วยความยินดี และเข้าใจกัน สรรเสริญพระเจ้า และได้รับความนิยมจากประชาชน

ทุกคนเปรโตรักษาคนง่อย( กิจการอัครสาวก Act 3:1)

3:1 วันหนึ่ง เวลาบ่ายสามโมงเปรโตรและยอร์นกำลังขึ้นไปที่พระวิหารเพื่ออธิฐานภาวนา
1 Once, when Peter and John were going up to the Temple for the prayers at the ninth hour,

อานาเนียและสัปฟีราผู้ไม่ซื่อตรง( กิจการอัครสาวก Act 5:12

5:12 พระศาสนจักรทั้งหมด รวมทั้งทุกคนที่รู้เรื่องนี้จึงมีความกลัวอย่างยิ่ง
12 The apostles worked many signs and miracles among the people. One in heart, they all used to meet in the Portico of Solomon.

พระจิตของข้าพเจ้าเหนือข้าพเจ้าเพราะ พระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ The Spirit of the Lord is upon me, because he has anointed me: ดูลูกาLuke 3:21-22. และเหตุการณ์นี้ได้พัฒนามา,พระเยซูเจ้าแสดงให้เห็นและเป็นประกาศกด้วย ซึ่งมีภาระกิจเปรียบเทียบกับ เอลียาห์และ เอลีชาห์ งานเขียนในQumran ซึ่งเขียนโดยชาวยูดาห์ ประกาศกผู้ที่ได้รับเจิมเป็ฯที่รู้จักกันในศตวรรษที่ 1 ของดินแดนปาเลสไตล์. นั้นคือคำพูดของประกาศกคือพระเป็ฯเจ้าทรงเจิมแต่งตั้ง นำมาซึ่งความยินดีของข่าวดีสำหรับผู้ยากจน มากกว่าผู้เขียนพระวารสารอื่นๆๆ นักบุญลูกาเขียนเกี่ยวกับพระเยซูเจ้ากับทัศนะคติ ในเรื่องเกี่ยวกับความฟุ้มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย และในสังคมของพี่น้องที่ยากจน (see Luke 6:20, 24; 12:16-21; 14:12-14; 16:19-26; 19:8)

ธรรมเทศนาบทแรกความสุข แท้จริงและคำสาปแช่ง (ลูกา Luke 6:20, 24)

6:20 พระองค์ทอดพระเนตรบรรดาศิษย์ตรัสว่า ท่านทั้งหลายที่ยากจนย่อมเป็นสุขเพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของท่าน(คือการวางใจในพระเป็ฯเจ้า)
6:24วิบัติจเกิดกับท่านที่ร่ำรวย เพราะท่านได้รับความเบิกบานแล้ว
20 Then fixing his eyes on his disciples he said: How blessed are you who are poor: the kingdom of God is yours.
24 But alas for you who are rich: you are having your consolation now.

"จน" ภาษากรีก Penes (เปเนส)หมายถึง จน ในใจความของการขาดสิ่งของฟุ้มเฟือย แต่ยังช่วยเหลือตัวเองได้และสามารถดำรงชีวิตด้วยตัวเองได้
ANI (อานี) และ ebion (เอบีโอน)มาจากภาษาอาราเมอิก ความหมาย ไม่มีอิทธิพล ไม่มีอำนาจ ชื่อเสียง ไม่มีใครช่วเหลือ ผู้อื่นดูหมิ่น ข่มเหงต่างๆนานา และเพราะถูกกดขึ่ขมเหงจนไม่มีที่พึ่งในโลกนี้อีกแล้ว เขาจึง "มอบความวางใจทั้งหมดไว้ในองค์พระผู้เป็นเจ้า "พระองค์ทรงช่วยคนอ่อนแอและขัดสนให้พ้นจากผู้ฉกฉวยทรัพย์สินของเขา (สดด 35:10)

source :Father Chaiya Kitsawat Bangkok Thailand

การสะสมทรัพย์สมบัติ (ลูกา Luke 12:16-21)

12:16 และพระองค์จึงตรัสคำอุปมาเรื่องหนึ่งให้เขาฟังว่า "ไร่นาของเศรษฐีคนหนึ่งเกิดผลบริบูรณ์มาก
12:17 เศรษฐีคนนั้นจึงคิดในใจว่า `เราจะทำอย่างไรดี เพราะว่าเราไม่มีที่ที่จะเก็บผลของเรา'
12:18 เขาจึงคิดว่า `เราจะทำอย่างนี้ คือจะรื้อยุ้งฉางของเราเสีย และจะสร้างใหม่ให้โตขึ้น แล้วเราจะรวบรวมข้าวและสมบัติทั้งหมดของเราไว้ที่นั่น
12:19 แล้วเราจะว่าแก่จิตใจของเราว่า "จิตใจเอ๋ย เจ้ามีทรัพย์สมบัติมากเก็บไว้พอหลายปี จงอยู่สบาย กิน ดื่ม และรื่นเริงเถิด"'
12:20 แต่พระเจ้าตรัสแก่เขาว่า `เจ้าคนโง่ ในคืนวันนี้ชีวิตของเจ้าจะต้องเรียกเอาไปจากเจ้า แล้วของซึ่งเจ้าได้รวบรวมไว้นั้นจะเป็นของใครเล่า'
12:21 คนที่ส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัว และมิได้มั่งมีจำเพาะพระเจ้าก็เป็นเช่นนั้นแหละ"
16 Then he told them a parable, 'There was once a rich man who, having had a good harvest from his land,
17 thought to himself, "What am I to do? I have not enough room to store my crops."
18 Then he said, "This is what I will do: I will pull down my barns and build bigger ones, and store all my grain and my goods in them,
19 and I will say to my soul: My soul, you have plenty of good things laid by for many years to come; take things easy, eat, drink, have a good time."
20 But God said to him, "Fool! This very night the demand will be made for your soul; and this hoard of yours, whose will it be then?"
21 So it is when someone stores up treasure for himself instead of becoming rich in the sight of God.' Trust in Providence

การเลือกเชิญแขก(ลูกา Luke 14:12-14 )
14:12 ฝ่ายพระองค์ตรัสกับคนที่เชิญพระองค์ว่า "เมื่อท่านจะทำการเลี้ยง จะเป็นกลางวันหรือเวลาเย็นก็ตาม อย่าเชิญเฉพาะเหล่ามิตรสหาย หรือพี่น้องหรือญาติหรือเพื่อนบ้านที่มั่งมี เกลือกว่าเขาจะเชิญท่านอีก และท่านจะได้รับการตอบแทน
14:13 แต่เมื่อท่านทำการเลี้ยง จงเชิญคนจน คนพิการ คนง่อย คนตาบอด
14:14 และท่านจะเป็นสุขเพราะว่าเขาไม่มีอะไรจะตอบแทนท่าน ด้วยว่าท่านจะได้รับตอบแทนเมื่อคนชอบธรรมเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว"
12 Then he said to his host, 'When you give a lunch or a dinner, do not invite your friends or your brothers or your relations or rich neighbours, in case they invite you back and so repay you.
13 No; when you have a party, invite the poor, the crippled, the lame, the blind;
14 then you will be blessed, for they have no means to repay you and so you will be repaid when the upright rise again.' The invited guests who made excuses

อุปมาเรื่องเศรษฐีกับลาซารัส(ลูกา Luke 16:19-26 )

16:19 ยังมีเศรษฐีคนหนึ่งนุ่งห่มผ้าสีม่วงและผ้าป่านเนื้อละเอียด รับประทานอาหารอย่างประณีตทุกวันๆ
16:20 และมีคนขอทานคนหนึ่งชื่อลาซารัส เป็นแผลทั้งตัว นอนอยู่ที่ประตูรั้วบ้านของเศรษฐี
16:21 และเขาใคร่จะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของเศรษฐีนั้น แม้สุนัขก็มาเลียแผลของเขา
16:22 อยู่มาคนขอทานนั้นตายและเหล่าทูตสวรรค์ได้นำเขาไปไว้ที่อกของอับราฮัม ฝ่ายเศรษฐีนั้นก็ตายด้วย และเขาก็ฝังไว้
16:23 แล้วเมื่ออยู่ในนรกเป็นทุกข์ทรมานยิ่งนัก เศรษฐีนั้นจึงแหงนดูเห็นอับราฮัมอยู่แต่ไกล และลาซารัสอยู่ที่อกของท่าน
16:24 เศรษฐีจึงร้องว่า `อับราฮัมบิดาเจ้าข้า ขอเอ็นดูข้าพเจ้าเถิด ขอใช้ลาซารัสมาเพื่อจะเอาปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นของข้าพเจ้าให้เย็น ด้วยว่าข้าพเจ้าตรำทุกข์ทรมานอยู่ในเปลวไฟนี้'
16:25 แต่อับราฮัมตอบว่า `ลูกเอ๋ย เจ้าจงระลึกว่าเมื่อเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าได้ของดีสำหรับตัว และลาซารัสได้ของเลว แต่เดี๋ยวนี้เขาได้รับความเล้าโลม แต่เจ้าได้รับความทุกข์ทรมาน
16:26 นอกจากนั้น ระหว่างพวกเรากับพวกเจ้ามีเหวใหญ่ตั้งขวางอยู่ เพื่อว่าถ้าผู้ใดปรารถนาจะข้ามไปจากที่นี่ถึงเจ้าก็ไม่ได้ หรือถ้าจะข้ามจากที่นั่นมาถึงเราก็ไม่ได้'
16 'Up to the time of John it was the Law and the Prophets; from then onwards, the kingdom of God has been preached, and everyone is forcing their way into it.
17 'It is easier for heaven and earth to disappear than for one little stroke to drop out of the Law.
18 'Everyone who divorces his wife and marries another is guilty of adultery, and the man who marries a woman divorced by her husband commits adultery.
19 'There was a rich man who used to dress in purple and fine linen and feast magnificently every day.
20 And at his gate there used to lie a poor man called Lazarus, covered with sores,
21 who longed to fill himself with what fell from the rich man's table. Even dogs came and licked his sores.
22 Now it happened that the poor man died and was carried away by the angels into Abraham's embrace. The rich man also died and was buried.
23 'In his torment in Hades he looked up and saw Abraham a long way off with Lazarus in his embrace.
24 So he cried out, "Father Abraham, pity me and send Lazarus to dip the tip of his finger in water and cool my tongue, for I am in agony in these flames."
25 Abraham said, "My son, remember that during your life you had your fill of good things, just as Lazarus his fill of bad. Now he is being comforted here while you are in agony.
26 But that is not all: between us and you a great gulf has been fixed, to prevent those who want to cross from our side to yours or from your side to ours."


คักเคียส(ลูกา Luke 19:18 )

19:8 ฝ่ายศักเคียสยืนทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า "ดูเถิด พระองค์เจ้าข้า ทรัพย์สิ่งของของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยอมให้คนอนาถาครึ่งหนึ่ง และถ้าข้าพระองค์ได้ฉ้อโกงของของผู้ใด ข้าพระองค์ยอมคืนให้เขาสี่เท่า"
8 But Zacchaeus stood his ground and said to the Lord, 'Look, sir, I am going to give half my property to the poor, and if I have cheated anybody I will pay him back four times the amount.'

ความยากจน ในพระวารสารของนักบุญลูกา เชื่อมโยงกับการกดขี่การถูกบังคับ ซึ่งถูกกดขี่ข่มแหง และความทุกข์ยาก การลืมมันและ ความละเลย. (Luke 4:18; 6:20-22; 7:22; 14:12-14)และทั้งหมดนั้นคือ พวกเรายอมรับพระเยซูเจ้า ในพระวจนาตถ์(พระวาจา)ของความรอด

พระคัมภีร์ในยุคปัจจุบันนี้ ข้อความสำเร็จดังพระประสงค์ในการที่เราได้ยิน: นี้คือ การเทศนาและการอวยพรของพระเยซูคริสต์ เริ่มอย่างเป็นทางการ ในเวลาของความสมบรูณ์สำเร็จดังพระประสงค์ในพันธสัญญาเก่าที่ประกาศกพยากรณ์ไว้ นักบุญลูกาเสนอให้เห็ฯภาระกิจของพระเยซูเจ้าในความสมบรูณ์ของพันธสัญญาเก่า ในเรื่องของความหวัง และการคาดหวัง (Luke 7:22)คำถามของยอห์นผู้ทำพิธีล้างพระเยซูเจ้าทรงยกย่องยอร์น

7:22 พระองค์จึงตรัสตอบศิษย์ทั้งสองของยอร์นว่า "จงไปบอกยอห์นถึงสิ่งที่ท่านได้เห็นและได้ยิน คนตาบอดกลับแลเห็น คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายจากโรค คนหูหนวกได้ยิน คนตายกลับคืนชีพ คนจนได้ฟังข่าวดี
22 Then he gave the messengers their answer, 'Go back and tell John what you have seen and heard: the blind see again, the lame walk, those suffering from virulent skin-diseases are cleansed, and the deaf hear, the dead are raised to life, the good news is proclaimed to the poor;

สำหรับนักบุญลูกา ยิ่งไปกว่านั้น พระเยซูเจ้าทนทุกข์ทรมาน สิ้นพระชมน์ และฟื้นคืนชีพ และสำเร็จบริบรูณ์ในพระคัมภีร์ scriptures (Luke 24:25-27, 44-46; Acts 3:18).
หลังจากการกลับคืนพระชมน์ชีพ(ลูกา Luke 24:25-27 ,44-46)

การเดินทางไปหมู่บ้านเอมาอูส
24:24 บางคนที่อยู่กับเราก็ไปจนถึงอุโมงค์ และได้พบเหมือนพวกผู้หญิงเหล่านั้นได้บอก แต่เขาหาได้เห็นพระองค์ไม่"
24:25 พระองค์ตรัสแก่สองคนนั้นว่า "โอ คนเขลา และมีใจเฉื่อยในการเชื่อบรรดาคำซึ่งพวกศาสดาพยากรณ์ได้กล่าวไว้นั้น
24:26 จำเป็นซึ่งพระคริสต์จะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างนั้น แล้วเข้าในสง่าราศีของพระองค์มิใช่หรือ"
24:27 พระองค์จึงทรงเริ่มอธิบายพระคัมภีร์ที่เล็งถึงพระองค์ทุกข้อให้เขาฟัง เริ่มต้นตั้งแต่โมเสสและบรรดาศาสดาพยากรณ์
25 Then he said to them, 'You foolish men! So slow to believe all that the prophets have said!
26 Was it not necessary that the Christ should suffer before entering into his glory?'
27 Then, starting with Moses and going through all the prophets, he explained to them the passages throughout the scriptures that were about himself.
คำแนะนำสุดท้ายแก่บรรดาอัครสาวก
24:44 พระองค์ตรัสกับเขาว่า "นี่เป็นถ้อยคำของเรา ซึ่งเราได้บอกไว้แก่ท่านทั้งหลายเมื่อเรายังอยู่กับท่านว่า บรรดาคำที่เขียนไว้ในพระราชบัญญัติของโมเสส และในคัมภีร์ศาสดาพยากรณ์ และในหนังสือสดุดีกล่าวถึงเรานั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ"
24:45 ครั้งนั้น พระองค์ทรงบันดาลให้ใจเขาทั้งหลายเกิดความสว่างขึ้นเพื่อจะได้เข้าใจพระคัมภีร์
คำบัญชาที่ยิ่งใหญ่ (มธ 28:19-20; มก 16:15-18; กจ 1:8)
24:46 พระองค์ตรัสกับเขาว่า "มีคำเขียนไว้อย่างนั้นว่า พระคริสต์จะต้องทนทุกข์ทรมาน และเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่สาม
44 Then he told them, 'This is what I meant when I said, while I was still with you, that everything written about me in the Law of Moses, in the Prophets and in the Psalms, was destined to be fulfilled.' 45 He then opened their minds to understand the scriptures,
46 and he said to them, 'So it is written that the Christ would suffer and on the third day rise from the dead,
เปรโตรปราศรัยกับประชาชน (กิจการอัครสาวก Acts 3:18).
3:18 แต่ว่าเหตุการณ์เหล่านั้น ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประกาศไว้ล่วงหน้าโดยปากของศาสดาพยากรณ์ทั้งหลายของพระองค์ว่า พระคริสต์ต้องทนทุกข์ทรมาน พระองค์จึงทรงให้สำเร็จตามนั้น
18 As you know, he bought a plot of land with the money he was paid for his crime. He fell headlong and burst open, and all his entrails poured out

ที่พวกเราได้ยินว่าเกิดขึ้นที่เมืองคาเปอร์นาอุมนั้น The things that we heard were done in Capernaum: ที่มาของนักบุญลูกาสำหรับ เรื่องราวที่เกิดขึ้นการเผยแสดง และ การตระหนักรู้ ตั้งแต่ภาระกิจของพระเยซูเจ้าในคาเปอร์นาอุม นั้นคือนักบุญลูกาไม่ได้นำมาใช้เพราะการเดินทางไปนาซาเร็จของพระองค์นี้ในตอนเริ่มต้นภาระกิจของ
พระเยซูเจ้าในกาลิลี มันเป็ฯไปได้ที่ใช้แสดงเวลาในอนาคต you will quote me . . . Jesus คือมนุษย์(สภาวะพระบุคคลที่สองของพระตรีเอกภาพ สามรวมเป็นหนึ่งแยกจากกันไม่ได้) พระองค์พูดถึงบทบาทของประกาศก

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible



โดย: Bernadette วันที่: 14 พฤษภาคม 2551 เวลา:21:16:54 น.  

 
ISRAEL PALESTINE pt 2


ชาวกาลิลีส่วนน้อยพูดหรืออ่านภาษาฮิบรู เหมือนธรรมศาลาที่อื่นๆในภูมิภาคนี้ การใช้ภาษาอาราเมอิก แปลออกมาเป็นภาษาฮิบรู ในพระคัมภีร์ของคริสตศาสนา ภายหลังในไม่ช้าที่รู้จักกันคือ The Targum (การตีความ แปลความหมาย หรือถอดความ บางส่วนของพันธสัญญเก่าของพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ในภาษา Chaldee (ภาษาท้องถิ่น,อาราเมอิกตะวันออกหรือ ภาษาอาราเมอิกใช้ใน Chaldee) หรือภาษา อาราเมอิก หรือภาษาพื้นเมือง แต่ใครเป็นผู้สอนพระเยซูเจ้าในการอ่านพระคัมภีร์ และนักบุญลูกาอธิบาย และริเริ่มขยายความอย่างเอาจริงเอาจังด้วยความให้เกียรติย์ และเคารพนับถือ ที่เรียกว่า Rabbi(tearcher ครู) ในต่อมาภายหลัง

นักวิจัยบางคนมีข้อถกเถียง นั้นคือใน ศตวรรษที่ 1 ของคริสตกาล ชาวฟารีสียังคงรักษารูปแบบการสมาชิกนี้ของในโรงเรียนไว้ โดยปรกติเป็นส่วนหนึ่งของธรรมศาลา สถานที่ซึ่งเด็กๆๆ สามารถเรียรู้ อ่าน และรับโครงสร้างของคัมภีร์ โตราห์ ,มันเป็ฯข้อสงสัย อย่างไรกะตาม ตัวอย่างโรงเรียนเหล่านี้ ยังคงอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆๆที่นาซาเร็ท อย่างไรกะตาม พระเยซูเจ้าทรงยังพูดได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ สำหรับในภายหลังคือการเผยแสดง นั้นคือ พระวาจา และการเทศนาและการอวยพรของพระเยซูคริสต์ ที่ประชากรเป็นร้อยได้รับจากที่ไกลๆๆ และขยายไปอย่างกว้างขวาง
คาทอลิกใช้New Jerusalem Bible//www.catholic.org/bible/
ยอร์น John 7:15
การฉลองเทศกาลอยู่เพิง
พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปเยรูซาเล็มเพื่อร่วมฉลอง

15 ชาวยิวต่างประหลาดใจ กล่าวว่า "ผู้นี้รู้พระคัมภีร์ได้อย่างไร เพราะไม่เคยศึกษาในสำนักใดเลย"
15 The Jews were astonished and said, 'How did he learn to read? He has not been educated.'


เพราะไม่เคยศึกษาในสำนักใดเลย Without having studied: ตามตัวอักษรของหนังสือ ,ผู้นี้รู้พระคัมภีร์ได้อย่างไร เพราะไม่เคยศึกษาในสำนักใดเลย "How does he know letters without having learned?"

เด็กๆได้ถูกสอนอ่านและเขียน โดยหมายถึงพระคัมภีร์ แต่นี้ มากกว่านั้น ความสามารถในการเขียนและอ่าน พระเยซูเจ้า คือในความเป็ฯมนุษย์ของพระองค์(สภาวะที่2ของพระตรีเอกภาพ สามรวมเป็ฯหนึ่งแยกจากกันไม่ได้) เป็นที่ถกเถียงกัน ประชากรประหลาดใจ พระองค์สามารถสอนได้เหมือน rabbi (tearcher คุณครู) ผู้ที่เป็ฯรับไบได้รับการเรียนรู้ฝึกฝน โดยอ้างอิงจากรับไบผู้อื่นๆ ใน จารีต ธรรมประเพณี ของครูพวกเขาเหล่านั้น

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 15 พฤษภาคม 2551 เวลา:9:07:27 น.  

 
Ministry of Jesus

Source://www2.kinneret.ac.il/bloss/pro2000/modular/sekher.htm
From the Sea of Galilee, the Jordan river gegins to descend south and down to the Dead Sea, located at 1,300 feet below sea level

พิธีล้างบาปในศาสนาคริสต์ของพระเยซูเจ้าในแม่น้ำจอร์แดน โดย นักบุญยอร์น เด๊อะแบ๊ปติส ปรากฎในพระวารสารทั้งสี่ทั้งหมด นักบุญมะระโก และนักบุญยอร์น(อัครสาวก) ใช้อย่างทันทีทันใดหน้าแรกในการเปิดพระวารสารของนักบุญมะระโก และนักบุญยอร์น

ยิ่งไปกว่านั้นนักบุญลูกา เรียงลำดับขั้นตอนการทำงานของนักบุญยอร์นเด๊อะแบ๊ปติสอยู่ด้วยกับระบุลายละเอียด ,
คาทอลิกใช้New Jerusalembible //www.catholic.org/bible
เมื่อนั้น ลูกาLuke 3:1,3:23

เหตุการณ์ก่อนที่พระเยซูเจ้าทรงเริ่มเทศนาสั่งสอน
คำประกาศของยอร์นผู้ทำพิธีล้าง

3:1 ในปีที่สิบห้าแห่งรัชกาลพระจักรพรรดิ์ทีเบรีอัส ปอนทิส ปอนทิอัสปิลาต เป็นผู้ว่าราชการแคว้นยูเดีย กษัตริย์เฮโรด ทรงเป็ฯเจ้าปกครองแคว้นกาลิลี ฟิลิปพระอนุชา ทรงเป็ฯเจ้าปกครองแคว้นอิทูเรีย และตราโคนิติส ลีซาเนีย เป็ฯเจ้าปกครองแคว้น อาบีเลน
3 In the fifteenth year of Tiberius Caesar's reign, when Pontius Pilate was governor of Judaea, Herod tetrarch of Galilee, his brother Philip tetrarch of the territories of Ituraea and Trachonitis, Lysanias tetrarch of Abilene,


บรรพบุรุษของพระเยซูเจ้า
3:23 เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเริ่มเทศนาสั่งสอนนั้น มีพระชมน์มายุราวสามสิบพรรษา คนทั่สไปคิดว่า พระองค์ทรงเป็นบุตรของโยเซฟผู้เป็ฯบุตรของเฮลี
23 When he began, Jesus was about thirty years old, being the son, as it was thought, of Joseph son of Heli,


Tiberius Caesar: Tiberius สืบตำแหน่งจาก Augustus as emperor ในคริสตวรรษที่ 14 ครองราชย์ถึง ปีคริสตวรรษที่ 37 ในปีที่15ที่พระองค์ทรงครองราชย์ ขึ้นอยู่กับวิธีการคำนวณปีแรกของพระองค์เกี่ยวกับการครองราชย์ของกษัตริย์ (คำทางการ) น่าจะอยู่ระหว่าง A.D. 27 - 29.ปอนติอัส ปิลาต Pontius Pilate:เจ้าหน้าที่ของโรมันโบราณข้าหลวงปกครองยูเดียจากปี A.D. 26 - 36. ในประวัติศาสตร์ของชาวยิว Josephus อธิบายว่า ความหิวกระหาย ละโมบและ ความโหดเหี้ยมไร้ความปรานี ของเจ้าหน้าที่โรมัน ผู้ซึ่ง คนพื้นเมืองประชากรชาวยิว และผู้ปฎิบัติตามหลักศาสนาให้ความเคาพรพเล็กน้อย (see ลูกา Luke 13:1).
เหตุการ์ที่ชวนให้กลับใจ
13:1 ในเวลานั้น คนบางคนเข้ามาทูลพระเยซูเจ้าถึงเรื่องชาวกาลิลีซึ่งถูกปิลาตสั่งประหารชีวิตในขณะที่เขากำลังถวายเครื่องบูชา
1 It was just about this time that some people arrived and told him about the Galileans whose blood Pilate had mingled with that of their sacrifices. At this he said to them,

ใน 3 :1-20 แม้ว่านักบุญลูกา มีพันธะในส่วนของแหล่งที่มานี้ จากในพระวารสารของนักบุญมะระโก และรวมรวมขึ้นพูดถึงนักบุญยอร์น เด๊อะแบ๊ปติส นักบุญลูกาได้เริ่มต้นบทนำในวัตถุประสงค์ภาระกิจของพระเยซูเจ้าได้อย่างชัดเจนกับในสไตล์ที่เป็ฯเอกัตภาพ(สไตล์แต่ละคนอะ) พระวารสารเริ่มต้นกับ อารัมภบทความยาวของรูป ประโยค ขอยืมKJVไบเบิ้ลอะยาว ( ลูกาLuke 1:1-4),
อรัมภบท


1:1 มีหลายคนได้เรียบเรียงเรื่องราวเหล่านั้น ซึ่งเป็นที่เชื่อได้อย่างแน่นอนในท่ามกลางเราทั้งหลาย
1:2 ตามที่เขาผู้ได้เห็นกับตาเองตั้งแต่ต้น และเป็นผู้ประกาศพระวจนะนั้นได้แสดงให้เรารู้
1:3 เรียนท่านเธโอฟีลัส ที่เคารพอย่างสูง ข้าพเจ้าเองก็ได้รู้ทุกสิ่งอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น จึงได้เห็นดีด้วยที่จะเรียบเรียงเรื่องตามลำดับฝากให้ท่านด้วย
1:4 เพื่อท่านจะได้รู้แน่นอนอันเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านั้น ซึ่งมีผู้แจ้งให้ท่านทราบแล้ว
1 Seeing that many others have undertaken to draw up accounts of the events that have reached their fulfilment among us,
2 as these were handed down to us by those who from the outset were eyewitnesses and ministers of the word,
3 I in my turn, after carefully going over the whole story from the beginning, have decided to write an ordered account for you, Theophilus,
4 so that your Excellency may learn how well founded the teaching is that you have received.


และอีกsection หนึ่ง ( ลูกาLuke 3:1-2).นักบุญลูกาเลือกที่จะเรียกนักบุญยอร์น เดอะแบ๊ปติส จากพันธสัญญาเก่าที่ประกาศกพยากรณ์ไว้ว่า (Luke (3:2)

เหตุการณ์ก่อนที่พระเยซูเจ้าทรงเริ่มเทศนาสั่งสอน
คำประกาศของยอร์นผู้ทำพิธีล้าง

3:1 ในปีที่สิบห้าแห่งรัชกาลพระจักรพรรดิ์ทีเบรีอัส ปอนทิส ปอนทิอัสปิลาต เป็นผู้ว่าราชการแคว้นยูเดีย กษัตริย์เฮโรด ทรงเป็ฯเจ้าปกครองแคว้นกาลิลี ฟิลิปพระอนุชา ทรงเป็ฯเจ้าปกครองแคว้นอิทูเรีย และตราโคนิติส ลีซาเนีย เป็ฯเจ้าปกครองแคว้น อาบีเลน
3:2อันนาสและคายาฟาสเป็นหัวหน้าสมณะ พระวาจาของพระเจ้ามาถึงยอร์นบุตรของเศคาริยาห์ในถิ่นทุรกันดาร
3 In the fifteenth year of Tiberius Caesar's reign, when Pontius Pilate was governor of Judaea, Herod tetrarch of Galilee, his brother Philip tetrarch of the territories of Ituraea and Trachonitis, Lysanias tetrarch of Abilene,
2 and while the high-priesthood was held by Annas and Caiaphas, the word of God came to John the son of Zechariah, in the desert.


และขยายออกไปอีกอ้างอิงถึงประกาศกอิสยาห์พบได้ในพระวารสารนักบุญมะระโก Mark 1:3 (Isaiah 40:3)

เหตุการณ์ก่อนที่พระเยซูเจ้าทรงเริ่มเทศนาสั่งสอน
การประกาศของยอร์นผู้ทำพิธีล้าง

1:3 การเริ่มต้นข่าวดีเรื่องพระเยซูเจ้าเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า
คำพยากรณ์ถึงการรับใช้ของยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา (มธ 3:3)
40:3 เสียงผู้ร้องในถิ่นทุรกันดารว่า "จงเตรียมมรรคาแห่งพระยาห์เวห์จงทำทางหลวงสำหรับพระเจ้าของเราให้ตรงไปในทะเลทราย
1 The beginning of the gospel about Jesus Christ, the Son of God.
40:3 The voice of one who cries, Prepare you in the wilderness the way of Yahweh; make level in the desert a highway for our God.


โดย เสริม ประกาศกอิสยาห์ Isaiah 40:4-5
40:4 หุบเขาทุกแห่งจะถูกยกขึ้น ภูเขาและเนินทุกแห่งจะให้ต่ำลง ทางคดจะกลายเป็นทางตรง และที่ขรุขระจะกลายเป็นที่ราบ
40:5 และจะเผยสง่าราศีของพระยาห์เวห์และบรรดาเนื้อหนังจะได้เห็นด้วยกัน เพราะพระโอษฐ์ของพระยาห์เวห์ตรัสไว้แล้ว"
40:4 Every valley shall be exalted, and every mountain and hill shall be made low; and the uneven shall be made level, and the rough places a plain:
40:5 and the glory of Yahweh shall be revealed, and all flesh shall see it together; for the mouth of Yahweh has spoken it.

ในลูกา Luke 3:5-6. ในการนี้ นักบุญลูกาเสนอใจความสำคัญของ "ความเป็นสากลของความรอด"
3:5 หุบเขาทุกแห่งจะถูกถมให้เต็ม ภูเขาและเนินทุกแห่งจะถูกปรับให้ต่ำลง ทางคดเคี้ยวจะกลายเป็นทางตรง ทรงขรุขระจะถูกทำให้ราบเรียบ
3:6แล้วมนุษย์ทุกคนจะเห็นความรอดพ้นจากพระเจ้า
5 Let every valley be filled in, every mountain and hill be levelled, winding ways be straightened and rough roads made smooth,
6 and all humanity will see the salvation of God.

มะระโกและมัทธิวอ้างถ้อยคำของ อิสยาห์ 40 เพียงสามบันทัดเท่านั้น แต่ลูกาได้อ้างข้อความจากอิสยาห์ ต่อไปจนถึงข้อความที่กล่าวถึงพระสัญญาจะประทานความรอดพ้นแก่มนุษย์ทุกคน

ซึ่งนักบุญลูกาประกาศตั้งแต่ในคำว่า ซิมิโอน Simeon (Luke 2:30-32).
บทเพลงของสิเมโอน
2:30 เพราะนัยน์ตาของข้าพเจ้าได้เห็ฯองค์พระผู้ช่วยให้รอดพ้น
2:31 ผู้ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ สำหรับนานาประชาชาติ
2:32เป็ฯแสงสว่างเปิดเผยให้คนต่างชาติรู้จักพระองค์ และเป็นสิริรุ่งโรจน์สำหรับ อิสราเอลประชากรของพระองค์
30 for my eyes have seen the salvation
31 which you have made ready in the sight of the nations;
32 a light of revelation for the gentiles and glory for your people Israel.
33 As the child's father and mother were wondering at the things that were being said about him.

ลูกาคงได้เขียนบทเพลงสิมิโอนนี้ทั้งหมดด้วยตนเองโดยใช้ข้อความจากประกาศกอิสยาห์ บทเพลงสิมิโอนนี้ ส่วนครึ่งหลังกล่าวถึงลักษณะความรอดพ้นที่พระเยซูเจ้าทรงนำมาให้มวลมนุษย์ เป็ฯแสงสว่างของคนต่างชาติซึ่งจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของประชากรของพระเจ้า และจะนำพระสิริรุ่งโรจน์มาให้แก่อิสราเอลซึ่งเป็ฯประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้แล้ว


ยิ่งไปกว่านั้น ในการอธิบายถึง การคาดหวังของประชากร ( ลูกา Luke 3:15)
3:15 ขณะนั้น ประชากรกำลังรอคอยทุกคนต่างคิดในใจว่ายอร์นเป็นพระคริสต์หรือ
15 A feeling of expectancy had grown among the people, who were beginning to wonder whether John might be the Christ,

นักบุญลูกา พรรณนาถึงคุณสมบัติพิเศษ ในเวลาที่นักบุญยอร์นเดอะแบปติส แสดงธรรมสั่งสอน

ในทำนองเดียวกันกับนักบุญลูกาอธิบายสถานภาพอื่นๆที่ชาวอิสราเอลศรัทธา ในการบรรยายตามลำดับของเหตุการณ์ วัยทารก (ลูกาLuke 2:25-26, 37-38)
การถวายพระกุมารในพระวิหาร

2:25 ดูเถิด มีชายคนหนึ่งในกรุงเยรูซาเล็มชื่อสิเมโอน เป็นคนชอบธรรมและเกรงกลัวพระเจ้า และคอยเวลาซึ่งพวกอิสราเอลจะได้รับความบรรเทาทุกข์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตกับท่าน
2:26 พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงสำแดงแก่ท่านว่า ท่านจะไม่ตายจนกว่าจะได้เห็นพระคริสต์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
อันนาประกาศกหญิง
2:37 แล้วก็เป็นม่ายมาจนถึงอายุแปดสิบสี่ปี นางมิได้ไปจากพระวิหารเลย อยู่รับใช้พระเจ้าด้วยการถืออดอาหารและอธิษฐาน ทั้งกลางคืนและกลางวัน
2:38 ในขณะนั้นผู้หญิงคนนี้ก็เข้ามาขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นกัน และกล่าวถึงพระกุมารให้คนทั้งปวงที่คอยการทรงไถ่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มฟัง
26 It had been revealed to him by the Holy Spirit that he would not see death until he had set eyes on the Christ of the Lord.
27 Prompted by the Spirit he came to the Temple; and when the parents brought in the child Jesus to do for him what the Law required,
37 before becoming a widow. She was now eighty-four years old and never left the Temple, serving God night and day with fasting and prayer.
38 She came up just at that moment and began to praise God; and she spoke of the child to all who looked forward to the deliverance of Jerusalem.

. ในลูกา Luke 3:7-18 นักบุญลูกาแสดงให้เห็นถึง การแสดงธรรมสั่งสอนของนักบุญยอร์น เด๊อะแบ๊ปติส ผู้ซึ่ง เร่งเร้าผลักดัน ฝูงชน ให้ปฎิรูปเปลี่ยนแปลงในทัศนะคติ การมาถึงของความโกรธเคือง


(ลูกาLuke 3:7, 9: eschatological preaching แสดงธรรม คำสอนในศาสนาที่เกี่ยวกับวิญญาณของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับความตาย การพิพากษานรกสวรรค์)
3:7 ยอห์นจึงกล่าวแก่ประชาชนที่ออกมารับบัพติศมาจากท่านว่า "โอ เจ้าชาติงูร้าย ใครได้เตือนเจ้าให้หนีจากพระอาชญาซึ่งจะมาถึงนั้น
3:8 เหตุฉะนั้น จงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น อย่านึกเหมาเอาในใจว่าตัวมีอับราฮัมเป็นบิดา เพราะเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์สามารถจะให้บุตรเกิดขึ้นกับอับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้
3:9 บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องตัดเสียแล้วโยนทิ้งในกองไฟ"
7 He said, therefore, to the crowds who came to be baptised by him, 'Brood of vipers, who warned you to flee from the coming retribution?
8 Produce fruit in keeping with repentance, and do not start telling yourselves, "We have Abraham as our father," because, I tell you, God can raise children for Abraham from these stones.
9 Yes, even now the axe is being laid to the root of the trees, so that any tree failing to produce good fruit will be cut down and thrown on the fire.'



และผู้ซึ่งเสนอต่อฝูงชนแน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงความประพฤติของสังคม (Luke 3:10-14: ethical preaching แสดงธรรม หลักจริยธรรม,ศีลธรรม)

:10 ฝ่ายประชาชนจึงถามท่านว่า "เราจะต้องทำประการใด"
3:11 ท่านจึงตอบเขาว่า "ผู้ใดมีเสื้อสองตัว จงปันให้แก่คนไม่มี และใครมีอาหาร จงปันให้เหมือนกัน"
3:12 พวกเก็บภาษีก็มาขอรับบัพติศมาด้วย และถามท่านว่า "อาจารย์เจ้าข้า พวกข้าพเจ้าต้องทำประการใด"
3:13 ท่านจึงตอบเขาว่า "เจ้าทั้งหลายอย่าเก็บภาษีเกินพิกัด"
3:14 ฝ่ายพวกทหารถามท่านด้วยว่า "พวกข้าพเจ้าเล่า จะต้องทำประการใด" ท่านตอบเขาว่า "อย่ากดขี่ผู้ใด อย่าหาความใส่ผู้ใด แต่จงพอใจในค่าจ้างของตน"
10 When all the people asked him, 'What must we do, then?'
11 he answered, 'Anyone who has two tunics must share with the one who has none, and anyone with something to eat must do the same.'
12 There were tax collectors, too, who came for baptism, and these said to him, 'Master, what must we do?'
13 He said to them, 'Exact no more than the appointed rate.'
14 Some soldiers asked him in their turn, 'What about us? What must we do?' He said to them, 'No intimidation! No extortion! Be content with your pay!'

และประกาศต่อฝูงชนในเรื่องผู้หนึ่งผู้ทรงอานุภาพมากว่านักบุญยอร์น เด๊อแบ๊ปติส (Luke 3:15-18: messianic preaching แสดงธรรมคำสั่งสอน เรื่องของพระเมสิยาห์(พระเยซูคริส)).)
3:15 เมื่อคนทั้งหลายกำลังคอยพระคริสต์อยู่ และได้ใคร่ครวญถึงยอห์นว่า ตัวท่านเป็นพระคริสต์หรือมิใช่
3:16 ยอห์นจึงตอบเขาทั้งหลายว่า "เราให้เจ้ารับบัพติศมาด้วยน้ำก็จริง แต่จะมีพระองค์หนึ่งเสด็จมาทรงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก ซึ่งเราไม่คู่ควรแม้จะแก้สายฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์นั้นจะทรงให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ
3:17 พระหัตถ์ของพระองค์ถือพลั่วพร้อมแล้วเพื่อจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว และเพื่อจะเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางของพระองค์ แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ"
3:18 ยอห์นจึงประกาศตักเตือนอีกหลายประการแก่คนทั้งหลาย
15 A feeling of expectancy had grown among the people, who were beginning to wonder whether John might be the Christ,
16 so John declared before them all, 'I baptise you with water, but someone is coming, who is more powerful than me, and I am not fit to undo the strap of his sandals; he will baptise you with the Holy Spirit and fire.
17 His winnowing-fan is in his hand, to clear his threshing-floor and to gather the wheat into his barn; but the chaff he will burn in a fire that will never go out.'
18 And he proclaimed the good news to the people with many other exhortations too

Herod Antipas คือพระโอรสของ Herod the Great. พระองค์ปกครอง เหนือกาลิลี และ Perea จาก ศตวรรษที่ 4 -39 ( การปกครองของพระองค์ Terach ความหมายตามตัวหนังสือ "ruler of a quarter,ปกครองหนึ่งในสี่ส่วน" แต่การอธิบายพระโอรสอีกองค์ที่สำคัญน้อยกว่า คือเจ้าชาย ฟิลิป เป็ฯพระโอรสของ Herod the Great, ปกครองทางตอนเหนือและตะวันออก ของทะเลกาลิลีในศตวรรษที่ 4 B.C. - A.D. 34. เป็ฯเพียงพื้นที่เล็กๆๆในภูมิภาคที่นักบุญลูการะบุไว้ Lysanias: ผู้ซึ่ง เคยปกครอง tetrarch ใน Abileneและภูมิภาคตะวันตกเฉียงเหนือของ Damascus

ความจริงนี้ เป็นข้อชวนคิด ว่านั้นคือสัญญาลักษณ์การล้างบาป ซึ่งเป็นต้นแบบในประเด็นของชีวิตพระเยซูเจ้า พระเยซูเจ้าทรงปลดปล่อยเราจากบาป และ ให้เราติดตาม และศรัทธาพระองค์เพื่อที่จะได้อยู่กับพระเจ้า

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 15 พฤษภาคม 2551 เวลา:23:17:31 น.  

 
The Teachings of John the Baptist
Jesus: Baptism


แต่ทำไมพระเยซูเจ้าทรงเลือกเดินทางไปพบนักบุญยอน์น เด๊อะแบ๊ปติส ทำไมพระองค์เดินทางไปถิ่นทุรกันดารในทะเลทรายจอร์แดน เพื่อตามหาผู้ถือความสันโดษ ผู้ซึ่งกินตั๊กกะแตน และสวมชุดเสื้อคลุมรัดเอวทำด้วยขนอูฐ
มะระโก Mark1:6
การประกาศยอร์นผู้ทำพิธีล้าง
6 ยอร์นแต่งกายด้วยผ้าขนอูฐ ใช้หนังสัตว์คาดสะเอว กินตั๊กแตนและน้ำผึ้งป่า
6 John wore a garment of camel-skin, and he lived on locusts and wild honey.

สำเนาโบราณบางฉบับว่า "ยอร์นใช้หนังอูฐแต่างกาย เทียบ มธ 3:4

คำตอบอีกครั้งที่ค้นพบในในศตวรรษที่ 1 ของปีคริสตกาล นัดกประวัติศาสตร์ Flavius Josephus ผู้ซึ่งอธิบายว่า นักบุญยอร์น เด๊อะแบ๊ปติส คือ 1ในบุคคลสำคัญที่มีพรสวรรค์คุณสมบัติเฉพาะบุคคล ของนักเทศน์แสดงธรรม Josephus ใน Jewish Antiquities (ช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของชาวยิว)พูดถึง นักบุญยอร์นว่า นักบุญยอร์น เป็นคนดี,และ สั่งสอนพี่น้องชาวยิว ดำเนินการถึงคุณความดีความถูกต้อง เท่าๆกับ ความชอบธรรม นำไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง และมีความศรัทธาแก่กล้าในเรื่องเกี่ยวกับพระเป็ฯเจ้า และ สิ้นสุดที่ พิธีล้างบาป (baptism)"

สาธารณะชนได้ตอบสนองนักบุญยอร์นอย่างท่วมท้นล้นหลาม ประชาชนฝูงชน มาหานักบุญยอร์น " สำหรับพวกเขาโดยส่วนมากคล้อยตามคำพูดของนักบุญยอร์น" มันคือเหตุผลที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า บรรยากาศโดยทั่วไปในปาเลสไตล์ ประชากรชาวยิว ไม่มีที่ดินเพาะปลูก จากพระเจ้าทรงลิขิตเลือกสรรพวกเขาเหล่านั้น ดินแดนเหล่านั้น ยึดครองและทำลายโดย เครื่องบรรณาการ ส่วยและภาษี

พระวิหาร ธรรมประเพณีศูนย์กลางของศาสนายิวที่เป็ฯสัญญาลักษณ์เฉพาะ คือ ได้เคลื่อนที่ไปสู่การร่วมมือร่วมแรง ของพระสมณะทั้งหมดสิ้น จุดศูนย์รวมยังคงรักษาไว้อย่างเป็นระบบ ของพิธีการทางศาสนา การอุทิศตน และการเรี่ยไร ค่าภาษีที่หักออกไปหนึ่งในสิบ ด้วยตัวของมันเอง ของการครอบครองในดินแดนนี้ ประทานให้ด้วยความศักดิ์สิทธิ์โดย พระYHWH และเจือปนโดย Greco-Romanที่เป็นสัญญาลักษณ์ ซึ่งเคยเกิดขึ้นในสมัยking Ahab และ Manasseh เมื่อ รูปเคารพได้สร้างขึ้น และยอมรับพระYHWHไปด้วย ถ้าพระคัมภีร์ไบเบิ้ล คือแนวทางอย่างหนึ่ง ความเคร่งครัดในทางศาสนาของชาวยิวที่เชื่อว่า อีกสิ่งหนึ่ง คือหายนะ นั้นคือไม่ต้องสงสัยเลยว่า จะเกิดขึ้นในไม่ช้า (คำไม่เป็นทางการ) ในมุมกลับ King Tiglath กษัตริย์ไทรัส หรือ King Nebuchadnezzar ได้ส่งกลุ่มพระเจ้าเป็นการเหน็บแนม เย้ยหยัน ยั่วโมโหทำให้โกรธเคืองต่อ คนบาปชาวอิสราเอล

Jesus of Nazareth - His Baptism


การเผยแสดง ธรรมชาติของนักบุญยอร์น ของพวกเขาเหล่านั้นคือความกลัว ต่อสัญญาญที่นักบุญยอร์นผู้ติตามพระเจ้าไม่พอพระทัย ก่อให้เกิดการทำลายล้าง มากกว่าเคยเกิดขึ้นหลายครั้งในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล พระเมสิยาห์กำลังจะมา นักบุญยอร์ฯ บอกในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ลูกา Luke 3:17

3:17 พระหัตถ์ของพระองค์ถือพลั่วพร้อมแล้วเพื่อจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว และเพื่อจะเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางของพระองค์ แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ"
17 His winnowing-fan is in his hand, to clear his threshing-floor and to gather the wheat into his barn; but the chaff he will burn in a fire that will never go out.'

ในด้านมุมมองกับตัวอย่างที่ทำให้หวาดกลัว นักบุญยอร์น เด๊อะแบ๊ปติส ติดตามและเชื่อว่าพวกเขาจะไม่เพียงแค่ทำสิ่งหนึ่ง เอาใจออกห่างกับความบาป ความชั่วร้ายในอดีต และเป็ฯเครื่องหมายว่าพวกเขาเหล่านั้น โดยทั้งหมดได้รับการล้าง การจุ่มศีรษะ ร่างกายส่วนบนหรือทั้งร่างลงในน้ำตามพิธีในศาสนาคริสต์ ในน้ำ ต่อจากนั้นความชอบธรรมเกิดขึ้น สามารถที่จะ ประสบพักพิงในพระเจ้า

นักวิจัยหลายๆๆคนเชื่อมโยงการสอนของนักบุญยอร์น นั้นคือ แก่นสาระสำคัของ Qumran ซึ่งนอกจากนั้นปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัดในรูปแบบดำเนินชีวิตในทะเลทราย เหมือนกับ แก่นของคำสอนนี้ นักบุญยอร์น แสดงธรรมสั่งสอน ข้อความที่มาจากพระเป็นเจ้า ตอบสนอง ในสิ่งที่ใกล้จะเกิดขึ้น

เพียงแต่ ของพิธีล้างทั้งหมด ในการเกิดใหม่ เป็ฯเครื่องหมายของพิธีกรรมการจุ่มศีรษะ ร่างกายส่วนบนหรือทั้งร่างลงในน้ำตามพิธีในศาสนาคริสต์ สามารถทำให้ประชากรชาวยิวปลอดภัยจากภาวะที่ถูกทำลายนี้

อย่างไรกะตาม แก่นสาระสำคัญการแสดงธรรมสั่งสอน แก่ชีวิตชุมชนของ

การถือโสด,การปฎิเสธตัวเอง และการถือบริสุทธิ์อย่างยิ่งยวด แม้ว่าประเด็นสำคัญ คือการยับยั้ง การควบคุม การทำงานในวันสับปโต เป็นพิเศษเฉพาะในวงจรชีวิตของพวกเขาเหล่านั้น พวกเขาเหล่านั้น เปิดใจเพียงแค่จะเตรียมตัวยอมปฎิบัติตามต่อกฎหมายของสังคม

ในทางตรงกันข้าม นักบุญยอร์น พยายามชักจูง ทุกๆคน ผู้ซึ่งจะมาฟังและสำนึกผิด ใน John's Torah คือ โรงเรียน จนถึงตัวของมันเอง ยังคงรักษาไว้ ในเรื่องของ การมาถึงของพระเจ้าในวันพิพากษา ในภาวะที่เร่งด่วน คาดไม่ถึง

นักวิจัยส่วนมากเห็นด้วยกับวัตถุประสงค์ของพระวารสาร เกี่ยวข้องสัมพันธ์

กับนักบุญยอร์นเด๊อะแบ๊ปติส คือ ความเที่ยงแท้, อย่างเรียบง่ายธรรมดา เพราะ ความชัดเจน ที่ประสบความสำเร็จ ที่นักบุญยอร์นเคลื่อนไหวเป็นต้นเหตุของ (คำถาม, ปัญหา) ซึ่งเข้าใจลำบาก คือสิ่งที่ท้าทายในอนาคต ในภาระกิจของพระเยซูเจ้า

คุณสมบัติเด่นของนักบุญยอร์น คือความท้าทาย วิศัยทัศน์ ความดั้งเดิมของ

ประเพณี นั้นคือ เนื้อหาความหมายของพระเยซูเจ้า ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ขณะที่ คุณสมบัติที่น่ายกย่องของพระเยซูเจ้า เพียงแค่ 1 ย่อหน้า ในหนังสือ

ของ Josephus's Antiquities, นักบุญยอร์น ได้รับการยกย่องเต็มหน้า(กะ Josephus เป็นยิวอะ คนคริสเชื่อว่าพระเยซูคือ พระเมสิยาห์ คือพระเจ้า (พระบุคคลที่สองในสภาวะมนุษย์ ในพระตรีเอกภาพสามรวมเป็นหนึ่งแยกจากกันไม่ได้) เท่านั้นแหละชาวยิวรับไม่ได้ ออกอาการอะ)

คาทอลิกใช้ NewJerusalem bible //www.catholic.org/bible/
มะระโก Mark 1:14-15
พระเยซูเจ้าทรงประกอบภาระกิจในแคว้นกาลิลี
พระเยซูเจ้าทรงเริ่มประกาศข่าวดี

14 หลังจากที่ยอร์นถูกจองจำ พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี ทรงประกาศเทศนาข่าวดีของพระเจ้าตรัสว่า
15 "เวลาที่กำหนดไว้มาถึงแล้ว พระอาณาจักรพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว จง กลับใจและเชื่อข่าวดีเถิด"
14 After John had been arrested, Jesus went into Galilee. There he proclaimed the gospel from God saying,
15 'The time is fulfilled, and the kingdom of God is close at hand. Repent, and believe the gospel.'


in the plan of Galilee: ของ มาร์คานอธิบาย in the Marcan account, สถานที่เหตุการณ์ที่พระเยซูเจ้าปรากฎต่อสาธารณะชนก่อนที่ ได้รับการประณามอย่างรุนแรง

เชื่อข่าวดีเถิด The gospel of God: ไม่เพียงแค่ข่าวดีจากพระป็นเจ้า แต่เกี่ยวกับพระเป็ฯเจ้าทำงานในองค์พระเยซูคริส

.เวลาที่กำหนดไว้มาถึงแล้ว This is the time of fulfillment: พระเป็นเจ้าทรงสัญญา อาณาจักรพระเป็นเจ้า

จง กลับใจ repent: ดู มัทธิว Matthew 3:2



Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 16 พฤษภาคม 2551 เวลา:12:35:13 น.  

 
John's Arrest and Execution
Saint John the Baptist Beheading


ในบางกรณี ในที่สุดหลังจากพระเยซูเจ้าทรงอยู่ร่วมกับชุมชนของนักบุญยอร์น เด๊อะแบ๊ปติส อย่างไรกะตาม Herod Anitpas(พระโอรส king Herod) จับกุมนักบุญยอร์น ในพระวารสาร ของนักบุญมะระโก และนักบุญมัทธิว ให้เหตุผล ว่านั้นคือการประกาศ tetrach(การปกครอง 1 ใน 4)หมายจับ นักบุญยอร์น เพราะ นักบุญยอร์น วิจารณ์ Herod ทำการทุรลักษณ์ (ไม่เหมาะสม) แต่งงานกับ Herrodias ภารยาของ Herod Boethus ผู้ซึ่ง ทำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับ น้องชายอีกคน คือ Philip (มัทธิว Matthew 14:3-4,มะระโก Mark 6:17-18,ลูกา Luke 3:19-20
คาทอลิกใช้ NewJerusalem bible //www.catholic.org/bible/
มัทธิว Matthew 14:3-4
ยอร์น ผู้ทำพิธีล้างถูกสั่งตัดศรีษะ
14:3 กษัติรย์เฮโรดทรงสั่งให้จับกุมยอร์นล่ามโซ่และขังคุกไว้ เพราะเรื่องของนางเฮโรเดียส ภารยาของฟิลิป พระอนุชา
14:4 ยอร์นเคยทูลกษัตริย์เฮโรดว่า" ไม่ถูกต้องที่พระองค์ทรงรับนางมาเป็ฯมเหสี"
3 Now it was Herod who had arrested John, chained him up and put him in prison because of Herodias, his brother Philip's wife.
4 For John had told him, 'It is against the Law for you to have her.'
เชิงอรรถ


มะระโก Mark 6:17-18
ยอร์น ผู้ทำพิธีล้างถูกสั่งตัดศรีษะ

6:17 กษัตริย์เฮโรดองค์นี้ทรงสั่งให้จับกุมยอร์น และล่ามโซ่ขังคุกไว้ เพราะเรื่องของนางเฮโรเดียส ภารยาของฟิลิป พระอนุชา ซึ่งกษัตริย์เฮโรดทรงรับมาเป็นมเหสี
6:18 ยอร์นเคยทูลกษัตริย์เฮโรดว่า "ไม่ถูกต้องที่พระองค์ทรงรับภารยาของน้องชายมาเป็ฯมเหสี"
17 Now it was this same Herod who had sent to have John arrested, and had had him chained up in prison because of Herodias, his brother Philip's wife whom he had married.
18 For John had told Herod, 'It is against the law for you to have your brother's wife.'

ลูกา Luke 3:19-20
ยอร์นถูกจองจำ

3:19 กษัตริย์เฮโรด เจ้าผู้ปกครอง ถูกยอร์นตำหนิเรื่องนางเฮโรเดียสภารยาของน้องชาย และเรื่องความผิดอื่นๆที่ทรงกระทำ
3:20 กษัตริย์เฮโรดยังทรงเพิ่มความผิดอีก คือทรงสั่งให้จองจำยอร์นในคุก
19 But Herod the tetrarch, censured by John for his relations with his brother's wife Herodias and for all the other crimes he had committed,
20 added a further crime to all the rest by shutting John up in prison.

ลูกาเล่าเรื่องภารกิจของยอร์นให้จบก่อนที่จะมเล่าภารกิจของพระเยซูเจ้า (ดู1:56 เชิงอรรถ aa)ลูกาจะกล่าวถึงความตายของยอร์นอย่างสั้นๆเท่านั้น(9:7-9)

เฮโรเดียส Herodiasไม่ใช่ภารยาของ ฟิลิปPhilip แต่เป็นน้องชายอีกคน Herod Boethus. เป็ฯข้อห้ามของการสมรส ดู
เลวินิติ Lev 18:16; 20:21.
18:16 ท่านจะต้องไม่มีเพศสัมพันธ์กับภารยาของพี่ชายหรือน้องชายของท่าน เพราะเป็ฯการลบหลู่ศักดิ์ศรีของพี่ชายหรือน้องชายของท่าน
16 "You will not have intercourse with your brother's wife; it is your brother's sexual prerogative.
20:21 ชายใดแต่งงานกับพี่สะใภ้หรือน้องสะใภ้ ทั้งคู่จะมีมลทิน และจะไม่มีบุตร เพราะได้ลบหลู่ศักดิ์ศรีของพี่ชายหรือน้องชายของตน
21 "The man who marries his brother's wife: this is pollution; he has infringed his brother's sexual prerogative; they will die childless.

เกี่ยวกับ โยเซฟัสJosephus ผู้เขียนประวัติศาสตร์ของยิว (Antiquities 18, 5, 2 #116-19).,เฮโรด จองจำและต่อจากนั้นประหารชีวิต นักบุญยอร์น เพราะ พระองค์กลัวว่านั้นคือพิธีล้างด้วยการจุ่ม มีอิทธิพลเหนือประชาชน มีอำนาจทำให้เป็นไปได้ของการที่นักบุญยอร์น เป็ฯผู้นำก่อกบฎ

การแต่งงานครั้งที่สองของ Herod Antipas นี้คือแรงผลักดัน เกี่ยวกับการเมือง เฮโรเดียส Herodias คือหลานสาวของ ภารยา Herod the Great คือ พระนาง Mariamne เจ้าหญิงราชวงค์ Hasmonean ผู้ซึ่งสามารถทำให้ Antipas เป็นไปตามกฎของ Hasmonean

จากการแต่งงานครั้งแรก เฮโรเดียส Herodias มีลูกสาว ชื่อ ซาโลเมSalome เกี่ยวกับพระวารสารนักบุญมะระโก Salome เต้นรำถวายแด่Antipas และทำให้พ่อเลี้ยงคือAntipasพอใจ พระองค์ทรงเสนอSalomeว่า, มะระโก Mark 6:21-27,
ขอยืมkjvไบเบิ้ลอะ ยาว

เฮโรดทรงสั่งให้ตัดศีรษะยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา (มธ 14:1-12; ลก 9:7-9)

6:21 ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเป็นโอกาสดีคือเป็นวันฉลองวันกำเนิดของเฮโรด เฮโรดให้จัดการเลี้ยงขุนนางกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และคนสำคัญๆทั้งปวงในแคว้นกาลิลี
6:22 เมื่อบุตรสาวของนางเฮโรเดียสเข้ามาเต้นรำ ทำให้เฮโรดและแขกทั้งปวงซึ่งเอนกายลงอยู่ด้วยกันนั้นชอบใจ กษัตริย์จึงตรัสกับหญิงสาวนั้นว่า "เธอจะขอสิ่งใดจากเรา เราก็จะให้สิ่งนั้นแก่เธอ"
6:23 และกษัตริย์จึงทรงปฏิญาณตัวไว้กับหญิงสาวนั้นว่า "เธอจะขอสิ่งใดๆจากเรา เราจะให้สิ่งนั้นแก่เธอจนถึงครึ่งราชสมบัติของเรา"
6:24 หญิงสาวนั้นจึงออกไปถามมารดาว่า "ฉันจะขอสิ่งใดดี" มารดาจึงตอบว่า "จงขอศีรษะยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาเถิด"
6:25 ในทันใดนั้นหญิงสาวก็รีบเข้าไปเฝ้ากษัตริย์ทูลว่า "หม่อมฉันขอศีรษะยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาใส่ถาดมาให้หม่อมฉันเดี๋ยวนี้เพคะ"
6:26 กษัตริย์ทรงเป็นทุกข์นัก แต่เพราะเหตุได้ทรงปฏิญาณไว้และเพราะเห็นแก่หน้าแขกทั้งปวงซึ่งเอนกายลงอยู่ด้วยกัน ก็ปฏิเสธไม่ได้
6:27 ในขณะนั้นกษัตริย์จึงรับสั่งเพชฌฆาตให้ไปตัดศีรษะยอห์นมา เพชฌฆาตก็ไปตัดศีรษะยอห์นในคุก
21 An opportunity came on Herod's birthday when he gave a banquet for the nobles of his court, for his army officers and for the leading figures in Galilee.
22 When the daughter of this same Herodias came in and danced, she delighted Herod and his guests; so the king said to the girl, 'Ask me anything you like and I will give it you.'
23 And he swore her an oath, 'I will give you anything you ask, even half my kingdom.'
24 She went out and said to her mother, 'What shall I ask for?' She replied, 'The head of John the Baptist.'
25 The girl at once rushed back to the king and made her request, 'I want you to give me John the Baptist's head, immediately, on a dish.'
26 The king was deeply distressed but, thinking of the oaths he had sworn and of his guests, he was reluctant to break his word to her.
27 At once the king sent one of the bodyguard with orders to bring John's head.

Herod ส่งเจ้าหน้าที่ไปที่ห้องกักกัน สถานที่คุมขังนักบุญยอร์น เจ้าหน้าที่ตัดศรีษะนักบุญยอร์น และนำศรีษะใส่ จานตื้นขนาดใหญ่ มาให้แก่ Salome

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 17 พฤษภาคม 2551 เวลา:19:46:34 น.  

 
Jesus Christ,


อย่างไรกะตาม โยเซฟาสJosephus ชวนให้คิดว่า นั้นคือ อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นักบุญยอร์นสิ้นใจ Anitpas เขียนไว้ว่า "ความกลัวนั้นคือ นักบุญยอร์น เด๊อะแบ๊ปติสผู้ยิ่งใหญ่มีอิทธิพลเหนือประชาชน อาจจะดึงประชาชนเข้าไปในกองกำลังของพระองค์ และประชาชนโน้มเอียงมากขึ้นในการก่อกบฎ( สำหรับพวกเขารู้สึกเตรียมพร้อมที่ลงมือทำการทุกๆๆอย่างพระองค์ควรจะพิจารณาอย่างรอบคอบ)"
คาทอลิกใช้ NewJerusalem bible //www.catholic.org/bible/

เป็ฯที่แน่ใจว่านักบุญยอร์นกล่าวอย่างเสียงดังแข็งกร้าวในคำพิพากษา
ลูกา Luke 3:9
คำประกาศนักบุญยอร์นผู้ทำพิธีล้าง

3:9 บัดนี้ ขวานกำลังจ่ออยู่ที่รากของต้นไม้แล้ว ต้นไม้ต้นใดที่ไม่ออกผลดีจะถูกโค่นและโยนใส่ไฟ
9 Yes, even now the axe is being laid to the root of the trees, so that any tree failing to produce good fruit will be cut down and thrown on the fire.'

และเกี่ยวกับโยเซฟาสJosephus Antipas จัดการให้นักบุญยอร์นสิ้นใจแทนที่จะอภัยโทษนักบุญยอร์น "เขาผู้ซึ่งมีอำนาจทำให้เราเสียดายกับมัน เมื่อมันสายเกินไป"

ในไบเบิ้ลนักบุญยอร์น เด๊อะแบ๊ปติส ได้ถูกประหารชีวิต มัทธิว Matthew 14:10
ยอร์นผู้ทำพิธีล้างถูกตัดศรีษะ

14:10 กษัตริย์เฮโรดทรงส่งคนไปตัดศรีษะของยอร์นในคุก
10 and sent and had John beheaded in the prison.

ในป้อมปราการ Herodianที่ Machaerus ตั้งอยู่ที่จอร์แดน 5ไมล์ทางฝั่งตะวันออกของทะเลตาย Herodทรงตัดสินใจประหารชีวิตนักบุญยอร์นโดยปราศจาก การปรึกษากับสภา Sanhedrin (สมาชิกที่ปรึกษาในสภาของชาวยิว ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิก 70 คน ซึ่งเป็ฯพระสมณะชั้นสูง มีขอบเขตอำนาจที่ศาลและกฏหมายควบคุมไปถึงสาระสำคัญของศาสนา)
สมาชิกสภาของพระสมณะในยูเดีย แต่หน้าที่ประสิทธิ์ประสาท และอำนาจเหนือทั้งหมดของอิสราเอล พวกเขาเหล่านั้นเห็นชอบด้วยอนุมัติ ในการประหารชีวิตในภายใต้การนำของกฎหมาย Herod ตัดสินใจได้อย่างประหลาดใจ ตั้งแต่นักบุญยอร์นสิ้นใจเป็ฯการส่งเสริมผลักดันให้ เกิดการจราจลก่อกบฎ นั้นคือ Antipas พยายามยับยั้งป้องกัน

หลังจากนักบุญยอร์นสิ้นใจ ผู้ติดตามนักบุญยอร์นทราบ มะระโก Mark 6:29
6:29 เมื่อบรรดาศิษย์ของยอร์นรู้เรื่อง จึงมารับศพของยอร์น นำไปฝังไว้ในคูหา
29 When John's disciples heard about this, they came and took his body and laid it in a tomb.


ผู้ติดตามถึงกับช๊อคตกใจ สับสนงุนงง ไม่มีจุดหมายเคว้งคว้าง พวกเขาจะไปใหน? ทหารของHerodจะมาจับพวกเขาเมื่อไหร่? นักวิจัยหลายๆคน ได้อนุมานลงความเห็นสรุปจากพระวารสารของนักบุญยอร์น(อัครสาวก)ว่า นั้นคือ สมาชิกผู้รับพิธีล้าง สานุศิษย์ หาจุดเริ่มวิ่งไปหา พระเยซูเจ้า ยอร์น John 1:40-41
1:40 อันดรูว์น้องชายของซีโมน เปโตรเป็นคนหนึ่งในสองคนที่ได้ยินคำพูดของยอร์น และตามพระเยซูเจ้าไป
1:41 อันดรูว์พบซีโมนพี่ชายเป็นคนแรก จึงพูดว่า "เราพบพระเมสิยาห์แล้ว"พระเมสิยาห์หรือพระคริสเจ้า แปลว่าผู้รับเจิม
40 One of these two who became followers of Jesus after hearing what John had said was Andrew, the brother of Simon Peter.
41 The first thing Andrew did was to find his brother and say to him, 'We have found the Messiah' - which means the Christ -

เป็นคนแรก สำเนาโบราณบางฉบับว่า แต่เช้าตรู่

พระเมสิยาห์ Messiah: ภาษาฮิบรู masiah, "anointed one" ผู้รับเจิม ดูลูกา Luke 2:11
การประสูติของพระเยซูเจ้า

2:11 วันนี้ ในเมืองของกษัตริย์ดาวิด พระผู้ไถ่ประสูติเพื่อท่านแล้ว พระองค์คือพระคริสต์ องค์พระผู้เป็ฯเจ้า
11 Today in the town of David a Saviour has been born to you; he is Christ the Lord.

ดังนั้น พระองค์เป็ฯพระเมสิยาห์ที่กำลังรอคอยกันอยู่ พระองค์ทรงเป็ฯ"Kyrios" (องค์พระผู้เป็นเจ้า) อีกด้วย พระนามนี้ พันธสัญญาเดิมสงวนไว้สำหรับพระเจ้าเท่านั้น ข้อความนี้จึงแสดงว่ายุคใหม่กำลังจะเริ่มขึ้น ดู 1:43 เชิงอรรถ x

"องค์พระเผู้เป็นเจ้า" (Kyrios) เป็ฯพระนามแสดงสภาพพระเจ้าซึ่งคริสชนใช้เรียกพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชมชีพ (กจ 2:36 เชิงอรรถ w ฟป 2:11 เชิงอรรถ P) ลูกาใช้พระนามนี้กับพระองค์ตั้งแต่ยังทรงพระชมน์อยู่ในโลกนี้บ่อยกว่าที่มัทธิว และมระโกใช้(ลก 7:13 10:1 39:41 11:39)

ปรากฎในภาษากรีก appears in Greek และทับศัพย์ messias ในที่นี้ John 4:25. ที่อื่นๆในภาษากรีก ใช้คำว่า christos
พระเยซูเจ้ากับชาวสะมะเรีย

4:25 หญิงผู้นั้นจึงทูลว่า"ดิฉันรู้ว่า พระเมสิยาห์คือพระคริสต์กำลังจะเสด็จมาและเมื่อเสด็จมา พระองค์จะทรงแจ้งทุกเรื่องให้เรารู้"
25 The woman said to him, 'I know that Messiah-that is, Christ-is coming; and when he comes he will explain everything.'

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 17 พฤษภาคม 2551 เวลา:21:16:22 น.  

 
A Minisry's Beginning

The Temptation of Jesus by the Devil in the Wilderness

The Temptation of Jesus in the Wilderness: As the apostles testify: (Mark 1:12; Matthew 4:1-11; Luke 4:1-13)

The craggy peaks and canyons of the Judean desert stretch between the Samarian hills to the west and the Jordan River Valley to the east.
ในไบเบิ้ลบอกกับเรานั้นคือเป็นครั้งแรกที่พระเยซูเจ้า ตัดสิ้นใจย้ายออกจากสถานที่อันตราย ไปในทิศทางอื่นจากทางตะวันตกเฉียงเหนือของ แถวๆ จอร์แดน ซึ่งตกอยู่ภายใต้การปกครองของ Antipas กลุ่มนี้อาจจะอยู่ทางตอนเหนือของ Bethsaida บนแนวชายฝั่งทะเลกาลิลี ข้าไปชายแดนภูมิภาค Tetrach Philip และหลังจากนั้นไป Capernaum ซึ่งเป็ฯภูมิภาคของ Anitpas ซึ่งมีที่ราบชายฝั่งของทะเลสาบ
มันมีผลรู้สึกอย่างมากมายกับการตอบสนองของผู้นำ พระเยซูเจ้าทรงข้าไปในทะเลทราย นักบุญมะระโกระบุว่านั้นคือ ช่วงเวลาสันโดษของพระเยซูเจ้า 40 วัน
คาทอลิกใช้New Jerusalem Bible //www.catholic.org/bible/
มะระโก Mark 1:13
พระเยซูเจ้าทรงถูกทดลองในถิ่นทุรกันดาร
1:13 พระองค์ประทับอยู่ที่นั่นสี่สิบวันทรงถูกซาตานประจญ พระองค์ทรงอยู่กับสัตว์ป่าบรรดาทูตสวรรค์ปรนนิบัติรับใช้พระองค์
13 and he remained there for forty days, and was put to the test by Satan. He was with the wild animals, and the angels looked after him.

มะระโกเว้นหรือไม่ทราบรายละเอียดเรื่องการประจญสามครั้งซึ่งมัทธิวและลูกาได้มาจากแหล่งอื่น การกล่าวถึงสัตว์ป่าทำให้ระลึกถึงอุดมการณ์แห่งยุคพระเมสิยาห์ตามที่ประกาศกได้กล่าวไว้เมื่อโลกจะมีสันติเช่นในสวรรค์ ดูอิสยาห์ 11:6-9 6 เขิงอรรถ e การที่ทูตสวรรค์มารับใช้พระเยซูเจ้า แสดงว่าพระเจ้าทรงคุ้มครองพระองค์ (เทียบสดุดี 91:11-13 มธ 4:6 ก็ยอกข้อความนี้มาอ้างด้วย)
ขอยืมKJVไบเบิ้ลอะยาว

การยกย่องคนที่รักพระเจ้า สดุดี 91:11-13
91:11 เพราะพระองค์จะรับสั่งเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ในเรื่องท่าน ให้ระแวดระวังท่านในทางทั้งปวงของท่าน
91:12 เขาทั้งหลายจะเอามือประคองชูท่านไว้ เกรงว่าเท้าของท่านจะกระแทกหิน
91:13 ท่านจะเหยียบสิงโตและงูพิษ ท่านจะย่ำสิงโตหนุ่มและมังกร
11 he has given his angels orders about you to guard you wherever you go.
12 They will carry you in their arms in case you trip over a stone.
13 You will walk upon wild beast and adder, you will trample young lions and snakes.

มธ 4:6พญามารทดลองพระเยซู (มก 1:12-13; ลก 4:1-13)
4:4 ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า "มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า `มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า'"
4:5 แล้วพญามารก็นำพระองค์ขึ้นไปยังนครบริสุทธิ์ และให้พระองค์ประทับที่ยอดหลังคาพระวิหาร
4:6 แล้วทูลพระองค์ว่า "ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงโจนลงไปเถิด เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า `พระองค์จะรับสั่งให้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ในเรื่องท่าน และเหล่าทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ เกรงว่าในเวลาหนึ่งเวลาใดเท้าของท่านจะกระแทกหิน'"




4 But he replied, 'Scripture says: Human beings live not on bread alone but on every word that comes from the mouth of God.'
5 The devil then took him to the holy city and set him on the parapet of the Temple.
6 'If you are Son of God,' he said, 'throw yourself down; for scripture says: He has given his angels orders about you, and they will carry you in their arms in case you trip over a stone.'


พระจิตเจ้าซึ่งเคลื่อนลงมาบนพระเยซูเจ้าตอนที่พระเยซูเจ้ารับพิธีล้างตอนนี้ได้ผลักดันพระองค์เข้าไปในทะเลทรายเป็ฯเวลาสี่สิบวัน ผลที่ตามมาคือการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ การเผชิญหน้า และการผจญล่อลวงโดยซาตานซึ่งพยายามทำให้พระเจ้าหมดความอดทน การปรากฎต่อหน้ากับสัตว์ป่าบ่งบอกถึง ความน่ากลัว และอันตรายของในทะเลทรายเกี่ยวกับ ที่พักอาศัยของปีศาจ หรือสะท้อนให้เห็ฯถึงลักษณะสำคัญของสวรรค์พร้อมเพียงกันท่ามกลางทั้งหมดของสรรพสิ่งที่สร้างขึ้น ดู อิสยาห์ Isaiah 11:6-9.
บรรดาสัตว์แห่งโลกนี้จะอยู่เย็นเป็นสุขกับมนุษยชาติ
11:6 สุนัขป่าจะอยู่กับลูกแกะ และเสือดาวจะนอนอยู่กับลูกแพะ ลูกวัวกับสิงโตหนุ่มกับสัตว์อ้วนพีจะอยู่ด้วยกัน และเด็กเล็กๆจะนำมันไป
11:7 แม่วัวกับหมีจะกินด้วยกัน ลูกของมันก็จะนอนอยู่ด้วยกัน และสิงโตจะกินฟางเหมือนวัวผู้
11:8 และทารกกินนมจะเล่นอยู่ที่ปากรูงูเห่า และเด็กที่หย่านมจะเอามือวางบนรังของงูทับทาง
11:9 สัตว์เหล่านั้นจะไม่ทำให้เจ็บหรือจะทำลายทั่วภูเขาอันบริสุทธิ์ของเรา เพราะว่าแผ่นดินโลกจะเต็มไปด้วยความรู้เรื่องของพระยาห์เวห์ ดั่งน้ำปกคลุมทะเลอยู่นั้น
11:6 The wolf shall dwell with the lamb, and the leopard shall lie down with the kid; and the calf and the young lion and the fattened calf together; and a little child shall lead them.
11:7 The cow and the bear shall feed; their young ones shall lie down together; and the lion shall eat straw like the ox.
11:8 The sucking child shall play on the hole of the asp, and the weaned child shall put his hand on the adder's den.
11:9 They shall not hurt nor destroy in all my holy mountain; for the earth shall be full of the knowledge of Yahweh, as the waters cover the sea.

การปรากฎของทูตสวรรค์ดูแลปรนนิบัติพระเยซูเจ้า ทำให้ระลึกถึงทูตสวรรค์ผู้ซึ่งนำทางชาวอิสราเอล ในทะเลทราย.ในการอพยพครั้งแรก ( อพยพ Exodus 14:19; 23:20)
ทะเลแดงก็แยกออก.

14:19 ฝ่ายทูตสวรรค์ของพระเจ้าซึ่งนำพลโยธาอิสราเอลนั้นกลับไปอยู่ข้างหลัง และเสาเมฆซึ่งอยู่ข้างหน้า ก็กลับมาตั้งอยู่ข้างหลังเขา
19 Then the angel of God, who preceded the army of Israel, changed station and followed behind them. The pillar of cloud moved from their front and took position behind them.

ระเบียบในการชนะแผ่นดินคานาอัน
23:20 ดูเถิด เราใช้ทูตสวรรค์องค์หนึ่งเดินนำหน้าพวกเจ้าเพื่อคอยระวังรักษาพวกเจ้าตามทาง นำไปถึงที่ซึ่งเราได้เตรียมไว้
20 'Look, I am sending an angel to precede you, to guard you as you go and bring you to the place that I have prepared.

.และทูตสวรรค์จัดเตรียมอาหารบำรุ่งร่างกายแก่เอลียาห์ในถิ่นทุรกันดาร
(1 พงค์กษัตริย์ Kings 19:5-7)..

เมื่อเอลียาห์หมดกำลัง ทูตสวรรค์มารับใช้ท่าน
19:5 และท่านก็นอนลงหลับอยู่ใต้ต้นไม้จำพวกสนจูนิเปอร์ ดูเถิด มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาถูกต้องท่าน และพูดกับท่านว่า "ลุกขึ้นรับประทานซี"
19:6 และท่านก็มองดู ดูเถิด ตรงที่ศีรษะของท่านมีขนมปังที่ปิ้งบนก้อนหินร้อนและมีไหน้ำใบหนึ่ง ท่านก็รับประทานและดื่ม และนอนลงอีก
19:7 และทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ก็มาอีกเป็นครั้งที่สอง ถูกต้องท่านแล้วว่า "ลุกขึ้นรับประทานซี เพราะว่าทางเดินนั้นเกินกำลังของท่าน"
19:5 He lay down and slept under a juniper tree; and, behold, an angel touched him, and said to him, Arise and eat.
19:6 He looked, and, behold, there was at his head a cake baked on the coals, and a jar of water. He ate and drink, and laid him down again.
19:7 The angel of Yahweh came again the second time, and touched him, and said, Arise and eat, because the journey is too great for you.

การประสานกันของอำนาจในการชักจูงของความดีและ ความชั่วร้าย คือการแสดงให้เห็นว่าพระเยซูเจ้าอยู่ในทะเลทราย พระองค์ทรงยืนยันรักษาไว้ซึ่ง การนำมาสู่อิสราเอลใหม่ของพระเจ้าที่พวกเขาเหล่านั้นนบนอบเชื่อฟัง ที่นั้นที่ซึ่งชาวอิสราเอลก่อกบฎนำมาสู่ความตายและการทำให้เหินห่าง

แต่ตัวอย่างของรูปแบบนี้ในไบเบิ้ลคือเครื่องหมายสัญญาลักษณ์ของการ เดินทางบ่อยๆแทนที่แปลความหมายตามตัวอังษรเป๊ะเป๊ะ ความหมายของ40 วันในทะเลทราย เหมือนกับ 40ปีของชาวอิสราเอลอพยพ ในซีนายSinai คือเวลาของการ ชำระจิตใจให้ใสสะอาด ในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของการเตรียมตัวก่อนที่จะ ก้าวต่อไปข้างหน้าของระยะเวลาช่วงชีวิตของพระองค์(ในสภาวะมนุษย์พระบุคคลที่ 2 ของพระตรีเอกภาพ สามรวมเป็นหนึ่งแยกจากกันไม่ได้)

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 18 พฤษภาคม 2551 เวลา:21:20:30 น.  

 

www.padfield.com
ในเวลาที่ พระองค์ได้กลับไป พระเยซูเจ้าทรงไปทุกหนทุกแห่งของกาลิลี มัทธิว Matthew 4:23
พระเยซูเจ้าทรงประกาศข่าวดีและทรงรักษาผู้เจ็บป่วย
23 พระองค์เสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลีทรงสั่งสอนในศาลาธรรม ทรงประกาศข่าวดี เรื่องพระอาณาจักร ทรงรักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิดของประชาชน
23 He went round the whole of Galilee teaching in their synagogues, proclaiming the good news of the kingdom and curing all kinds of disease and illness among the people.

การักษาโรคอย่างอัศจรรย์ เป็นเครื่องหมายเด่นชัดว่า ยุคของพระเมสิยาห์ได้เริ่มต้นแล้ว ดู 10:1,7 11:4

ใจความสำคัญของภาระกิจของพระเยซูเจ้านี้รวมถึง การบรรยายตามลำดับเหตุการณ์ในส่วนหนึ่งของพระวารสารนักบุญมัทธิว มัทธิวMatthew 3-4
ในพระราชกรณียกิจของพระองค์นี้ คือทรงสั่งสอน ทรงประกาศข่าวดี และ ทรงรักษาโรคให้หาย ดูมัทธิว Matthew 9:35.
ความทุกข์ของประชาชน
35 พระเยซูเจ้าเสด็จไปตามเมืองและตามหมู่บ้าน ทรงสั่งสอนในศาลาธรรมทรงประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักร ทรงรักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิด
35 Jesus made a tour through all the towns and villages, teaching in their synagogues, proclaiming the good news of the kingdom and curing all kinds of disease and all kinds of illness.


การที่พระเยซูเจ้า ทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกชนิดhealer, miracle cure และทรงขับไล่ปีศาจ หรือรักษาคนตายให้ฟื้นคืนชีพ หรืออัศจรรย์อื่นๆ เป็นเรื่องที่ ไม่ปฎิเสธ .........เพราะพระเยซูเจ้าคือพระเจ้า พระอานุภาพของพระเป็นเจ้า พระผู้สร้างสรรพสิ่ง...........
เมื่อมีอัศจรรย์เกิดขึ้น.....เลียนแบบพระแม่มารีย์ ........นิ่งเงียบเรียบง่าย......ขอบพระคุณพระเป็นเจ้าขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์

ประเด็นอยู่ที่ว่า.......ตัวอย่างเช่น ......วันนี้พระเยซูเจ้า เหาะได้ 2000 เมตร ........ เป็นที่ฮือฮา โอเค พระองค์แสดงอัศจรรย์ น่าตื่นเต้น.........วันต่อไป พระเยซูเจ้าแสดงอัศจรรย์อีก 5000 เมตร กะตื่นเต้นต่อไปอีก.......และกะชักเฉยเฉยแหละ .....เพราะรู้กันอยู่แล้วว่าพระองค์ เหาะกี่เมตรกี่เมตรก็ได้กลายเป็นเฝือไม่น่าตื่นเต้นอีกต่อไป.......

ประเด็นของคริสชนคือดำเนินชีวิตตามพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ทรงสอน.....และคือการปฎิบัติการแสดงออกตามคำสอนของพระองค์....... เพราะพระเจ้าทรงรักเรามาก ปฐมกาล 1:26 26 พรเจ้าตรัสว่า "เรา" จงสร้างมนุษย์ขึ้นตามภาพลักษณ์ของเรา ให้มีความคล้ายคลึง กับเรา
Genesis 1:26 Then God said: "Let us make man in our image, after our likeness
Source :Father Chaiya Kitsawat Bangkok Thailand


วิถีทางของพระเยชูเจ้าไม่ได้นำความอ้างว้างโดดเดี่ยวในที่ทุรกันดาร แต่ในใจกลางเมืองกาลิลี สถานที่ซึ่งคนบาป (คนเก็บภาษี Tax collectors, หรือ Publicans) และร่วมมือประสานงานโดย โรมันที่สามารถพบได้ เหมือนกับ
หมอ หรือแพทย์ พระเยซูเจ้าทรงตรงไปยังสถานที่นั้นที่ซึ่งคาดหวังว่าได้พบคนป่วย และรอที่จะรักษา

เป็นเมืองแรกและ ในตามความเป็ฯจริง คือเมืองคาเปอร์นาอุมCapernaum คือจุดสำคัญในภาระกิจของพระเยซูเจ้า สถานที่ซึ่ง Simon Peter, เมืองคาเปอร์นาอุม ตั้งอยู่ใจกลางของทะเล กาลิลี ติดกับ เส้นทางการเดินเรือทางตะวันออกของแนวชายฝั่ง และ เมือง Decapolis ภูมิภาคของสหพันธ์กรีก ซึ่งมีเมือง10เมือง รวมกัน และทางตะวันตกที่ราบชายฝั่ง และเขตห่างไกลจากตัวเมืองของกาลิลี คาเปอร์นาอุม อยู่ตรงหน้าและเป็นหัวใจสำคัญ คือภาระกิจของพระเยซูเจ้าในพระตรีเอกภาพ พื้นที่ล้อมรอบคือ Bethsaida, Chorazin และ Capernaum สถานที่ซึ่งเป็ฯจุดศูนย์รวมในภาระกิจของพระเยซูเจ้า

ะหว่างที่พวกเขาเหล่านั้นในกระบวนการขุดค้นหาวัตถุโบราณ (ในสถานที่ทางประวัติศาสตร์)ในครั้งแรก ปี1905 นักโบราณคดีชาวเยอรมัน H.Kohl และ C.Watzinger ค้นพบศาลาธรรมที่สวยงาม สร้างด้วยหินอ่อน มีพื้นที่ตรงกลางสำหรับสวด ด้านข้างทางเดินระหว่างที่นั่ง ในโบสถ์แกะสลักอย่างหรูหราเป็นแถวๆ ที่ศาลาธรรมนี้เป็นที่หนึ่งที่พระเยซูเจ้าทรงประกาศ ลูกา luke 4:31-37
ขอยืม KJVไบเบิ้ลอะยาว
พระเยซูเจ้าทรงเทศน์สอนที่เมืองคาเปอรนาอุม ทรงรักษคนถูกปีศาจสิง(มก 1:23-26)
4:31 พระองค์เสด็จลงไปถึงเมืองคาเปอรนาอุมแคว้นกาลิลี และได้สั่งสอนเขาทั้งหลายทุกวันสะบาโต
4:32 คนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจด้วยการสอนของพระองค์ เพราะคำของพระองค์ประกอบด้วยอำนาจ
4:33 มีชายคนหนึ่งในธรรมศาลาที่มีผีโสโครกเข้าสิง เขาร้องเสียงดัง
4:34 กล่าวว่า "ไฮ้ พระเยซูชาวนาซาเร็ธ ปล่อยเราไว้ เราเกี่ยวข้องอะไรกับท่านเล่า ท่านมาเพื่อจะทำลายเราหรือ เรารู้ว่าท่านเป็นผู้ใด ท่านคือองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า"
4:35 พระเยซูจึงตรัสห้ามมันว่า "จงนิ่งเสีย ออกมาจากเขาซิ" เมื่อผีนั้นได้ทำให้เขาล้มลงท่ามกลางประชาชนแล้ว ก็ออกมาจากเขา แต่มิได้ทำอันตรายเขาเลย
4:36 คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนักพูดกันว่า "คำนี้เป็นอย่างไรหนอ เพราะว่าท่านได้สั่งผีโสโครกด้วยสิทธิอำนาจและด้วยฤทธิ์เดช มันก็ออกมา"
4:37 กิตติศัพท์ของพระองค์จึงได้เลื่องลือไปทุกตำบลที่อยู่รอบนั้น
31 He went down to Capernaum, a town in Galilee, and taught them on the Sabbath.
32 And his teaching made a deep impression on them because his word carried authority.
33 In the synagogue there was a man possessed by the spirit of an unclean devil, and he shouted at the top of his voice,
34 'Ha! What do you want with us, Jesus of Nazareth? Have you come to destroy us? I know who you are: the Holy One of God.'
35 But Jesus rebuked it, saying, 'Be quiet! Come out of him!' And the devil, throwing the man into the middle, went out of him without hurting him at all.
36 Astonishment seized them and they were all saying to one another, 'What is it in his words? He gives orders to unclean spirits with authority and power and they come out.'
37 And the news of him travelled all through the surrounding countryside.

ภาระกิจของพระเยซูเจ้าเหตุการณ์หลากหลายต่อไป ที่เกิดขึ้นในคาเปอรนาอุม และอ้างอิงจากพระวารสารนักบุญลูกา ของนักบุญมะระโก Mark 1:21-39.
พระเยซูทรงขับผีในเมืองคาเปอรนาอุม (ลก 4:31-37)
1:21 พระองค์กับพวกของพระองค์จึงเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุม และพอถึงวันสะบาโตพระองค์ได้เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาเทศนาสั่งสอน
1:22 เขาทั้งหลายก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์ เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสั่งสอนเขาด้วยสิทธิอำนาจ หาเหมือนพวกธรรมาจารย์ไม่
1:23 มีชายคนหนึ่งในธรรมศาลาของเขามีผีโสโครกเข้าสิง มันได้ร้องออกมา
1:24 ว่า "พระเยซูชาวนาซาเร็ธ ปล่อยเราไว้ เราเกี่ยวข้องอะไรกับท่านเล่า ท่านมาเพื่อจะทำลายเราหรือ เรารู้ว่าท่านเป็นผู้ใด ท่านคือองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า"
1:25 พระเยซูจึงตรัสห้ามมันว่า "เจ้าจงนิ่งเสีย ออกมาจากเขาซิ"
1:26 และเมื่อผีโสโครกทำให้คนนั้นชักและร้องเสียงดังแล้ว มันก็ออกมาจากเขา
1:27 คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนักจึงถามกันว่า "การนี้เป็นอย่างไรหนอ นี่เป็นคำสั่งสอนใหม่อะไร ท่านสั่งผีโสโครกด้วยสิทธิอำนาจและมันก็เชื่อฟังท่าน"
1:28 ในขณะนั้น กิตติศัพท์ของพระองค์ได้เลื่องลือไปทั่วแว่นแคว้นบ้านเมืองที่อยู่รอบแขวงกาลิลี
21 They went as far as Capernaum, and at once on the Sabbath he went into the synagogue and began to teach.
22 And his teaching made a deep impression on them because, unlike the scribes, he taught them with authority.
23 And at once in their synagogue there was a man with an unclean spirit, and he shouted,
24 'What do you want with us, Jesus of Nazareth? Have you come to destroy us? I know who you are: the Holy One of God.'
25 But Jesus rebuked it saying, 'Be quiet! Come out of him!'
26 And the unclean spirit threw the man into convulsions and with a loud cry went out of him.
27 The people were so astonished that they started asking one another what it all meant, saying, 'Here is a teaching that is new, and with authority behind it: he gives orders even to unclean spirits and they obey him.'
28 And his reputation at once spread everywhere, through all the surrounding Galilean countryside.

พระเยซูทรงรักษาแม่ยายของซีโมนเปโตร (มธ 8:14-15; ลก 4:38-39)
1:29 พอออกมาจากธรรมศาลา พระองค์กับพวกของพระองค์จึงเข้าไปในเรือนของซีโมนและอันดรูว์ พร้อมกับยากอบและยอห์น
1:30 แม่ยายของซีโมนนอนป่วยเป็นไข้อยู่ ในทันใดนั้นเขาจึงมาทูลพระองค์ให้ทราบด้วยเรื่องของนาง
1:31 แล้วพระองค์ก็เสด็จไปจับมือนางพยุงขึ้นและทันใดนั้นไข้ก็หาย นางจึงปรนนิบัติเขาทั้งหลาย
29 And at once on leaving the synagogue, he went with James and John straight to the house of Simon and Andrew.
30 Now Simon's mother-in-law was in bed and feverish, and at once they told him about her.
31 He went in to her, took her by the hand and helped her up. And the fever left her and she began to serve them.


พระเยซูทรงรักษาคนเป็นอันมากเวลาเย็น (มธ 8:16-17; ลก 4:40-41)
1:32 เวลาเย็นวันนั้นครั้นตะวันตกแล้ว คนทั้งหลายพาบรรดาคนเจ็บป่วย และคนที่มีผีสิง มาหาพระองค์
1:33 และคนทั้งเมืองก็แตกตื่นมาออกันอยู่ที่ประตู
1:34 พระองค์จึงทรงรักษาคนเป็นโรคต่างๆให้หายหลายคน และได้ทรงขับผีออกเสียหลายผี แต่ผีเหล่านั้นพระองค์ทรงห้ามมิให้พูด เพราะว่ามันรู้จักพระองค์
32 That evening, after sunset, they brought to him all who were sick and those who were possessed by devils.
33 The whole town came crowding round the door,
34 and he cured many who were sick with diseases of one kind or another; he also drove out many devils, but he would not allow them to speak, because they knew who he was.

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 19 พฤษภาคม 2551 เวลา:23:25:44 น.  

 
In The Footsteps of Jesus




จากข้างบนของนักบุญมะระ Mark 1:21-39. ต่อ
คาทอลิกใช้New Jerusalem Bible //www.catholic.org/bible/
ขอยืมKJVไบเบิ้ลอะยาว
พระเยซูทรงอธิษฐานและออกไปประกาศ (ลก 4:42-44)

1:35 ครั้นเวลาเช้ามืดพระองค์ได้ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่เปลี่ยว และทรงอธิษฐานที่นั่น
1:36 ฝ่ายซีโมนและคนทั้งหลายที่อยู่ด้วยก็ตามหาพระองค์
1:37 เมื่อพวกเขาพบพระองค์แล้ว เขาจึงทูลพระองค์ว่า "คนทั้งปวงแสวงหาพระองค์"
1:38 พระองค์ตรัสแก่เขาว่า "ให้เราทั้งหลายไปในบ้านเมืองใกล้เคียง เพื่อเราจะได้ประกาศที่นั่นด้วย ที่เรามาก็เพื่อการนั้นเอง"
1:39 พระองค์ได้ประกาศในธรรมศาลาของเขาทั่วแคว้นกาลิลี และได้ขับผีออกเสียหลายผี
35 In the morning, long before dawn, he got up and left the house and went off to a lonely place and prayed there.
36 Simon and his companions set out in search of him,
37 and when they found him they said, 'Everybody is looking for you.'
38 He answered, 'Let us go elsewhere, to the neighbouring country towns, so that I can proclaim the message there too, because that is why I came.'
39 And he went all through Galilee, preaching in their synagogues and driving out devils.



ภาระกิจของพระเยซูเจ้าเหตุการณ์หลากหลายต่อไป ที่เกิดขึ้นในคาเปอรนาอุม และอ้างอิงจากพระวารสารนักบุญลูกา




เมื่อก่อนพรรณาว่า พระเยซูเจ้าในฐานะบทบาทประกาศกTo the previous portrait of Jesus as prophet
(Luke 4:16-30)


พระเยซูเสด็จกลับไปยังธรรมศาลาในเมืองนาซาเร็ธ
4:16 แล้วพระองค์เสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ เป็นที่ซึ่งพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาในวันสะบาโตตามเคย และทรงยืนขึ้นเพื่อจะอ่านพระคัมภีร์
4:17 เขาจึงส่งพระคัมภีร์อิสยาห์ศาสดาพยากรณ์ให้แก่พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคลี่หนังสือนั้นออก ก็ค้นพบข้อที่เขียนไว้ว่า
4:18 `พระวิญญาณแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่บนข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ให้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้รักษาคนที่ชอกช้ำระกำใจ ให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ฟกช้ำเป็นอิสระ
4:19 และให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า'
4:20 แล้วพระองค์ทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้แก่เจ้าหน้าที่ แล้วทรงนั่งลงและตาของคนทั้งปวงในธรรมศาลาก็เพ่งดูพระองค์
4:21 พระองค์จึงเริ่มตรัสแก่เขาว่า "คัมภีร์ตอนนี้ที่ท่านได้ยินกับหูของท่านก็สำเร็จในวันนี้แล้ว"
4:22 คนทั้งปวงก็เป็นพยานรับรองคำของพระองค์ และประหลาดใจด้วยถ้อยคำอันประกอบด้วยคุณซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ และว่า "คนนี้เป็นบุตรชายของโยเซฟมิใช่หรือ"
4:23 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า "ท่านทั้งหลายจะกล่าวคำสุภาษิตข้อนี้แก่เราเป็นแน่ คือว่า `หมอจงรักษาตัวเองเถิด คือบรรดาการซึ่งเราได้ยินว่า ท่านได้กระทำในเมืองคาเปอรนาอุม จงกระทำในเมืองของตนที่นี่ด้วย'"
4:24 พระองค์ตรัสว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ไม่มีศาสดาพยากรณ์คนใดได้รับการต้อนรับในบ้านเมืองของตน
4:25 แต่เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มีหญิงม่ายหลายคนในพวกอิสราเอลคราวเอลียาห์ เมื่อท้องฟ้าปิดเสียถึงสามปีกับหกเดือนจึงเกิดกันดารอาหารมากทั่วแผ่นดิน
4:26 และเอลียาห์มิได้รับใช้ให้ไปหาหญิงม่ายคนใด เว้นแต่หญิงม่ายคนหนึ่งในบ้านศาเรฟัทแคว้นเมืองไซดอน
4:27 และมีคนโรคเรื้อนหลายคนในพวกอิสราเอลคราวเอลีชาศาสดาพยากรณ์ แต่ไม่มีผู้ใดได้รับการรักษาให้หายโรคนั้นเลย เว้นแต่นาอามานชาวซีเรีย"
4:28 เมื่อคนทั้งปวงในธรรมศาลาได้ยินดังนั้นก็โกรธยิ่งนัก
4:29 จึงลุกขึ้นผลักพระองค์ออกจากเมือง พาไปยังแง่ของเงื้อมเขาที่เมืองของเขา ซึ่งตั้งอยู่บนเนินนั้น หมายจะผลักพระองค์ลงไป
4:30 แต่พระองค์ทรงดำเนินผ่านท่ามกลางเขาพ้นไป
16 He came to Nazara, where he had been brought up, and went into the synagogue on the Sabbath day as he usually did. He stood up to read,
17 and they handed him the scroll of the prophet Isaiah. Unrolling the scroll he found the place where it is written:
18 The spirit of the Lord is on me, for he has anointed me to bring the good news to the afflicted. He has sent me to proclaim liberty to captives, sight to the blind, to let the oppressed go free,
19 to proclaim a year of favour from the Lord.
20 He then rolled up the scroll, gave it back to the assistant and sat down. And all eyes in the synagogue were fixed on him.
21 Then he began to speak to them, 'This text is being fulfilled today even while you are listening.'
22 And he won the approval of all, and they were astonished by the gracious words that came from his lips. They said, 'This is Joseph's son, surely?'
23 But he replied, 'No doubt you will quote me the saying, "Physician, heal yourself," and tell me, "We have heard all that happened in Capernaum, do the same here in your own country." '
24 And he went on, 'In truth I tell you, no prophet is ever accepted in his own country.
25 'There were many widows in Israel, I can assure you, in Elijah's day, when heaven remained shut for three years and six months and a great famine raged throughout the land,
26 but Elijah was not sent to any one of these: he was sent to a widow at Zarephath, a town in Sidonia.
27 And in the prophet Elisha's time there were many suffering from virulent skin-diseases in Israel, but none of these was cured-only Naaman the Syrian.'
28 When they heard this everyone in the synagogue was enraged.
29 They sprang to their feet and hustled him out of the town; and they took him up to the brow of the hill their town was built on, intending to throw him off the cliff,
30 but he passed straight through the crowd and walked away.


ตอนนี้พวกเขาเพิ่มเติมไปอีกว่าพระองค์คือพระอาจารย์ รับไบ they now add a presentation of him as teacher (Luke 4:31-32),

พระเยซูทรงขับพวกผีในเมืองคาเปอรนาอุม (มก 1:23-26)
4:31 พระองค์เสด็จลงไปถึงเมืองคาเปอรนาอุมแคว้นกาลิลี และได้สั่งสอนเขาทั้งหลายทุกวันสะบาโต
4:32 คนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจด้วยการสอนของพระองค์ เพราะคำของพระองค์ประกอบด้วยอำนาจ
31 He went down to Capernaum, a town in Galilee, and taught them on the Sabbath.
32 And his teaching made a deep impression on them because his word carried authority.

ทรงขับไล่ปีศาจ exorcist (Luke 4:32-37, 41),
4:32 คนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจด้วยการสอนของพระองค์ เพราะคำของพระองค์ประกอบด้วยอำนาจ
4:33 มีชายคนหนึ่งในธรรมศาลาที่มีผีโสโครกเข้าสิง เขาร้องเสียงดัง
4:34 กล่าวว่า "ไฮ้ พระเยซูชาวนาซาเร็ธ ปล่อยเราไว้ เราเกี่ยวข้องอะไรกับท่านเล่า ท่านมาเพื่อจะทำลายเราหรือ เรารู้ว่าท่านเป็นผู้ใด ท่านคือองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า"
4:35 พระเยซูจึงตรัสห้ามมันว่า "จงนิ่งเสีย ออกมาจากเขาซิ" เมื่อผีนั้นได้ทำให้เขาล้มลงท่ามกลางประชาชนแล้ว ก็ออกมาจากเขา แต่มิได้ทำอันตรายเขาเลย
4:36 คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนักพูดกันว่า "คำนี้เป็นอย่างไรหนอ เพราะว่าท่านได้สั่งผีโสโครกด้วยสิทธิอำนาจและด้วยฤทธิ์เดช มันก็ออกมา"
4:37 กิตติศัพท์ของพระองค์จึงได้เลื่องลือไปทุกตำบลที่อยู่รอบนั้น
32 And his teaching made a deep impression on them because his word carried authority.
33 In the synagogue there was a man possessed by the spirit of an unclean devil, and he shouted at the top of his voice,
34 'Ha! What do you want with us, Jesus of Nazareth? Have you come to destroy us? I know who you are: the Holy One of God.'
35 But Jesus rebuked it, saying, 'Be quiet! Come out of him!' And the devil, throwing the man into the middle, went out of him without hurting him at all.
36 Astonishment seized them and they were all saying to one another, 'What is it in his words? He gives orders to unclean spirits with authority and power and they come out.'
37 And the news of him travelled all through the surrounding countryside.

4:41 ผีก็ออกมาจากคนหลายคนด้วย ร้องว่า "ท่านเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า" ฝ่ายพระองค์ก็ทรงห้ามมิให้มันพูด เพราะว่ามันรู้แล้วว่าพระองค์เป็นพระคริสต์
41 Devils too came out of many people, shouting, 'You are the Son of God.' But he warned them and would not allow them to speak because they knew that he was the Christ.


ทรงรักษาโรค healer (Luke 4:38-40),
พระเยซูทรงเทศนาและรักษาคนเจ็บป่วย (มธ 8:14-17; มก 1:29-38)
4:38 ฝ่ายพระองค์ทรงลุกขึ้นออกจากธรรมศาลา เสด็จเข้าไปในเรือนของซีโมน แม่ยายซีโมนป่วยเป็นไข้หนัก เขาทั้งหลายจึงอ้อนวอนพระองค์ให้ช่วยหญิงนั้น
4:39 พระองค์ทรงยืนอยู่ข้างคนเจ็บ ทรงห้ามไข้ ไข้ก็หาย และในทันใดนั้นแม่ยายของซีโมนก็ลุกขึ้นปรนนิบัติเขาทั้งหลาย
4:40 ครั้นเวลาตะวันยอแสง ใครมีคนเจ็บเป็นโรคต่างๆก็พามาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงวางพระหัตถ์ถูกต้องเขาทุกคน ให้เขาหายโรค
38 Leaving the synagogue he went to Simon's house. Now Simon's mother-in-law was in the grip of a high fever and they asked him to do something for her.
39 Standing over her he rebuked the fever and it left her. And she immediately got up and began to serve them.
40 At sunset all those who had friends suffering from diseases of one kind or another brought them to him, and laying his hands on each he cured them.



และพระเยซูเจ้าทรงประกาศอาณาจักรของพระเจ้าand proclaimer of God's kingdom
(Luke 4:43).),


4:43 แต่พระองค์ตรัสแก่เขาว่า "เราต้องไปประกาศเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าแก่เมืองอื่นด้วย เพราะว่าที่เราได้รับใช้มาก็เพราะเหตุนี้เอง"
43 but he answered, 'I must proclaim the good news of the kingdom of God to the other towns too, because that is what I was sent to do.'


Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible



โดย: Bernadette วันที่: 20 พฤษภาคม 2551 เวลา:21:07:38 น.  

 

Source :www.jesuswalk.com
Discovered along the Sea of Galilee in 1986 the remains of this first-century c.e. boat show how jesus's vessel, used in his ministry, might have been built.


Boat mosaic now on display at Capernaum.

และในกระบวนการขุดค้นหาวัตถุโบราณ (ในสถานที่ทางประวัติศาสตร์)ทำงานอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 1960 ระบุว่าศาลาธรรมsynagogue สร้างในปีศตวรรษที่ 3-4 ของคริสตกาล อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สนับสนุน ในการขุดค้นได้ปรากฎให้เห็ฯ นั้นคือ ศาลาธรรม Synagogue ชั้นบนสุดที่เก่าแก่ที่สุดคล้ายๆๆกับบ้านสำหรับใช้นมัสการ ตึกสร้างที่เก่าแก่นี้อยู่ในช่วงเวลาของพระเยซูเจ้า

ศาลาธรรม synagogue ความละเอียดซับซ้อน ด้านหน้าของตึกที่แสดงรายละเอียดของสถาปัตยกรรม กับการแกะสลัก ต้นปาล์ม และใบปาล์ม ข้อสงสัยเล็กน้อยของเมืองคาเปอรนาอุม ความั่งคั่งในสถานที่นี้ จากการค้าขาย หินภูเขาไฟ น้ำมันโอรีฟ และไวน์ หลักฐานนี้คือ ความร่ำรวย ในทุกๆที่ ก้าวเล็กๆ จาก ศาลาธรรม synagogue การปลดปล่อยการผ่อนคลายของ ไร่องุ่น ใกล้ๆรอบๆ ในการแกะสลัก เป็นรูปองุ่นและต้นไม้หรือผลตะกูลมะเดื่อ อย่างละเอียดอ่อนในส่วนบนสุดของผนัง ในการบรรยายให้เห็ฯภาพของ หีบพันธสัญญา

ความฟุ่มเฟือย ความหรูหราเพลิดเพลิน ถือเป็นการละเมิดของนักบุญยอร์น เด๊อะ แบปติส แต่สำหรับพระเยซูเจ้า คาเปอรนาอุม คือสัญญาลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบในกาลิลี ที่ไม่แน่นอนของสมดุลย์ระหว่างชาวยิวในความตระหนักรู้ และความั่งคั่งของ Greco-Roman

ในไบเบิ้ลอธิบายว่า พระเยซูทรงเดินทางไปกับชาวประมง ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมทางกับพระองค์ในทะเลกาลิลี เรือของพวกเขาเหล่านั้นให้พระองค์เดินทางในทะเลสาบอย่างรวดเร็ว ไม่เหมือนกับนักบุญยอร์น เด๊อะแบปติส พระเยซูเจ้าไม่รอประชาชนมาหาพระองค์ แทนที่ พระองค์เอาจริงเอาจังกับการตัดสินความ พระองค์ทรงเติบโตด้วยการประกาศข่าวดี โดยเสด็จเยี่ยมเยียน หมู่บ้านที่แตกต่างกันหลายๆๆที่ และเป็ฯไปได้ที่ เรือลำเล็กๆๆ ขับเคลื่อนได้รวดเร็ว และประหยัดอย่างที่สุด ความหมายคือ สำหรับการปฎิบัติอย่างตั้งใจ

Galilee Yields Ancient Treasure:
2000-Year-Old Craft
Matches Description of Peter's Boat

Source ://www.leaderu.com/theology/craftmatches.html
the excavation team (pictured above) carefully worked to preserve the first century craft. Today, the boat may be seen at a specially built museum in Kibbutz Ginossar on the Sea of Galilee.

พระวารสาร 20 บท กล่าวถึง เรือที่ใช้โดยพระเยซูเจ้า เกี่ยวกับนักบุญมัทธิว

Matthew 8:23
พระเยซูเจ้าทรงทำให้พายุสงบ
23 พระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือ บรรดาศิษย์ติดตามพระองค์ไปด้วย
23 Then he got into the boat followed by his disciples.

เรือคือ ความหมายโดยนัยยะ เรือใหญ่ที่เพียงพอให้ อัครสาวก 10-13 คนรวมถึงพระเยซูเจ้า


SEA OF GALILEE, Israel - In January, 1986, Moshe and his brother, Yuval, gazed upon the Sea of Galilee and happened to notice an odd shaped shadow along the floor of the lake. The Sea of Galilee was dangerously low due to a severe drought, and this was the first time Moshe and Yuval - both modern-day fisherman - were able to see the bottom of the sea so clearly.


เกี่ยวกับพยานวัตถุทั้งหมด อธิบายตัวอย่างของเรือ ไม่มีใครรู้ว่า ลักษณะเป็นอย่างไร จนกระทั้งฤดูหนาว ปี 1986 เมื่อ ความแห้งแล้งขาดแคลน ไทำให้ระดับน้ำของทะเลกาลิลีลดลง สิ่งที่ปรากฎออกมา หลักฐานทางโบราณคดีของเรือ สภาพยังคงอยู่อย่างสมบรูณ์ ที่พบระยะห่างไม่เกิน ห้าไมล์ของคาเปอร์นาอุม ผู้เชี่ยวชาญได้ฟื้นฟูปฎิสังขร โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ทดสอบคาร์บอน ระบุช่วงอายุของเรือ พวกเขาเหล่านั้นทึ่งและประหลาดใจ กับการค้นพบ นั้นคือเรือสร้างระหว่าง ปีที่ 50 ก่อนคริสตกาล -ปีที่ 50 ของคริสตกาล นั้นคือระยะเวลาคาบเกี่ยวกัน ในช่วงเวลาภาระกิจของพระเยซูเจ้า


Source ://www.biblewalks.com
Jesus Boat

A 1st C AD fishing boat was found on the shore of the sea of Galilee, which may be from Jesus times, or the Jewish revolt. It is displayed in a museum in Kibbutz Ginnosar.


Model at museam
ความประทับใจเรือของชาวกาลิลีนี้ ได้แก่ หลักฐานงานฝีมือหัตถศิลป์ทางโบราณคดี ความยาว 26 feet และ กว้าง 7.5 feet ใหญ่เพียงพอและสะดวกสะบายที่บรรจุ คน 10 คน กับกระสอบ และ แหจับปลา แผ่นกระดานสำหรับปูพื้น ผูกติดเข้าด้วยกันกับ ข้อต่อ โดยตอกหมุด วิธีการสร้างได้รับการสนับสนุน โดย ผู้ต่อเรือ โดยตลอดของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible



โดย: Bernadette วันที่: 21 พฤษภาคม 2551 เวลา:22:02:23 น.  

 
King of Kings - Jesus Christ Mighty Sermon on the Mount



ระหว่างการเดินทาง ควบคู่ไปกับ แนวชายฝั่งทะเลกาลิลี ตามที่รายงานไว้ พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอน บนเนินเขา ใกล้ๆ Tabigha ดึงดูดความสนใจของฝูงชนขนาดใหญ่ ในพื้นที่ลาดเอียงโดยทั่วไป เสียงของพระองค์สะท้อนไปยังผู้ฟัง พระเยซูเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงประชาชนและตรัสว่า มัทธิว Mattew 5:3-9)

บทเทศน์บนภูเขา
ความสุขแท้จริง
5:3 ผู้มีใจยากจน ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา (คือวางใจในพระเจ้า)

3 How blessed are the poor in spirit: the kingdom of Heaven is theirs.

"จน" ภาษากรีก Penes (เปเนส)หมายถึง จน ในใจความของการขาดสิ่งของฟุ้มเฟือย แต่ยังช่วยเหลือตัวเองได้และสามารถดำรงชีวิตด้วยตัวเองได้
ANI (อานี) และ ebion (เอบีโอน)มาจากภาษาอาราเมอิก ความหมาย ไม่มีอิทธิพล ไม่มีอำนาจ ชื่อเสียง ไม่มีใครช่วเหลือ ผู้อื่นดูหมิ่น ข่มเหงต่างๆนานา และเพราะถูกกดขึ่ขมเหงจนไม่มีที่พึ่งในโลกนี้อีกแล้ว เขาจึง "มอบความวางใจทั้งหมดไว้ในองค์พระผู้เป็นเจ้า "พระองค์ทรงช่วยคนอ่อนแอและขัดสนให้พ้นจากผู้ฉกฉวยทรัพย์สินของเขา (สดด 35:10)

5:4 ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้า ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับการปลอบโยน (การเป็นทุกข์กลับใจถึงบาป)
4 Blessed are the gentle: they shall have the earth as inheritance.

คำกรีก pentheo (เพนแธโอ) บ่งบอกถึงความทุกข์โศกเศร้าถึงก้นบึ้งแห่งหัวใจจนไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ มักใช้กับการสูญเสยบุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง ดังเช่นความทุกข์โศกเศร้าของยาโคปเมื่อทราบว่าโยเซฟบุตรสุดที่รักเสียชีวิตแล้ว (ปฐก 37:34,ปฐก 50:3:1 มคบ 12:52 13:26 2 คร 12:21)

สิ่งแรกที่พระเยซูเจ้าทรงเทศน์สอนเมื่อเริ่มต้นภารกิจคือ "จงเป็นทุกข์กลับใจ" ดังนั้นความหมายประการสุดท้ายคือ "เป็นบุญของผู้เศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่เห็ฯว่าบาปของตนได้ทำร้ายพระเยซูเจ้าและทำให้ต้องพลัดพรากจากพระองค์ จึงเป็นทุกข์กลับใจ และได้รับการอภัยจากพระองค์"

ข้าแต่พระเจ้า เครื่องบูชาของข้าพเจ้าคือดวงจิตที่เป็ฯทุกข์ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ไม่ทรงรังเกียจใจที่เป็ฯทุกข์และถ่อมตน (สดด 51:17)

5:5 ผู้มีใจอ่อนโยน ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก (การตะหนักถึงความอ่อนแอของตน ต้องการพระเจ้าอย่างสิ้นสุดใจ)
5 Blessed are those who mourn: they shall be comforted.

คำว่าอ่อนโยน ตรงกับ paraus (พราอูส)ในภาษากรีก คำว่าพราอส ใช้ตรงกันข้ามกับ หยิ่งยโส ความหมายประการสุดท้ายคือ เป็นบุญของผู้ที่มีความสุภาพ เหตุว่าเขาจะตะหนักถึงความไม่รู้ และเกิดต้องการเรียนรู้ใหม่ๆ ต่างจากคนหยิ่งยโสที่ทะนงตนว่ารู้ทุกสิ่งแล้วจึงไม่ยอมเรียนรู้หรือรับสิ่งใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตกลายเป็ฯคนโง่ล้าหลงในที่สุด

นอกจากนี้ผู้ที่มีความสุภาพยังจะมีศาสนาอยู่ในหัวใจอย่างแท้จริง เพราะเขาตะหนักถึงความอ่อนแอของตน ต้องการพระเจ้าอย่างสิ้นสุดใจ

5:6 ผู้หิวกระหายความยุติธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะอิ่ม (ใฝ่หาความชอบธรรมอย่างเข้มข้นที่สุด)
6 Blessed are those who hunger and thirst for uprightness: they shall have their fill.

นกรณีนี้ ความชอบธรรม (dikaiosunen ดีคัยออซูเนน)ภาษากรีก ไม่ได้อยู่ในรูป genitive case แต่อยู่ในรูป accusative case ซึ่งเปรียบได้กับ กรรมตรง(direct object)ในภาษาไทย

หมายความว่า ความสุขประการนี้นอกจากจะเรียกร้องให้เราใฝ่หาความชอบธรรมอย่างเข้าข้นที่สุดแล้ว ยังเรียกร้องให้เราใฝ่หาความชอบธรรมทั้งครบอีกด้วย

ความชอบธรรม ของพระวารสารนักบุญมัทธิว ความหมายคือ การจัดการปฎิบัติความประพฤติสอดคล้องกันเป็ฯหนึ่งเดียวกับพระเป็ฯเจ้า

5:7 ผู้มีใจเมตตา ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา (ความเมตตาดำเนินชีวิตอย่างสงบสุข เพราะแต่ละคนเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน และคำนึงถึงความรู้สึกผู้อื่นแก่ตัวเอง)
7 Blessed are the merciful: they shall have mercy shown them.

เมตตา ตรงกับภาษา ฮิบรู chesedh (เขะเส็ด) ซึ่งหมายถึง ความสามารถที่จะเข้าไปอยู่กับผู้อื่น แล้วมองด้วยสายตาของผู้อื่น คิดด้วยสายตาของผู้อื่น และรู้สึกด้วยความรู้สึกผู้อื่น จากนิยามนี้ ผู้ที่เมตตาที่สุด คือพระเป็ฯเจ้านั้นเอง

5:8 ผู้มีใจบริสุทธิ์ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า (การสำรวจมโนธรรมของตัวเองอย่างถี่ถ้วน)
8 Blessed are the pure in heart: they shall see God.

บริสุทธิ์ ตรงกับภาษากรีก Katharos (คาธารอส) ผู้ที่สามารถมองเห็นพระเจ้าผู้ทรงเป็ฯองค์ความบริสุทธิ์ได้ จึงต้องเป็ฯผู้ที่มีจิตใจสะอาดบริสุทธิ์เท่านั้น

เพื่อให้มีแรงจูงใจอันสะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากสิ่งอื่นเจือปน เจ้าจำเป็นต้องสำรวจมโนธรรมอย่างละเอียดถี่ถ้วน

5:9 ผู้สร้างสันติ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้ชื่อเป็นบุตรของพระเจ้า (สันติในจิตใจ)
9 Blessed are the peacemakers: they shall be recognised as children of God.

Shalom (ชาโลม)ภาษาฮิบรูแปลว่า สันติ หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้เราบรรลุความดีสูงสุด

ผู้สร้างสันติที่แท้จริงจักต้องพร้อมเผชิญหน้ากับปัญหา จัดการกับปัญหา และเอาชนะปัญหาให้ได้ แม้ว่า ตัวเองจะต้องดิ้นรนหรือเจ็บปวดเพียงใดก็ตาม

5:10ผู้ถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา(ผู้ที่ปรารถนาติดตามพระองค และได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ ดุจเดียวกับพระองค์)
10 Blessed are those who are persecuted in the cause of uprightness: the kingdom of Heaven is theirs.

ความสุขประการสุดท้ายนี้บ่งบอกถึงความจริงใจของพระเยซูเจ้าอย่างแท้จริง พระองค์ทรงบอกกล่าวผู้ที่ปรารถนาติดตามพระองค์ตั้งแต่แรกเลยว่า พระองค์ไม่ได้เสด็จมาเพื่อทำให้ชีวิตพวกเขาสะดวกสะบายขึ้น แต่เพื่อทำให้ชีวิตของพวกเขา ยิ่งใหญ่และได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ ดุจเดียวกับพระองค์

ภาษากรีก Makarios(มาคารีออส) แปลว่ สุข เป็ฯคำใช้เฉพาะกับพระเจ้าทเท่านั้น ความสุขที่พระเยซูตรัสถึงเป็ฯ"ความสุขแบบพระเจ้า" กล่าวคือ เป็นความสุขที่สมบรูณ์ในตัวเอง ไม่ขึ้นกับโชค โอกาส หรือการเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น อีกทั้งไม่มีผู้ทำลายแย่งชิงไปได้

ต่างจากความสุข (happiness)ที่โลกหยิบยื่นให้ เพราะคำ happiness มาจากรากศัพย์ "hap-" ซึ่งหมายถึง "โอกาส โชค" ความสุขตามมประสาโลกจึงอาจเพิ่มขึ้น ลดลง หรือหมดไปได้หากโชคเปลี่ยน สุขภาพเปลี่ยน อากาศเปลี่ยน แผนเปลี่ยน หรือปัจจัยอื่นๆเปลี่ยน

ความสุขที่พระเยซเจ้าประทานให้จึงเป็ฯ "ความสุขที่แท้จริง" ซึ่งจะทำให้ "ใจของท่านยินดี" และ "ไม่มีใครนำความยินดีไปจากท่านได้" ยน 16:22

Source :Father Chaiya Kitsawat Bangkok Thailand

5:11 ท่านทั้งหลายย่อมเป็นสุข เมื่อถูกเขาดูหมิ่น ข่มเหงและใส่ร้ายต่างๆนานาเพราะเรา
5:12จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะบำเหน็จรางวัลของท่านในสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่นัก” เขาได้เบียดเบียนบรรดาประกาศกที่อยู่ก่อนท่านดังนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
ยาว
11 'Blessed are you when people abuse you and persecute you and speak all kinds of calumny against you falsely on my account.
12 Rejoice and be glad, for your reward will be great in heaven; this is how they persecuted the prophets before you.

นักวิจัยเชื่อว่านั้นคือ "ความสุขอย่างแท้จริง Beatitudes" จากที่กล่าวมาทั้งหมด ข้อ1,2 และ งข้อ 4 ได้แก่สุภาษิต Proverbs ที่พบหลักฐานทางปรัชญา บุคคลที่อยู่ใกล้ชิดชอบพอในเชิงโวหาร พระคัมภีร์ไบเบิ้ลของชาวยูเดีย โดยเฉพาะเป็นพิเศษ ในบทเพลงสดุดี Psalms เต็มเปี่ยมไปด้วยกับสุภาษิต นั้นคือ การสอนใจความลับของ ความสุขที่แท้จริง Beatitudes "ความสุขแท้จริง"เป็นที่รู้จักกันคือ "Mararios " มาจากภาษากรีก คือ "makarios, ความหมายคือ Fortunate โชคดี" คือ ความเสมอภาคกันเป็นที่นิยมในท่ามกลางของชาวอียิปต์ และ กรีก กับพระเยซูเจ้าความคุ้นเคย ใจความสำคัญได้รับในความหมายใหม่ โดยเพิ่มเข้าไปหลายๆๆอย่างในความนิยมชมชอบ ใกล้ๆตะวันออก ใช้สูตรคำพูดที่ดูเหมือนขัดแย้งกัน

เพราะว่า วลี "Blessed are those who hungerผู้หิวกระหายความยุติธรรม ย่อมเป็นสุข " คือ ความคิดรอบคอบ การไตร่ตรองพิจารณา

การออกแบบ คำพูดหรือวลีที่มาจากการนำคำความหมายตรงข้ามกันมารวมกัน ที่กระทุ้ง ความรู้สึกตกใจหรือประหลาด โดยพระเยซูเจ้าต่อผู้มาฟังพระองค์

และประชาชนที่ยากจนของชาวกาลิลีเหล่านั้น รู้ว่าเพียงแค่เข้าใจสิ่งที่ประสบมา คือ ความหิว ไม่ทำให้พวกเขาที่ยากจนมีความสุข มันทำให้พวกเขาเหล่านั้น ทุกข์ยาก ขัดสน
และพระเยซูเจ้าทรงตรัสในวันนี้ ถึงความทุกข์ยาก ความเจ็บปวด ความทรมารทุกข์ทน คือกุญแจสำคัญของความสุขในอาณาจักรของพระเจ้าในวันพรุ่งนี้ มัทธิว Matthew 5:10
5:10ผู้ถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา
10 Blessed are those who are persecuted in the cause of uprightness: the kingdom of Heaven is theirs.

The "Kingdom of God อาณาจักรพระเจ้า" คือใจความสำคัญหลักของพระเยซูเจ้าที่ทรงสั่งสอน นักบุญมะระโก บรรยายสรุป มะระโก Mark 1:14-15
พระเยซูเจ้าทรงเริ่มประกาศข่าวดี
14 หลังจากที่ยอร์นถูกจองจำ พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังแคว้านกาลิลี ทรงประกาศเทศนาข่าวดีของพระเจ้า ตรัสว่า
15 "เวลาที่กำหนดไว้มาถึงแล้ว พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว จงกลับใจ และเชื่อข่าวดีเถิด
14 After John had been arrested, Jesus went into Galilee. There he proclaimed the gospel from God saying,
15 'The time is fulfilled, and the kingdom of God is close at hand. Repent, and believe the gospel.'


Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 22 พฤษภาคม 2551 เวลา:9:16:33 น.  

 
Jesus of Nazareth - Miracle: Healing a Cripple

"Your sins are forgiven you..."...Jesus of Nazareth healing cripple miracle Bible Christianity


ในช่วงของเวลา และอีกครั้งที่พระเยซูเจ้า ทรงพยายามอธิบายพระอาณาจักรของพระเจ้าพูด แก่อัครสาวก ในเรื่องของการสั่งสอนด้านศีลธรรมการเปรียบเทียบอุปมาอุปมัยบ่อยๆ มัทธิว Matthew 13:31-32
อุปมาเรื่องเมล็ดเมล็ดมัสตาร์ด
13:31 พระองค์ตรัสเป็ฯอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า "อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับเมล็ดมัสตาร์ตซึ่งมีผู้นำไปหว่านในนา
13:32 และเป็ฯเมล็ดเล็กกว่าเมล็ดทั้งหลาย แต่เมื่อเมล็ดงอกขึ้นเป็ฯต้นแล้ว กลับมีขนาดโตกว่าต้นผักอื่นๆ และกลายเป็นต้นไม้ จนกระทั้งนกในอากาศมาทำรังอาศัยบนกิ่งได้"
31 He put another parable before them, 'The kingdom of Heaven is like a mustard seed which a man took and sowed in his field.
32 It is the smallest of all the seeds, but when it has grown it is the biggest of shrubs and becomes a tree, so that the birds of the air can come and shelter in its branches.'

ดู Mark 4:30-32; Luke 13:18-21. เรื่องอุปมาของเมล็ดมัสตาร์ต และ เชื่อแป้งขนมปัง ที่กล่าวถึงการเปรียบเทียบ คือประเด็นที่เหมือนกัน ความอัศจรรย์ของการเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่าง ระหว่างการเริ่มต้นที่เล็กๆของอาณาจักรพระเจ้าและ ความอัศจรรย์อย่างเหลือเชื่อคือการแผ่ขยายออกไป

พระอาณาจักรของพระเจ้า คือถ้าใครบางคนจะหว่านเมล็ดพืช บนพื้นดิน และเมล็ดพืชจะเติบโตงอกงาม เราไม่รู้ว่าวิธีการเติบโตของเมล็ดพืชเป็นอย่างไรดู มะระโก Mark 4:26-29
อุปมาเรื่องพืชที่งอกงามขึ้นเอง
4:26 พระองค์ยังตรัสอีกว่า " พระอาณาจักรของพระเจ้ายังเปรียบเสมือนคนที่นำเมล็ดพืชไปหว่านในดิน
4:27 เขาจะหลับหรือตื่น กลางคืนหรือกลางวัน เมล็ดนั้นก็งอกขึ้นและเติบโตเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรเขาไม่รู้
4:28 ดินนั้นมีพลังให้เกิดผลในตนเอง ครั้งแรกก็เป็นลำต้น แล้วก็ออกรวง ต่มาก็มีเมล็ดเต็มรวง
4:29 เมื่อข้าวสุก เกิดผลแล้วเขาก็ใช้คนไปเก็บเกี่ยวทันที เพราะถึงฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว

"พระอาณาจักรจะพัฒนาจนสมบรูณ์อาศัยพลังที่ซ่อนอยู่ภายใน"

26 He also said, 'This is what the kingdom of God is like. A man scatters seed on the land.
27 Night and day, while he sleeps, when he is awake, the seed is sprouting and growing; how, he does not know.
28 Of its own accord the land produces first the shoot, then the ear, then the full grain in the ear.
29 And when the crop is ready, at once he starts to reap because the harvest has come.

มีพระวารสารของนักบุญมัทธิว บันทึกอุปมาอุปมัยเรื่องการเติบโตของเมล็ดพืช การหว่านเมล็ดและการเก็บเกี่ยว เหมือนกัน การเน้นย้ำความสำคัญของพลังของเมล็ดพืชที่เติบโตด้วยตัวของมันเองโดยปราศจากการแทรกแทรงของฝีมือมนุษย์ มะระโก Mark4:27 เขาจะหลับหรือตื่น กลางคืนหรือกลางวัน เมล็ดนั้นก็งอกขึ้นและเติบโตเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรเขาไม่รู้. ความลึกลับของผลิตผลของเมล็ดพืช มะระโก Mark 4:28 ดินนั้นมีพลังให้เกิดผลในตนเอง ครั้งแรกก็เป็นลำต้น แล้วก็ออกรวง ต่มาก็มีเมล็ดเต็มรวง เพราะอาณาจักรของพระเจ้าผู้ที่แนะนำให้รู้จักคือ พระเยซูเจ้า ในการประกาศพระวาจา ที่พัฒนาอย่างเงียบๆ และมีพลังจนกระทั้งสถาปณา และเป็ฯที่ยอมรับโดยพระองค์ในการพิพากษา ครั้งสุดท้าย มะระโกMark 4:29 เมื่อข้าวสุก เกิดผลแล้วเขาก็ใช้คนไปเก็บเกี่ยวทันที เพราะถึงฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว และวิวรณ์ Rev 14:15.
การเก็บเกี่ยวพืชผลบนแผ่นดิน
14:15 ทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งออกจากพระวิหารร้องเสียงดังบอกผู้ที่นั่งอยู่บนก้อนเมฆว่า "จงใช้เคียวของท่านเกี่ยวเถิด เพราะเวลาเก็บเกี่ยวมาถึงแล้ว และพืชผลของแผ่นดินพร้อมที่จะเก็บเกี่ยวได้แล้ว"
15 Then another angel came out of the sanctuary and shouted at the top of his voice to the one sitting on the cloud, 'Ply your sickle and reap: harvest time has come and the harvest of the earth is ripe.'

การเก็บเกี่ยวบนแผ่นดิน หมายถึง การทำลายชนชาติที่ไม่มีความเชื่อ ข้อความนี้จะสำเร็จเป็ฯจริงใน. วิวรณ์ Rev 19 :11 .
การสู้รบครั้งแรกในวาระสุดท้าย
19:11 ข้าพเจ้าเห็นสวรรค์เปิด และเห็นม้าขาวตัวหนึ่ง มีชื่อว่าผู้ซื้อสัตย์"และผู้เชื่อถือได้" เขาตัดสินและทำสงความด้วยความยุติธรรม
11 And now I saw heaven open, and a white horse appear; its rider was called Trustworthy and True; in uprightness he judges and makes war.

เชิงอรรถ หลังจากที่ทูตสวรรค์ได้บอกล่วงหน้าถึงการล่มสลายของบาบิโลน (14:8 14-15) และบรรยายเหตุการร์นี้ใน (16:19-20, 17:12-14) แล้วพระคริสตเจ้า พยยานที่ซื่อสัตย์ (3:14) จะทำให้วันของพระยาเวห์ (อมส 5:18 เชิงอรรถ m) มาถึงโดยทรงทำลายศตรูของพระศาสนจักรอย่างสิ้นเชิงรายละเอียดของเหตุการณ์นี้ยกมาจากข้อความหลายตอนของหนังสือประกาศกเช่นเกียวกับในการบรรยายถึงเหตุการณ์ใน (12:5,14:6-20,17:14)

.และอาณาจักรของพระเจ้าในสวรรค์เปรียบกับอุปมาเรื่องเชื่อแป้ง มัทธิว Mathew 13:33.
13:33 พระองค์ยังตรัสเป็ฯอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า "อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้กับเชื้อแป้งที่หญิงคนหนึ่งนำมาเคล้าผสมกับแป้งสามถึง จนแป้งทั้งหมดฟูขึ้น"
3 and he told them many things in parables. He said, 'Listen, a sower went out to sow.

อาณาจักรเป็นเหมือนเมล็ดมัสตาร์ตหรือเชื้อแป้ง มีการเริ่มต้นอย่างเงียบ แต่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ให้ยิ่งใหญ่ขึ้นในภายหลัง

.Yeast เชื้อแป้ง พบในอุปมาอุปมัยของพระวารสารนักบุญมัทธิว Matthew 16:12, .
เชื้อแป้งของชาวฟาริสีและชาวสะดูสี
16:12 บรรดาศิษย์จึงเข้าใจว่าพระองค์มิได้ตรัสให้ระวังเชื่อแป้งขนมปัง แต่ให้ระวังคำสอนของชาวฟาริสี และชาวสะดูสี
12 Then they understood that he was telling them to be on their guard, not against yeast for making bread, but against the teaching of the Pharisees and Sadducees.

yeast (or "leavenขึ้นฟู(ขนมปัง) ") เชื้อแป้งทำให้แป้งดิบฟูขึ้น 13:3 แต่อาจทำให้แป้งเสียได้ด้วยฉันใด (see Matthew 16:6, 11-12; Mark 8:15; Luke 12:1; 1 Cor 5:6-8; Gal 5:9) คำสอนผิดของผู้นำชาวยิวอาจชักนำคนที่เขามีหน้าที่ดูแลให้หลงผิดด้วยฉันนั้น เทียบ มัทธิว 15:14

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 23 พฤษภาคม 2551 เวลา:22:36:32 น.  

 
Seek Ye First Kingdom of God ( Matthew 6:33 )


อย่างไรกะตาม นักวิจัยไม่เห็ฯด้วยกับความหมายของปรัชญาอาณาจักรพระเจ้า ซึ่งไม่แตกต่างกับ apocalyptic (Of or pertaining to a revelation การเปิดเผย ) ในทัศนะคติของโลกหลังจากวันสิ้นโลก เมื่อความตายจะมาถึว อีกครั้ง พระเป็ฯเจ้าจะเสด็จมาพิพากษามนุษยชาติ อีกสิ่งหนึ่ง การปกครองโดยถือพระเจ้าเป็นผู้ปกครองสูงสุด โดยพระเมสิยาห์ ผู้สืบทอดความชอบธรรม ครองบัลลังก์ของดาวิด ผู้ซึ่งมาถึงคือซึ่งใกล้จะเกิดขึ้น อีกสิ่งหนึ่ง การตีความอาณาจักรของพระเจ้า คือชีวิตหลังความตาย ซึ่ง ความชอบธรรม จะได้รับไปสู่ความกรุณา ของพระเจ้า

อันนี้เป็นความคิดสืบเนื่องมาจากวรรณกรรมวิวรณ์ของชาวยิวค่อยๆๆจางหายไป ไมต้องรออนาคตเพราะพระพรแห่งยุคสุดท้ายนั้นได้รับในปัจจุบันอยู่แล้ว ดู 1:คร 1:8

1:8 พระองค์ทรงค้ำจุนท่านให้มั่นคงจนถึงวาระสุดท้าย ไม่มีที่ติ ในวันที่พระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็ฯเจ้าของเราจะเสด็จมา
8
He will keep you firm to the end, irreproachable on the day of our Lord Jesus (Christ).

เชิงอรรถยาวเจงเจง




ปัญหาน่าสนใจที่ยิ่งใหญ่ของพระเยซูเจ้า ตามมา เมื่อการไตร่ตรอง ปรัชญาพระอาณาจักรของพระเจ้า จะมาเกี่ยวกับ การบอกกล่าวหลายๆๆครั้ง แน่ใจว่านั้นคือพระเยซูเจ้า คิดว่าใกล้จะมาถึง และ เร่งด้วยให้ถี่ถ้วน
อะไรคือก่อให้เกิดที่ชาวคริสเตียนเชื่อ นักบุญเปาโล ผู้ซึ่งขะมักขะเม้นประกาศข่าวดีของพระเยซูเจ้าให้
โลกรับรู้ 1 โครินทธิ์ Corinthians 15:51


15:51 โปรดฟังเถิด ข้าพเจ้ามีธรรมล้ำลึกข้อหนึ่งมาบอกท่าน เราทุกคนจะไม่ตาย แต่เราทุกคนจะเปลี่ยนแปลง
15:52 ทันทีทันใดชั่วพริบตา เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เสียงแตรจะดังขึ้น แล้วผู้ตายจะกลับคืนชีพอย่างไม่เน่าเปื่อย และเราจะเปลี่ยนแปลง
51
25 Behold, I tell you a mystery. We shall not all fall asleep, but we will all be changed,
52
in an instant, in the blink of an eye, at the last trumpet. For the trumpet will sound, the dead will be raised incorruptible, and we shall be changed.

เสียงแตรครั้งสุดท้าย และการฟื้นคืนชีพจากความตาย คือรายละเอียดของแผนการของการเผยแสดง ผู้ตายจะกลับคืนชีพอย่างไม่เน่าเปื่อย We shall not all fall asleep: นักบุญเปาโลคาดหวังว่า นั้นคือ ยุคที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน พี่น้องคนคริสทุกยุคทุกสมัยจะคืนชีพ หลังจากได้ตายไปแล้ว รวมทั้งนักบุญเปาโลด้วย และทุกๆๆชั่วอายุคนทั้งหมด เราทั้งหมดจะเปลี่ยนแปลง We will all be changed: คือคำถ้อยแถลงที่ออกไปสู่ชาวคริสเตียนทั้งหมด สำหรับนักบุญเปาโลไม่ได้พูดกับใครคนหนึ่งคนใด ไม่ว่าจะอย่างไรกะตาม พวกเราตายก่อนที่จะสิ้นสุดของกาลเวลาหรือเกิดขึ้นจนกระทั้งเรามีชีวิตอยู่ เราทั้งหมดต้องเปลี่ยนแปลง

เมื่อชาวเธสะโนริกาถามนักบุญเปาโล พวกรู้ว่าเมื่อไหร่อาณาจักรของพระเจ้าจะมาถึง นักบุญเปาโลตอบว่า Thessalonians 5:1-2
การระวังตัวขณะรอคอยการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า
5:1 พี่น้องทั้งหลาย ไม่จำเป็ฯที่จะเขียนบอกท่านเรื่องวันเวลาที่กำหนด
5:2 ท่านรู้อยู่แล้วว่า วันขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึง เหมือนขโมยที่มาตอนกลางคืน
1
Concerning times and seasons, brothers, you have no need for anything to be written to you.
2
For you yourselves know very well that the day of the Lord will come like a thief at night.
เชิงอรรถ ยาวเจงเจง


เรื่องวันเวลาที่กำหนด เป็ฯสูตรที่นิยมใช้กัน ดูกจ 1:7 เชิงอรรถ I แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าทรงอยู่นอกกาลเวลา แต่ในขณะเดียวกันยังทรงควบคุมเวลาทั้งหมดและแต่ละส่วนด้วย กจ 17:26
ดูกจ Acts 1:7 เชิงอรรถ I
1:7 พระองค์ตรัสตอบว่า"ไม่ใช่ธุระของท่านที่จะรู้วันเวลา
7
5 He answered them, "It is not for you to know the times or seasons that the Father has established by his own authority.


กจ Acts 17:26
17:26 พระองค์ทรงทำให้มนุษย์ทุกชาติสืบเชื้อสายมาจากมนุษย์คนเดียว และทรงทำให้เขาทั้งหลายอยู่ทั่วพื้นแผ่นดิน โดยทรงกำหนดช่วงเวลาและขอบเขตให้เขาอยู่
26
He made from one 8 the whole human race to dwell on the entire surface of the earth, and he fixed the ordered seasons and the boundaries of their regions,

วันพิพากษาประมวลพร้อม รม Rome 2:6 เชิงอรรถ B
2:6 พระองค์ทรงตอบสนองทุกคนตามสมควรแก่การกระทำของพวกเขา
6
who will repay everyone according to his works:


วันพิพากษาประมวลพร้อม รม Rome 2:6 เชิงอรรถ B
2:6 พระองค์ทรงตอบสนองทุกคนตามสมควรแก่การกระทำของพวกเขา
6
who will repay everyone according to his works:




นักบุญลูกา นำเสนอได้ดีที่สุด ลูกาLuke 17:20-21
อาณาจักรของพระเจ้าไม่มาโดยทางปรากฏแก่ตา
17:20 เมื่อพวกฟาริสีทูลถามพระองค์ว่า อาณาจักรของพระเจ้าจะมาถึงเมื่อไร พระองค์ตรัสตอบเขาว่า "อาณาจักรของพระเจ้าไม่มาโดยให้เป็นที่สังเกตได้
17:21 และเขาจะไม่พูดว่า `มาดูนี่' หรือ `ไปดูโน่น' เพราะ ดูเถิด อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายในท่านทั้งหลาย"
20
6 Asked by the Pharisees when the kingdom of God would come, he said in reply, "The coming of the kingdom of God cannot be observed,
21
7 and no one will announce, 'Look, here it is,' or, 'There it is.' For behold, the kingdom of God is among you."


และที่สำคัญที่สุดอาณาจักรพระเจ้ามาถึงแล้ว บนโลกนี้ ทำให้คริสชนมี............ความหวัง.........ที่อยู่กับพระเป็นเจ้าในชีวิตนิรันดร

ในการตีความนี้ ไม่ใช่ทั้งสองอย่างเรื่องของ การเมืองการปกครอง เอกลักษณ์ (ทางปรัชญา), ไม่ใช่รางวัลที่ได้รับหลังจากความตาย แต่เป็น แบบโครงสร้างสำหรับของสังคมพื้นฐานบนการตัดสิน พระคุณการุณย์ (ความกรุณา) และ ความนบนอบต่อพระเป็ฯเจ้า

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 17 มิถุนายน 2551 เวลา:12:32:41 น.  

 
JESUS TRAVEL

เกี่ยวกับ ใจความสำคัญของพระวารสาร พระเยซูเจ้าทรง เผยแพร่ข่าวดีไปที่บริเวณทางตอนเหนือและทางตะวันตก
ของทะเลสาบกาลิลี ในเมืองเหมือนคาเปอร์นาอุม คือ Chorazin, และ Bethsaida แนวชายฝั่งทางตอนเหนือ และ Nain ทางตอนใต้ของเมืองนาซาเร็ท การเดินทางในระยะสั้นๆ ทางชายฝั่งตะวันออก นำพระองค์ไปสู่ Kuris (Gergasa) ขณะเดินทางในภูมิภาค Tyre และ Sidon นำพระองค์ไปพบกับบุตรของหญิงชาว ซีโรฟีนีเซีย Syro-Phoenician ผู้ซึ่งพระองค์รักษาลูกของเธอให้หาย
คาทอลิกใช้นิวเยรูซาเล็มไบเบิ้ล
New Jersulam Bible //www.catholic.org/bible/
มะระโก Mark 7:24-30
ขอยืมKJVไบเบิ้ล ภาษาไทยอะ

พระเยซูเจ้าทรงเดินทางนอกแคว้นกาลิลี

พระเยซูเจ้าทรงรักษาบุตรหญิงของหญิงชาวซีโรฟีนีเซีย (มธ 15:21-28)

7:24 พระองค์จึงทรงลุกขึ้นจากที่นั่นไปยังเขตแดนเมืองไทระและเมืองไซดอน แล้วเข้าไปในเรือนแห่งหนึ่ง
ประสงค์จะมิให้ผู้ใดรู้ แต่พระองค์จะซ่อนอยู่มิได้
7:25 เพราะผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีลูกสาวที่มีผีโสโครกสิง เมื่อได้ยินข่าวถึงพระองค์ก็มากราบลงที่พระบาทของพระองค์
7:26 ผู้หญิงนั้นเป็นชาวกรีก ชาติซีเรียฟีนิเซีย และนางทูลอ้อนวอนขอพระองค์ให้ขับผีออกจากลูกสาวของตน
7:27 ฝ่ายพระเยซูตรัสแก่นางนั้นว่า "ให้พวกลูกกินอิ่มเสียก่อน เพราะว่าซึ่งจะเอาอาหารของลูกโยนให้แก่สุนัข
ก็ไม่ควร"
7:28 แต่นางทูลตอบพระองค์ว่า "จริงด้วย พระองค์เจ้าข้า แต่สุนัขที่อยู่ใต้โต๊ะนั้นย่อมกินเดนอาหารของลูก"
7:29 แล้วพระองค์ตรัสแก่นางว่า "เพราะเหตุถ้อยคำนี้จงกลับไปเถิด ผีออกจากลูกสาวของเจ้าแล้ว"
7:30 ฝ่ายหญิงนั้นเมื่อไปยังเรือนของตน ได้เห็นลูกนอนอยู่บนที่นอน และทราบว่าผีออกแล้ว

เชิงอรรถ
เมืองไทระ สำเนาบางฉบับเสริมว่า "และไซดอน"เทียบมัทธิว 15:21
นางไม่ใช่ชาวยิว : แปลตามตัวอักษรว่า "ชาวกรีก" ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเชื้อชาติ เพราะหญิงคนนั้นเป็ฯชาวซีโรฟีนีเซีย แต่ในแง่วัฒนธรรม คือไม่ได้นับถือศาสนายิว เทียบ ยน 7:35 ,กจ 16:1

ยอร์น John 7:35
ชาวยิวจึงพูดกันว่า "คนนี้กำลังจะไปใหนเราจึงพบเราไม่ได้ เขาตั้งใจจะไปหาชาวยิวที่กระจัดกระจายอยู่ในหมู่ชา
วกรีก และตั้งใจไปสอนชาวกรีกหรือ"

35 So the Jews said to one another, 'Where is he intending to go that we shall not be able to find him? Is he intending to go abroad to the people who are dispersed among the Greeks and to teach the Greeks?


กิจการ Acts of Apostles 16:1
เหตุการณ์ในแคว้นลิคาโอเนีย เปาโลรับทิโมธีเป็นผู้ร่วมงาน
1 เปาโลเดินทางมาถึงเมืองเดอร์บีและเมืองลิสตรา ที่เมืองนี้ศิษย์คนหนึ่งชื่อทิโมธี มารดาเขาเป็นครสตชนชาวยิว แต่
บิดาเป็นชาวกรีก
1 In my earlier work, Theophilus, I dealt with everything Jesus had done and taught from the beginning

เชิงอรรถ
ทิโมธี จะเป็นเพื่อนร่วมงานถาวรของเปาโล(ดู 17:4 18:5 19:22 20:4 รม 16:21 1 คร 4:17 16:10 2 คร 1:19 1 ธส 3:2,6) 1 ทธ และ 2 ทธ เป็นจดหมายเกี่ยวกับงานอภิบาล ที่เปาโลเขียนถึงเขา)


Source :www.christiananswers.net

Mark 7:24-30
24 He left that place and set out for the territory of Tyre. There he went into a house and did not want anyone to know he was there; but he could not pass unrecognised.

25 At once a woman whose little daughter had an unclean spirit heard about him and came and fell at his feet.

26 Now this woman was a gentile, by birth a Syro-Phoenician, and she begged him to drive the devil out of her daughter.

27 And he said to her, 'The children should be fed first, because it is not fair to take the children's food and throw it to little dogs.'

28 But she spoke up, 'Ah yes, sir,' she replied, 'but little dogs under the table eat the scraps from the children.'

29 And he said to her, 'For saying this you may go home happy; the devil has gone out of your daughter.'

30 So she went off home and found the child lying on the bed and the devil gone.

Dr. Rami Arav at Bethsaida

การเบิกทางของพระเยซูเจ้า จากอาณาเขต Tyre บางทีพระองค์เคยทรงหยุดพักชั่วคราว

มะระโกMark 7:24
7:24 พระองค์จึงทรงลุกขึ้นจากที่นั่นไปยังเขตแดนเมืองไทระและเมืองไซดอน แล้วเข้าไปในเรือนแห่งหนึ่ง
ประสงค์จะมิให้ผู้ใดรู้ แต่พระองค์จะซ่อนอยู่มิได้

24 He left that place and set out for the territory of Tyre. There he went into a house and did not want anyone to know he was there; but he could not pass unrecognised.

แต่ไม่นานพระองค์ทรงไปข้างหน้าที่เมือง Sidon และ ทะเลสาบกาลิลี ไป Decapolis อาณาเขตเหล่านั้นเป็นที่อยู่ของคนนอกศาสนา หรือผู้ที่ไม่ใช่คนยิวเรียกว่า Gentile ตั้งอยู่และอาณาจักรของพระองค์แผ่ขยายด้วยการรักษาโรค เพราะประชากรเหล่านั้นรู้ดีกว่าพระองค์มีพลังอำนาจรักษาให้หาย
มะระโก (Mark 7:29, 37).
7:29 แล้วพระองค์ตรัสแก่นางว่า "เพราะเหตุถ้อยคำนี้จงกลับไปเถิด ผีออกจากลูกสาวของเจ้าแล้ว"
29 And he said to her, 'For saying this you may go home happy; the devil has gone out of your daughter.'

ทรงรักษาชายที่หูหนวกและเป็นใบ้ (มธ 15:29-31)
7:37 พวกเขาก็ประหลาดใจเหลือเกิน พูดกันว่า "พระองค์ทรงกระทำล้วนแต่ดีทั้งนั้น ทรงกระทำคนหูหนวกให้
ได้ยิน คนใบ้ให้พูดได้"
37 Their admiration was unbounded, and they said, 'Everything he does is good, he makes the deaf hear and the dumb speak.'

การแสดงออกถือว่าเป็นคุณลักษณะคุณสมบัติของพระเยซูคริสเจ้า ที่พระองค์ทรงรักษาโรค ในเวลานั้น
(Mark 7:33-35)
7:33 พระองค์จึงทรงนำคนนั้นออกจากประชาชนไปอยู่ต่างหาก ทรงเอานิ้วพระหัตถ์ยอนเข้าที่หูของชายผู้นั้น
และทรงบ้วนน้ำลายเอานิ้วพระหัตถ์จิ้มแตะลิ้นคนนั้น
7:34 แล้วพระองค์ทรงแหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ ทรงถอนพระทัยตรัสแก่คนนั้นว่า "เอฟฟาธา" แปลว่า "จงเปิดเถิด"
7:35 แล้วในทันใดนั้นหูคนนั้นก็ปกติ สิ่งที่ขัดลิ้นนั้นก็หลุดและเขาพูดได้ชัด
33 He took him aside to be by themselves, away from the crowd, put his fingers into the man's ears and touched his tongue with spittle.

34 Then looking up to heaven he sighed; and he said to him, 'Ephphatha,' that is, 'Be opened.'

35 And his ears were opened, and at once the impediment of his tongue was loosened and he spoke clearly.

และในเวลาอื่นๆ พระองค์ทรงเบิกทาง ในอาณาเขตชนบท คู่กันไปกับ แม่น้ำ River Banyas ในเนินที่ตีนเขาของภูเขา Mount Hermon ทรงพักผ่อนและสวดอธิฐานภาวนา
มะระโกMark ุ6:45-46
พระเยซูเจ้าทรงดำเนินบนน้ำ
45 ทันทีหลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงสั่งให้บรรดาศิษย์ลงเรือข้ามฟากล่วงหน้าไปที่เมืองเบธไซดา ขณะที่พระองค์
ทรงให้ประชาชนกลับ
46 เมื่องทรงอำลาจากเขาแล้ว พระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่อทรงอธิษฐานภาวนา
45 And at once he made his disciples get into the boat and go on ahead to the other side near Bethsaida, while he himself sent the crowd away.

46 After saying goodbye to them he went off into the hills to pray

เชิงอรรถ ข้ามฟาก :สำเนาบางฉบับละ "ข้ามฟาก"ดู มธ 14:22

ทรงอธิษฐานภาวนา pray ดูเชิงอรรถ มัทธิว Matthew 14:22-33.



เมืองเบธไซดา :หมู่บ้านเล็กๆทางตะวันออกเฉียงเหนือ ชายฝั่งทะเลสาบกาลิลี พระองค์เสด็จไปที่ภูเขาและสวดอธิ
พระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่อทรงอธิษฐานภาวนา He went off to the mountain to pray:ดู มะระโก Mark 1:35-38. ยอร์น John 6:15

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 17 มิถุนายน 2551 เวลา:12:38:10 น.  

 



เมื่อพระเยซูเจ้าทรงมาเยือน ใกล้ๆ Caesarea Philippi นักบุญเปรโต Peter ประกาศออกมาว่าพระองค์คือ พระเมสิยาห์ Messiah (Matthew 16:16)
16 ซีโมน เปโตร ทูลตอบว่า "พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต"
16 Then Simon Peter spoke up and said, 'You are the Christ, the Son of the living God.'

เชิงอรรถ ในมธ เปรโตไม่เพียงแต่ยอมรับว่าพระเยซูเจ้าเป็นพระเมสิยาห์เท่านั้น แต่ยังยืนยันว่าพระองค์เป็ฯพระบุตรของพระเจ้าด้วย เราไม่พบตำแหน่งที่สองนี้ใน มก และ ลก เทียบ 14:33 กับ ,มก 6:51 ดู 4:3 เชิงอรรถ e

เทียบ ลูกา Luke 14:33
33 ดังนั้นทุกท่านที่ไม่ยอมสละทุกสิ่งที่ตนมีอยู่ก็เป็นศิษย์ของเราไม่ได้
33 So in the same way, none of you can be my disciple without giving up all that he owns. On loss of enthusiasm in a disciple

เชิงอรรถ พระวาจานี้เป็นเงื่อนไขสำหรับศิษย์ทุกคน ลูกาดูเหมือนจะไม่แยกแยะอัครสาวกจากศิษย์อื่น ดู มธ 1:17 เชิงอรรถ f

มะระโก Mark 6:51
51 แล้วพระองค์เสด็จไปหาเขาในเรือ และลมก็หยุด บรรดาศิษย์รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง
51 Then he got into the boat with them and the wind dropped. They were utterly and completely dumbfounded,

พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิตThe Son of the living God: พบในมัทธิว Matthew 2:15; 3:17.

มัทธิว Matthew 2:15
15 และอยู่ที่นั่นจนกระทั่งกษัตริย์เฮโรดสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้เพื่อให้พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ตรัสทางประกาศกเป็นความจริงว่า "เราเรียกบุตรของเรามาจาก ประเทศอียิปต์"
15 where he stayed until Herod was dead. This was to fulfil what the Lord had spoken through the prophet: I called my son out of Egypt.

เชิงอรรถ "บุตร" ตามความหมายของประกาศกโฮเชยาหมายถึงประชากรอิสราเอล แต่ มธ ใช้คำว่า "บุตร"ในที่นี้หมายถึงพระเมสิยาห์

มัทธิว Matthew 3:17
17 และมีเสียงจากสวรรค์กล่าวว่า "ผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา เป็นที่โปรดปรานของเรา"
17 And suddenly there was a voice from heaven, 'This is my Son, the Beloved; my favour rests on him.'

เชิงอรรถ จุดประสงค์ของประโยคนี้คือประกาศว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้รับใช้ที่ประกาศกอิสยาห์กล่าวถึงแต่การใช้คำว่า "บุตร" แทนคำว่า "ผู้รับใช้" (คำภาษากรีก pais มีความหมายทั้งสอง) เน้นให้เห็นว่าพระเยซูเจ้าทรงมีความสัมพันธ์พิเศษกับพระบิดาเจ้า ในฐานะที่เป็ฯพระบุตรที่ได้รับเจิม (ดู 4:3 เชิงอรรถ d) ในวรรณคดีของชาวยิว เสียงจากสวรรค์เป็นวิธีแสดงว่าพระเจ้าทรงมอบอำนาจสอนให้แก่อาจารย์

Caesarea Philippi


ความสูงส่งที่มากขึ้นในบทนำของMarcan confession ได้ตัดออกไป อย่างไรกะตาม (ศัพท์เฉพาะทฤษฎีการแปล) คำที่มีความหมายหลายนัย มีความสัมพันธ์กับ Messiah ท่ามกลางหลายๆสิ่งนี้ สนับสนุน ทัศนะมุมมองข้อคิดเห็น โดยนักวิชาการหลายๆๆท่านนั้นคือ นักบุญมัทธิว รวมหลายๆๆแหล่ง ต้นกำเนิด การสารภาพบาป กับการฟื้นคืนชีพ ของความศรัทธในพระเยซูเจ้า และบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต นั้นคือ เป็นของการปรากฎเริ่มต้นของพระเยซูเจ้ากับนักบุญเปรโตร ดู 1 Cor 15:5; Luke 24:34.
1 โคนรินธ์ Cor 15:5
5 และทรงแสดงพระองค์แก่เคฟาส แล้วจึงทรงแสดงพระองค์แก่อัครสาวกสิบสองคน
5 and that he appeared to Cephas; and later to the Twelve;
ลูกา Luke 24:34
34 เขาเหล่านี้บอกว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับคืนพระชมน์ชีพแล้วจริงๆๆและทรงสำแดงพระองค์แก่ซีโมน"
34 who said to them, 'The Lord has indeed risen and has appeared to Simon.'

ในพระวารสารของนักบุญยอร์น สถานที่พระเยซูเจ้าทรงดำเนินภาระกิจ ใน Samria Judia และ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใน Jerusalem สำหรับตัวอย่างการรักษาโรค ผู้ชายที่ป่วยในสระน้ำ Bethesda ที่ปรากฎในพระวารสารของนักบุญยอร์น John 5:2-9
คาทอลิกใช้ นิวเยรูซาเร็มไบเบิ้ล
//www.catholic.org/bible/

ขอยืมKJVไบเบิ้ลอะยาว
ทรงรักษาคนป่วยที่สระเบธซาธา

5:2 ในกรุงเยรูซาเล็มที่ริมประตูแกะมีสระอยู่สระหนึ่ง ภาษาฮีบรูเรียกสระนั้นว่า เบธซาธา เป็นที่ซึ่งมีศาลาห้าหลัง
5:3 ในศาลาเหล่านั้นมีคนป่วยเป็นอันมากนอนอยู่ คนตาบอด คนง่อย คนผอมแห้ง กำลังคอยน้ำกระเพื่อม
5:4 ด้วยมีทูตสวรรค์องค์หนึ่งลงมากวนน้ำในสระนั้นเป็นครั้งคราว เมื่อน้ำกระเพื่อมนั้น ผู้ใดก้าวลงไปในน้ำก่อน ก็จะหายจากโรคที่เขาเป็นอยู่นั้น
5:5 ที่นั่นมีชายคนหนึ่งป่วยมาสามสิบแปดปีแล้ว

5:6 เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรคนนั้นนอนอยู่และทรงทราบว่า เขาป่วยอยู่อย่างนั้นนานแล้ว พระองค์ตรัสกับเขาว่า "เจ้าปรารถนาจะหายโรคหรือ"
5:7 คนป่วยนั้นทูลตอบพระองค์ว่า "ท่านเจ้าข้า เมื่อน้ำกำลังกระเพื่อมนั้น ไม่มีผู้ใดที่จะเอาตัวข้าพเจ้าลงไปในสระ และเมื่อข้าพเจ้ากำลังไป คนอื่นก็ลงไปก่อนแล้ว"
5:8 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "จงลุกขึ้นยกแคร่ของเจ้าและเดินไปเถิด"
5:9 ในทันใดนั้นคนนั้นก็หายโรค และเขาก็ยกแคร่ของเขาเดินไป วันนั้นเป็นวันสะบาโต

เชิงอรรถ
เบชซารา หรือ เบธไซดา เบลเซธา เบเธสดา แปลว่า บ้านแห่งความความเมตตา สระนี้มีระเบี้ยงล้อมรอบอยู่สี่ด้าน ระเบียงที่ห้าแบ่งสระออกเป็นสองส่วน
สำเนาโบราณบางฉบับเพิ่มข้อความว่า "คอยน้ำกระเพื่อม" เพราะว่างบางครั้ง ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าลงมาในสระแลทำให้น้ำกระเพื่อม ผู้ที่ลงไปในสระเป็นคนแรกหลังจากการกรเพื่อมนี้ก็จะหายจากโรคทุกชนิดที่เขากำลังเป็นอยู่ ต้นฉบับไม่มีข้อสี่

John 5:2-9
5 One man there had an illness which had lasted thirty-eight year.

6 and when Jesus saw him lying there and knew he had been in that condition for a long time, he said, 'Do you want to be well again?'

7 'Sir,' replied the sick man, 'I have no one to put me into the pool when the water is disturbed; and while I am still on the way, someone else gets down there before me.'

8 Jesus said, 'Get up, pick up your sleeping-mat and walk around.'

9 The man was cured at once, and he picked up his mat and started to walk around. Now that day happened to be the Sabbath,

การเผยแสดงพระองค์ของพระเยซูเจ้าดำเนินอย่างต่อเนื่องในเยรูซาเร็ม ที่งานเทศกาล พิธีเลี้ยงฉลอง (อาจหมายถึง ฉลองเปนเตกอสเต 50 วันหลังฉลองปัสกา ระลึกถึงพันธสัญญาที่ภูเขาซีนาย) สัญญาลักษณ์เครื่องหมายอัศจรรย์ 3ครั้ง ดู ยอร์น John 2:11; 4:54
ยอร์น John 2:11
11 พระเยซูเจ้าทรงกระทำเรื่องหมายอัศจรรย์ครั้งแรกที่หมูบ้านคานา แคว้านกาลิลี พระองค์ทรงแสดงพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์และบรรดาศิษย์ที่เชื่อในพระองค์
11 This was the first of Jesus' signs: it was at Cana in Galilee. He revealed his glory, and his disciples believed in him.
เชิงอรรถ


ยอร์น John 4:54
54 พระเยซูเจ้าทรงกระทำเครื่องหมายอัศจรรย์ครั้งที่สองนี้หลังจากเสด็จกลับจากแคว้นยูเดียมายังแคว้นกาลิลี
54 This new sign, the second, Jesus performed on his return from Judaea to Galilee.

นี้คือภาระกิจ การรักษา คนเป็นอัมพาต อัศจรรย์เป็นเครื่องหมายของจิตใจที่รับชีวิตใหม่

ริมประตูแกะ There is no noun with Sheep. "Gate" คือการจัดหาบริเวณที่ดิน ตรงประตูใน NE wall ของพื้นที่พระวิหาร สถานที่ซึ่ง นำสัตว์มาถวายบูชา ดูเนหะมีย์ Nehemiah 3:1, 32; 12:39.

เนหะมีย์ Nehemiah 3:1, 32;
ประชาชนช่วยกันสร้างกำแพงเมือง
3:1 แล้วเอลียาชีบมหาปุโรหิตได้ลุกขึ้นพร้อมกับพี่น้องของท่าน บรรดาปุโรหิต และเขาทั้งหลายได้สร้างประตูแกะ เขาได้ทำพิธีชำระให้บริสุทธิ์และได้ตั้งบานประตู เขาทั้งหลายได้ทำพิธีชำระให้บริสุทธิ์จนถึงหอคอยเมอาห์ไกลไปจนถึงหอคอยฮานันเอล
3:1 Then Eliashib the high priest rose up with his brothers the priests, and they built the sheep gate; they sanctified it, and set up the doors of it; even to the tower of Hammeah they sanctified it, to the tower of Hananel.
3:32 และระหว่างห้องชั้นบนที่มุมกับประตูแกะนั้น บรรดาช่างทองและพ่อค้าได้ซ่อมแซม
3:32 Between the ascent of the corner and the sheep gate repaired the goldsmiths and the merchants.

เนหะมีย์ Nehemiah 12:39
การทำพิธีมอบถวายกำแพงเมือง
12:39 และเหนือประตูเอฟราอิม และทางประตูเก่า และทางประตูปลา และหอคอยฮานันเอล และหอคอยเมอาห์ ถึงประตูแกะ และเขามาหยุดอยู่ที่ประตูยาม
12:39 and above the gate of Ephraim, and by the old gate, and by the fish gate, and the tower of Hananel, and the tower of Hammeah, even to the sheep gate: and they stood still in the gate of the guard.

Bethesda Pools


ภาษาฮีบรูเรียกสระนั้นว่า เบธซาธา ภาษา Hebrew ,ภาษา Aramaic. Bethesda: "Be(th)zatha" และ "Bethsaida";

bet-esdatayin คือชื่อของสองสระทางตะวันออกเฉียงเหนือของพื้นที่พระวิหาร ในบริเวณ the Qumran Copper Roll. ศาลาห้าหลัง Five porticoes: สระน้ำในขุดค้น (อย่างระมัดระวังและเป็นกระบวนการ) เพื่อหาวัตถุโบราณ ในเยรูซาเร็ม ค้นพบ มุข(ระเบียงทางเข้าที่มีหลังคาและเสากลม)ห้าหลัง

วันฉลองวันหนึ่งของชาวยิว การกล่าวถึง ในJohn 5:45-46
5:45 อย่าคิดว่าเราจะฟ้องท่านทั้งหลายต่อพระบิดา มีผู้ฟ้องท่านแล้ว คือโมเสส ผู้ซึ่งท่านทั้งหลายหวังใจอยู่
5:46 ถ้าท่านทั้งหลายเชื่อโมเสส ท่านทั้งหลายก็จะเชื่อเรา เพราะโมเสสได้เขียนกล่าวถึงเรา
45 Do not imagine that I am going to accuse you before the Father: you have placed your hopes on Moses, and Moses will be the one who accuses you.

46 If you really believed him you would believe me too, since it was about me that he was writing;

การสัมพันธ์กันนั้นคือวันฉลองกับกฎของโมเสสบนยอดเขาซีนาย เป็นเครื่องยืนยันถึง ในภายหลังชาวยิวอาจกำหนดขึ้นในศตวรรษที่1 วันฉลองรวมถึงวันปัสกา Passover ดู ยอร์น John 6:4
4 ขณะนั้นใกล้จะถึงวันฉลองปัสกาของชาวยิว
4 The time of the Jewish Passover was near.
เชิงอรรถ ปังที่พระเยซูเจ้าประทานให้จะเป็นการเลี้ยงฉลองปัสกาใหม่

นักบุญยอร์นเน้นเป็นพิเศษนั้นคือวัน sabbath ยอร์น John 5:9
5:9 ในทันใดนั้นคนนั้นก็หายโรค และเขาก็ยกแคร่ของเขาเดินไป วันนั้นเป็นวันสะบาโต
9 The man was cured at once, and he picked up his mat and started to walk around. Now that day happened to be the Sabbath,

The Caesarean and Western recensions ตามด้วย the Vulgate (Vulgate [N] คัมภีร์ไบเบิลภาษาละตินในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก) ระบุว่า " คอยน้ำกระเพื่อม waiting for the movement of the water."
เป็นที่ชัดเจน และ อย่างไม่ต่อเนื่องของ การปรากฎในสระน้ำ ผุดขึ้นมา บางครั้งคราว ดู ยอร์น John 5:7
5:7 คนป่วยนั้นทูลตอบพระองค์ว่า "ท่านเจ้าข้า เมื่อน้ำกำลังกระเพื่อมนั้น ไม่มีผู้ใดที่จะเอาตัวข้าพเจ้าลงไปในสระ และเมื่อข้าพเจ้ากำลังไป คนอื่นก็ลงไปก่อนแล้ว"
7 'Sir,' replied the sick man, 'I have no one to put me into the pool when the water is disturbed; and while I am still on the way, someone else gets down there before me.'
การเคลื่อนไว้ที่ผิดปรกติของน้ำนี้ เชื่อว่าคือการรักษา

เกือบถึงศตวรรษที่2 ในทางตะวันออก และระหว่าง ศตวรรษที่ 4 ของ Greek Fathers ที่เพิ่มเติม ในบทประพันธ์ที่รู้จักกันคือ ด้วยมีทูตสวรรค์องค์หนึ่งลงมากวนน้ำในสระนั้นเป็นครั้งคราว "For [from time to time] an angel of the Lord used to come down into the pool; เมื่อน้ำกระเพื่อมนั้น ผู้ใดก้าวลงไปในน้ำก่อน ก็จะหายจากโรคที่เขาเป็นอยู่นั้นand the water was stirred up, so the first one to get in [after the stirring of the water] was healed of whatever disease afflicted him."

ทูตสวรรค์เป็นที่นิยมในการอธิบาย การกระเพื่อมของน้ำและ การอำนาจในการรักษาโรค ร้อยกรองนี้ หาไม่พบ จากทั้งหมด แต่แรกของ หนังสือเขียนด้วยลายมือต้นฉบับของ Greek และฉบับเริ่มแรก รวมถึงฉบับดั้งเดิมของ Vulgate(คัมภีร์ไบเบิลภาษาละตินในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก)Its vocabulary is markedly non-Johannine.

พระเยซูเจ้าไม่ได้ตรัสว่า โรคร้ายเป็นผลของบาป (เที่ยบ 9:2) พระองค์ทรงเตือนชายที่หายโรคนั้นว่า การหายโรคเป็นพระพรของพระเจ้าซึ่งจะต้องรับรู้ด้วยการกลับใจ (เที่ยบ มธ 9:2-8) ถ้าไม่ทำเช่นนี้ เขาอาจจะรับสิ่งที่เลวร้ายกว่าความเจ็บป่วยเสียอีก อัศจรรย์จึงเป็นเครื่องหมาย ของจิตใจที่รับชีวิตใหม่

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 17 มิถุนายน 2551 เวลา:15:07:19 น.  

 
Amazing JESUS Boat, Ginosar, Israel


อย่างไรกะดี มันเป็ฯไปไม่ได้สำหรับกับความแน่ใจที่เรารู้ พระเยซูเจ้าบางทีพบ แม็กกาดารา Magdala ผู้หญิง
ที่ติดตามพระองค์และมีความสำคัญมาก จากหลักฐานโดยชื่อ Mary Magdalene (which means "of Magdala") ทางตะวันตกของชายฝั่งทะเลกาลิลี ใจกลางเมืองที่เติบโตด้วยอุตสาหกรรมการประมง

จากแม่น้ำจอร์แดน ชายแดนทางตะวันออกของเนินเขา Perea ทะเลสาบกาลิลี เป็นทะเลสาบที่ใหญ่มาก 13
ไมล์ทางตอนเหนือไปทางใต้ และ 7 ไมล์จากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ที่จุดที่ลึกที่สุดของทะเลสาบวัดระดับได้ 150 Feet กระบวนการขุดค้นหาวัตถุโบราณ (ในสถานที่ทางประวัติศาสตร์) ตอนล่างของที่ราบชายฝั่งทะเล ที่ปรากฎออกมาพบท่าจอดเรือไม่น้อยกว่า 15 แห่ง

มันเป็นไปได้นั้นคือ ระยะ10 ปีก่อนคริสกาล ในศตวรรษที่ 1 ชนชั้นชาวประมง มีจำนวนมากพอๆๆกับ ชาวกษตรกร และลูกของพวกเขาเหล่านั้นไม่นานกะทำ ในพระวารสาร บอกให้เห็นถึง นั้นคือ การ การจับปลาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ความั่นคงของปลาที่มีอยู่ในทะเลสาบกาลิลี เกี่ยวกับพระวารสารของ นักบุญลูกา Simon Peter บอกพระเยซูว่า
ลูกาLuke 5:5-7
5 "ซีโมนทูลตอบว่า "พระอาจารย์ พวกเราทำงานหนักมาทั้งคืนแล้ว จับปลาไม่ได้เลย แต่เมื่อพระอาจารย์ดำรัส
ข้าพเจ้าก็จะลงอวน"
6เมื่อกระทำดังนี้แล้ว พวกเขาจับปลาได้จำนวนมากจนอวนเกือบขาด
7 เขาจึงส่งสัญญาณเรียกเพื่อนในเรืออีกลำหนึ่งให้มาช่วย พวกนั้นก็มาและนำปลาใส่เรือเต็มทั้งสองลำจนเรือเกือบ
จม

นักวิทยาศาสตร์ชาวอิสราเอล ศึกษาและพบว่า ปัจจุบันนี้ มีปลา อยู่ 24-36 ชนิด (species)ในทะเลสาบ

อัครสาวกส่วนมากเป็ฯชาวประมง เคยทำงานหนักจับปลา ซึ่งกินได้ 3 ชนิด ในทะเลสาบกาลิลี ชนิดแรก ปลาซาร์ดีนตัวเล็ก เป็นไปได้ที่ ปลา มี 2 Species ระบุในเรื่องของพระเยซูเจ้า ในอัศจรรย์การเพิ่มทวีคูณของขนมปังและปลา ลูกา Luka 9:13
13 พระองค์ตรัสกับเขาว่า "ท่านทั้งหลายจงหาอาหารให้เขากินเถิด" เขาทูลว่า " เราไม่มีอะไรนอกจากขนม
ปังห้าก้อน และปลาสองตัวเท่านั้น หรือว่าเราจะไปซื้ออาหารสำหรับคนเหล่านี้ทั้งหมด"

Sardines และขนมปัง คืออาหารหลักของชาวกาลิลี ที่กินได้ในยุคของโรมัน ปลาชนิดที่สองคือ Babel เป็นปลาที่อยู่ในลำธารน้ำที่ไหลอย่างต่อเนื่อง ปลาชนิดที่ 3 และบางทีเป็ฯที่นิยมที่สุด รู้จักกันtilapia และที่นิยมรู้จักเรียก Saint Peter's fish ปลานี้เมื่อนานมาแล้ว จากการสืบค้น มีครีบที่หลัง และเติบโตใน ในช่วงระยะ 1.5 feet


Source : //dqhall59.com/fish_and_coin.htm
BLUE TILAPIA (ST. PETER'S FISH)-- BY H.B. TRISTRAM (1880))

กี่ยวกับนักวิทยาศาสตร์ชาวอิสราเอล, การคงรูปการไม่เปลี่ยนแปลง ของเชื้อสาย Saint Peter's fish ซึ่งใช้เป็นอาหาร และ พืชที่เติบโตในทะเล เคยจำเป็นมาก ในการดำเนิน ของระบบที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม และเคมี เพื่อความสมดุลกันในทะเลสาบ


St. Peter's Fish (Matthew 17:24-27).
การจับปลาในทะเลสาบกาลิลี มัน อันตราย สำหรับ กรณีข้อเท็จจริง ในพระวารสารบันทึกไว้ (มะระโก 4:37,
มัทธิว Matthew 8:24 ,ลูกา Luke 8:23)

มะระโก 4:37
37 ขณะเกิดพายุแรงกล้า คลื่นซัดเข้าเรือจนน้ำเกือบจะเต็มเรืออยู่แล้ว
37 Then it began to blow a great gale and the waves were breaking into the boat so that it was almost swamped.

มัทธิว Matthew 8:24
24 ทันใดนั้นเกิดพายุแรงกล้าในทะเลสาบ คลื่นสูงจนไม่เห็นเรือ แต่พระองค์บรรทมหลับ
24 Suddenly a storm broke over the lake, so violent that the boat was being swamped by the waves. But he was asleep.
ลูกา Luke 8:23
23 ขณะที่บรรดาศิษย์กำลังแล่นเรือ พระองค์บรรทมหลับ เกิดลมพายุขึ้นในทะเลสาบ น้ำซัดเข้าเรือ คนในเรืออยู่
ในอันตราย
23 and as they sailed he fell asleep. When a squall of wind came down on the lake the boat started shipping water and they found themselves in danger.

อย่างไรกะดี ทะเลสาบกาลิลีกะเป็นทะเลสาบที่สงบนิ่งปรกติธรรมดา ทันทีทันใดที่พายุฝนที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกิดขึ้น ระหว่างพายุรุนแรง ใน March 1992 สำหรับตัวอย่าง คลื่นสูง 10 feet ปะทะชนเข้าไปในใจกลางเมือง Teverya ต้นเหตุสำคัญของความเสียหาย ซึ่งตามมาภายหลัง จากการสืบสวนตรวจสอบหาความจริงให้เหตุผลว่า การเกิดพายุทันทีทันใดในภูมิประเทศ ทางตะวันออกและตะวันตก ของเทือกเขากาลิลี เทือกเขามีรูปร่างเหมือนกรวย เร่งความเร็ว ของลมเข้ามาจากทางตอนเหนือ กับสาวยลมที่พัดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทางตะวันออกของ Goland Height ลมหมุน ในแอ่งน้ำทะเลสาบ อย่างเป็นอิสระทันทีทันใด พายุฝนที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน นั้นคือทำให้อยู่ในอันตราย และทุกๆๆคนเข้าใจ ในการเกิดขึ้นของน้ำ


St. Peter's Fish


Three types of fish were primarily sought by fishermen in antiquity in these waters. Sardines likely were the "two small fish" that the boy brought to the feeding of the 5000. Sardines and bread were the staple product of the locals. Barbels are so known because of the barbs at the corners of their mouths. The third type is called musht but is more popularly known today as "St. Peter's Fish." This fish has a long dorsal fin which looks like a comb and can be up to 1.5 feet long and 3.3 lbs in weight.

Source ://www.bibleplaces.com/seagalilee.htm


Source :www.shopisraeltoday.com
อะ ชอบทำอาหารทานอาหาร น่าสนจายยยดี อ่าคนสมัยนั้นเค้ากินกานนยางงไง

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 19 มิถุนายน 2551 เวลา:10:35:35 น.  

 
Treasure Attic-"Jesus Miracles"


Miracles Performed by Jesus

คุณลักษณะอัศจรรย์ของพระเยซูเจ้า พิสูจน์และความน่าเชื่อถือ และความน่าไว้วางใจ ในฐานะพระอาจารย์ และประกาศกของพระเจ้า พระองค์ทรงรักษาคนเป็ฯโรคเรื้อน,พระองค์ทรงทำให้คนตาบอดกลับแลเห็นได้ และแม้กระทั้งทำให้คนฟื้นจากความตาย (เรื่องของลาซารัสที่ตายเอาไปฝังในอุโมงค์ 3-4 วัน) เกี่ยวกับเรื่องอื่นๆๆของพระองค์ทรงบังคับธรรมชาติ นั้นคือลมพายุในทะเลสาบกาลิลี

ในศตวรรษที่ 1 ของคริสตกาล ในJudeo-Roman นักประวัติศาตร์ Flavius Josephus เขียนบันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้า ทรงเป็ฯผู้ " ปราชญ์เปรื่อง และผู้กระทำอัศจรรย์อย่างจริงๆจังๆ"ในพระวารสารบรรจุมากกว่า 30 อัศจรรย์ ในเรื่องของพระเยซูเจ้า แต่พวกเขาไม่ระบุทุกครั้งอย่างต่อเนื่อง พวกเขาเหล่านั้นระบุความชัดเจน ความคล้ายกัน เหมือนกัน ระหว่างการรักษาโรค ตามที่รายงานไว้ ในการกระทำโดย Elijah และ Elisha และ ความเชื่อถือความไว้วางใจคือพระเยซูเจ้า รวมถึงอัศจรรย์การเพิ่มทวีคูญ ของขนมปังและ การฟื้นคืนชีพของเด็กน้อย เรื่องหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันธรรมดาเหล่านั้น ท่ามกลาง เรื่องเตือนความจำ บางผู้เชี่ยวชาญได้มองข้ามคำจารึกอัศจรรย์นี้ไป

เกี่ยวกับวรรณกรรม เชิงอักษรศาสตร์ สำนวนโวหาร ความเอาจริงเอาจังของนักโบราณคดี อย่างไรกะตาม ไม่ครอบคลุมถึงนั้นคือ เรื่องที่เก่าแก่ที่สุดการรักษาโรค โดยเฉพาะ เป็นประวัติและขนมธรรมเนียมถ่ายทอดสู่รุ่นต่อไปโดยเล่าปากเปล่า เกี่ยวกับพระเยซูเจ้า ส่วนประกอบสำคัญสองส่วน การแยกแยะ จำแนกความแตกต่าง การรักษาโรค ตรวจสอบได้ จากอัศจรรย์อื่นๆ

อย่างแรก พระเยซูเจ้า บอกผู้เจ็บป่วยอย่างแน่ชัด "your sins are forgiven" มัทธิว
คาทอลิกใช้ นิวเยรูซาเร็มไบเบิ้ล
//www.catholic.org/bible/

Matthew 9:2
พระเยซูเจ้า ทรงรักษาคนอัมพาต
2 ทันใดนั้นมีผู้หามคนอัมพาตคนหนึ่งนอนบนแคร่มาเฝ้าพระองค์ เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นความเชื่อของเขา จึงตรัสแก่คนอัมพาตว่า "ทำใจดีๆ ไว้เถิด ลูกเอ๋ย บาปของท่นได้รับการอภัยแล้ว"
2 And suddenly some people brought him a paralytic stretched out on a bed. Seeing their faith, Jesus said to the paralytic, 'Take comfort, my child, your sins are forgiven.'

เชิงอรรถ
พระเยซูเจ้าทรงมีเจตนาที่จะรักษาโรคฝ่ายจิตเป็นอันดับแรก และทรงรักษาโรคทางกายพร้อมกับรักษาโรคฝ่ายจิตด้วย อย่างไรก็ตาม พระวาจาของพระองค์ในข้อนี้ก็มีคำสัญญาที่จะรักษาโรคทางกายด้วย เพราะความเจ็บไข้นั้นนับได้ว่าเป็นผลของบาปที่ผู้ป่วยเองหรือบิดามารดาได้กระทำ ดู 8:29 เชิงอรรถ ยน 5:14, 9:2

ท่ามกลางระหว่าง ศตวรรษที่1 ของยิว การเจ็บป่วยและโรคภัยไข้เจ็บ คือ พระเป็นเจ้าทรงลงโทษสำหรับความบาป ถ้าเด็กที่เกิดมาตาบอด หรือหูหนวก สำหรับตัวอย่าง มันคือเชื่อว่าเป็นจริงนั้นคือเด็กทารกตั้งอยู่ในรรณ์และตกอยู่ในบาป เพราะบาปได้ไชชอนทะลุเข้าไปในท้องที่กำลังตั้งครรณ์ สำหรับแสดงให้เห็นถึง การผิดทำนองคลองธรรม และ ผิดศีลธรรม ของครอบครัว เพราะฉะนั้น ประชากรเหล่านั้น ได้รับความทรมาร กับโรคภัยไข้เจ็บที่เรื้อรัง คือ เป็นที่ไม่ยอมรับ ถูกขับไล่ ตัดสิทธิ์ ทางสังคม และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ สกปรก ซอมซ่อ บนขอบเขตในหมู่บ้าน ความเจ็บป่วยโดยเหตุนั้น รวมไปถึงบ่อยๆๆ กับความตึงเครียด ความกดดันของอารมณ์

พระเยซูเจ้าทรง ไตร่ตรองอย่างสุขุม ให้ความใกล้ชิดกับคนป่วย และพระองค์ทรงให้ความมั่นใจนั้นคือ ทุกๆๆสิ่งของบาป ได้รับการให้อภัย ต้องยกจิตใจขึ้นทำให้มีความสุข แข็งแรง กับอุปสรรคสิ่งกีดขวาง ของบุคคลธรรมดาที่ได้รับการรักษาโรคให้หายที่คงอยู่ตลอดไป

อย่างที่สอง นั้นคือ ความโดดเด่นพิเศษของการรักษาโรคให้หาย อธิบายจากอัศจรรย์อื่นๆๆ นั้นคือพระเยซูเจ้า ทรงสัมผัส ผู้ป่วยเหล่านั้น ไปยังบางคนปลิดชีพ
ชีวิตสูญสิ้นไป สำหรับมนุษย์กับความคุ้นเคยหลายๆๆปีหรือเป็นไปได้ที่มีตอนเขาชีวิตอยู่กับพระองค์มากที่สุด เกี่ยวกับรูปธรรม ทางกายภาพ ทางวัตถุ เกี่ยวกับกฎของธรรมชาติ การสัมผัสของพระเยซูเจ้าซึ่งเคยทำให้ตื่นเต้นตกใจ ในประสบการณ์ ยารักษาโรคทางตะวันออกนั้นเป็นเจ้าของคลอบคลุมโดย จิตใจของมนุษย์ มีพละกำลังที่ยิงใหญ่เหนือกว่าในเรื่องส่วนบุคคล เอกัตภาพ ของการมี การมีสุขภาพที่ดีแข็งแรงสมบูรณ์ มากกว่าธรรมเนียมทางตะวันตก ต่อจากนั้นพระเยซูเจ้าประกาศยืนยันโรคร้ายในตัวบุคคลโดยกำเนิด อย่างสง่างาม ซึ่งเคยได้ผลมากมาย จากการกระตุ้นการรักษาโรคให้หาย

นักวิจัยบางคน ให้ความสำคัญเน้นย้ำ ในสัญญาลักษณ์ความหมายของอัศจรรย์พระเยซูเจ้า โดยการให้พร และ การเพิ่มทวีคูญ ของอาหารแก่คนยากจน ขนมปังและปลา พระเยซูเจ้าอาจจะมีเจตนา นำสัญญาลักษณ์มาใช้ในความสงสารที่ไม่มีอาหาร และ การเพิ่มทวีคูญของขนมปังและปลา เป็นลักษณะคุณสมบัติของ นั้นคือ ผู้ซึ่งมีความเชื่อจะได้รับรางวัลเป็นสิบเท่าในอาณาจักรของพระเจ้า (อันนี้นักวิจัยบางคนเค้าตีความอะ) ในการตีความนี้ พระเยซูเจ้า ทรงเน้นย้ำให้ความสำคัญกับขนมปัง ที่ หลักทางด้านเทววิทยา(เกินกว่าจะเข้าใจ) และเกี่ยวกับอาณาจักรของสังคมที่ตัดสิน เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเน้นย้ำในความสำคัญ ระบุว่า "เพราะคนงานย่อมมีสิทธิ์ได้รับอาหารอยู่แล้ว Laborers deserve their food" มัทธิว Matthew 10 :10
10 เมื่อเดินทาง อย่ามีย่าม อย่ามีเสื้อสองตัว อย่าสวมรองเท้า อย่าถือไม้เท้า เพราะคนงานย่อมมีสิทธิ์ได้รับอาหารอยู่แล้ว
10 with no haversack for the journey or spare tunic or footwear or a staff, for the labourer deserves his keep.

พระองค์ยืนยันขั้นพื้นฐาน ความมีคุณค่า ความมีเกียริต์ ของชาวกาลิลี ชาวนา ชาวเกษตรกร คนไร้การศึกษา และความชอบธรรมของพระองค์


Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 20 มิถุนายน 2551 เวลา:21:36:28 น.  

 
The Road To Jerusalem
Garden of Gethsemene


การสร้างฟื้นฟูใหม่ อาทิตย์สุดท้ายของพระเยซูเจ้าทรงพระชมน์อยู่ กับความแน่ใจโดยจำกัด คือความยาก เพราะ การเรียงลำดับเหตุการณ์ แม้ว่าพระวารสารทั้งสี่ ไม่ได้สอดคล้องซึ่งกันและกันเสมอ
พระวารสาร บอกเป็นนัยอธิบาย อย่างไรกะตาม นั้นคือ ภาระกิจของพระเยซูเจ้า ในกาลิลีทรงดำเนิน เพราะ มวลชน ยังคงมาที่ทะเลสาบกาลิลลี เพื่อฟังพระเยซูเจ้าทรงสอน บางทีเห็นอัศจรรย์ แต่ น้อยคนจริงๆๆแล้วที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขา ในวิธีการ รูปแบบ ของบัญญัติโดย พระเยซูเจ้า ประชากร ไม่สนใจไม่เอาใจใส่ ในการอธิบายของ
คาทอลิกใช้ นิวเยรูซาเร็มไบเบิ้ล New Jerusalem Bible
//www.catholic.org/bible/
พระเยซูเจ้า ลูกาLuke 10:13
13 วิบัติจงเกิดแก่เจ้า เมืองโคราซิน วิบัติจงเกิดแก่เจ้า เมืองเบซไซดา ถ้าอัศจรรย์ที่ได้เกิดขึ้นในเจ้าได้เกิดขึ้นนที่
เมืองไทระ และเมืองไซดอนแล้ว เขาเหล่านั้นคงได้นุ่งกระสอบนั่งบนกองขี้เถ้ากลับใจเสียนานแล้ว
13 'Alas for you, Chorazin! Alas for you, Bethsaida! For if the miracles done in you had been done in Tyre and Sidon, they would have repented long ago, sitting in sackcloth and ashes.

เสียงเรียกของการแสดงความเสียใจต่อสิ่งที่กระทำผิด การสำนึกบาป คือส่วนหนึ่งของการประกาศอาณาจักรของ
พระเจ้า กับความเคร่งครัดของการตัดสินพิพากษา สำหรับพวกเขาเหล่านั้นซึ่งได้ยินมันและปฎิเสธมัน

กับความผิดหวังของการสำนึกบาป ปราศจากการแสดงความเสียใจต่อสิ่งที่กระทำผิด พระเยซูเจ้าทรงเสียดสี นั้นคือ ถ้าอัศจรรย์ที่ได้เกิดขึ้นในเจ้าได้เกิดขึ้นนที่เมืองไทระ และเมืองไซดอนแล้ว เขาเหล่านั้นคงได้นุ่งกระสอบนั่งบน
กองขี้เถ้ากลับใจเสียนานแล้วพระเยซูเจ้า ทรงเปลี่ยนทิศทางใหม่ในภาระกิจของพระองค์ ใกล้ถึงเทศกาลปาสกา ที่เยรูซาเร็มท่วมท้นไปด้วยนักแสวงบุญที่มานมัสการพระวิหาร บางที พระองค์ได้แรงบันดาลใจโดยประกาศกเยเรมีย์ ผู้ซึ่งพระเป็นเจ้าทรงเรียกไปที่พระวิหา และ ประกาศแก่คนยูดาห์ เยเรมีย์
Jeremiah 7:1-7
ขอยืม KJV ไบเบิ้ล
การประกาศที่ประตูกำแพงพระวิหาร
7:1 พระวจนะซึ่งมาจากพระยาห์เวห์ถึงเยเรมีย์ว่า
7:2 "เจ้าจงยืนอยู่ในประตูกำแพงพระนิเวศของพระยาห์เวห์และประกาศถ้อยคำเหล่านี้ที่นั่นว่า บรรดาคนยูดา
ห์ทั้งปวง ผู้เข้ามาในประตูกำแพงนี้เพื่อจะนมัสการพระยาห์เวห์ จงฟังพระวจนะพระยาห์เวห์
7:3 พระยาห์เวห์จอมโยธาพระเจ้าของอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า จงปรับปรุงพฤติการณ์และการกระทำของเจ้าเสีย
และเราจะให้เจ้าอาศัยอยู่ในสถานที่นี้
7:4 อย่าไว้วางใจในคำเท็จเหล่านี้ที่ว่า `นี่เป็นพระวิหารของพระยาห์เวห์ พระวิหารของพระยาห์เวห์ พระวิหาร
ของพระยาห์เวห์'
7:5 เพราะว่า ถ้าเจ้าปรับปรุงพฤติการณ์และการกระทำของเจ้าจริงๆ ถ้าเจ้าให้ความยุติธรรมระหว่างคนหนึ่งกับเพื่อนบ้านของเขาจริงๆ
7:6 ถ้าเจ้าไม่บีบบังคับคนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อหรือหญิงม่าย และไม่หลั่งโลหิตที่ไร้ความผิดให้ถึงตายในที่นี้
และเจ้าทั้งหลายไม่ติดตามพระอื่นไปให้เจ็บตัวเอง
7:7 แล้วเราจะให้เจ้าอาศัยอยู่ในสถานที่นี้ ในแผ่นดินซึ่งเราได้ยกให้แก่บรรพบุรุษของเจ้าเป็นนิตย์

1 The word that came to Jeremiah from Yahweh, saying,

2 'Stand at the gate of the Temple of Yahweh and there proclaim this message. Say, "Listen to the word of Yahweh, all you of Judah who come in by these gates to worship Yahweh.

3 Yahweh Sabaoth, the God of Israel, says this: Amend your behaviour and your actions and I will let you stay in this place.

4 Do not put your faith in delusive words, such as: This is Yahweh's sanctuary, Yahweh's sanctuary, Yahweh's sanctuary!

5 But if you really amend your behaviour and your actions, if you really treat one another fairly,

6 if you do not exploit the stranger, the orphan and the widow, if you do not shed innocent blood in this place and if you do not follow other gods, to your own ruin,

7 then I shall let you stay in this place, in the country I gave for ever to your ancestors of old.


พระวิหารของพระเป็นเจ้าจะไม่ใช่สถานที่ปฎิบัติ สำหรับผู้ที่ลี้ภัย สำหรับชาวยิวต่อต้านพวกเขาเหล่านั้นซึ่งเป็นศตรู ถ้าพวกเขากลับตัวจากทางของปีศาจ

คนต่างด้าว คนต่างถิ่น The resident alien:ได้รับการปกป้องโดยกฎพระบัญญัติ ดู Exodus 20:10; Numbers 9:14; 15:14; Deut 5:14; 28:43.

อพยพExodus 20:10
10 แต่วันที่เจ็นเป็นวันพักผ่อนที่ถวายแด่พระยาเวห์พระเจ้าของท่าน ในวันนั้น ท่านต้องไม่ทำงานใดๆๆ ไม่ว่าจะ
เป็นท่าน บุตรชาย บุตรหญิง บ่าวไพร่ชายหญิง สัตว์ใช้งานหรือคนต่างถิ่นที่อาศัยอยู่กับท่าน

10 but the seventh day is a Sabbath for Yahweh your God. You shall do no work that day, neither you nor your son nor your daughter nor your servants, men or women, nor your animals nor t

กันดารวิถีNumbers 9:14
14 ถ้าคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่กับท่านต้องการฉลองปัสการถวายพระเกียรติ์แด่พระยาห์เวห์ เขาจะต้องปฎิบัติตาม
ข้อกำหนดและกฎเกี่ยวกับปัสกา ท่านจะต้องมีข้อกำหนดเดียวกันสำหรับทุกคนไม่ว่าจะเป็นชาวอิสราเอลหรือคนต่างด้าว
14 "A resident alien who keeps a Passover for Yahweh, will keep it in accordance with the ritual and customs of the Passover. You will have one law for alien and citizen alike." '

กันดารวิถีNumbers 15:14
14 คนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านท่านทั้งหลายชั่วคราวหรือตลอดไปจะต้องปฎิบัติเช่นเดียวกัน เมื่อถวายเครื่อง

บูชาที่ใช้ไฟเผามีกลิ่นหอมเป็นที่พอพระทัยพระยาห์เวห์
14 and if an alien residing with you or with your

descendants intends to offer food burnt as a smell

pleasing to Yahweh, he will do as you do.
เฉลยธรรมบัญญัติ Deut 5:14
14แต่วันที่เจ็ดเป็นวันพักผ่อนที่ถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ท่านทั้งหลายพร้อมบุตรชายหญิง บ่าวไพร่
ชายหญิง โค ลา และสัตว์อื่นๆๆของท่าน รวมทั้งคนต่างถิ่นที่อยู่กับท่าน ต้องไม่ทำงานใดๆๆในวันนั้น ดังนี้บ่าวไพร่
ชายหญิงของท่นจะได้พักผ่อนเช่นเดียวกัยท่าน

14 but the seventh day is a Sabbath for Yahweh your God. You must not do any work that day, neither you, nor your son, nor your daughter, nor your servants -- male or female -- nor your o

เฉลยธรรมบัญญัติ Deut 28:43
43 คนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านท่านจะมีอำนาจมากยิ่งขึ้น ส่วนท่านจะยิ่งด้อยอำนาจลง
43 'The foreigners living with you will rise higher and higher at your expense, while you yourself sink lower and lower.

ลูกา LuKa 18:31
พระเยซูทำนายครั้งที่สามถึงพระทรมาน
31 พระเยซูเจ้าทรงนำอัครสาวกสิบสองคนออกไปตามลำพัง ตรัสกับเขาว่า "บัดนี้ พวกเรากำลังขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเร็ม และทุกสิ่งที่บราดาประกาศกได้เขียนไว้"

เชิงอรรถ ลูกาเน้นบ่อยครั้งว่าบรรดาประกาศกได้ทำนายถึงพระทรมานไว้แล้ว (24:25-27 44 กจ 2 :23 เชิงอรรถ o 3:18,24เชิงอรรถ s 8:32-35 13:27 26:22 และ//)

31 Then taking the Twelve aside he said to them, 'Look, we are going up to Jerusalem, and everything that is written by the prophets about the Son of man is to come true. และทุกสิ่งที่บราดาประกาศกได้เขียนไว้ Everything written by the prophets . . . will be fulfilled:นี้คือ Lucan เพิ่ม เข้าไปในคำพูดของพระเยซูพบได้ในa

Marcan source (มะระโกMark 10:32-34)
ทรงพยากรณ์ถึงการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนชีพของพระเยซู (มธ 20:17-19; ลก 18:31-33)
10:32 เมื่อกำลังเดินทางจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูก็เสด็จนำหน้าเขา ฝ่ายเหล่าสาวกก็พากันคิด
ประหลาดใจ และขณะที่เขาตามมาก็หวาดกลัว พระองค์จึงทรงเรียกสาวกสิบสองคนอีก แล้วเริ่มตรัสสำแดงให้เขา

ทราบถึงเหตุการณ์ซึ่งจะเกิดแก่พระองค์นั้น
10:33 ว่า "ดูเถิด เราทั้งหลายจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และเขาจะมอบบุตรมนุษย์ไว้กับพวกปุโรหิตใหญ่และ
พวกธรรมาจารย์ และเขาเหล่านั้นจะปรับโทษท่านถึงตาย และจะมอบท่านไว้กับคนต่างชาติ

32 They were on the road, going up to Jerusalem; Jesus was walking on ahead of them; they were in a daze, and those who followed were apprehensive. Once more taking the Twelve aside he b

33 'Now we are going up to Jerusalem, and the Son of man is about to be handed over to the chief priests and the scribes. They will condemn him to death and will hand him over to the gen


นักบุญลูกกา เข้าใจแม้ว่าวันสุดท้ายของพระเยซูเจ้าในเยรูซาเร็ม ทรงบรรลุเป้าหมายสมพระประสงค์ ที่ประกาศก
เขียนไว้ในพันธสัญญาเก่า แต่โดยธรรมดาที่นักบุญลูกาแสดงถึง ผู้เขียนไม่ได้ระบุว่าประกาศกคนใหน ในความตั้งใจ จิตใจของผู้เขียน ดู ลูกาLuke 24:25, 27, 44;กิจการอัครสาวก Acts 3:18; 13:27; 26:22-23.

ลูกาLuke 24:25, 27, 44
25 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "เจ้าคนเขลาเอ๋ย ใจของเจ้าช่างเชื่องช้าที่จะเชื่อข้อความที่บรราดาประกาศกกล่าวไว้
27 แล้วพระองค์ทรงอธิบายพระคัมภีร์ทุกข้อที่กล่าวถึงพระองค์ให้เข้าฟังโดยเริ่มต้นตั้งแต่โมเสสจนถึงบรรดาประกาศก
25 Then he said to them, 'You foolish men! So slow to believe all that the prophets have said!

27 Then, starting with Moses and going through all the prophets, he explained to them the passages throughout the scriptures that were about himself.

คำแนะนำครั้งสุดท้ายแก่บรรดาอัครสาวก
44 หลังจกานั้น พระองค์ตรัสกับเขาว่า "นี้คือความหมายถ้อยคำที่เรากล่าวไว้ขณะที่ยังอยู่กับท่าน ทุกสิ่งที่เขียนไว้
เกี่ยวกับเราในธรรมบัญญัติของโมเสสบรรดาประกาศกและเพลงสดุดีจะต้องเป็นความจริง
44 Then he told them, 'This is what I meant when I said, while I was still with you, that everything written about me in the Law of Moses, in the Prophets and in the Psalms, was destined

เชิงอรรถ ลูกาเหล่าเหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้ เหมือนกับว่าได้เกิดขึ้นในวันเดียวกันกับวันที่พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระ
ชมน์ชีพ (ดู มธ 28:10 เชิงอรรถ F)แต่ กจ 1:1-8 กล่าวว่า ระหว่างการกลับคืนพระชมน์ชีพและการเสด็จสู่สวรรค์มีช่วงเวลาสี่สิลวันคั่นอยู่

กิจการอัครสาวก Acts 3:18
18 แต่พระเจ้าทรงใช้วิธีนี้เพื่อทำให้ถ้อยคำที่พระองค์ตรัสไว้ล่วงหน้าโดยทางบรรดาประกาศกว่าพระคริสตเจ้า

ของพระองค์จะทรงรับทรมานนั้นเป็นจริง
18 but this was the way God carried out what he had foretold, when he said through all his prophets that his Christ would suffer.

กิจการอัครสาวก Acts 13:27
27 ชาวเยรูซาเร็มและบรรดาหัวหน้าไม่ยอมรับพระเยซูเจ้า จึงตัดสินลงโทษพระองค์ ทำให้ข้อความของบรรดาประกาศกที่อ่านทุกวันสับบาโตเป็นความจริง

27 What the people of Jerusalem and their rulers did, though they did not realise it, was in fact to fulfil the prophecies read on every Sabbath.

เชิงอรรถ สำเนาบางฉับบเสริมว่า "และไม่เข้าใจพระคัมภีร์"

กิจการอัครสาวก Acts 26:22-23
22 แต่พระเจ้าทรงช่วยเหลือข้าพเจ้าจนถึงวันนี้ ข้าพเจ้าเป็นพยานเสมอมาทั้งต่อหน้าผู้น้อยและผู้ใหญ่ ข้าพเจ้ายืนยันแต่เพียงสิ่งที่บรรดาประกาศกและโมเสสกล่าวไว้ว่าจะต้องเกิดขึ้น
23 คือพระคริสเจ้าจะต้องรับทรมานและจะทรงกลับคืนพระชมน์ชีพจากบรรดาผู้ตายเป็นพระองค์แรก และจะทรงประกาศแสงสว่างแก่ประชากรอิสราเอลและแก่บรรดาคนต่างศาสนา
22 But I was blessed with God's help, and so I have stood firm to this day, testifying to great and small alike, saying nothing more than what the prophets and Moses himself said would h

23 that the Christ was to suffer and that, as the first to rise from the dead, he was to proclaim a light for our people and for the gentiles.'

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 21 มิถุนายน 2551 เวลา:17:55:44 น.  

 
jericho at the dawn of human history

พระเยซูเจ้าทรงเลือก อ้อมเส้นทาง บางทีเพราะว่า ความสนิทสัมพันธ์ของชาวฟาริสี Phariseeบอกพระองค์

นั้นคือ กษัตริย์ เฮโรด แอนติพาส King Herod Antipas กำลังค้นหาและสังหารพระองค์ ลูกา

Luke 13:31
กษัตริย์เฮโรดเจ้าเล่ห์
31 เวลานั้นชาวฟาริสีบางคนเข้ามาทูลพระเยซูเจ้าว่า "ท่านจงเดินทางออกไปจากที่นี้เถิด เพราะกษัตริย์เฮโรด ต้องการจะฆ่าท่าน"

เชิงอรรถ หมายถึงกษัตริย์เฮโรด อันทิปาส (ดู 3:1เชิงอรรถ c) ถ้ากษัตริย์เฮโรด ได้ขู่ที่จะกำจัดพระเยซูเจ้า
จริงๆๆ ก็สมควรได้สมญาว่า "สุนัขจริงจอก"ซึ่งหมายถึง คนเจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อน

ทำไมแอนติพาสต้องการจับกุมพระองค์ ไม่ใช่ในรัฐ เป็นไปได้ที่ Tetrarch (ระบอบการปกครองของโรมัน ที่ปกครองเมือง 4เมืองมีผู้ปกครอง 1 คน จะเป็นข้าหลวงโรมัน หรือเจ้าชายของประเทศนั้นๆ)เกรงว่าแผนการ
โจมตีปฎิวัติจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่พระเยซูเจ้าจะตามมาทรงเริ่มมีความยิ่งใหญ่และอำนาจครองใจประชาชน
หลังจาก พักแรมชั่วคราว ในเขตการปกครองของ กาลิลี ใน Tetrarch(เมือง หนึ่งในสี่เมืองที่ปกครองโดย ฟิลิป น้องชายของ แอนติพาสอะ)Philip พระเยซูเจ้าทรงเคลื่อนย้ายไปทางใต้ คู่ขนานไปกับแม่น้ำ River Yarmuk ผ่านประชากรของโรมัน บ่อน้ำแร่ Hammat Gader จนกระทั้ง พระองค์ไปถึงจอร์แดน จาก
นั้นพวกเขา ข้ามจอร์แดนไปใกล้ๆ Beth Shan เพื่อที่จะหลีกเลี่ยง Perea ภูมิภาคที่ปกครอง โดย
แอนติพาส Antipas จนกระทั้งกลุ่มของพระองค์มาถึง เยริโค Jericho จากนั้นศูนย์กลางสำคัญที่สุด
ของของอาณาณิคมการปกครองของ อาณาจักรโรมัน
เกี่ยวกับพระวารสารของนักบุญลูกา พระเยซูเจ้าทรงทำให้ชายตาบอดกลับแลเห็น ในเมือง เยริโค Jericho
คาทอลิก ใช้New Jersulam Bible //www.catholic.org/bible/
ลูกา Luke 18:35-43
ขอยืม KJVไบเบิ้ลอะ ยาว
ทรงรักษาคนตาบอดใกล้เมืองเยรีโค (มธ 20:29-34; มก 10:46-52)
18:35 ต่อมาเมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้เมืองเยรีโค มีคนตาบอดคนหนึ่งนั่งขอทานอยู่ริมหนทาง
18:36 เมื่อเขาได้ยินเสียงประชาชนเดินผ่านไป จึงถามว่าเรื่องอะไรกัน
18:37 คนพวกนั้นจึงบอกเขาว่า พระเยซูชาวนาซาเร็ธเสด็จไป
18:38 คนตาบอดนั้นจึงร้องว่า "ท่านเยซู บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์เถิด"
18:39 คนที่เดินไปข้างหน้านั้นจึงห้ามเขาให้นิ่ง แต่เขายิ่งร้องขึ้นว่า "บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์เถิด"
18:40 พระเยซูทรงประทับยืนอยู่สั่งให้พาคนตาบอดมาหาพระองค์ เมื่อเขามาใกล้แล้ว พระองค์ทรงถามเขา
18:41 ว่า "เจ้าปรารถนาจะให้เราทำอะไรให้เจ้า" เขาทูลว่า "พระองค์เจ้าข้า โปรดให้ข้าพระองค์เห็นได้"
18:42 พระเยซูตรัสแก่เขาว่า "จงเห็นเถิด ความเชื่อของเจ้าได้กระทำให้ตัวเจ้าหายปกติ"
18:43 ในทันใดนั้นเขาก็เห็นได้ และตามพระองค์ไปพลางถวายเกียรติแด่พระเจ้า และเมื่อคนทั้งปวงได้เห็นเช่นนั้นก็สรรเสริญพระเจ้า
35 Now it happened that as he drew near to Jericho there was a blind man sitting at the side of the road begging.
36 When he heard the crowd going past he asked what it was all about,
37 and they told him that Jesus the Nazarene was passing by.
38 So he called out, 'Jesus, Son of David, have pity on me.'
39 The people in front scolded him and told him to keep quiet, but he only shouted all the louder, 'Son of David, have pity on me.'
40 Jesus stopped and ordered them to bring the man to him, and when he came up, asked him,
41 'What do you want me to do for you?' 'Sir,' he replied, 'let me see again.'
42 Jesus said to him, 'Receive your sight. Your faith has saved you.'
43 And instantly his sight returned and he followed him praising God, and all the people who saw it gave praise to God.

และ พำนักอยู่บ้านคนเก็บภาษี ลูกาLuke 19:1-9

ศักเคียสคนเก็บภาษีได้รับความรอด
19:1 ฝ่ายพระเยซูจึงเสด็จเข้าเมืองเยรีโคและกำลังจะทรงผ่านไป
19:2 ดูเถิด มีชายคนหนึ่งชื่อศักเคียส ผู้ซึ่งเป็นนายด่านภาษีและเป็นคนมั่งมี
19:3 ศักเคียสพยายามจะดูให้เห็นพระเยซูว่าพระองค์เป็นผู้ใด แต่ดูไม่เห็นเพราะคนแน่น ด้วยเขาเป็นคนเตี้ย
19:4 เขาจึงวิ่งไปข้างหน้าขึ้นต้นมะเดื่อเพื่อจะได้เห็นพระองค์ เพราะว่าพระองค์จะเสด็จไปทางนั้น
19:5 เมื่อพระเยซูเสด็จมาถึงที่นั่น พระองค์ทรงแหงนพระพักตร์ดูศักเคียสแล้วตรัสแก่เขาว่า "ศักเคียสเอ๋ย จง
รีบลงมา เพราะว่าเราจะต้องพักอยู่ในบ้านของท่านวันนี้"
19:6 แล้วเขาก็รีบลงมาต้อนรับพระองค์ด้วยความปรีดี
19:7 เมื่อคนทั้งปวงเห็นแล้วเขาก็พากันบ่นว่า "พระองค์เข้าไปพักอยู่กับคนบาป"
19:8 ฝ่ายศักเคียสยืนทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า "ดูเถิด พระองค์เจ้าข้า ทรัพย์สิ่งของของข้าพระองค์ ข้าพระองค์
ยอมให้คนอนาถาครึ่งหนึ่ง และถ้าข้าพระองค์ได้ฉ้อโกงของของผู้ใด ข้าพระองค์ยอมคืนให้เขาสี่เท่า"
19:9 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "วันนี้ความรอดมาถึงครอบครัวนี้แล้ว เพราะคนนี้เป็นลูกของอับราฮัมด้วย
1 He entered Jericho and was going through the town
2 and suddenly a man whose name was Zacchaeus made his appearance; he was one of the senior tax collectors and a wealthy man.
3 He kept trying to see which Jesus was, but he was too short and could not see him for the crowd;
4 so he ran ahead and climbed a sycamore tree to catch a glimpse of Jesus who was to pass that way.
5 When Jesus reached the spot he looked up and spoke to him, 'Zacchaeus, come down. Hurry, because I am to stay at your house today.'
6 And he hurried down and welcomed him joyfully.
7 They all complained when they saw what was happening. 'He has gone to stay at a sinner's house,' they said.
8 But Zacchaeus stood his ground and said to the Lord, 'Look, sir, I am going to give half my property to the poor, and if I have cheated anybody I will pay him back four times the amoun
9 And Jesus said to him, 'Today salvation has come to this house, because this man too is a son of Abraham;

Jerusalem: Good Monday 2008, in Bethany


จากเมืองเยริโค ที่ละก้าวที่ค่อยๆเพิ่มขึ้น และรอคอยกลุ่มที่ติดตามพระองค์ ตามถนนตรงไปยังเทือกเขาจอร์แดน ไปสู่เยรูซาเร็ม Jerusalem มันเป็น the Lunar month of Nisan คือปฎิธิน ของชาวยิว ในปี 3790 (ก่อนเดือนเมษายน ในปี คริสกาลที่ 30)ที่พักแรม และ บ้านส่วนตัว หลั่งไหลไปด้วยฝูงชนจำนวนมาก เพื่อ นมัสการ นั้นคือ การเตรียมตัวของพระเยซูเจ้าพร้อมแล้ว และ พระองค์เสด็จไปที่กรุงเยรูซาเร็ม พระเยซูเจ้าอยู่ที่ Bethany ในบ้านของ ราซาลัส Lazarus และพี่สาวน้องสาว แมรี่ย์Mary และ มาร์ธา Martha) มะระโก Mark 11:11 ลูกา Luke 10:38 มัทธิว Matthew 21:17 ๋ John 11)

มะระโก Mark 11:11
11 พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเร็ม เข้าไปในพระวิหาร เมื่อทอดพระเนตรสิ่งต่างๆ โดยรอบแล้ว พระองค์ก็เสด็จออกไปยังหมู่บ้านเบธานีพร้อมกับอัครสาวกสิบสองคนขณะนั้นเป็นเวลาค่ำแล้ว
11 And a voice came from heaven, 'You are my Son, the Beloved; my favour rests on you.'

ลูกา Luke 10:38
มารธาและมารีย์
38 ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงดำเนินพร้อมกับบรรดาศิษย์ พระองค์เสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง สตรีผู้หนึ่งชื่อ
มารธารับเสด็จพระองค์ที่บ้าน
38 In the course of their journey he came to a village, and a woman named Martha welcomed him into her house.

เชิงอรรถ พี่น้องสองคนี้ยังจะปรากฎในอีกเรื่องการปลุกลาซารัสขึ้นมาจากความตาย ยน 11:1-44

มัทธิว Matthew 21:17
17 แล้วพระองค์ทรงจากพวกเขาเสด็จออกจากเมืองไปยังหมู่บ้านเบธานีและทรงพักแรมที่นั่น
17 With that he left them and went out of the city to Bethany, where he spent the night.

ยอร์น John 11 พระเยซูเจ้าทรงมุ่งหน้าไปสู่ความตาย
การกลับคืนชีพของลาซารัส (ยาวอ่าน ยอร์นบทที่11 ทั้งหมดอะ)

จากเมือง เบธานี เพียงแค่ 2ชั่วโมงของการเดิน ไม่น้อยกว่า 2ไมล์ ไปถึงกำแพงเมืองเยรูซาเร็ม

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 23 มิถุนายน 2551 เวลา:12:20:11 น.  

 
Jesus of Nazareth - Triumphant Entry



วันถัดไป กลุ่ม ของพระองค์เริ่มออกเดินทางเข้าไปในเมือง ในโอกาสเข้าประตูเมืองพระเยซูเจ้าทรงจำ ชาวกาลิลีผู้ไปแสวงบุญได้ หรือชาวยูดาห์ผู้ซึ่งเคยได้ยินพระองค์ สำหรับพระวารสาร ระบุไว้นั้นคือ พระองค์ทรงต้อนรับ กับบทเพลงสรรเสริญ เพลงสดุดี โดยสัญชาตญาณ ที่นี่ ในพระวารสารค้นพบได้ในการ ไตร่ตรอง ในพันธสัญญาเก่าโดยประกาศก นั้นคือ เศคารียาห์ Zechariah 9:9
คาทอลิกใช้ นิวเยรูซาเร็มไบเบิ้ล
New Jersulam Bible //www.catholic.org/bible/

ขอยืม KJVไบเบิ้ล
คำพยากรณ์เรื่องการเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้มีชัยของพระคริสต์
9:9 โอ ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย จงร่าเริงอย่างยิ่งเถิด โอ บุตรสาวแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย จงโห่ร้อง ดูเถิด กษัตริย์ของเธอเสด็จมาหาเธอ ทรงความชอบธรรมและความรอด พระองค์ทรงถ่อมพระองค์ลงและทรงลา ทรงลูกลา
9 Rejoice heart and soul, daughter of Zion! Shout for joy, daughter of Jerusalem! Look, your king is approaching, he is vindicated and victorious, humble and riding on a donkey, on a colt, the foal of a donkey.


your king is approaching,พระเมสิยาห์ เสด็จมาหาเธอ ไม่ใช่มาพิชิตเอาชนะด้วยสงคราม แต่ มาด้วยความถ่อมตัวlowliness และสันติสุข ไม่เหมือนกษัตริย์องค์สุดท้ายของยูดาห์ ผู้ซึ่งควบรถรบ และ ม้า เยเรมีย์ Jeremiah 17:25; 22:4 แต่เหมือนกษัตริย์ ปฐมกาลGenesis 49:11;ยูดิชJudges 5:10; 10:4พระเมสิยาห์ จะขี่บนหลังลา
ผู้เขียนพระคัมภีร์ในศาสนาคริส เห็นถึง ตามความหมายที่แท้จริงของคำ ตามความบรรลุเป้าหมายของประกาศก ในความรอด ความอิ่มอกอิ่มใจ เข้าไปใน เยรูซาเร็ม มัทธิว Matthew 21:4-5;ยอร์น John 12:14-15


ไม่เหมือนกษัตริย์องค์สุดท้ายของยูดาห์ ผู้ซึ่งควบ รถรบ และ ม้า
จงรักษาวันสะบาโต
เยเรมีย์ Jeremiah 17:25
17:25 แล้วจะมีกษัตริย์และเจ้านาย ผู้ประทับบนบัลลังก์แห่งดาวิดเสด็จเข้าทางประตูทั้งหลายของเมืองนี้ เสด็จมาในรถรบ และบนม้า ทั้งบรรดากษัตริย์และเจ้านายของพระองค์ ทั้งคนยูดาห์และชาวเยรูซาเล็ม และเมืองนี้จะดำรงอยู่เป็นนิตย์
25 then, through the gates of this city, kings and princes occupying the throne of David will continue to make their entry, riding in chariots or on horseback, they, their chief men, the people of Judah and the inhabitants of Jerusalem. And this city will be

Jeremiah 22:4
คำพยากรณ์ต่อกษัตริย์แห่งยูดาห์
22:4 เพราะถ้าท่านกระทำสิ่งนี้จริงๆแล้วจะมีกษัตริย์ผู้ประทับบนพระที่นั่งของดาวิดเข้ามาทางประตูของพระราชวังนี้ เสด็จมาโดยรถรบและม้า ทั้งตัวกษัตริย์ บรรดาข้าราชการและประชาชนของท่านนั้น
4 For if you are scrupulous in obeying this command, then kings occupying the throne of David will continue to make their entry through the gates of this palace riding in chariots or on horseback, they, their officials and their people.

แต่เหมือนกษัตริย์ ปฐมกาลGenesis 49:11;ผู้วินิจฉัย Judges 5:10; 10:4พระเมสิยาห์ จะขี่บนหลังลา
ปฐมกาลGenesis 49:11
ศาสดาพยากรณ์ยาโคบกล่าวคำอวยพรแก่ทุกตระกูล
49:11 เขาผูกลาของเขาไว้ที่เถาองุ่น และผูกลูกลาของเขาไว้ที่เถาองุ่นดีที่สุด เขาซักผ้าของเขาด้วยน้ำองุ่น เขาซักเสื้อผ้าของเขาด้วยเลือดแห่งผลองุ่น
11 He tethers his donkey to the vine, to its stock the foal of his she-donkey. He washes his clothes in wine, his robes in the blood of the grape.

ผู้วินิจฉัย Judges 5:10; 10:4พระเมสิยาห์ จะขี่บนหลังลา
บทเพลงของนางเดโบราห์กับบาราค
5:10 บรรดาท่านผู้ที่ขี่ลาเผือก จงบอกกล่าวให้ทราบเถิด ทั้งท่านผู้ที่นั่งพิพากษาและท่านที่สัญจรไปมา
ผู้วินิจฉัย Judges 5:10; 10:4
10 You who ride white donkeys and sit on saddle-blankets as you ride, and you who go on foot,

โทลากับยาอีร์เป็นผู้วินิจฉัยของอิสราเอล
10:4 ท่านมีบุตรชายสามสิบคน ขี่ลูกลาสามสิบตัว และมีเมืองอยู่สามสิบหัวเมืองเรียกว่าเมืองฮาโวทยาอีร์จนทุกวันนี้ ซึ่งอยู่ในแผ่นดินกิเลอาด
4 He had thirty sons who rode on thirty young donkeys and who owned thirty towns, still known today as the Encampments of Jair, in the territory of Gilead.

Jesus in the holy land - Jerusalem

ผู้เขียนพระคัมภีร์ในศาสนาคริส เห็นถึง ตามความหมายที่แท้จริงของคำ ตามความบรรลุเป้าหมายของประกาศก ในความรอด ความอิ่มอกอิ่มใจ เข้าไปใน เยรูซาเร็ม มัทธิว Matthew 21:4-5;ยอร์น John 12:14-15

มัทธิว Matthew 21:4-5
4 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพื่อพระดำรัสที่ตรัสทางประกาศกจะได้เป็นความจริงว่า
5 จงบอกธิดาแห่งศิโยนว่า ดูซิ กษัตริย์ของท่านเสด็จมาพบท่าน มีพระทัยอ่อนโยน ประทับบนแม่ลา บนลูกลาสัตว์ใช้งาน (ประกาศกอิสยาห์ Isaiah 62:11 และ เศคารียาห์ Zechariah 9:9)
45 When they heard his parables, the chief priests and the scribes realised he was speaking about them,

ยอร์น John 12:14-15
14 พระเยซูเจ้าทรงพบลูกลาตัวหนึ่งจึงประทับบนหลังลูกลาตัวนั้นดังที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า
15 "ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย อย่ากลัวเลย ดูซิ กษัตริย์ของเจ้ากำลังเสด็จมาแล้วประทับบนหลังลา"(ประกาศกอิสยาห์ Isaiah 62:11 และ เศคารียาห์ Zechariah 9:9)
14 Jesus found a young donkey and mounted it -- as scripture says:
15 Do not be afraid, daughter of Zion; look, your king is approaching, riding on the foal of a donkey.



This Silver shekel with an Omer cup from Judea dates to the fourth year of the Jewish Revolt against the Romans (C.E. 66-70)

ประชาชนเข้าไป เหมือนกับนี้คือความตั้งใจ ความเป็นหนึ่งเดียว ของอำนาจ ที่ดึงดูดความสนใจ ระหว่างช่วงเวลานี้ ข้าหลวงตัวแทนผู้ปกครองของโรมัน ในยูเดียร์ (ตอนนี้เป็ฯจังหวัดหนึ่ง ค่อนข้างจะมีอิสระในการปกครองตนเองมกว่า การปกครองเหมือนในกาลิลี) การเดินทางเข้าไปในเมือง กับทหารกองกำลังหนึ่ง เป็นไปได้ที่ กองทหารของ Tenth Legion ( Fretensis) ซึ่ง กองกำลังที่มั่นคงถาวรในท่าเรือ เมือง Caesarea Maritima เมืองหลวงของ โรมัน ยูเดียร์ ข้าหลวงตัวแทนปกครองโรมันคือ Pilatus ปิลาต บ้านอยู่ที่ Pontii (CE 26-36) มาจากครอบครัวขุนนางชั้นผู้น้อยในโรมันและมีความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่ Pontius Pilatus พอลทิโอ ปิลาโต หรือ Pilate ไพเลต เค้าปกครองว่าราชการเป็นเวลาสี่ปีในยูเดียร์ตามกำหนดในรูปแบบของกฎหมายโรมัน ที่หน้าประหลาดใจอย่างหนึ่ง กับข่าว นั้น คือ ชาวยิว ซึ่งได้รับการยกเว้นจาก การเคารพ หรือการนมัสการ ในรูปลักษณ์ของกษัตริย์ ไม่นานหลังจากนั้น ปิลาต Pilate ก็มาถึงในปี C.E.26 การปลุกปั่นของประชากรในเยรูซาเร็ม โดยการเคลื่อนไหว ของมวลชน เข้าไปในช่วงฤดูหนาว ในเมือง แต่ละคนลงทะเบียน ในรูปแบบของโรม ในการปกครองของ Tiberius ไทบีเรียส ในไม่ช้า หลังจากนั้นเป็นต้นมา (นักวิจัย ไม่เห็นด้วย กับความแน่ชัดของ วันที่ แต่ ปี ก่อนคริสกาล C.E. 28ปรากฎเหมือนกันเป็นที่ยอมรับ) ปิลาตPilate ตระเตรียมสำหรับการสร้าง สะพานท่อน้ำ ท่อระบายน้ำ ใหม่ นำน้ำจากที่สูงของเมือง สถานที่ซึ่ง พระสมณะ และครอบครัวมั่งมี อาศัยอยู่ โยเซฟาส Josephus ระบุว่านั้นคือ การก่อสร้าง งบประมาณ มาจาก ทรัพย์สิน กองทุน เงินทุน ในท้องพระคลังพระวิหาร และ แสดงให้เห็นว่านั้นคือ ภายใต้สถานการณ์ที่ธรรมดา มีผล ต่อ ความวุ่นวายสับสนอลม่าน ระหว่าง พระสมณะ หลังจากนั้น การแสดงให้เห็น ถึง การแพร่กระจายของฝูงชนชาวยูเดียร์ แสดงถึงความต่อต้าน ใกล้ๆๆพระวิหาร ซึ่งเกี่ยวกับ โยเซฟาส Josephusด้วย, Pilateปิลาต สั่งให้ ปราบปราม โดยปราศจากความเมตตา ในการปิดบังซ่อนเร้น และสูญเสีย "ผู้ก่อจราจลผู้ก่อความไม่สงบ และ ผู้เห็นเหตุการณ์ ที่ มีปริมาณเท่าเทียมกัน ต่อจากนั้น มีคนถูกฆ่าเป็นจำนวนมาก"

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 24 มิถุนายน 2551 เวลา:17:18:44 น.  

 
Israel - Upper Room


ในความทรงจำ ของการสังหารหมู่เป็นไปได้ที่ยังคงตื่นตัวในหัวใจของพี่น้องชาวยิวที่จารึกแสวงบุญ ซึ่งมาบรรจบ
กันในเยรูซาเร็มในปีก่อนคริสตกาล C.E.30 การคาดหมาย สถานการ์ณที่ไม่สงบ ปิลาต Pilate ประจำ
กองทหารรักษาการในป้อมหรือในเมืองอยู่ที่โรมัน เตรียมพร้อม ตัดสินใจแล้วแน่นอน กำหนดเทศกาลปาสกา Passover(เทศกาลปัสกาการปลดปล่อยอิสระภาพจากการเป็ฯทาสของอียิปต์) ยังคงอยู่ตลอดในเทศกาล ในเมือง ในพระวารสารของ นักบุญมะระโก Mark นักบุญลูกาLuke และนักบุญยอร์น John อธิบายถึงบทบาทของ ปิลาตPilate รู้สึกเห็ฯอกเห็นใจผู้ชายคนหนึ่งซึ่ง ยุ่งยากซับซ้อนเป็นปัญหาที่แก้ไม่ได้ เป็นไปได้ที่ชายผู้นั้นคือ พระเยซูเจ้า ผู้บริสุทธิ์ ไม่มีมลทิน

อย่างไรก็ตาม นักบุญมะระโก Mark เขียนไว้
พระเยซูเจ้าต่อหน้าปิลาต
มะระโก Mark 15:4-5
4 ปิลาตจึงถามพระองค์อีกว่า "ท่านไม่ตอบอะไรหรือ เห็นไหมเขากล่าวหาท่านหลายประการทีเดียว"
5 แต่พระเยซูเจ้ามิได้ตรัสตอบอีก ทำให้ปิลาตประหลาดใจมาก

มะระโก Mark 15:8-10
8 เมื่อประชาชนขึ้นไปขอให้ปิลาตปล่อยนักโทษตามประเพณีที่เคยทำ
9 ปิลาตถามว่า "ท่านต้องการให้เราปล่อยกษัตริย์ของชาวยิวหรือ"
10ปิลาตรู้อยู่แล้วว่าบรรดาหัวหน้าสมณะมอบพระองค์ให้ เพราะความอิจฉา
When the crowd went up and began to ask Pilate the customary favour,
9 Pilate answered them, 'Do you want me to release for you the king of the Jews?'
10 For he realised it was out of jealousy that the chief priests had handed Jesus over.


มะระโก Mark 15:15 ดูมัทธิว Matthew 27:26.
15 ปิลาตต้องการเอาใจประชาชน จึงปล่อยบารับบัสไป แล้วสั่งให้โบตีพระเยซูเจ้า
15 So Pilate, anxious to placate the crowd, released Barabbas for them and, after having Jesus scourged, he handed him over to be crucified.

สำหรับผู้รับฟังชาวโรมัน และบางทีสอบถามมุ่งค้นหาพิสูจน์ว่าพระองค์บริสุทธิ์ และชาวยูเดียผู้มีตำแหน่งสูงสุด ในการปกครองภายใต้การปกครองของโรมันในเรื่องนี้

และ ในประวัติศาสตร์ของ ปิลาตPilateผู้ชายคนนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ความชิงชังไม่เพียงแค่โยเซฟาส

Josephus แต่รวมถึงนักปรัชญาชาวยิวด้วย ฟิโล Philo ผู้ซึ่งเขียนไว้นั้นคือ ระยะเวลากำหนดเป็นเครื่องหมายโดย " การไหลย้อนกลับได้ออกจาก ความอยุติธรรม และ ไม่สิ้นสุด ในการกระทำที่โหดร้ายทารุญที่เจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ"

ตามด้วยการเข้ามาในเยรูซาเร็มของพระเยซูเจ้าที่ในไบเบิ้ลได้อธิบาย พระเยซูเจ้าทรงใช้เวลามากที่สุดในพระวิหารที่ลานหน้าอาคาร ทรงสั่งสอน และ สวดภาวนา เกี่ยวกับพระวารสาร eve of Passover(วันก่อนเทศกาลปัสกา)มะระโก Mark 14:12
การเตรียมงานเลี้ยงปัสกา
12 วันแรกของเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ เมื่อเขาฆ่าลูกแกะปัสกา บรรดาศิษย์ทูลถามพระเยซูเจ้าว่า "พระองค์มี
พระประสงค์ให้เราจัดเตรียม การเลี้ยงปัสกา ที่ใหน"

เชิงอรรถ นักบุญมัทธิว เล่าว่า พระเยซูเจ้าทรงใช้ศิษย์ไปบอกเจ้าของบ้านที่พระองค์ทรงต้องการจะไปกินเลี้ยงปัสกา แต่นักบุญมะระโก เล่าว่า ศิษย์ทั้งสองจะเห็นเครื่องหมายที่นำไปยังห้องที่จะพบว่าเตรียมพร้อมแล้ว การเล่าเรื่องเหตุการณ์เช่นนี้ต้องการแสดงว่าพระเยซูเจ้าทรงมีความรู้ล่วงหน้าเหมือนกับเรื่องที่เล่าใน 1 ซมอ 10:2-5 น่าสังเกตุอีกว่า โครงสร้างการเล่าเรื่องนี้คล้ายกันมากับเรื่องการเตรียมเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเร็มของพระเยซูเจ้าใน
ฐานะพระเมสิยาห์ เทียบมะระโก Mark 11:1-6

การเล่าเรื่องเหตุการณ์เช่นนี้ต้องการแสดงว่าพระเยซูเจ้าทรงมีความรู้ล่วงหน้าเหมือนกับเรื่องที่เล่าใน 1 ซมอ 10:2-5
คาทอลิกใช้นิวเยรูซาเร็มไบเบิ้ล New Jersulam Bible อะ //www.catholic.org/bible/

ขอยืมKJVไบเบิ้ล
การเจิมซาอูลด้วยน้ำมันให้เป็นกษัตริย์ หมายสำคัญต่างๆจากพระเจ้า
10:2 เมื่อท่านจากฉันไปในวันนี้ ท่านจะพบชายสองคนริมที่ฝังศพของนางราเชลในเขตแดนเบนยามินที่เศลซาห์
และเขาทั้งสองจะบอกท่านว่า `ลาซึ่งท่านไปหานั้นพบแล้ว ดูเถิด บัดนี้บิดาของท่านเลิกกังวลเรื่องลาแล้ว และร้อนใจเรื่องของท่าน กล่าวว่า "เราจะทำอย่างไรเรื่องบุตรชายของเราดี"'
10:3 และท่านจะเดินเลยที่นั่นไปถึงที่ราบตำบลทาโบร์ ที่นั่นชายสามคนซึ่งกำลังขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าที่เบธเอลจะ
พบท่าน คนหนึ่งอุ้มลูกแพะสามตัว อีกคนหนึ่งถือขนมปังสามก้อน และอีกคนหนึ่งถือถุงหนังน้ำองุ่นถุงหนึ่ง
10:4 เขาทั้งหลายจะคำนับท่านและมอบขนมปังให้ท่านสองก้อน ซึ่งท่านจะรับจากมือของเขา
10:5 ต่อจากนั้นท่านจะมาถึงภูเขาของพระเจ้า ที่นั่นมีกองทหารรักษาการของคนฟีลิสเตีย อยู่มาเมื่อท่านมาถึง
เมืองนั้น ท่านจะพบผู้พยากรณ์หมู่หนึ่งกำลังลงมาจากปูชนียสถานสูง ถือพิณใหญ่ รำมะนา ปี่ พิณเขาคู่ นำหน้ามา กำลังพยากรณ์เรื่อยมา

2 after leaving me today, you will meet two men near the tomb of Rachel, on the frontier of Benjamin . . . and they will say to you, "The donkeys which you went looking for have been found, and your father has lost interest in the matter of the donkeys and

3 Going on from there, you will come to the Oak of Tabor, where you will meet three men going up to God at Bethel; one will be carrying three kids, one three loaves of bread and the third a skin of wine.

4 They will greet you and give you two loaves of bread which you must accept from them.

5 After this, you will come to Gibeah of God (where the Philistine garrison is) and, when you are just outside the town, you will meet a group of prophets coming down from the high place, headed by lyre, tambourine, pipe and harp; they will be in a state of
สังเกตุอีกว่า โครงสร้างการเล่าเรื่องนี้คล้ายกันมากับเรื่องการเตรียมเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเร็มของพระเยซูเจ้าในฐานะ

พระเมสิยาห์ เทียบมะระโก Mark 11:1-6
การเสด็จเข้าไปในกรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้มีชัย (ศคย 9:9; มธ 21:1-9; ลก 19:29-38; ยน 12:12-19)

11:1 ครั้นพระองค์กับพวกสาวกมาใกล้กรุงเยรูซาเล็ม ถึงหมู่บ้านเบธฟายี และหมู่บ้านเบธานีเชิงภูเขามะกอกเทศ
พระองค์ทรงใช้สาวกสองคน
11:2 สั่งเขาว่า "จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้าท่าน ครั้นเข้าไปแล้วในทันใดนั้นจะพบลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่ ที่
ยังไม่มีใครขึ้นขี่เลย จงแก้มันจูงมาเถิด
11:3 ถ้าผู้ใดถามท่านว่า `ท่านทำอย่างนี้ทำไม' จงบอกว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าต้องประสงค์ลูกลานี้ และ
ประเดี๋ยวพระองค์จะส่งกลับคืนมาให้ที่นี่"
11:4 สาวกสองคนนั้นจึงไป แล้วพบลูกลาตัวนั้นผูกอยู่นอกประตูที่สี่แยก เขาจึงแก้มัน
11:5 บางคนซึ่งยืนอยู่ที่นั่นถามเขาว่า "แก้ลูกลานั้นทำไม"
11:6 สาวกก็ตอบตามพระดำรัสสั่งของพระเยซู แล้วเขาก็ยอมให้เอาไป
1 When they were approaching Jerusalem, at Bethphage and Bethany, close by the Mount of Olives, he sent two of his disciples

2 and said to them, 'Go to the village facing you, and as you enter it you will at once find a tethered colt that no one has yet ridden. Untie it and bring it here.

3 If anyone says to you, "What are you doing?" say, "The Master needs it and will send it back here at once." '

4 They went off and found a colt tethered near a door in the open street. As they untied it,

5 some men standing there said, 'What are you doing, untying that colt?'

6 They gave the answer Jesus had told them, and the men let them go.

Mark 14:12
12 On the first day of Unleavened Bread, when the Passover lamb was sacrificed, his disciples said to him, 'Where do you want us to go and make the preparations for you to eat the Passover?'

วันแรกของเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อเมื่อเขาฆ่าลูกแกะปัสกา The first day of the Feast of Unleavened Bread . . . the Passover lamb:ความถูกต้องแม่นยำไม่น้อยของการกำหนดวันนมัสการ ลูกแกะปัสกา และหลักฐานโดยอักษรศาสตร์ของ rabbinical(เกี่ยวกับกฎหมายยิว)สำหรับกำหนดวันมากกว่าความถูกต้องแม่นยำ จริงๆแล้วมันคือเดือน Nisan 14.

ในพระวารสารของนักบุญมะระโก ได้ข้ามการอธิบายพระสิริรุ่งโรจน์ ของพระเยซูเจ้า ใน การทำให้สอดคล้อง กับ
พระเป็นเจ้า เพราะ พระมหาทรมารของพระเยเซูเจ้าthe passion การบรรยายตามลำดับเหตุการณ์ที่เห็นคือ จุดสำคัญสูงสุดของเหตุการณ์ในภาระกิจของพระเยซูเจ้า climax of Jesus' ministry.

เทศกาลฉลองปัสกา และ ขนมปังไร้เชื้อ The Passover and the Feast of Unleavened Bread: คือความสัมพันธ์ระหว่างสองเทศกาลสะท้อนให้เห็นถึงใน อพยพExodus 12:3-20; 34:18; เลวีนิติ Lev 23:4-8; กันดารวิถึ Numbers 9:2-14; 28:16-17;เฉลยธรรมบัญญัติ Deut 16:1-8.


เทศกาลปัสกา ฉลองเพื่อระลึกถึง การไถ่ถอนจากความเป็ฯทาส และการเดินทางของชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์ในตอนกลางคืน เริ่มต้นเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน หลังจาก ลูกแกะปัสกาได้ถวายเป็นบูชาในพระวิหารในตอนบ่าย เป็นเวลา 14 วัน ของเดือน Nisan กับปัสกา อาหารมื้อสุดท้ายของวัน เหมือนกับกับตอนเย็น ซึ่งมีความสัมพันธ์กันกับ การกินขนมปังไร้เชื้อ หลังจากนั้นดำเนินไปจนถึง Nisan 21 ของเดือนNisan คือเครื่องเตือนใจความทนทุกข์เจ็บปวดรวดร้าว ของชาวอิสราเอล และ ความรีบเร่งรอบๆๆของพวกเขาเหล่านั้นที่ออกเดินทาง

สรรเสริญและขอบพระคุณพระเป็นเจ้า สำหรับความพระทัยดีของพระองค์ในอดีต คือ การรวมกลุ่มกัน ประกอบ

ด้วยวันเฉลิมฉลอง สองส่วนคือ กับความหวังในอนาคตนำไปสู่ของความรอด

ในการตะเตรียม ผู้ชายทุกๆๆคน จะปรารถนามาในพระวิหาร กับลูกแกะเพื่อถวายเป็นเครื่องบูชา หลังจากนั้น จัด

สรรแบ่งส่วนของลูกแกะ (ใช้เป็นอาหาร)รับประทานระหว่าง Seder(ของชาวยิวในพิธีการอาหารค่ำ ในกลางคืน ของเทศการปัสการ (อาหารมื้อสุดท้ายปัสกา))

Paschal Lamp(เกี่ยวข้องกับเทศกาลปัสกา หรือ Easter . เทศกาลอีสเตอร์ของคริสต์ศาสนาระลึกถึงการคืนชีพของพระเยซู หรือ paschal eggs)ยุคสมัยเก่าคนรุ่นเก่ามีมากกว่า 8วัน แต่ไม่เกิน 1 ปี และมีวันอิสระ ทำให้ทุกๆๆคนไม่สมบูรณ์มีมลทิน นี้คือกฎบังคับให้ปฎิบัติตามทางศาสนา ซึ่งหลายๆๆครอบครัวนำแกะจากคอกในลานหน้าอาคารพระวิหาร ตั้งแต่พวกเขาได้รับการรับรองผ่านโดยพระสมณะที่ตรวจสอบ

อย่างไรก็ตาม การจารึกแสวงบุญ มีการ "เปลี่ยนแปลง" พวกโรมันเหล่านั้น นำเหรียญกษาปณ์เป็ฯอัตราแลกเปลี่ยนเข้าไปในพระวิหาร ซึ่ง ปราศจาก รูปสลักเทวรูป รูปเคารพ ในเหรียญ นี้คือการแลกเปลี่ยน หน้าลานพระวิหาร เข้าไปในบทบาทของ ความรุนแรง บ้าคลั่ง ในการค้าของการดำเนินการ กับประชาชนซึ่งผลักดัน ฝูงชนที่แลกเปลี่ยนเหรียญเงินตราเหล่านั้น และขาย Paschal Lamb เหล่านั้น (หรือในกรณีที่ยากจน นมัสการ นกพิราบ) ซึ่งสัมพันธ์กับในพระวารสาร ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงถึงกับช๊อคกับการค้าขายแบบนี้ เกี่ยวกับพระวาราสารของนักบุญมัทธิว Matthew 21:12
พระเยซูเจ้าทรงขับไล่บรรดาพ่อค้าออกจากพระวิหาร
12 พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าสู่พระวิหารทรงขับไล่บรรดาคนซื้อขายในพระวิหารทรงคว่ำโต๊ะคนแลกเงินและม้านั่ง

เชิงอรรถ คนแลกเงินและพ่อค้าในพระวิหารบริการผู้แสวงบุญในการแลกเปลี่ยนเงินตราที่ใช้กันตามปรกติเป็นเหรียญของพระวิหาร และจัดหาสัตว์ที่ใช้บูชายัญ บริการเช่นนี้เป็นสิ่งถูกต้องก็จริง แต่อาจกลลายเป็นการผูกขาดเอาเปรียบผู้อื่นได้ การขับไล่พ่อค้าออกจากพระวิหารยังอาจมองได้ว่าเป็นการกระทำของพระเมสิยาห์ เพื่อชำระพระวิหารให้บริสุทธิ์ และเน้นการแสดงคารวกิจแบบดั้งเดิมที่ยังไม่มีกาค้าขายเข้ามาเกี่ยวข้องให้เป็นมลทิน
Matthew 21:12
12 Now a man is far more important than a sheep, so it follows that it is permitted on the Sabbath day to do good.'
พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าสู่พระวิหารทรงขับไล่บรรดาคนซื้อขายในพระวิหารThese activities were carried on in the court of the Gentiles, the outermost court of the temple area. สัตว์สำหรับบูชาคือการขาย นกพิราบสำหรับพวกเขาเหล่านั้นซึ่ง สามารถหาได้ ราคาไม่แพง ดู เลวีนิติ Lev 5:7
เครื่องบูชาไถ่การละเมิด
5:7 ถ้าเขาไม่สามารถถวายลูกแกะตัวหนึ่ง ก็ให้เขานำนกเขาสองตัวหรือนกพิราบหนุ่มสองตัว มาเป็นเครื่องบูชาถวายพระยาห์เวห์ ไถ่การละเมิด นกตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และนกอีกตัวหนึ่งเป็นเครื่องเผาบูชา
7 "If he cannot afford an animal from the flock as a sacrifice of reparation for the sin he has committed, he will bring Yahweh two turtledoves or two young pigeons -- one as a sacrifice for sin and the other as a burnt offering.

โต๊ะคนแลกเงินTables of the money changers: เหรีญกษาปณ์จาก Tyreเท่านั้นใช้ สำหรับใช้ในการซื้อ เงินอื่นๆๆ ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนเท่านั้น

พระเยซูเจ้าทรงตรัสว่า มัทธิว 21:13
13 ตรัสกับพวกเขาว่า"มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า บ้านของเราจะได้ชื่อว่าบ้านแห่งอธิษฐานภาวนา แต่ท่านทั้งหลายกลับมาทำให้เป็นซ่องโจร"
13 He said to them, 'According to scripture, my house will be called a house of prayer; but you are turning it into a bandits' den.'

และประกาศกเยเรมีย์Jeremiahเคยกระทำเช่นกัน เยเรมีย์Jeremiah 7:11
การประกาศที่ประตูกำแพงพระวิหาร
7:11 นิเวศนี้ซึ่งเรียกตามนามของเรา ในสายตาของเจ้าได้กลายเป็นที่ซ่องสุมของพวกโจรไปแล้วหรือ พระยาห์เวห์ ตรัสว่า ดูเถิด แม้แต่เราก็ได้เห็นเองแล้ว
11 Do you look on this Temple that bears my name as a den of bandits? I, at any rate, can see straight, Yahweh declares.

นักวิจัยบางคนแน่ใจว่า นั้นคือวัตถุประสงค์ที่พระองค์ทรงโกรธเคือง ไม่เพียงแค่ใช้เงินตราแลกเปลี่ยน แต่เสื้อชุดพิธีของพระสมณะในการบูชาด้วย ในการตีความนี้ "ความใสสะอาด บริสุทธิ์" คือสัญญาลักษณ์ของพระวิหาร แสดงให้เห็นหมดทั้งสิ้น ประกอบไปด้วยทัศนวิสัย มุมมองของข่าวดี และ ความบริสุทธิ์ของอาณาจักรพระเจ้า

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 26 มิถุนายน 2551 เวลา:11:08:15 น.  

 
Israel Part 5


วันนั้นในไม่ช้า ในไบเบิ้ลบอกและอธิบายว่าสำหรับการเตรียมอาหารเพื่อการพิเศษ ในห้องซึ่งมีขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าบ้านหรือตึกซึ่งอยู่ในเมือง มะระโก Mark14:12-15:ลูกาLuke22:9-11
เหล่าสาวกตระเตรียมการสำหรับเทศกาลปัสกา (มธ 26:17-19; ลก 22:7-13)
คาทอลิกใช้ นิวเยรูซาเร็มไบเบิ้ลNew Jersulam Bible อะ //www.catholic.org/bible/

ขอยืมKJVไบเบิ้ล
มะระโก Mark14:12-15
การเตรียมงานเลี้ยงปัสกา
14:12 เมื่อวันต้นเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ ถึงเวลาเขาเคยฆ่าลูกแกะสำหรับปัสกานั้น พวกสาวกของพระองค์มาทูลถามพระองค์ว่า "พระองค์ทรงปรารถนาจะให้ข้าพระองค์ทั้งหลายไปจัดเตรียมปัสกาให้พระองค์เสวยที่ไหน"
14:13 พระองค์จึงทรงใช้สาวกสองคนไป สั่งเขาว่า "จงเข้าไปในกรุงนั้น แล้วจะมีชายคนหนึ่งทูนหม้อน้ำมาพบท่าน จงตามคนนั้นไป
14:14 เขาจะเข้าไปในที่ใด ท่านจงบอกเจ้าของเรือนนั้นว่า พระอาจารย์ถามว่า `ห้องที่เราจะกินปัสกากับเหล่าสาวกของเราได้นั้นอยู่ที่ไหน'
14:15 เจ้าของเรือนจะชี้ให้ท่านเห็นห้องใหญ่ชั้นบนที่ตกแต่งไว้แล้ว ที่นั่นแหละ จงจัดเตรียมไว้สำหรับพวกเราเถิด"
12 On the first day of Unleavened Bread, when the Passover lamb was sacrificed, his disciples said to him, 'Where do you want us to go and make the preparations for you to eat the Passover?'

13 So he sent two of his disciples, saying to them, 'Go into the city and you will meet a man carrying a pitcher of water. Follow him,

14 and say to the owner of the house which he enters, "The Master says: Where is the room for me to eat the Passover with my disciples?"

15 He will show you a large upper room furnished with couches, all prepared. Make the preparations for us there.'

ลูกาLuke22:9-11
การเตรียมสำหรับงานเลี้ยงปัสกา (มธ 26:17-19; มก 14:12-16)
22:9 เขาทูลถามพระองค์ว่า "พระองค์ทรงปรารถนาจะให้ข้าพระองค์ทั้งหลายจัดเตรียมที่ไหน"
22:10 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า "ดูเถิด เมื่อท่านเข้าไปในกรุงก็จะมีชายคนหนึ่งทูนหม้อน้ำมาพบท่าน เขาจะเข้าไปเรือนไหน จงตามเขาไปในเรือนนั้น
22:11 จงพูดกับเจ้าของเรือนว่า `พระอาจารย์ให้ถามท่านว่า "ห้องที่เราจะกินปัสกากับเหล่าสาวกของเราได้นั้นอยู่ที่ไหน"'
22:12 เจ้าของเรือนจะชี้ให้ท่านเห็นห้องใหญ่ชั้นบนที่ตกแต่งไว้แล้ว ที่นั่นแหละจงจัดเตรียมไว้เถิด"

9 They asked him, 'Where do you want us to prepare it?'

10 He said to them, 'Look, as you go into the city you will meet a man carrying a pitcher of water. Follow him into the house he enters

11 and tell the owner of the house, "The Master says this to you: Where is the room for me to eat the Passover with my disciples?"

ธรรมเนียมประเพณีระบุไว้นนั้นคือ ห้องซึ่งมีขนาดใหญ่ ทุกวันนี้ พี่น้องคริสเตียน ซึ่งจารึกแสวงบุญในเยรูซาเร็ม สามารถเยี่ยมชมห้องในตึก อยู่ข้างนอกของประตู Zion ที่เรียกกันว่า Room of the Last Supper สร้างใหม่อีกครั้งโดย คณะ ฟรังซิสกัน Franciscans ในศตวรรษที่ 14 ของคริสตกาล
ในศตวรรษที่ 16 ของคริสตกาล ตกอยู่ในมือของอาณาจักร ออตโตมาน Ottoman ระหว่างสงครามปี 1948 ชาวจอร์แดนทำลายส่วนหนึ่ง ของโครงสร้างอาคารหรือสิ่งก่อสร้างตรงกำแพง ซึ่งภายหลังต่อมา กระบวนการขุดค้นหาวัตถุโบราณ (ในสถานที่ทางประวัติศาสตร์)ได้เปิดเผยออกมา คือส่วนหนึ่งของหินกำแพง ในสไตล์ Herodian สร้างอย่างเรียบร้อยกับหินที่ถูกตัดอย่างเป็นระเบียบ ซึ่งสามารถทำให้รู้ถึง การปรากฎของ เกี่ยวกับพิธีการในศตวรรษที่ 1 ของสิ่งก่อสร้าง เป็นไปได้คือ ศาลาธรรม synagogue.

The Last Supper - Passion Of The Christ


พระเยซูเจ้าทรงอธิบายต่อจากนั้น แบ่งปันอะไรเกี่ยวกับใจความสำคัญ ข้อสรุปในพระวารสาร อธิบายว่า อาหารเทศกาลปัสกา รู้จักกันดีว่าคือ The Last Supper นั้นคือการเริ่มต้นรากฐานสำหรับพี่น้องคริสเตียน Sacrament(คาทอลิก : ศีลศักดิ์สิทธิ์ )
ขนมปังไร้เชื้อและเหล้าองุ่นที่เป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าEucharist (พิธีศีลมหาสนิท :ขนมและเหล้าองุ่นที่ใช้ประกอบพิธีนี้ มาจากภาษากรีก "Eucharistia : Thanksgiving"ขอบพระคุณ" : พิธี มิซซาบูชาขอบพระคุณพระเป็นเจ้า) ตามด้วย ลักษณะของอาหารที่เด่นชัดสำคัญคือ ภาระกิจของพระเยซูเจ้า และประวัติศาสาตร์ความรอดของชาวยิว ท่ามกลาง เนื้อแท้ปัจจัยสำคัญ ทรงกระทำ บิขนมปังแบ่งปัน

ชาวยิวเฉลิมฉลองชีวิต อับราฮัมเสนออาหารให้แก่ ทูตสวรรค์สามองค์ ผู้ซึ่งมาเยี่ยมเค้า Genesis 18:1-5
พระยาห์เวห์ทรงสำแดงพระองค์แก่อับราฮัม
1 พระยาห์เวห์ทรงสำแดงพระองค์แก่อับราฮัมที่หมู่ต้นโอ๊คของมัมเร ขณะนั้นเป็ฯเวลาแดดร้อนจัด อับราฮัมกำลังนั่งอยู่ที่ประตูกระโจม
2 เขาเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นชายสามคนยืนอยู่ใกล้ตน ทันทีที่เห็น อับราฮัมก็วิ่งจากประตูกระโจมไปต้อนรับและกราบลงที่พื้นดิน
3 เขาพูดว่า"เจ้านายของข้าพเจ้า ถ้าท่านโปรดปรานข้าพเจ้า โปรดอย่าผ่านผู้รับใช้ของท่านไปเลย
4 ข้าพเจ้าจะให้เขาเอาน้ำมันล้างเท้าให้ท่าน เชิญท่านพักใต้ต้นไม้นี้เถิด
5 ขอให้ข้าพเจ้าไปนำอาหารให้ท่านสักเล็กน้อย ท่านจะได้สดชื่น มีกำลังเดินทางต่อไป ท่านมาถึงบ้านข้าพเจ้าแล้ว ขอให้ข้าพเจ้ารับใช้ท่านเถิด" เขาทั้งสามจึงตอบว่า "จงทำตามที่ท่านพูดนั้นเถิด"
สแกน
เชิงอรรถ
การกราบลงกับพื้นดินไม่ใช่การนมัสการพระเจ้า แต่เป็นเพียงการแสดงความเคารพผู้มีเกียรติในตอนแรก อับราฮัมว่าแขกทั้งสามเป็นมนุษย์ธรรมดาและได้ต้อนรับอย่างดี อับราฮัมจะค่อยๆเข้าใจว่าแขกของตนไม่ใช่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา แต่มีลักษณะเหนือมนุษย์ (ข้อ 2:9,13,14)
1 Yahweh appeared to him at the Oak of Mamre while he was sitting by the entrance of the tent during the hottest part of the day.

2 He looked up, and there he saw three men standing near him. As soon as he saw them he ran from the entrance of the tent to greet them, and bowed to the ground.

3 'My lord,' he said, 'if I find favour with you, please do not pass your servant by.

4 Let me have a little water brought, and you can wash your feet and have a rest under the tree.

5 Let me fetch a little bread and you can refresh yourselves before going further, now that you have come in your servant's direction.' They replied, 'Do as you say.'

ความสัมพันธ์ใกล้ชิด หรือสัญญาแห่งสันติสุข ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่าง อิสอัค และ King Abimelech คือก่อนหน้านั้น ยืนยัน กับการเฉลิมฉลองด้วยอาหาร ปฐมกาล Genesis 26:30

พันธสัญญากับอาบีเมเลค
30 อิสอัคจึงจัดงานเลี้ยงฉลอง ทุกคนได้กินได้ดื่ม
30 He then made them a feast and they ate and drank.

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 30 มิถุนายน 2551 เวลา:21:06:00 น.  

 
The Catholic Mass...Revealed!


แต่ในอาหารมื้อของพระเยซูเจ้า ในอาหารมื้อสุดท้าย The Last Supper อธิบายว่า กลายเป็ฯ ตัวแทน

จิตวิญญาณสำหรับ พิธีกรรมบูชา ที่พระวิหาร นั้นคือเป็นที่ยอมรับท่ามกลางหัวใจสำคัญของแก่นแท้ "
"Blessed are you,Lord God of all creation, through your goodness we have this wine to offter,fruit of the vine and work of human hands"

ข้าแต่พระเจ้าแห่งสากลโลก ขอถวายพระพรซึ่งพระองค์ทรงมีพระทัยเมตตา ประทานเหล้าองุ่น ซึ่งข้าพเจ้าทั้ง
หลายกำลังถวายอยู่นี้ อันเป็นผลมาจากต้นองุ่นและน้ำพักน้ำแรงของมนุษย์

Source: Father Thaweesak Kitcharean Bangkok Thailand
หนังสือเพลงสรรเสริญสดุดี คณะอนุกรรมการดนตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งประเทศไทย
ISBN:974-88540-4-3

คือ รากแก่นพื้นฐาน ในธรรมเนียมประเพณีของชาวยิว คือการสวดอวยพร หรือการสวดมนต์โดยถือถ้วยเหล้าองุ่น
หรือขนมปังในพิธีSabbathหรือพิธีเฉลิมฉลองอย่างอื่น
"Blessed are you O Lord of our God, King of the
universe, who creates the fruit of the vine"

ในพระวารสาร พระเยซูเจ้า อย่างไรกะตาม การนำมาซึ่งตลอดนี้ ในมิติใหม่ทั้งหมด ของอาหารmeal สำหรับ

เพิ่มเข้าไป"This Bread and this wine is my body and my blood that will be given up for you." เพราะสัญญาลักษณ์ใหม่นี้คือ "Convenant" พันธสัญญา"ระหว่างพระเป็ฯเจ้ากับเรา

มะระโก Mark 14:22-24, มัทธิว Matthew 26:26-28 ลูกา Luke 22:17-20

มะระโก Mark 14:22-24
พระเยซูเจ้าทรงตั้งศีลมหาสนิท
22ขณะที่ทุกคนกำลังกินอาหารอยู่นั้นพระองค์ทรงหยิบขนมปัง ตรัสถวายพระพร ทรงบิขนมปัง ประทานให้เขา
เหล่านั้นตรัสว่า " จงรับเถิด นี้เป็นกายของเรา"
23 แล้วพระองค์ทรงหยิบถ้วย ตรัสขอบพระคุณประทานให้เขาและทุกคนดื่มจากถ้วยนั้น
24 พระองค์ตรัสกับเขาว่า "นี้เป็นโลหิตของเรา โลหิตแห่งพันธสัญญาที่หลั่งออกมาเพื่อคนจำนวนมาก

22 And as they were eating he took bread, and when he had said the blessing he broke it and gave it to them. 'Take it,' he said, 'this is my body.'

23 Then he took a cup, and when he had given thanks he handed it to them, and all drank from it,

24 and he said to them, 'This is my blood, the blood of the covenant, poured out for many.


มัทธิว Matthew 26:26-28
พระเยซูเจ้าทรงตั้งศีลมหาสนิท
26 ขณะที่ทุกคนกำลังกินอาหารอยู่นั้น พระเยซูเจ้าทรงหยิบขนมปัง ตรัสถวายพระพร ทรงบิขนมปังประทานให้
บรรดาศิษย์ ตรัสว่า "จงรับไปกินเถิด นี้เป็ฯกายของเรา"
27 แล้วพระองค์ทรงหยิบถ้วย ตรัสขอบพระคุณ ประทานให้เขาเหล่านั้นตรัสว่า "ทุกท่านจงดื่มจากถ้วยนี้เถิด
28 นี่เป็นโลหิตของเราโลหิตแห่งพันธสัญญา ที่หลั่งออกมาสำหรับคนจำนวนมาก
เชิงอรรถสแกนยาว


26 Now as they were eating, Jesus took bread, and when he had said the blessing he broke it and gave it to the disciples. 'Take it and eat,' he said, 'this is my body.'
27 Then he took a cup, and when he had given thanks he handed it to them saying, 'Drink from this, all of you,
28 for this is my blood, the blood of the covenant, poured out for many for the forgiveness of sins.

ลูกา Luke 22:17-20
อาหารค่ำมื้อสุดท้าย
17 พระองค์ทรงหยิบถ้วยขึ้น ทรงขอบพระคุณ ตรัสว่า "จงรับถ้วยนี้ไปแบ่งกันดื่มเถิด
18 เราบอกท่านทั้งหลายว่าตั้งแต่นี้ไปเราจะไม่ดื่มเหล่าจากผลองุ่นอีกจนกว่าพระอาณาจักรของพระเจ้าจะมาถึง"
การตั้งศีลมหาสนิท
19 พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ทรงขอบพระคุณ ทรงบิขนมปังประทานให้บรรดาศิษย์ ตรัสว่า "นี้เป็นกายของเรา
ที่ถูกมอบเพื่อท่านทั้งหลาย จงทำดังนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด"
20 ในทำนองเดียวกัน เมื่อกินอาหารเสร็จแล้ว พระองค์ทรงหยิบถ้วยตรัสว่า "ถ้วยนี้เป็ฯพันธสัญญาใหม่ในโลหิต
ของเราที่หลั่งเพื่อท่านทั้งหลาย
เชิงอรรถ


17 Then, taking a cup, he gave thanks and said, 'Take this and share it among you,

18 because from now on, I tell you, I shall never again drink wine until the kingdom of God comes.'

19 Then he took bread, and when he had given thanks, he broke it and gave it to them, saying, 'This is my body given for you; do this in remembrance of me.'

20 He did the same with the cup after supper, and said, 'This cup is the new covenant in my blood poured out for you.

Paschal Mystery

Passion พระมหาทรมาน
Death พระองค์ทรงสิ้นพระชมน์บนไม้กางเขน
Resurrection การฟื้นคืนชีพของพระเยซูคริสเจ้า

ศิลปะภาพวาดส่วนมากในอาหารนี้รวมถึง The Last Supper โดย ลีโอนาโด ดาร์วินชี Leonardo da Vinciบรรยายให้เห็ฯภาพถึง พระเยซูเจ้ากับขนมปังนั้นคือ มองดูเหมือน กับม้วนๆ หรือ ก้อนขนมปัง จนกระทั้งถึงวันนี้ เป็นวันแรก ไม่ได้ใส่เชื้อฟูในขนมปัง อย่างไรกะตาม พระเยซูเจ้า ทรงบิขนมปัง ไร้เชื้อ เป็นที่รู้จักกันคือ matzo ขนมปังแผ่นบางชนิดหนึ่ง ไวน์Wine อีกด้วย คือความสำคัญส่วนประกอบ Paschal supper เกี่ยวกับ Mishnah ส่วนหนึ่งในพระคัมภีร์ของTalmud AD 200 ทุกๆๆคนดื่ม "at least four cups"ไม่ต่ำกว่า 4 ถ้วย แบ่งปันในความปิติยินดีของการปลดปล่อยอิสราเอล แม้ว่าในความยากจน น่าสงสาร ถ้าสำหรับบางเหตุผล ของคนยากจน ปราศจาก เงินทองที่เค้าหามาได้ เขาจะ ขายหรือจำนำ ขนสัตว์ของเขา หรือ เช่าสำหรับไวน์สี่ถ้วยเหล่านั้น"

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 30 มิถุนายน 2551 เวลา:22:24:17 น.  

 
The Mount of Olives


ตอนเย็นต่อมา ในไบเบิ้ลบอกเราว่าพระเยซูเจ้าและอัครสาวก ออกไปที่ Mount of Olives ทางตอนบนของกำแพงเมือง และตรงข้ามกับหุบเขา Kidron Valley พวกเข้าไม่รู้ว่านั้นคือคำสั่ง ช่วงจบสิ้นของพระเยซูเจ้าที่ถูกจับกุม ในพระวารสารนักบุญมะระโกระบุอย่างชัดแจ้ง นั้นคือ เหตุผลสำหรับพระเยซูเจ้า ถูกออกหมายจับกุมข้อหาก่อความไม่สงบ เหตุเกิดที่พระวิหาร มะระโก Mark 11:18

18 เมื่อบรรดามหาสมณะและบรรดาธรรมาจารย์ได้ยินเรื่องนี้ ก็หาช่องทางที่จะกำจัดพระองค์ แต่เขากลัวพระองค์
18 This came to the ears of the chief priests and the scribes, and they tried to find some way of doing away with him; they were afraid of him because the people were carried away by his teaching.

เพราะประชาชนกำลังประทับใจในคำสั่งสอนของพระองค์
ตรงกลางของภูเขา Mount of Olives มีคูหา ใช้สำหรับคั้นน้ำมัน รู้จักกันดีคือ gat-shemanim ชื่อดั้งเดิม Gethsemane ในฤดูหนาวของเดือน คูหาว่างเปล่า และเหมาะสำหรับเป็นสถานที่พำนักหลบภัย ในที่ใกล้ๆรอบๆเป็นสวน พระเยซูเจ้าทรงสวดอธิฐานภาวนา ขณะที่เพื่อนร่วมทางของพระองค์หลับ มะระโก Mark
คาทอลิกใช้นิวเยรูซาเร็มไบเบิ้ล
//www.catholic.org/bible
14:32-42,มัทธิว Matthew 26:36-46
ขอยืมKJVไบเบิ้ล
มะระโก Mark 14:32-42
พระเยซูทรงปวดร้าวทรมานในสวนเกทเสมนี (มธ 26:36-46; ลก 22:39-46; ยน 18:1)
14:32 พระเยซูกับเหล่าสาวกมายังที่แห่งหนึ่งชื่อเกทเสมนี และพระองค์ตรัสแก่สาวกของพระองค์ว่า "จงนั่งอยู่ที่นี่ขณะเมื่อเราอธิษฐาน"
14:33 พระองค์ก็พาเปโตร ยากอบ และยอห์นไปด้วย แล้วพระองค์ทรงเริ่มวิตกยิ่งและหนักพระทัยนัก
14:34 จึงตรัสกับเหล่าสาวกว่า "ใจเราเป็นทุกข์แทบจะตาย จงเฝ้าอยู่ที่นี่เถิด"
14:35 แล้วพระองค์เสด็จดำเนินไปอีกหน่อยหนึ่ง ซบพระกายลงที่ดินอธิษฐานว่า ถ้าเป็นได้ให้เวลานั้นล่วงพ้นไปจากพระองค์
14:36 พระองค์ทูลว่า "อับบา พระบิดาเจ้าข้า พระองค์ทรงสามารถกระทำสิ่งทั้งปวงได้ ขอเอาถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่ว่าอย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์"
14:37 พระองค์จึงเสด็จกลับมาทรงพบเหล่าสาวกนอนหลับอยู่ และตรัสกับเปโตรว่า "ซีโมนเอ๋ย ท่านนอนหลับหรือ จะคอยเฝ้าอยู่สักชั่วเวลาหนึ่งไม่ได้หรือ
14:38 ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังและอธิษฐานเพื่อท่านจะไม่ต้องถูกการทดลอง จิตใจพร้อมแล้วก็จริง แต่เนื้อ
หนังยังอ่อนกำลัง"
14:39 พระองค์จึงเสด็จไปอธิษฐานอีกครั้งหนึ่ง ทรงกล่าวคำเหมือนคราวก่อน
14:40 ครั้นพระองค์เสด็จกลับมาก็ทรงพบสาวกนอนหลับอยู่อีก (เพราะตาเขาลืมไม่ขึ้น) และเขาไม่รู้ว่าจะ
ทูลประการใด
14:41 เมื่อเสด็จกลับมาครั้งที่สามพระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า "เดี๋ยวนี้ ท่านจงนอนต่อไปให้หายเหนื่อย พอเถอะ
ดูเถิด เวลาซึ่งบุตรมนุษย์ต้องถูกทรยศให้ตกอยู่ในมือของคนบาปนั้นมาถึงแล้ว

เชิงอรรถ
อับบา เป็ฯภาษาอาราเมอิก แปลว่า "พ่อจ๋า" พระเยซูเจ้าทรงใช้คำนี้เพื่อแสดงความสนิทสนมที่พระบุตรทรงมีต่อ
พระบิดา (เทียบ มธ 11:25-26 ยน 3:35, 5:19-20, 8:28-29) ต่อมาคริสชนก็ใช้คำนี้ด้วย (รม 8:15 กท 4:6) เพราะองค์พระจิตเจ้า (รม 5:5เชิงอรรถ e) ทำให้เขาเป็ฯบุตรของพระเจ้า (มธ 6:9 17:25 เชิงอรรถ I ลก 11:2)

32 They came to a plot of land called Gethsemane, and he said to his disciples, 'Stay here while I pray.'
33 Then he took Peter and James and John with him.
34 And he began to feel terror and anguish. And he said to them, 'My soul is sorrowful to the point of death. Wait here, and stay awake.'
35 And going on a little further he threw himself on the ground and prayed that, if it were possible, this hour might pass him by.
36 'Abba, Father!' he said, 'For you everything is possible. Take this cup away from me. But let it be as you, not I, would have it.'
37 He came back and found them sleeping, and he said to Peter, 'Simon, are you asleep? Had you not the strength to stay awake one hour?
38 Stay awake and pray not to be put to the test. The spirit is willing enough, but human nature is weak.'
39 Again he went away and prayed, saying the same words.
40 And once more he came back and found them sleeping, their eyes were so heavy; and they could find no answer for him.
41 He came back a third time and said to them, 'You can sleep on now and have your rest. It is all over. The hour has come. Now the Son of man is to be betrayed into the hands of sinners.
42 Get up! Let us go! My betrayer is not far away.'


จิตใจพร้อมแล้วก็จริง แต่เนื้อหนังยังอ่อนกำลัง" The spirit is willing but the flesh is weak: จิตวิญญาณคือการบรรยายอะไรคือสิ่งดีที่เพิ่งพบในท่ามกลางความขัดแย้งกับเนื้อหนังซึ่งมีความโน้มเอียงในบาป เพลงสดุดี Psalm 51:5, 10.
51:5 ดูเถิด ข้าพระองค์ถือกำเนิดมาในความชั่วช้า และมารดาตั้งครรภ์ข้าพระองค์ในบาป
5 remember, I was born guilty, a sinner from the moment of conception.
51:10 โอ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงสร้างใจสะอาดภายในข้าพระองค์ และฟื้นน้ำใจที่หนักแน่นขึ้นใหม่ภายในข้าระองค์
10 God, create in me a clean heart, renew within me a resolute spirit,

ทุกทุกคนประสบรูปลักษณ์กับการต่อสู้นี้ ซี่งเต็มไปด้วยกับอำนาจในการชักจูงซึ้งพระเยซูเจ้ายอมรับมันเป็นตัวแทนและผ่านพระมหาทุกข์ทรมานและความตาย ซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จและชัยชนะ

มัทธิว Matthew 26:36-46

พระเยซูในสวนเกทเสมนีใกล้วันสิ้นพระชนม์ (มก 14:32-42; ลก 22:39-46; ยน 18:1)
26:36 แล้วพระเยซูทรงพาสาวกมายังที่แห่งหนึ่งเรียกว่า เกทเสมนี แล้วตรัสกับสาวกว่า "จงนั่งอยู่ที่นี่ขณะเมื่อ
เราจะไปอธิษฐานที่โน่น"
26:37 พระองค์ก็พาเปโตรกับบุตรชายทั้งสองของเศเบดีไปด้วย พระองค์ทรงเริ่มโศกเศร้าและหนักพระทัยยิ่งนัก
26:38 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "ใจของเราเป็นทุกข์แทบจะตาย จงเฝ้าอยู่กับเราที่นี่เถิด"

พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของพระเยซูในสวนเกทเสมนี (มก 14:35-41; ลก 22:41-44; ฮบ 5:7)
26:39 แล้วพระองค์เสด็จดำเนินไปอีกหน่อยหนึ่ง ก็ซบพระพักตร์ลงถึงดิน อธิษฐานว่า "โอ พระบิดาของข้า
พระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้า
พระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์"
26:40 พระองค์จึงเสด็จกลับมายังสาวกเหล่านั้น เห็นเขานอนหลับอยู่ และตรัสกับเปโตรว่า "เป็นอย่างไรนะ
ท่านทั้งหลายจะคอยเฝ้าอยู่กับเราสักชั่วเวลาหนึ่งไม่ได้หรือ
26:41 จงเฝ้าระวังและอธิษฐาน เพื่อท่านจะไม่เข้าในการทดลอง จิตใจพร้อมแล้วก็จริง แต่เนื้อหนังยังอ่อน
กำลัง"
26:42 พระองค์จึงเสด็จไปอธิษฐานครั้งที่สองอีกว่า "โอ ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าถ้วยนี้เลื่อนพ้นไป
จากข้าพระองค์ไม่ได้ และข้าพระองค์จำต้องดื่มแล้ว ก็ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์"
26:43 ครั้นพระองค์เสด็จกลับมาก็ทรงพบสาวกนอนหลับอีก เพราะเขาลืมตาไม่ขึ้น
26:44 พระองค์จึงทรงละพวกเขาไว้ เสด็จไปอธิษฐานครั้งที่สามด้วยถ้อยคำเช่นเดิมอีก
26:45 แล้วพระองค์เสด็จมายังพวกสาวกของพระองค์ ตรัสว่า "เดี๋ยวนี้ จงนอนต่อไปให้หายเหนื่อยเถิด ดูเถิด
เวลามาใกล้แล้ว และบุตรมนุษย์จะต้องถูกทรยศให้ตกอยู่ในมือของคนบาป
26:46 ลุกขึ้นไปกันเถิด ดูเถิด ผู้ที่จะทรยศเรามาใกล้แล้ว"

เชิงอรรถ
"เกทเสมนี"แปลว่า "เครื่องหีบน้ำมัน" ตั้งอยู่ในหุบเขาขิดโรน เชิงเขามะกอกเทศ
"ใจเราเป็ฯทุกข์แทบสิ้นชีวิต"สำนวนนี้ทำให้คิดถึงข้อความใน สดด 42:5 และ ยนา 4:9
สดด Psalms 42:5
เล่มที่สองซึ่งเปรียบกับหนังสืออพยพ เกี่ยวกับประเทศอิสราเอล
ดาวิดมีความร้อนรนในการปรนนิบัติพระเจ้า
ถึงหัวหน้านักร้อง มัสคิลบทหนึ่งของคณะโคราห์
42:5 โอ จิตใจของข้าพเจ้าเอ๋ย ไฉนเจ้าจึงฝ่ออยู่ ไฉนเจ้าจึงกระสับกระส่ายอยู่ในข้าพเจ้า เจ้าจงหวังใจในพระเจ้า
เพราะข้าพเจ้าจะยังคงสรรเสริญพระองค์สำหรับความช่วยเหลือที่มาจากพระพักตร์ของพระองค์
5 Why be so downcast, why all these sighs? Hope in God! I will praise him still, my Saviour,

ยนาJonah 4:9
พระเจ้าทรงสอนและว่ากล่าวโยนาห์
4:9 แต่พระเจ้าตรัสกับโยนาห์ว่า "ที่เจ้าโกรธเพราะต้นละหุ่งนั้นดีอยู่แล้วหรือ" ท่านทูลว่า "ที่ข้าพระองค์
โกรธถึงอยากตายนี้ดีแล้ว พระเจ้าข้า"
9 God said to Jonah, 'Are you right to be angry about the castor-oil plant?' He replied, 'I have every right to be angry, mortally angry!'
แต่ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด: พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกกลัวความตายตามธรรมชาติของมนุษย์ และ
โดยสัญชาตญาณทรงต้องการจะหนีให้พ้นจึงแสดงความรู้สึกนี้ออกมา แต่หลังจากนั้นทรงระงับได้และทรงยอมรับ
พระประสงค์ของพระบิดาเจ้า ดู4:1 เชิงอรรถ a
เชิงอรรภ



36 Then Jesus came with them to a plot of land called Gethsemane; and he said to his disciples, 'Stay here while I go over there to pray.'
37 He took Peter and the two sons of Zebedee with him. And he began to feel sadness and anguish.
38 Then he said to them, 'My soul is sorrowful to the point of death. Wait here and stay awake with me.'
39 And going on a little further he fell on his face and prayed. 'My Father,' he said, 'if it is possible, let this cup pass me by. Nevertheless, let it be as you, not I, would have it.'
40 He came back to the disciples and found them sleeping, and he said to Peter, 'So you had not the strength to stay awake with me for one hour?
41 Stay awake, and pray not to be put to the test. The spirit is willing enough, but human nature is weak.'
42 Again, a second time, he went away and prayed: 'My Father,' he said, 'if this cup cannot pass by, but I must drink it, your will be done!'
43 And he came back again and found them sleeping, their eyes were so heavy.
44 Leaving them there, he went away again and prayed for the third time, repeating the same words.
45 Then he came back to the disciples and said to them, 'You can sleep on now and have your rest. Look, the hour has come when the Son of man is to be betrayed into the hands of sinners.
46 Get up! Let us go! Look, my betrayer is not far away.'


อย่างไรกะตาม หนึ่งในอัครสาวกที่อธิบายไว้คือ ยูดาส แอสคาริโอค Judas Iscariot ผู้ซึ่งทรยศ หักหลังพวกเขาเหล่านั้น อำนาจในตำแหน่งของพระสมณะ อะไรเป็ฯแรงบรรดาลใจให้ยูดาสทำสิ่งนี้ นักประพันธ์บางคนได้โยงใยเชื่อมต่อชื่อ "Iscariot"หรือชื่อ sicarius , a Zealot "dagger man กริช " แต่นอกจากนั้นเชื่อว่า ชื่อธรรมดาที่แสดงให้รู้นั้นคือ Judas ผู้ซึ่งมาจาก Kerioth เมืองทางตอนใต้ของ Judea.

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 2 กรกฎาคม 2551 เวลา:21:32:31 น.  

 
ขณะที่ วัฒนธรรมประเพณี Western Christian ชื่อ"Judas" มีความหมายเหมือนกัน กับการทรยศ หักหลัง เมื่อเร็วๆนี้ นักวิจัยบางคนสำรวจพิสูจน์ว่ายูดาสบริสุทธิ์ ยูดาสบางทีเชื่อในตัวเค้าเองว่าทำดีที่สุดแล้ว การค้นหาของการให้อภัยสำหรับการรบกวนพระวิหาร และ การเจรจาของความปลอดภัย และกลับไปกาลิลีทั้งหมดทุกคน

เกี่ยว กับGospel of Judas ใน ศตวรรษที่ 3-4 C.E. Coptic ของ Coptic Church ในอียิปต์ และเอธิโอเปีย เขียนเป็นอักษรภาษากรีก ได้แปลออกมา ในศตวรรษที่ 2 C.E.หนังสือเขียนด้วยลายมือภาษากรีกได้แปลออกมาสู่สาธาณะ โดยเนชั่นแนลจิโอกราฟิค ในเดือนเมษายน ปี 2006 พระเยซูเจ้าถาม ยูดาส ทรยศหักหลังพระองค เพื่อที่จะสมประสงค์ตามคำพยากรณ์ของประกาศก ของการสิ้นพระชมน์ใน คัมภีร์ไบเบิ้ล

มาดูกระบวนการขั้นตอนที่พบ กอสเปล อ๊อฟยูดาส โดย นิวยอร์กไทม์ ลิงค์นี้อยู่section Science อะ


Source :ngm.nationalgeographic.com

'Gospel of Judas'หลังจาก 1,700ปี

โดย JOHN NOBLE WILFORD and LAURIE GOODSTEIN
Published: April 6, 2006

ยุคคริสเตียน ตอนต้น หนังสือต้นฉบับเขียนด้วยลายมือ รวมถึงเนื้อหาในGospel of Judas หลังจาก 1700ปี ในเนื้อหา ความเข้าใจลึกซึ๊งใหม่เข้าไปในความสำพันธ์ระหว่างพระเยซูเจ้าอธิบายผู้ซึ่งทรยศพระองค์ นักวิจัยรายงานในปัจจุบันนี้ ในเรื่องราวฉบับ พระเยซูเจ้าถาม ยูดาส และความเป็นเพื่อนใกล้ชิด ที่ขายพระองค์ออกไปให้กับผู้มีอำนาจ บอกยูดาสว่า "อย่างพิเศษเหนือธรรมดา" กว่าที่อธิบายไว้ว่าทำอะไรกันบ้าง

การสำรวจของเอกสาร โดย nationalgeographic.com

โดยผ่านทางผู้เชี่ยวชาญด้านเทววิทยา สร้างสมุติฐานนี้(hypothesized= สมมุติฐาน) นักวิจัยผู้ซึ่งศึกษาการค้นพบเรื่องราวใหม่นี้บอกว่า นี้คือเป็นครั้งแรกในเวลาอดีตเก่าแก่โบราณของเอกสาร ที่แก้ต่าง ปกป้องมุมมอง มโนคติ

การค้นพบในทะเลทรายอียิปต์ หนังสือต้นฉบับเขียนด้วยลายมือปาปิรุส มีหนังสัตว์หุ้มอยู่ และปัจจุบันนี้ แปลออกมาประกาศโดย the National Geographic Society ที่การประชุมใน วอร์ชิงตัน

นื้อหาของ ยูดาสประกอบไปด้วย 26 หน้าบอกว่า คือ ก๊อปปี้ ใน Coptic ทำขึ้นประมาณ ปี 300 A.D.
ต้นฉบับดั้งเดิมของ Gospel of Judas เขียนในภาษากรีก ก่อนศตวรรษ

The 26-page Judas text is said to be a copy in Coptic, made around A. D. 300, of the original Gospel of Judas, written in Greek the century before.

Terry Garcia, an executive vice president of the geographic society บอกว่า หนังสือต้นฉบับเขียนด้วยลายมือ หรือ(codex=หนังสือโบราณที่เขียนด้วยลายมือ ) คือพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ โดยนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ค้นพบ ซึ่งมีความหมายทางโบราณคดีมากที่สุด ซึ่งเนื้อหาไม่เกี่ยวกับพระคัมภีร์ไบเบิ้ล nonbiblical ในอดีต เมื่อ 60ปี

The codex หนังสือโบราณที่เขียนด้วยลายมือ เคยรับรอง โดย นักอักษรศาสตร์โบราณคดีของคริสเตียนว่าเป็นของปลอม

Mr. Garcia กล่าวอ้างอย่างครอบคลุมว่า การทดสอบ โดยคาร์บอนทราบอายุปี tests of radiocarbon dating และแยกแยะ อายุน้ำหมึก และ แถบแสงแยกสี และศึกษา ตัวเขียนลายมือ และเกี่ยวกับภาษาศาสตร์ สำหรับตัวอย่างน้ำหมึก ที่สอดคล้องกับยุคสมัยนั้น และไม่พบหลักฐานหลากหลายเหล่านั้นเหล่านั้น ในการเขียนแก้ใหม่ The ink, for example, was consistent with ink of that era, and there was no evidence of multiple rewriting.

นี้คือ ตัวอย่างสัญญาลักษณ์ของ หนังสือเขียนด้วยลายมือหลักฐานโบราณคดี ของ Coptic อย่างครบถ้วน
Stephen Emmel , professor of Coptic studies at the University of Munster in Germany กล่าวไว้ . "I am completely convinced."

บทความที่เผยให้รู้มากที่สุดของเนื้อหายูดาส คือการเริ่มต้น ความลับของการเผยแสดงนั้นคือพระเยซูพูดกับยูดาสระหว่างอาทิตย์ ในวันที่ 3 ก่อนฉลองเทศกาลปัสกา

เนื้อหาบรรยายต่อเนื้องไปจนถึง การเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันนั้นคือ พระเยซูเจ้าอ้างถึง การอธิบายบอกยูดาส "ท่านจะทำมากกว่าคนอื่นทั้งหมด.สำหรับท่านจะอุทิศตัวสละนั้นคือเสื้อผ้าเรา โดยนั้น นักวิจัย ซึ่งเชี่ยวชาญกับ Gnostic กล่าวว่า พระเยซูเจ้า สื่อความหมายนั้นคือ โดยการช่วยเหลือพระองค์ ขจัด แก้ไขปัญหา เกี่ยวกับร่างกายรูปธรรม ฝ่ายเนื้อหนังของมนุษย์ ยูดาสจะแสดงให้เห็น การปลดปล่อยให้เป็นอิสระจาก จิตวิญาณที่แท้จริงหรือ ความเป็ฯพระเจ้าของพระเยซูคริส

ความแตกต่างจากพันธสัญญาใหม่ พระวารสารของ นักบุญ Gospels of Matthew, Mark, Luke and John,

ผู้เขียน นิรนาม(the anonymous= ไม่ปรากฎชื่ออะ) Gospel of Judas เชื่อว่านั้นคือ ยูดาส แอสคาริโอส อยู่โดดเดี่ยวท่ามกลาง 12 อัครสาวก ที่เข้าใจคำสอนของพระเยซูเจ้า

the anonymous author of the Gospel of Judas believed that Judas Iscariot alone among the 12 disciples understood the meaning of Jesus' teachings and acceded to his will.

ในความหลากหลาย ยุคแรกของคริสเตียน การไตร่ตรอง กลุ่มที่รู้จักกันดีคือ พวก Gnostics เชื่อว่า ในความลับที่รู้จักกันดีคือ มนุษย์ปุถุชนสามารถหลบหนีจากที่กักขังของร่างกายที่เป็นเนื้อหนัง และกลับไปยังอาณาจักรแห่งจิตวิญญาณ จากที่ซึ่งพวกเขามา

Elaine Pagels, a professor of religion at Princeton who specializes in studies of the Gnostics,กล่าวระบุว่า การค้นพบนั้นพิสูจน์ว่าผิด เกี่ยวกับนิยายประรำประรา เรื่องโกหก ของ ศาสนาซึ่งมีขนาดใหญ่มาก และ ยุคแรกของการเคลื่อนไหวของคริสเตียนอย่างแท้จริงที่เป็น

The Gospel of Judas คือหนึ่งในเนื้อหาที่ค้นพบ ครั้งล่าสุดของ65ปีที่แล้ว รวมถึง gospel of Thomas Mary Magdalene และ Philip เชื่อว่าเขียนด้วยพวก Gnostics.


The Gospel of Judasis only one of many texts discovered in the last 65 years, including the gospels of Thomas, Mary Magdalene and Philip, believed to be written by Gnostics.

พวก Gnostics' เชื่อว่า ในมุมมองของ bishopของยุคแรกของผู้นำคริสเตียน คือพวกนอกรีต และพวกเขา บ่อยครั้งที่ได้ถูก ปรักปรำ วิจาร์ณ กล่าวหา ว่าเป็น heretics (พวกนอกศาสนา) การค้นพบ ต้นฉบับของ Gnosticมีความสั่นสเทือนไปถึง นักวิจัย เกี่ยวกับพระคัมภีร์ศาสนาคริส โดยเผยให้รู้ว่า ความหลากหลายของความเชื่อ และ ทำตามหลักศาสนา ในท่ามกลางยุคแรกของคริสเตียนที่ติดตามพระเยซูเจ้าและ ผลของการสืบค้น ได้ซึมไปที่ละน้อยต่อในพระศาสนจักร และ มหาวิทยาลัย พวกเขา สร้างคริสเตียนรุ่นใหม่ขึ้นซึ่งปัจจุบันเกี่ยวกับในพระคัมภีร์ไม่ใช่ตามความหมายตามตัวอักษร คำของพระเจ้า แต่ สร้างประวัติศาสตร์ และการเมือง ซึ้งมีอิทธิพล นั้นคือ การตัดสินซึ่งในเนื้อหาควรรวมถึงในหลักการทั่วไป และซึ่งได้มีการแก้ไขออกไป

สำหรับเหตุผล นั้นคือ การค้นพบ พิสูจน์ได้ว่าลึกๆๆของปัญหาสำหรับความเชื่อ The Gospel of Judas ที่บรรยายบทบาทของยูดาส แอสคาริโอส ไม่ทรยศหักหลังพระเยซูเจ้า แต่ ยูดาส คือคนที่พระองค์โปรดปรานมากที่สุด และจะเป็นผู้ร่วมมือประสานงานกับพระองค์

นักวิจัยบอกว่า นั้นคือ พวกเขา ระมัดระวังThe gospel of Judas เพราะอ้างถึงยุคแรก ในมุมมองเนื้อหาของ การต่อต้าน พวก Heresies เขียนโดย Irenaeus, the bishop of Lyons, about the year 180.

Irenaeus เป็นนักล่าพวก heretics และไม่ใช่เพื่อนของ พวก Gnostics Irenaeus เขียนไว้ว่า พวกเขาสร้าง ประวัติศาสตร์ไม่มีตัวตน ในความเมตตานี้ ซึ่งพวกเขาอยู่ในสไตล์ของ the Gospel of Judas."

Karen L. King, a professor of the history of early Christianity at Harvard Divinity School, and an expert in Gnosticism ซึ่งยังไม่ได้อ่านเนื้อหาที่ออกมาในวันนี้บอกว่า the Gospel of Judas อาจจะแสดงให้เห็นถึง ข้อถกเถียงนั้นคือการเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 2-3ในหมู่ท่ามกลางชาวคริสเตียน

"คุณสามารถเห็นว่ายุคแรกของชาวคริสเตียนมีความเห็ฯอย่างไร ถ้าพระเยซูเจ้าสิ้นพระชมน์และเป็ฯส่วนหนึ่งของพระประสงค์พระเป็นเจ้า ดังนั้นยูดาสผู้ทรยศคือส่วนหนึ่งของทั้งหมดพระประสงค์พระเป็นเจ้า Ms. King กล่าวไว้ เป็ฯผู้เขียน หนังสือ Gnostic หลายเล่ม " และอะไรละที่ทำให้ยูดาสทำ "เค้าเป็ฯผู้ทรยศเหรอ หรือ ผู้ช่วยในการมาถึงซึ่งความรอด เป็นไปได้ที่ทำให้พระเยซูเจ้าทรงสิ้นพระชมน์บนไม้กางเขน

อย่างน้อยที่สุดนักวิจัยกล่าวว่า ในเนื้อหาใหม่นี้ ไม่ได้บรรจุบทบาทนั้นคือ การเปลี่ยนแปลง หรือ การทำลายธรรมประเพณีที่อย่างที่เราเข้าใจของไบเบิ้ล
James M. Robinson professor of Coptic studies at Claremont Graduate University ผู้ซึ่งเกษียญแล้ว ,เป็นบรรณาธิการของ the Nag Hammadi library และเป็นผู้รวบรวมเอกสาร, Gnostic ในอียิปต์ ปี 1945

"อย่างถูกต้องที่เราเข้าใจกันไม่มีอะไรเกี่ยวกับ the Gospel of Judas ที่ทำให้ความเชื่อสั่นคลอนลง " Mr. Robinson กล่าวในการสัมภาษณ์ทางโทรศัพย์ เขากล่าวว่า ในพระวารสารใหม่ the gospels of John and Mark ทั้งคู่บรรจุข้อความแน่ใจว่า นั้นคือพระเยซูเจ้าไม่เพียงแค่ เลือกยูดาสมาเป็นอัครสาวกและทรยศพระองค์ แต่จริงๆๆแล้วกระตุ้นให้ยูดาสหยิบยื่นนั้นคือที่พวกเรารู้กัน ให้พระองค์สิ้นพระชมน์บนไม้กางเขน

หนังสือแต่งของ Mr. Robinson's "The Secrets of Judas: คือเรื่องราวไม่เข้าใจในการอธิบายและพระวารสารที่ไม่ได้กล่าวถึง (Harper San Francisco, April 2006),การตีความในเนื้อหาของ the Gospel of Judas อ้างอิงจากที่เรารู้จักกันดีคือ พวก Gnostic and Coptic แม้ว่าเขาไม่ได้เป็ฯส่วนหนึ่งของทีมงานที่ค้นคว้าและทำงานร่วมกับเอกสารเหล่านี้


เค้าเขียนว่า long lost gospel of Judas อะ
Soure ://farm1.static.flickr.com/46/126157633_bd881aa1a6.jpg?v

เอกสารก๊อปปี้ของชาวอียิปต์ที่เขียนมี 13 แผ่นของกระดาษปาปิรุส เขียนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง และพบว่าเปราะบางหักแตกออกเป็ฯชิ้นๆๆ

Rudolphe Kasser a Swiss scholar of Coptic studies,ผู้ควบคุมทีมวิจัยนี้ นั้นคือการสร้างขึ้นใหม่และแปลเนื้อหาเขียนด้วยลายมือนี้ ความพยายมที่รวบรวมขึ้นโดย the National Geographic,ได้รับการสนับสนุนโดย Maecenas Foundation for Ancient Art, in Basel, Switzerland, และ the Waitt Institute for Historical Discovery, an American nonprofit organization for the application of technology in historical and scientific projects.

เนื้อหาหนังสือเขียนด้วยลายมือทั้งหมด 66-page และบรรจุ เนื้อหาของ James ยากอบ รวมอยู่ด้วย (อัครสาวกคนแรก Jamesยากอบ) จดหมยของ Peterเปรโตร และ เนื้อหาที่นักวิจัยเมื่อก่อนนี้เรียกว่า a Book of Allogenes.

" ค้นพบในปี 1970 ในถ้ำใกล้ๆ El Minya, Egypt เอกสารได้มีพ่อค้าคนกลาง dealer แพร่กระจายท่ามกลาง ในอียิปต์ ต่อจากนั้นไกลไปถึงยุโรป และมาสิ้นสุดที่ อเมริกา มันทั้งผุผังเสื่อมสลายด้วยตัวของมันเอง ในกล่อง ที่เก็บไว้ที่ bank in Hicksville, N. Y., สำหรับ 16ปีก่อนซื้อโดยพ่อค้าคนกลางdealerในซูริค Frieda Nussberger-Tchacos

เมื่อพยายาม ขายอีกครั้ง หนังสือโบราณเขียนด้วยลายมืออยู่ในสภาพใช้ไม่ได้เสื่อมสภาพ Ms. Nussberger-Tchacos นำมันกลับไปที่ the Maecenas Foundation เพื่อที่จะเก็บรักษาไว้ และ แปลออกมา

Mr. Robinson กล่าวว่า นั้นคือการค้าขายวัตถุโบราณของพ่อค้าคนกลางชาวอียิปต์ เสนอขายให้แก่เค้าในปี 1983 ราคา 3 ล้านเหรียญ แต่เค้าไม่สามารถหาเงินมาได้ เค้าแสดงความคิดเห็นว่า นักวิจัยปัจจุบันนี้ รวมกลุ่มกันกับโครงการณ์นี้ บางคนก็เป็นศิษย์เก่าของเค้า เพราะพวกเขา ฝ่าฝืนและข้อตกลงเมื่อปีที่แล้ว โดย นักวิจัย Coptic นั้นคือการค้นพบจะสามารถเข้าถึงได้ทั้งหมดด้วย คุณสมบัติที่มีคุณวุติของนักวิจัย


ในที่สุดหนังสือต้นฉบับเขียนด้วยลายมือ จะกลับมาที่อียิปตื สถานที่ซึ่งค้นพบมันและสถาบัน the Coptic Museum in Cairo.

Ted Waitt the founder and former chief executive of Gatewayผู้ค้นพบมันมาก่อนกล่าวว่า พื้นฐาน (ของความคิดหรือทฤษฎี) the Waitt Institute for Historical Discovery,ให้ the National Geographic Society เงินสนับสนุนมากกว่า 1 ล้านเหรียญ เพื่อ ซ่อมแซม และ อนุรักษ์ หนังสือต้นฉบับที่เขียนด้วยลายมือ และทำมันใช้ประโยชน์ได้ (available ขอแปลว่า "ทำกำไร"เปิดดิกดู มีคำนี้เหมือนกาลลล) ต่อสาธารณะชน

"เราไม่รู้ทั้งหมดว่า จนกระทั้งเราได้ เข้าไปเกี่ยวกับยุคแรกของคริสเตียนนี้"มันทำให้ผมหลงใหลอย่างมีเสน่ห์สุดซึ๊ง Mr. Waitt กล่าวในโทรศัพย์ เค้าบอกว่า ไม่มีแรงบันดาลใจอื่นๆๆมากกว่าการหลงใหลเท่ากับการค้นพบครั้งนี้ เค้ากล่าวอีกว่า หลังจากทดสอบคาร์บอนเช็คอายุปีโดยทดสอบกับน้ำหมึกที่เขียน กระบวนการ พื้นฐาน (ของความคิดหรือทฤษฎี)ของเขา เขาไม่มีคำถามเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือนี้อีก "เป็นไปได้ที่คุณสามารถมีคำถามในการแปลออกมาและตีความ Mr. Waitt กล่าวแต่คุณไม่สามารถโกหกบางสิ่งบางอย่างเหมือนในที่นี้ มันเป็นไปไม่ได้

ความเห็ฯส่วนตัวอะ
ปี2006 หนังสือ ภาพยนต์ของแดนบราวน์เป็นที่น่าสนใจพอดี ออก ก๊อสเปล อ๊อฟยูดาสเข้ามาอีก รวยกันพอดีเลยอะ

กลยุทธ์ในการโปรโมท พ่อค้าค้นกลางเจอหนังสือปาปิรุสกะปั่นราคากันอีก ไปไกลถึงตลาดใหญ่เมกา กะกลับมาสู่วั๔จักรเดิม ต้นฉบับให้พิพิธภันธ์ไปเพื่อความน่าเชื่อถือ สิ่งที่ขายได้ หนังสือ สารคดี ดีวีดี เรื่องเดิมๆๆ

ตอนนี้กะพบเรื่อยๆๆ หินจารึก กระดาษม้วนทะเลทราย อยู่ในมือdealer พ่อค้าคนกลาง อยู่ที่จะปั่นกันออกมายังไง

//www.nytimes.com/2007/12/01/opinion/01deconink.html
ลิงค์นี้ปี2007 อยู่ในsection opinionอะ เอามาปั่นต่อ เป็นเดมอนหรือเปล่า สงสัยต่อด้วยแอลเจิล แอนเดมอน



Source : นิวยอร์กไทม์ กะบล๊อคจิมมี่เค้าเป็นคาทอลิกอะ

//www.nytimes.com/2006/04/06/science/06cnd-judas.html

//www.jimmyakin.org/2006/04/the_gospel_of_j.html

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible



โดย: Bernadette วันที่: 10 กรกฎาคม 2551 เวลา:10:40:35 น.  

 
Passion of the Christ Compilation - Part 1 - Jeremy Riddle



ในทางเช่นเดียวกัน พระวารสารระบุว่านั้นคือ ลูกา Luke 22:47-48 ยอร์น John 18:2-12

ลูกา Luke 22:47-48
พระเยซูเจ้าทรงถูกจับกุม
47 ขณะที่พระเยซูเจ้าตรัสอยู่นั้น คนหมู่บ้านหนึ่งก็มาถึง ยูดาสหนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสองคนเป็นผู้นำ ยูดาสเข้ามาใกล้พระเยซูเจ้าเพื่อจุมพิตพระองค์
48 พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า "ยูดาสท่านใช้การจุมพิตเพื่อทรยศบุตรแห่งมนุษย์หรือ "
47 Suddenly, while he was still speaking, a number of men appeared, and at the head of them the man called Judas, one of the Twelve, who went up to Jesus to kiss him.
48 Jesus said, 'Judas, are you betraying the Son of man with a kiss?'

ยอร์น John 18:2-12
คาทอลิกใช้นิวเยรูซาเร็มไบเบิ้ลNew Jersulam Bible อะ //www.catholic.org/bible/
ขอยืมKJVไบเบิ้ลยาว
พระเยซูในสวนเกทเสมนี ทรงถูกทรยศและถูกจับกุม (มธ 26:47-56; มก 14:43-50; ลก 22:47-53)
18:2 ยูดาสผู้ที่ทรยศพระองค์ก็รู้จักสวนนั้นด้วย เพราะว่าพระเยซูกับเหล่าสาวกของพระองค์เคยมาพบกันที่นั่นบ่อยๆ
18:3 ยูดาสจึงพาพวกทหารกับเจ้าหน้าที่มาจากพวกปุโรหิตใหญ่และพวกฟาริสี ถือโคมถือไต้และเครื่องอาวุธไปที่นั่น
18:4 พระเยซูทรงทราบทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์ พระองค์จึงเสด็จออกไปถามเขาว่า "ท่านทั้งหลายมาหาใคร"
18:5 เขาทูลตอบพระองค์ว่า "มาหาเยซูชาวนาซาเร็ธ" พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราคือผู้นั้นแหละ" ยูดาสผู้ทรยศพระองค์ก็ยืนอยู่กับคนเหล่านั้นด้วย
18:6 เมื่อพระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า "เราคือผู้นั้นแหละ" เขาทั้งหลายได้ถอยหลังและล้มลงที่ดิน
18:7 พระองค์จึงตรัสถามเขาอีกว่า "ท่านมาหาใคร" เขาทูลตอบว่า "มาหาเยซูชาวนาซาเร็ธ"
18:8 พระเยซูตรัสตอบว่า "เราบอกท่านแล้วว่าเราคือผู้นั้น เหตุฉะนั้นถ้าท่านแสวงหาเราก็จงปล่อยคนเหล่านี้ไปเถิด"
18:9 ทั้งนี้ก็เพื่อพระดำรัสจะสำเร็จ ซึ่งพระเยซูตรัสไว้แล้วว่า "คนเหล่านั้นซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ไม่ได้เสียไปสักคนเดียว"
18:10 ซีโมนเปโตรมีดาบ จึงชักออกและฟันผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิต ถูกหูข้างขวาขาดไป ชื่อของผู้รับใช้คนนั้นคือมัลคัส
18:11 พระเยซูจึงตรัสกับเปโตรว่า "จงเอาดาบใส่ฝักเสีย เราจะไม่ดื่มถ้วยซึ่งพระบิดาของเราประทานแก่เราหรือ"

ทรงอยู่ต่อหน้าอันนาสและคายาฟาส (มธ 26:57-68; มก 14:53-65; ลก 22:66-71)
18:12 พวกพลทหารกับนายทหารและเจ้าหน้าที่ของพวกยิวจึงจับพระเยซูมัดไว้

เชิงอรรถ 3 ยูดาสนำกองทหาร "กองทหารนี้คือทหารโรมันกองหนึ่งจากค่ายที่กรุงเยรูซาเร็ม"

2 Judas the traitor knew the place also, since Jesus had often met his disciples there,
3 so Judas brought the cohort to this place together with guards sent by the chief priests and the Pharisees, all with lanterns and torches and weapons.
4 Knowing everything that was to happen to him, Jesus came forward and said, 'Who are you looking for?'
5 They answered, 'Jesus the Nazarene.' He said, 'I am he.' Now Judas the traitor was standing among them.
6 When Jesus said to them, 'I am he,' they moved back and fell on the ground.
7 He asked them a second time, 'Who are you looking for?' They said, 'Jesus the Nazarene.'
8 Jesus replied, 'I have told you that I am he. If I am the one you are looking for, let these others go.'
9 This was to fulfil the words he had spoken, 'Not one of those you gave me have I lost.'
10 Simon Peter, who had a sword, drew it and struck the high priest's servant, cutting off his right ear. The servant's name was Malchus.
11 Jesus said to Peter, 'Put your sword back in its scabbard; am I not to drink the cup that the Father has given me?'
12 The cohort and its tribune and the Jewish guards seized Jesus and bound him.


พวกทหารกับเจ้าหน้าที่ Band of soldiers: กล่าวถึงกองทหารโรมัน เช่นเดียวกันกับ ผู้ติดตาม 600นาย (1/10ของกองทหารโรมัน)หรือ มีแนวโน้มเป็นไปได้ กองทหารโรมัน มากกว่า 200นาย หรือพวกพลทหารกับนายทหารและเจ้าหน้าที่ของพวกยิว (ยอร์น John 18:12) ในเคสนี้ นักบุญยอร์นพูดเป็นนัยยะทหารโรมันสมรู้ร่วมคิดในการแสดงถึงการต่อต้านพระเยซูก่อนนำพระองค์ไปให้ปิลาต โปะไฟ ตะเกียง และ คบไฟ้ ไต้ บางที่เป็นสัญญาลักษณ์ของชั่วโมงแห่งความมืด

ชาวนาซาเร็ท Nazorean: พบจากพระวารสารนักบุญมัทธิว Matthew 26:71
26:71 เมื่อเปโตรได้ออกไปที่ระเบียง สาวใช้อีกคนหนึ่งแลเห็นจึงบอกคนทั้งปวงที่อยู่ที่นั่นว่า "คนนี้ได้อยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธด้วย"
71 When he went out to the gateway another servant-girl saw him and said to the people there, 'This man was with Jesus the Nazarene.'

ชาวนาซาเร็ท Nazorean: ดูเชิงอรรถ มัทธิว Matthew 2:23ด้วย


"เราคือผู้นั้นแหละ" I AM: or "I am he," แต่เป็ฯไปได้อย่างหน้าเชื่อแน่นอน ว่า จุดมุ่งหมายของผู้เขียนพระคัมภีร์ แสดงถึง สำนวนที่เป็นเครื่องหมายของพระเจ้า 18:6 เมื่อพระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า "เราคือผู้นั้นแหละ" เขาทั้งหลายได้ถอยหลังและล้มลงที่ดิน

18:9 ทั้งนี้ก็เพื่อพระดำรัสจะสำเร็จ ซึ่งพระเยซูตรัสไว้แล้วว่า "คนเหล่านั้นซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ไม่ได้เสียไปสักคนเดียว" กล่าวถึง

ยอร์น John 6:39; 10:28; or John 17:12.
ยอร์น John 6:39
39 พระประสงค์ของผู้ทรงส่งเรามาคือ เราจะไม่สูญเสียผู้ใด ที่พระองค์ทรงมอบให้แก่เรา แต่จะให้ผู้นั้นกลับคืนชีพในวันสุดท้าย
39 Now the will of him who sent me is that I should lose nothing of all that he has given to me, but that I should raise it up on the last day.

ยอร์น John 10:28
28 เราให้ชีวิตนิรันดรกับแกะเหล่านั้น และมันจะไม่พินาศเลยตลอดนิรันดร ไม่มีใครแย่งชิงแกะเหล่านั้นไปจากมือเราได้
28 I give them eternal life; they will never be lost and no one will ever steal them from my hand.

ยอร์น John 17:12
12 เมื่อข้าพเจ้าอยู่กับบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงมอบให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเฝ้ารักษาไว้ และไม่มีผู้ใดพินาศ เว้นแต่ผู้ที่ต้องพินาศ เพื่อให้เป็นจริงตามพระคัมภีร์
12 While I was with them, I kept those you had given me true to your name. I have watched over them and not one is lost except one who was destined to be lost, and this was to fulfil the scriptures.

เชิงอรรถ "ผู้ที่ต้องพินาศ" แปลตามตัวอักษร "บุตรแห่งความพินาศ"

พระวรสารนักบุญยอร์นคนเดียว ระบุชื่อผู้ถูกฟันหูขาดคือ มัลคัส และนักบุญลูการะบุ หูข้างขวาเช่นกัน

เราจะไม่ดื่มถ้วยซึ่งพระบิดาของเราประทานแก่เราหรือ ประเด็นของถ้วยพบใน สรุปใจความสำคัญที่เหมือนกันของพระมหาทรมาน มะระโก Mark 14:36
36 พระองค์ทูลว่า "อับบา พระบิดาเจ้าข้า พระองค์ทรงทำทุกสิ่งได้โปรดทรงเอาถ้วยนี้ไปจากข้าพเจ้าเถิด อย่าให้เป็นไปตามข้าพเจ้า แต่ให้เป็ฯไปตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด"
36 'Abba, Father!' he said, 'For you everything is possible. Take this cup away from me. But let it be as you, not I, would have it.'
เชิงอรรถ


ลูกา Luke 22:51
51 แต่พระเยซูเจ้าตรัสว่า"หยุดเถิด พอแล้ว " ทรงสัมผัสหูและทรงรักษาเขา
51 But at this Jesus said, 'That is enough.' And touching the man's ear he healed him.

ทรงรักษาเขา And healed him: มีเพียงพระวารสารของนักบุญลูกาบรรยายนี้การการรักษาผู้รับใช้ซึ่งได้รับบาดเจ็บให้หาย

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 10 กรกฎาคม 2551 เวลา:19:15:20 น.  

 
Arraignment and Trial

Jesus of Nazareth - Trial before the Sanhedrin



พระวารสารบทต่อไปบอกกับเราว่า ผู้จับกุมได้นำพระองค์ไปยังที่พำนักของ Caiaphas พระสมณะชั้นสูง ตั้งแต่ การรบกวนก่อความไม่สงบเกิดขึ้นในพระวิหาร หลักฐานสนับสนุนเรื่องสำคัญนี้ตกอยู่ภายใต้การตัดสินของสภาพระสมณะ คือสภา ซาเฮดริน The Great Sanhedrin นักบุญมะระโก กล่าวถึงเป็นนัยยะว่า
คาทอลิกใช้ New Jersulam Bible //www.catholic.org/bible/
มะระโก Mark 14:53
พระเยซูเจ้าทรงถูกพิจารณาคดี ในสภาสูงของชาวยิว

53 บรรดาผู้ที่จับกุมพระเยซูเจ้านำพระองค์ไปยังบ้านของมหาสมณะบรรดาหัวหน้าสมณะ ผู้อวุโสและธรรมาจารย์ทุกคนชุมนุมกันที่นั้น
53 They led Jesus off to the high priest; and all the chief priests and the elders and the scribes assembled there.

แต่แผนการคือสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น สภาซาเฮดริน ที่เชื่อถือ มีสมาชิกจำนวน 71คนมีทั้ง ชาวฟาริสีและชาวสาดุสี ผู้ซึ่งมีหน้าที่ออกหมายเรียก ประกาศอย่างชัดเจน ยิ่งกว่านั้น มันเต็มไปด้วย การประชุมของเหล่าสภาซาเฮดริน ในสถานที่ The Lishkat La-Gazit,The Chamber of Hewn stones ใกล้กับพระวิหาร นักบุญมะระโก ระบุไว้อย่างแน่ชัด อย่างไรกะตามนั้นคือพระเยซูเจ้าถูกตัดสินในสถานที่ส่วนตัวของพระสมณะชั้นสูง
มะระโก Mark 14:66
เปรโตรปฎิเสธพระเยซูเจ้า
66 ขณะที่เปโตรอยู่ที่ลานข้างล่างหญิงรับใช้คนหนึ่งของมหาสมณะมาที่นั่น
66 While Peter was down below in the courtyard, one of the high priest's servant-girls came up.

มันไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นจริง นั้นคือบ้านสถานที่ส่วนตัว สามารถที่จะบรรลุข้อตกลงการประชุมเต็มจำนวนสมาชิกของสภาเซฮาดริน แม้ว่า คฤหาสน์ บ้านหลังใหญ่มาก ในศตวรรษที่ 1 การ ขุดค้น (อย่างระมัดระวังและเป็นกระบวนการ) เพื่อหาวัตถุโบราณ โดยนักโบราณคดีชาวอิสราเอล Nahman Avigad พื้นที่ 700 square-yard ของตำหนักตั้งอยู่ที่ Upper City ลักษณะสำคัญคือมีห้องต้อนรับแขกได้ไม่เกิน 30คนในเวลาหนึ่ง

โดยเหตุนั้นมันทำให้เป็นจริงได้นั้นคือพระเยซูเจ้า ถูกกล่าวหา โดย Caiaphas และกลุ่มเล็กๆๆชาวสาดุสี พระสมณะ และอาลักษณ์ เจ้าหน้าที่คัดลอก ผู้สอนเชี่ยวชาญกฎหมายิว ผู้มีตำแหน่งสูงสุดกล่าวหาว่า "blasphemousซึ่งสบประมาทหรือดูหมิ่นศาสนา "อ้างว่า นั้นคือพระองค์คือพระ เมสิยาห์ Messiah พระ เยซูเจ้าทรงตอบว่า มัทธิว Matthew 26:64,ลูกา Luke 22:67-68

มัทธิว Matthew 26:64
พระเยซูเจ้าทรงถูกพิจาณาคดีในสภาสูงของชาวยิว เชิงอรรถ สภาสูงของชาวยิว


64 พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า"ใช่แล้วแต่ยังมีมากกว่านั้นอีก เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตั้งแต่บัดนี้ไปท่านจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์ประทับ ณ เบื้องขวาของพระผู้ทรงอานุภาพ
64 Jesus answered him, 'It is you who say it. But, I tell you that from this time onward you will see the Son of man seated at the right hand of the Power and coming on the clouds of heaven.'
เชิงอรรถ พระผู้ทรงอานุภาพ

"ผู้ทรงอานุภาพ" มีความหมายเท่ากับ "พระเจ้า"(ดู 3:2 เชิงอรรถ d)


พระวารสารแสดงว่าในเวลาวิกฤตนี้พระเยซูเจ้าทรงเลิกปกปิดความเป็นพระเมสิยาห์ (ดู มก 1:34 เชิงอรรถ m)

และทรงยอมรับสมญาว่าเป็นพระเมสิยาห์อย่างเปิดเผยแต่ทรงแสดงว่าพระเมสิยาห์มิใช่ความหมายที่ชาวยิวทั่วไปมักเข้าใจคือ ผู้กอบกู้อิสระภาพทางการเมือง แต่ในความหมายของผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ที่ดาเนียลได้เห็นในนิมิต (ดนต Daniel 7:13 เชิงอรรถ K)
13 ข้าพเจ้ายังเห็ฯนิมิตเวลากลางคืนต่อไป ข้าพเจ้าเห็นท่านผู้หนึ่งเหมือนบุตรแห่งมนุษย์
13 I was gazing into the visions of the night, when I saw, coming on the clouds of heaven, as it were a son of man. He came to the One most venerable and was led into his presence.

ข้อความนี้นอกจากจะท้าวความถึง ดนล แล้วยังท้าวความถึง สดด Psalms 110:1 "ประทับเบื้องขวา"อีกด้วย

พระยาห์เวห์ทรงประทานให้กษัตริย์มีอำนาจครอบครอง
เพลงสดุดีของดาวิด
110:1 พระยาห์เวห์ตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า "จงนั่งที่ขวามือของเรา จนกว่าเราจะกระทำให้ศัตรูของเจ้าเป็นแท่นรองเท้าของเจ้า"
1 [Of David Psalm] Yahweh declared to my Lord, 'Take your seat at my right hand, till I have made your enemies your footstool.'

ดู กจActs 2:33 เชิงอรรถ t
33 พระองค์ทรงได้รับการเทิดทูนให้ประทับเบื้องขวา ของพระเจ้า พระองค์ทรงได้รับพระจิตเจ้าจากพระบิดาตามพระสัญญา
33 Now raised to the heights by God's right hand, he has received from the Father the Holy Spirit, who was promised, and what you see and hear is the outpouring of that Spirit.


ข้อความจาก สดด110:1 นี้บรรดาอัครสาวกใช้บ่อยๆในคำเทศน์สอน การที่พระเยซูเจ้าทรงใช้วลี "บุตรแห่งมนุษย์"แทนพระองค์เอง ดู 8:20 เชิงอรรถ h

มัทธิว Matthew 8:20 เชิงอรรถ h
20 พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า " สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง นกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรแห่งมนุษย์ ไม่มีที่วางศรีษะ
20 Jesus said, 'Foxes have holes and the birds of the air have nests, but the Son of man has nowhere to lay his head.'


ลูกา Luke 22:67-68
พระเยซูเจ้าทรงถูกพิพากษาคดีในสภาสูงของชาวยิว
67 และพูดว่า "ถ้าท่านเป็นพระคริสต์ จงบอกเราเถิด" พระองค์ตรัสตอบว่า "ถ้าเราบอกท่าน ท่านก็ไม่เชื่อ
68 ถ้าเราถามท่าน ท่านก็ไม่ตอบ
67 and they said to him, 'If you are the Christ, tell us.' He replied, 'If I tell you, you will not believe,
68 and if I question you, you will not answer.

เชิงอรรถ
สภาสูงชาวยิว มาระโกและมัทธิวเล่าว่ามีการพิจารณาคดีสองครั้ง ลูกกาเล่าเพียงครั้งเดียวในตอนเช้าพิพากษา คดี อาทำใน"ศาล" ซึ่งเป็นอาคารติดกับพระวิหาร (ดูมธ 26:57 เชิงอรรถ R)

ซึ่ง Caiaphas กล่าวอ้างเรื่องเหล่านี้ต่อผู้มีอำนาจของอาณาจักรโรมันอย่างฉับพลัน เจ้าหน้าที่ชั้นสูงของอาณาจักรโรมัน Pontius Pilateพอลทิอัส ปิลาต ผู้ซึ่งยังดูแลเมืองในเวลานั้น สำหรับผลประโยชน์ของปิลาต ข้อกล่าวหา ที่แยบยล คำแก้หรือคำแปรญัตติ นั้นคือการปลุกปั่นให้ก่อความไม่สงบหรือก่อการกบฎ,การจราจล ต่อต้านอาณาจักรโรมัน พระเยซูเจ้าถูกกล่าวหาว่า "King of the Jews" การเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของการฝ่าฝืนกฎ จากเนื้อหาสาระสำคัญที่บริสุทธิ์ทางศาสนา อาชญากรทางการเมือง กับ การมีอิทธิพลมีผลกระทบตามมาภายหลัง ที่ปิลาตให้นั้นคือ ในเยรูซาเร็มสำหรับหนึ่งเหตุผล ของการปราบปรามประชาชน ในสถานการณ์ไม่สงบอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ในเคสนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พระองค์มีความหน้าสนใจ

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 11 กรกฎาคม 2551 เวลา:21:50:05 น.  

 
Gospel of John 19 - Jesus before Pilate (high-quality)

มัทธิว Matthew 26:65-66
65 มหาสมณะจึงฉีกเสื้อของตนแล้วกล่าวว่า "เขาพูดดูหมิ่นพระเจ้า" เราจะต้องการพยานอะไรอีกเล่า ท่านทั้งหลายต่างได้ยินเขาพูดดูหมิ่นพระเจ้าแล้ว
66 ท่านคิดอย่างไร " ทุกคนตอบว่า "เขาสมควรต้องตาย"
65 Then the high priest tore his clothes and said, 'He has blasphemed. What need of witnesses have we now? There! You have just heard the blasphemy.
66 What is your opinion?' They answered, 'He deserves to die.'
เชิงอรรถ "เขาพูดดูหมิ่นพระเจ้า"


ระหว่างนั้นต่อมาภายหลัง การสอบสวน หัวหน้าพระสมณะ ผู้ทำหน้าที่เป็นโจทย์คือผู้กล่าวหา ใส่ความพระเยซูเจ้า
กับข้อหาผู้ก่อกบฎ ด้วยความหวังว่า ปิลาต จะประกาศว่าพระเยซูเจ้าทรงทำผิด มันไม่เคลียร์หรือชัดเจน ไม่ว่าอย่างไรกะตาม นี้คือ การสอบสวนพิจารณาคดีนำไปสู่สถานที่ (จวนผู้ว่า)ซึ่ง ก่อนหน้านี้ เคยเป็นพระราชวังของ Herod the Great ซึ่งตั้งอยู่ทางทิสตะวันตกส่วนหนึ่งของในเมือง และเคยเรียกกองทัพได้โดยปิดลาติ หรือ ใน the Antonia Fortress สถานที่ซึ่ง ตั้งกองทหารรักษาการณ์ของกองทัพ ปิลาต

เรื่องจวนของผู้ว่าราชการอันนี้ของเนชั่นแนลจิโอกราฟิค
อันนี้ของ"จวนของผู้ว่าราชการ" พระคัมภีร์คาทอลิก

ในพระวารสาร แน่ใจว่านั้นคือ การสอบสวนอยู่ในมือของประชาชน และ ปิลาต ความยุ่งยากกังวลใจ ด้วยความอ่อนแอ ของเคสตัวอย่างงนี้ ในที่สุด อำนาจในการโน้มน้าวและแสดงออกมา ภายใต้ความกดดันของฝูงชน

นักวิจัยมีความโน้มเอียงตั้งคำถามนี้คือตอนหนึ่ง และแน่ใจว่านั้นคือ ปิลาตบ่อยครั้งที่นิรโทษกรรม สำหรับโอกาส
พิเศษ ของเทศกาลปัสกา โดยให้ฝูงชนเลือก ระหว่างการอภัยโทษพระเยซูเจ้า หรือนักโทษก่อกบฎ และฆาตกร ชื่อ บาราบัส Barabas มะระโก Mark15:6-15

คาทอลิกใช้ New Jersulam Bible //www.catholic.org/bible/
ขอยืมKJVไบเบิ้ลยาว
พระเยซูทรงถูกนำไปอยู่ต่อหน้าปีลาต (มธ 27:1-2, 11-15; ลก 23:1-7, 13-18; ยน 18:28-40; 19:1-16)

15:6 ในเทศกาลเลี้ยงนั้น ปีลาตเคยปล่อยนักโทษคนหนึ่งให้เขาตามที่เขาขอ

ปล่อยตัวบารับบัส ตรึงพระเยซูบนกางเขน (มธ 27:16-26; ลก 23:16-25; ยน 18:40)
15:7 มีคนหนึ่งชื่อบารับบัสซึ่งต้องจำอยู่ในจำพวกคนกบฏ ผู้ที่ได้กระทำการฆาตกรรมในการกบฏนั้น
15:8 ประชาชนจึงได้ร้องเสียงดัง เริ่มขอปีลาตให้ทำตามที่ท่านเคยทำให้เขานั้น
15:9 ปีลาตได้ถามเขาว่า "ท่านทั้งหลายปรารถนาจะให้เราปล่อยกษัตริย์ของพวกยิวหรือ"
15:10 เพราะท่านรู้อยู่แล้วว่า พวกปุโรหิตใหญ่ได้มอบพระองค์ไว้ด้วยความอิจฉา
15:11 แต่พวกปุโรหิตใหญ่ยุยงประชาชนให้ขอปีลาตปล่อยบารับบัสแทนพระเยซู
15:12 ฝ่ายปีลาตจึงถามเขาอีกว่า "ท่านทั้งหลายจะให้เราทำอย่างไรแก่คนนี้ ซึ่งท่านทั้งหลายเรียกว่ากษัตริย์
ของพวกยิว"
15:13 เขาทั้งหลายร้องตะโกนอีกว่า "ตรึงเขาเสียที่กางเขนเถิด"
15:14 ปีลาตจึงถามเขาทั้งหลายว่า "ตรึงทำไม เขาได้ทำผิดประการใด" แต่ประชาชนยิ่งร้องว่า "ตรึงเขา
เสียที่กางเขนเถิด"
15:15 ปีลาตปรารถนาจะเอาใจประชาชน จึงปล่อยบารับบัสให้เขา และเมื่อได้ให้โบยตีพระองค์แล้ว ก็มอบพระ
เยซูให้เขาเอาไปตรึงไว้ที่กางเขน

เชิงอรรถ 8 เมื่อประชาชนขึ้นไป
9"ท่านต้องการให้เราปล่อยกษัตริย์ชาวยิวหรือ"

6 At festival time Pilate used to release a prisoner for them, any one they asked for.
7 Now a man called Barabbas was then in prison with the rebels who had committed murder during the uprising.
8 When the crowd went up and began to ask Pilate the customary favour,
9 Pilate answered them, 'Do you want me to release for you the king of the Jews?'
10 For he realised it was out of jealousy that the chief priests had handed Jesus over.
11 The chief priests, however, had incited the crowd to demand that he should release Barabbas for them instead.
12 Then Pilate spoke again, 'But in that case, what am I to do with the man you call king of the Jews?'
13 They shouted back, 'Crucify him!'
14 Pilate asked them, 'What harm has he done?' But they shouted all the louder, 'Crucify him!'
15 So Pilate, anxious to placate the crowd, released Barabbas for them and, after having Jesus scourged, he handed him over to be crucified.

ระบบราชการของโรมัน ไม่ใช่ธรรมเนียมประชาธิปไตยที่ใช้ได้จริง ในความคิด ในการปล่อยตัวอาชญากร ก่อน
วันเทศกาล ส่วนมากเปลี่ยนแปลงอย่างทันทีทันใดและโดยคาดการณ์ไม่ได้ ในเยรูซาเร็ม ไม่เคยเห็นพ้องกับปิลาต อย่างที่รู้กัน ในความนึกคิดของชาวยิว ฝูงชนร้องไห้กับพระเยซูเจ้าถูกประหารชีวิต ต่อจากนั้นสำหรับผู้เขียนพระ
คัมภีร์ศาสนาคริส โดยเฉพาะ นักบุญมัทธิว และนักบุญยอร์น พวกเขาเหล่านั้นพยายามรวบรวมประเด็นความผิด
มลทิน สำหรับพระเยซูเจ้าที่ถูกสังหารโดยชาวยิว มัทธิว Matthew 27:25
25ประชาชนทุกคนตอบว่า"ขอให้เลือดของเขาตกเหนือเราและเหนือลูกหลานของเราเถิด
เชิงอรรถ


2ซมอ Samuel 1:16

1:16 ดาวิดกล่าวแก่ชายนั้นว่า "ให้โลหิตของเจ้าตกบนศีรษะของเจ้าเอง เพราะปากของเจ้าเป็นพยานปรักปรำตัวเจ้าเองว่า `ข้าพเจ้าได้ฆ่าผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้'"
16 David said, 'Your blood be on your own head. You convicted yourself out of your own mouth by saying, "I killed Yahweh's anointed." '
2ซมอSamuel 3:28-29
โยอาบฆ่าอับเนอร์
3:28 ภายหลังเมื่อดาวิดทรงได้ยินเรื่องนี้ พระองค์ตรัสว่า "ตัวเราและราชอาณาจักรของเราปราศจากความผิดสืบไปเป็นนิตย์ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ด้วยเรื่องโลหิตของอับเนอร์บุตรเนอร์
3:29 ขอให้โทษนั้นตกเหนือศีรษะของโยอาบ และเหนือวงศ์วานบิดาของเขาทั้งสิ้น ขออย่าให้คนที่มีสิ่งไหลออก คนที่เป็นโรคเรื้อน คนที่ถือไม้เท้า คนที่ถูกประหารด้วยดาบ หรือคนขาดขนมปัง ขาดจากวงศ์วานของโยอาบ"
28 Afterwards, when David heard of this, he said, 'I and my kingdom are for ever innocent before Yahweh of the blood of Abner son of Ner;
29 may it fall on the head of Joab and on all his family! May the House of Joab never be free of men afflicted with haemorrhage or a virulent skin-disease, whose strength is in the distaff, who fall by the sword, who lack food.'

กจ Acts 18:6
6แต่เมื่อชาวยิวเหล่านั้นต่อต้านและพูดดูหมิ่นพระเจ้า เปาโลก็สะบัดฝุ่นจากเสื้อผ้าเป็นการตอบโต้ พูดกับเขาว่า"ถ้าท่านไม่รอดพ้น ก็เป็นเรื่องของท่าน ข้าพเจ้าไม่รับผิดชอบแล้ว ตั้งแต่นี้ไปข้าพเจ้าจะไปหาคนต่างศาสนา
6 When they turned against him and started to insult him, he took his cloak and shook it out in front of them, saying, 'Your blood be on your own heads; from now on I will go to the gentiles with a clear conscience.'

และในไม่ช้าการแสดง ให้เห็ฯถึงอย่าง มากมายเหลือคณานับของการสังหารหมู่ (โดยเฉพาะการสังหารพวกยิว)
ของการต่อต้านชาวยิวทุกหนทุกแห่งในยุโรป และ ใกล้ๆๆทางตะวันออก และสนับสนุนค้ำจุน พวกแอนตี้เซเมติก anti-Semitism (semitic ภาษาตระกูล Afro Asiatic, See also: ได้แก่ภาษาอาหรับฮิบรู ภาษา Akkadian และภาษา Phoenician,)จนถึง ยุคสมัยใหม่ในวันนี้

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 13 กรกฎาคม 2551 เวลา:22:46:32 น.  

 
Jesus Crucifixion


ในที่สุด พระเยซูเจ้า ถูกตัดสินว่ามีความผิด ถูกประหารชีวิตด้วยการตรึงกางเขน ซึ่ง Cicero เรียกว่า "การลง
โทษที่โหดเหี้ยมที่สุด" จากการประหารชีวิตสงวนไว้ใช้กับทาสผู้ที่ดื้อดึง และไม่ใช่ประชาชนของประเทศ
ผู้ซึ่งวางแผนล้มล้างอำนาจของรัฐใน Palestine ผู้ละเมิดทางศาสนาโดยปรกติ ทำโทษด้วยการขว้างปาด้วย
หิน เกี่ยวกับกฎของโมเสส (ในตัวอย่างของนักบุญสเตเฟน Stephen Acts 6-7ยาวอ่านเองอะ )
ขณะที่กฎของคนท้องถิ่นคนพื้นเมือง ใช้ลงโทษด้วยการประหารด้วยการตัดคอสำหรับนโยบายทางการเมืองที่เห็น
บ่อยๆ (ในตัวอย่างของนักบุญยอร์น เด๊อะแบปติส) ปิลาตเลือกการประหารชีวิตแบบนี้ ต่อจากนั้นมีการกระตุ้น
ให้เบี่ยงเบน กระทำการโหดร้ายทารุญ โดยฝูงชนจำนวนนับพันที่อยู่ในเมืองสำหรับเทศกาลปัสกา

การตรึงการเขน โดยปรกติเกี่ยวพันไปถึงกลุ่มพวกหมู่เหล่าอย่างต่อเนื่องกันของผลลัพธ์ อย่างแรก การกล่าวโทษ

ประณามว่าผิด ถูกเฆี่ยน โบย ฟาด เลือดสาดกระเด็นออกมา และความอ่อนแออ่อนแรงที่มีมาก่อนการตรึงกางเขน
ธรรมเนียมปฎิบัติ เคยแสดงให้เห็นนั้นคือร่างการของมนุษย์สามารถรอดได้ไม่เกินสองวันหรือมากกว่านั้น แต่กฎของชาวยิว ต้องการนั้นคือ
คาทอลิกNew Jersulam Bible อะ //www.catholic.org/bible/
เฉลยธรรมบัญญัติ Deuteronomy 21:22-23
ข้อกำหนดต่างๆ
22 ถ้าผู้ใดกระทำผิดมีโทษประหารชีวิต ท่านประหารชีวิตแล้วแขวนศพไว้บนต้นไม้
23 ศพของเขาจะต้องไม่ถูกทิ้งไว้ข้ามคืน ท่านจะต้องฝังศพของเขาในวันเดียวกันนั้น เพื่อมิให้พระเจ้าทรงสาปแช่ง
ท่านจะต้องไม่ทำให้แผ่นดินที่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของท่านทรงมอบให้เป็ฯมรดกของท่านมีมลทิน
22 'If a man guilty of a capital offence is to be put to death, and you hang him from a tree,
23 his body must not remain on the tree overnight; you must bury him the same day, since anyone hanged is a curse of God, and you must not bring pollution on the soil which Yahweh your God is giving you as your heritage.'


ด้วยเหตุสำคัญนี้ เร่งก่อให้เกิดการตายครั้งแรกโดยสาเหตุของการสูญเสียเลือด พระเยซูเจ้าทรง โดนเฆี่ยน ฟาดโบย
ด้วยแส้ เรียกว่า "Flagrum" หลังจากประเด็นในไบเบิ้ลอธิบายว่า ทหารโรมันเหวี่ยงแส้ ไปยังกระดูกข้อนิ้ว
มือ ตัดสินใจว่าใครเป็นผู้รับเสื้อผ้าของพระองค์ บางที่ใช้เล่นเกมส์เรียกกว่า "Basilinda"การเล่นการพนันโดยใช้ลูกเต๋าของโรมัน จากในช่วงเวลาของพระเยซูเจ้า พอทุเลาฟื้นคืนสู่สภาพปรกติ จาก กระบวนการขุดค้นหาวัตถุโบราณ (ในสถานที่ทางประวัติศาสตร์)ของ Sepphoris "A ฺBasilinda เกมส์เล่นบนกระดาน ที่เห็นได้ชัด จากหนังสือ Letter B (สำหรับ basileus,king) ยังคงมองเห็นได้ชัดบนทางเท้าถนนพื้นที่ปูแล้ว ของอาราม the Sisters of Zion ซึ่งตั้งอยู่ที่ป้อม แอนโธเนีย Antonia Fortress เมื่อเร็วๆๆนี้มีการวิจย อย่างไรกะตาม บ่งบอกให้เห็ฯถึง นั้นคือ บาทวิถีที่ระบุวันเดือนปี ได้จากในศตวรรษที่ 2 C.E.



Photo © The Israel Museum, by Dr. Jean-Luc Pilon, Canadian Museum of Civilization

Heel bone pierced by an iron nail (copy)
Jerusalem
1st century CE
Israel Antiquities Authority Collection exhibited at The Israel Museum, Jerusalem

ในพระวารสารระบุว่านั้นคือ พระเยซูเจ้าและ2 นักโทษคือ ผู้ถูกบังคับ จับเป็นเครื่องมือของเขาเหล่านั้นคือการตาย
และช่วยเขาไปในสถานที่ซึ่งประหารชีวิต ตั้งแต่ไม้คือเตรียมไว้ในเยรูซาเร็ม อย่างไรกะตาม มันคือสิ่งที่ไม่น่าจะ
เกิดขึ้น นั้นคือ การเจาะไม้กางเขน อย่างหน้าจะเป็ฯไปได้ ที่ตั้งตรงปักเสา ตั้งอยู่ในเนินที่รู้จักกันดีคือ เนินเขา หัวกะ
โหลด the Hill of the Skull (Golgotha in Aramaic) พระเยซูเจ้า ทรงแบกไม้ขวางที่เรียกว่า patibulum ซึ่งน้ำหนักประมาณ 80 pounds.




Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible



โดย: Bernadette วันที่: 17 กรกฎาคม 2551 เวลา:18:50:10 น.  

 
Jesus of Nazareth - His Death


ในเยรูซาเร็มวันนี้ ผู้แสวงบุญยังคงปฎิบัติตามธรรมประเพณี แนวทางปฎิบัติจากสถานที่ป้อม แอนโธเนีย
Antonia Fortress ตั้งอยู่ที่กลโกธา Golgotha ท่ามกลางเส้นทางที่รู้จักกันดีคือ the Via Dolorosa เส้นทางนี้จริงๆๆแล้วจากการค้นคว้าให้แน่ใจ ซึ่งยากมากสำหรับนำพระเยซูไป อย่างไรกะตาม ตั้งแต่เยรูซาเร็ม ได้ถูกทำลายโดยกองทัพของโรมันหลังจากการก่อกบฎครั้งที่สองของชาวยิว ใน C.E.ที่ 135

My Son - The Passion Of Jesus


นักวิจัยยังคงถกเถียงสถานที่ Golgotha ยึดหลักความไม่แน่ใจเกี่ยวกับ กำแพงล้อมรอบกรุงเยรูซาเร็ม ในช่วงเวลาของพระเยซูเจ้า ในศตวรรษที่ 3ธรรมประเพณีเป็นที่ถกเถียงของตัวแทนพระศาสนาจักเกี่ยวกับหลุมฝังศพของพระองค์ แต่เมื่อเร็วๆๆนี้ บทความเป็นที่ถกเถียงดั้งเดิมเกี่ยวกับสถานที่ตั้งในกำแพงของศตวรรษที่หนึ่งในเยรูซา
เร็ม ซึ่งตัดสิทธิ์สถานที่ประหารชีวิต นักวิจัยอื่นๆๆ ไม่พิจาณาในทฤษฎีนี้

หลังจากการมาถึงสถานที่ประหารชีวิต พระเยซูเจ้าถูกผลักดันไปอย่างรุนแรง ผู้เชี่ยวชาญในปัจจุบันคาดการณ์นั้นคือ
แขนของพระองค์ถูกผูกที่ไม้ขวาง หลังจากตรึงด้วยการตอกตะปูผ่านไปยังทางด้านซ้ายมือแขนบริเวณระหว่างข้อ
ศอกกับข้อมือ ใกล้เกี่ยวกับกระดูกแขน (ท่อนระหว่างข้อมือและข้อศอก) การตีซึ่งอยู่ตรงกลางเส้นประสาท และ
ผลของมันคือเจ็บปวดอย่างรุนแรง ขั้นตอนวิธีการซ้ำๆๆกันหลายครั้ง กับแขนบริเวณระหว่างข้อศอกกับข้อมือทาง
ด้านขวา หลังจากทหารยกกางเขนชูขึ้น และทำรอยบากบนยอดเสาหลักประหารชีวิต ต่อจากนั้นทหารโรมัน เค้น
รีดกระดูกข้อเท้าไปทางด้านข้าง ตรงที่เล็กๆๆ รูปร่างเป็นตัว U กับท่อนไม้ที่ยึดไว้ ติดกับกากบาท ในการวางท่า
ทางในที่นี้ ห้อยลงจากที่ผูกมัดด้วยเชือกและตรึงไว้
เราพบการดำรงค์อยู่ด้วย ทรวงอกที่บีบอัด และเริ่มยากที่จะหายใจ สิ่งที่ผิดปรกตินี้คือใจความสำคัญของการลงโทษเพื่อที่จะหายใจสูดอากาศเข้าไป การถูกตัดสินว่าทำผิด โดยเงยหน้าขึ้น เค้าต้องเพิ่มแรงขึงให้ตึงมากขึ้น บนการถูกตรึงแขนขา เพราะความเจ็บปวดที่โน้มน้าวเกิดขึ้นในอนาคต และนี้คือ เรื่องธรรมดาของการประหารด้วยการตรึงกางเขน ในพระวารสารระบุว่า ทหารแปะติดป้ายประกาศ บนกางเขนเย้ยหยัน ประณามระบุว่า "Jesus of
Nazareth, the King of the Jews" in Latin : Lesus
Nazarenus Rex Iudaeorum or I*N*R*I มะระโก Mark 15:26, ลูกาLuke
คาทอลิกใช้New Jersulam Bible //www.catholic.org/bible/
23:38
พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน
มะระโก Mark 15:26
26 มีป้ายบอกข้อกล่าวหาพระองค์ เขียนไว้ว่า "กษัตริย์ของชาวยิว"
26 The inscription giving the charge against him read, 'The King of the Jews'.

ลูกาLuke 23:38
พระคริสตเจ้าบนไม้กางเขนทรงถูกเยาะเย้ย
38 มีคำเขียนไว้เหนือพระองค์ว่า "ผู้นี้คือกษัตริย์ของชาวยิว"
38 Above him there was an inscription: 'This is the King of the Jews'.

ในพระวารสารบอกเราว่า นั้นคือพระเยซูเจ้า ยังคงอดทนยืนหยัด กับพระมหาทรมาน สำหรับหลายๆชั่วโมง ต่อจาก
นั้น เกี่ยวกับ นักบุญมะระโก เพลงสดุดี 22:1 พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนพระองค์
ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย มะระโก Mark 15:34
พระเยซูเจ้าสิ้นพระชมน์
34 ครั้นถึงเวลาบ่ายสามโมง พระเยซูเจ้าทรงร้องเสียงดังว่า "เอโลอี เอโลอี ลามา ซาบั๊กทานี" ซึ่งแปลว่า "ข้า
แต่พระเจ้า ข้าแต่พระเจ้า ทำไมพระองค์จึงทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าเล่า"
34 And at the ninth hour Jesus cried out in a loud voice, 'Eloi, eloi, lama sabachthani?' which means, 'My God, my God, why have you forsaken me?'
เชิงอรรถ


การใช้ภาษาอาราเมอิกลงในพระวาราสารมีจุดมุ่งหมาย เน้นย้ำ การโศกเศร้า อย่างแท้จริง หลังจากนั้นช่วงเวลาสั้นๆ ในพระวารสารพระเยซูเจ้าทรงสิ้นพระชมน์ เหมือนกับว่าอาการขาดอากาศหายใจผสมกับอาการสะเทือนใจสุดขีด และสูญเสียเลือด ในชั่วโมงเล็กน้อยต่อมา พระอาทิตย์ขึ้นตรงกลาง เนินเขา Judean ยอร์น John 19:32
32 บรรดาทหารทุบขาคนทั้งสองที่ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์
32 Consequently the soldiers came and broke the legs of the first man who had been crucified with him and then of the other.

โดยร่างกายไม่มีสมรรถภาพ ทรวงอกโป่งพอง ผลักดันต่อต้าน ไม้คานนั้นคือ ยึดติดกับขาของพวกเขาเหล่านั้น นัก
โทษสามารถหายใจได้ระยะยาวไม่นาน และตายเพราะ อาการขาดอากาศหายใจ

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible



โดย: Bernadette วันที่: 17 กรกฎาคม 2551 เวลา:20:18:34 น.  

 

The ossuary of a crucified man.
Collection of Israel Antiquities Authority, exhibited at The Israel Museum, Jerusalem
Photo © The Israel Museum, by Dr. Jean-Luc Pilon, Canadian Museum of Civilization

The Ossuary of Yehohanan ben Hagkol

Yehohanan เอามาจากนักประวัติศาสตร์ยิว โจเซฟาสอะ

3 - In 1984, the Israel Department of Antiquities and Museums acquired an inscribed ossuary: Rahmani 871. The Aramaic/Hebrew inscription reads as follows:
1 YHWHNH
2. YHWHNH BRT YHWHNN
3. BR TPLWS HKHN HGDL

1. “Yehohanah

2. Yehohanah daughter of Yehohanan

3. son of Theophilos the high priest.

As shown by D. Barag and D. Flusser10, this Yehohanah was apparently the granddaughter of the high priest Theophilos, high priest about 37-41 CE according to Flavius Josephus (Jewish Antiquities XVIII, 123-124; XIX,
Source ://www.gesustorico.it/webdocs/bswbOOossuary_Lemaire.pdf

คาทอลิกใช้ New Jersulam Bible //www.catholic.org/bible/

John 19:31-37
31 It was the Day of Preparation, and to avoid the bodies' remaining on the cross during the Sabbath -- since that Sabbath was a day of special solemnity -- the Jews asked Pilate to have the legs broken and the bodies taken away.

32 Consequently the soldiers came and broke the legs of the first man who had been crucified with him and then of the other.

33 When they came to Jesus, they saw he was already dead, and so instead of breaking his legs
34 one of the soldiers pierced his side with a lance; and immediately there came out blood and water.

35 This is the evidence of one who saw it -- true evidence, and he knows that what he says is true -- and he gives it so that you may believe as well.

36 Because all this happened to fulfil the words of scripture: Not one bone of his will be broken;

37 and again, in another place scripture says: They will look to the one whom they have pierced.



Excavated north of Jerusalem the burial of a man identified by a Hebrew inscription as Yehohanan or Yohanan Ben Ha'galgol

นั้นคือรายละเอียดที่น่ากลัวสยดสยอง มีการค้นพบ ในปี 1968 ในสุสาน Giv'at ha Mivatar ใกล้ๆกับกรุงเยรูซาเร็ม นักโบราณคดีเปิดเผยออกมาว่า Ossuaries(ภาชนะที่ใส่กระดูกมนุษย์ในหลุมฝังศพ) หินสำหรับใส่กระดูกที่รวบรวมจากการย่อยสลายของมนุษย์ที่ตาย โครงกระดูก 1 กล่อง เป็ฯชาวยิวที่โตเต็มวัยเป็นผู้ใหญ่และเป็นผู้ชายจากศตวรรษที่ 1 พบหลักฐาน ข้อความจารึกว่า " Yehohanan "เกี่ยวกับการโต้แย้งถกเถียง ค้นพบและเผยแสดงออกมา นั้นคือ Yehohananเคยถูงตรึงกางเขน ระดูกข้อเท้า ยังคง ติดกับ ตะปู 7 นิ้ว บาดแผลที่แขน แน่ใจว่า ผู้ชายได้ถูกตรึงด้วยตะปู บนไม้ขวางที่ข้อมือ ฝ่ามือ บรรยายให้เห็น ค่อนข้างจะถูกฆ่าโดยการตรึงการเขน แต่อย่างหน้าประหลาดใจใน สภาพ ฐานะ ที่ขาของผู้ถูกกล่าวหาว่าทำผิด ด๊อกเตอร์ Nicu Hass รายงานว่า กระดูกหน้าแข้งข้างขวา และข้างซ้ายที่น่องตรงกระดูก ได้แตกหักทั้งหมด

ตั้งแต่พระเยซูเจ้าสิ้นพระชมน์บนไม้กางเขน ขา(และกระดูก)พระองค์ไม่แตก
ยอร์น 19:31-37



เชิงอรรถ น้ำและโลหิต

เชิงอรรถ กระดูกของเขาจะไม่หัก แม้เพียงชิ้นเดียว

ความคิดแรกมาจาก สดดPslams 34:20
20 ซึ่งเขากล่าวว่า พระเจ้าทรงป้องกันผู้ชอบธรรมที่ถูกเบียดเบียน
20 Yahweh takes care of all their bones, not one of them will be broken.
เทียบ ปชญ Wisdom 2:18-20
18 ถ้าผู้ชอบธรรมเป็นบุตรของพระเจ้า พระองค์ก็ทรงปกป้องเขาและทรงช่วยเขให้พ้นเงื้อมมือของศตรู
19 เราจงสาปแช่งและทรมานลองใจเขาให้รู้ว่าเขาอ่อนโยนเพียงใด และจงทดสอบว่าเขาอดทนเพียงใด
20เราจงตัดสินลงโทษให้เขาตายอย่างอัปยศ ถ้าเป็นจริงอย่างที่เขาพูด พระเจ้าจะทรงคอยดูแลเขา
18 For if the upright man is God's son, God will help him and rescue him from the clutches of his enemies.
19 Let us test him with cruelty and with torture, and thus explore this gentleness of his and put his patience to the test.
20 Let us condemn him to a shameful death since God will rescue him -- or so he claims.'

เชิงอรรถ ถ้าผู้ชอบธรรมเป็นบุตรของพระเจ้า

เชิงอรรถ พรเจ้าทรงดูแลเขา

ดังที่เห็ฯตัวอย่างในผู้รับใช้พระยาห์เวห์ อสย 53 ความคิดที่สองมาจาก อพยexsodus 12:46
กฎเกี่ยวกับฉลองปัสกา
46 ท่นจะต้องกินปัสกาในบ้านหลังเดียวเท่านั้น อย่านำออกไปกินนอกบ้านอย่าหักกระดูกลูกแกะเลย
46 It must be eaten in one house alone; you will not take any of the meat out of the house; nor may you break any of its bones.
เป็นกฎสำหรับเตรียมลูแกะปัสกาดู ยน John 1:29 เชิงอรรถ v

1โครินทธ์ 5:7
7 จงชำระเชื้อแปงเก่าเสียเพื่อท่านจะเป็นแป้งดิบก้อนใหม่ ดังที่ท่านเป็นแป้งไร้เชื่ออยู่แล้ว เพราะพระคริสเข้าอง์ปัสกาของเราถูกฆ่าบูชาแล้ว
7 Throw out the old yeast so that you can be the fresh dough, unleavened as you are. For our Passover has been sacrificed, that is, Christ;

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 19 กรกฎาคม 2551 เวลา:19:56:00 น.  

 
The Passion of Our Savior Jesus Christ


หลังจาก ผู้บังคับการทางทหาร ได้ประกาศอยู่ข้างๆๆว่านักโทษได้ตายแล้ว ในพระวารสารบอกว่า มะระโกMark 15:43
การฝังศพพระเยซูเจ้า
43 ครั้นถึงเวลาเย็น โยเซฟชาวอาริมาเธียซึ่งเป็นสมาชิกที่น่านับถือคนหนึ่งของสภาสูง และกำลังรอคอยพระอาณาจักรของพระเจ้า กล้าเข้าไปพบปิลาติ
43 there came Joseph of Arimathaea, a prominent member of the Council, who himself lived in the hope of seeing the kingdom of God, and he boldly went to Pilate and asked for the body of Jesus.
เชิงอรรถ สภาสูง คือ สภาซันเฮดริน ของชาวยิว

หลุมฝังศพเป็นสัญญาลักษณ์พิธีสถานที่ฝังศพของผู้มั่งคั่งร่ำรวยของชาวยิว โดยปรกติเป็นถ้ำ อุโมง ทำเป็นโพรง เป็นหินในบริเวณเนินเขารอบๆๆกรุงเยรูซาเร็ม หลุมฝังศพเหล่านั้นเหมือนกับถ้ำเล็กๆ สร้างด้วยหิน สำหรับวางร่างกาย มีหลายๆๆเวิ้งหรือโพรงในผนังกำแพง หรือ สถานที่เล็กๆๆจัดแบ่งสำหรับภาชนะที่ใส่กระดูกมนุษย์ในหลุมฝังศพ ประตูทางเข้า สถานที่ฝังศพ ในโพรงถ้ำ เรียกว่า golal

เกี่ยวกับ พระวารสารนักบุญยอร์น John19:39-40
การฝังพระศพ
39 นิโคเดมัสซึ่งก่อนนั้นเคยมาเฝ้าพระองค์เวลากลางคืนก็มาด้วย เขานำเครื่องหอมที่ผสมด้วยมดยอบและว่านหางจระเข้ หนังประมาณหนึ่งร้อยปอนด์
40 ทั้งสองคนอัญเชิญพระศพของพระเยซูเจ้า ใช้ผ้าพันพระศพพร้อมกับใส่เครื่องหอมตามประเพณีฝังศพของชาวยิว
39 Nicodemus came as well -- the same one who had first come to Jesus at night-time -- and he brought a mixture of myrrh and aloes, weighing about a hundred pounds.
40 They took the body of Jesus and bound it in linen cloths with the spices, following the Jewish burial custom.

อย่างไรกะตามชาวฟาริสี โยเซฟ และ นิโคเดมัส ที่ทุกข์ร้อนใจ กล้าเข้าไปปิลาตขอศพพระเยซูเจ้า และกลับไปที่กลโกธา และย้ายร่างกายของพระเยซูเจ้า และทำความสะอาดเพิ่มเติม และทาร่างกายด้วยน้ำมัน อย่างสมควร ก่อนที่ห่อพระศพด้วยผ้า ลินิน

ความชักชักรีๆรอ คืออย่างน่าเป็นไปได้ที่ ทำไมเหล่าผู้หญิง รวมทั้งแมรี่แมกดารีนา กลับไปที่พระคูหาหลังจากวันสัปบาท วันอาทิตย์ ในพระวารสารนักบุญ

มะระโก Mark 16:6
พระคูหาว่างเปล่า ข่าวดีจากทูตสวรรค์

6 ชายหนุ่มผู้นั้นกล่าวกับสตรีทั้งสามคนว่า "อย่ากลัวไปเลย ท่านกำลังมองหาพระเยซู ชาวนาซาเร็ธ ผู้ถูกตรึงกางเขน พระองค์ทรงกลับคืนพระชมนชีพแล้ว
6 But he said to them, 'There is no need to be so amazed. You are looking for Jesus of Nazareth, who was crucified: he has risen, he is not here. See, here is the place where they laid him.

มะระโก Mark 16:8

16:8 สตรีทั้งสามคนออกจากพระคูหา หนีไปเพราะตกใจกลัวจนตัวสั่น และไม่ได้พูดเรื่องใดๆๆ กับใครเลย เพราะกลัว
8 And the women came out and ran away from the tomb because they were frightened out of their wits; and they said nothing to anyone, for they were afraid.
เชิงอรรถ และไม่ได้พูดเรื่องใดๆๆ กับใครเลย



The Passion of the Christ


ในพระวารสารของนักบุญมะระโกได้จบลงในเรื่องราวของพระเยซูเจ้า และ ศาสนาคริสได้เริ่มต้นขึ้น

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible




โดย: Bernadette วันที่: 22 กรกฎาคม 2551 เวลา:19:10:25 น.  

 
พระคริสเจ้าทรงกลับคืนพระชมนพชีพทรงสำแดงพระองค์
The Gospel Of John - Pt 21 of 22



The Gospel Of John - Pt 22 of 22











Mark - Chapter 16
9 Having risen in the morning on the first day of the week, he appeared first to Mary of Magdala from whom he had cast out seven devils.
10 She then went to those who had been his companions, and who were mourning and in tears, and told them.
11 But they did not believe her when they heard her say that he was alive and that she had seen him.
12 After this, he showed himself under another form to two of them as they were on their way into the country.
13 These went back and told the others, who did not believe them either.
14 Lastly, he showed himself to the Eleven themselves while they were at table. He reproached them for their incredulity and obstinacy, because they had refused to believe those who had seen him after he had risen.
15 And he said to them, 'Go out to the whole world; proclaim the gospel to all creation.
16 Whoever believes and is baptised will be saved; whoever does not believe will be condemned.
17 These are the signs that will be associated with believers: in my name they will cast out devils; they will have the gift of tongues;
18 they will pick up snakes in their hands and be unharmed should they drink deadly poison; they will lay their hands on the sick, who will recover.'
19 And so the Lord Jesus, after he had spoken to them, was taken up into heaven; there at the right hand of God he took his place,
20 while they, going out, preached everywhere, the Lord working with them and confirming the word by the signs that accompanied it.

Source:THE BIBLICAL WORLD: AN ILLUSTRATED ATLAS
National Geographic ISBN 9784 4262 01387
New Jersulam Bible อะ Source: //www.catholic.org/bible/
พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม สารระบบสอง คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์
NAB Bible and KJV Bible


โดย: Bernadette วันที่: 22 กรกฎาคม 2551 เวลา:19:24:20 น.  

 


อักษร-ภาษา-การแปลพระคัมภีร์



มิใช้นักวิชาการ บทความครั้งนี้อาจจะไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ แต่ใครจะรู้นักเขียนที่ดีย่อมไม่ดูแคลนผู้อ่านของเขาอยู่แล้ว เกร็ดความรู้ทางวิชาการเกี่ยวกับพระคัมภีร์อันมีที่มาที่ไปอย่างครั้งนี้จะยั่วยุให้ผู้รักพระคัมภีร์ศึกษาค้นคว้าต่อไปในภายหน้า และผู้อ่านจะได้ทราบว่า วิชาศึกษาพระคัมภีร์อย่างมีระบบและมาตรฐาน ก็เพิ่งมีมาในโลกไม่กี่สิบปีมานั้นเอง ไม่สายเลยหากเราจะเรียนรู้ศึกษาและค้นคว้าพระคัมภีร์ด้วยกัน...เชิญเลยครับ...



1. พระคัมภีร์ดั้งเดิมเมื่อเขียนขึ้นครั้งแรกใช้ภาษาใดบันทึกไว้?

หนังสือพระคัมภีร์เมื่อแรกกำเนิดขึ้นมา บางเล่มเขียนด้วยภาษาฮีบรู บางเล่มเขียนด้วยภาษากรีก และบางส่วนก็เขียนด้วยภาษาอาราเมอิก

หนังสือพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม (The Old Testament) เกือบทั้งหมดเขียนด้วยภาษาฮีบรู ซึ่งสืบมาจากภาษาตระกูลที่ใช้ในหมู่คนเชื้อชาติ ฟินีเซีย ก หรือ อูการิต ข

ส่วนภาษาอาราเมอิก คือภาษาในตระกูลภาษาเซมิติก ซึ่งใช้พูดกันอยู่ในช่วงเวลาแห่งพระชนม์ชีพบนโลกนี้ของพระเยซูเจ้า ภาษาอาราเมอิกนี้สืบเนื่องมาจากภาษาฮีบรู คล้ายภาษาอังกฤษยุคใหม่สืบนื่องมาจาก ภาษาอังกฤษ เอลีซาเบ็ธ

V ภาษาอาราเมอิก ใช้เขียนหนังสือ โทบิตบางส่วนของหนังสือดาเนียล (บทที่ 2,4-7,28) เอสรา (บทที่ 4:8-6:18/7:12-26) และเอสเธอร์ (บทที่ 10-16) อีกทั้งประโยคเดี่ยวๆ ในปฐมกาล บทที่ 31:47) เยเรมีย์ (10:11) และยังใช้เขียนพระวรสารนักบุญมัทธิว (ซึ่งต้นฉบับภาษาอาราเมอิกนี้ได้สูญหาย ไปหมดแล้ว)

V ภาษากรีก เป็นภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวันแห่งโลก กรีก-โรมันค ใช้เขียนพระคัมภีร์ หนังสือปรีชาญาณ / มัคคาบีฉบับที่สอง / และพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ทั้งหมด (ยกเว้นพระวรสารนักบุญมัทธิว)

2. พระคัมภีร์ฉบับคัดลอก (Manuscript of the Bible)

ไม่มีต้นฉบับเขียนมือครั้งแรกจากหนังสือเล่มใดในพระคัมภีร์หลงเหลือมาถึงยุดเราเลย เหตุผลก็คือวัสดุอันไม่คงทนถาวร ที่ใช้บันทึกคือกระดาษ ชานอ้อย (ปาปิรัส) และอีกเหตุผลหนึ่งคือ จักรพรรดิแห่งกรุงโรมเบียดเบียนคริสตังทรงออกกฤษฎีกาให้ทำลายพระคัมภีร์ของคริสตัง นำมาเผาทิ้งเป็นจำนวนมาก แต่พระคัมภีร์ก็ได้รับคัดลอกถ่ายทอดกันมาหลายสำเนา เราเรียกพระคัมภีร์คัดลอกเหล่านี้ว่า “ฉบับคัดลอก”(manuscripts)และถ่ายทอดมาถึงเราผ่านการแปล ฉบับการแปลบางฉบับจะมีชื่อเฉพาะเราเรียกว่า “ฉบับสำนวนเฉพาะ” (Version) ที่เราตั้งชื่อเอาไว้ เราจะเอ่ยอ้างโดยเรียกพระคัมภีร์ฉบับสำนวนเฉพาะด้วยชื่อนั้นๆ เช่น “พระคัมภีร์ฉบับแปลสำนวน...”(ชื่อสำนวนต่างๆ อยู่ในข้อ 3) อย่างไรก็ดี สำเนาพระคัมภีร์ฉบับคัดลอก (manuscripts of the Bible) ที่เรามีครอบครองอยู่นี้ก็ยังมีอายุเก่าดั้งเดิมมากยิ่งกว่าหนังสือโบราณอื่นๆ ในยุคสมัยเดียวกัน

นี่หมายความว่า พระคัมภีร์ มีความสมบูรณ์น่าเชื่อถือทางด้านต้นฉบับดั้งเดิมที่บันทึกครั้งแรกมากกว่าหนังสืออื่นใดยุคสมัยเดียวกัน เช่น เรามีหนังสือของกวีละติน ชื่อ “โฮเรซ” สำเนาหนังสือเล่มนี้อายุเก่าแก่ 900 ปี ห่างจากยุคสมัยที่กวีมีชีวิตอยู่และเขียนขึ้นนักปรัชญากรีก “เพลโต” เรามีสำเนาข้อเขียนของท่านก็อายุ 1300 ปี ห่างจากชีวิตของท่าน นักเขียนบทละครกรีก ชื่อ “โซโฟเคลส” เรามีสำเนาข้อเขียนอายุ 1,400 ปี ห่างจากชีวิตของท่าน แต่พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ เรามีสำเนาฉบับคัดลอก หนังสือพระวรสารทั้งสี่ อายุเพียง 250 ปี ห่างจากต้นฉบับที่บันทึกกันครั้งแรก และเศษสำเนา (ต้นฉบับที่ฉีกขาดและมีหน้าไม่ครบ บางแผ่นก็ขาดวิ่น : FRAGMENTS) ของพระวรสารทั้งสี่ที่เรามีอยู่ก็มีอายุเพียง 50 ปี ห่างจากต้นฉบับแรกของผู้บันทึก ในขณะที่พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม สำเนาคัดลอกหนังสือ ม้วนโบราณทะเลตาย (The Dead Sea Scrolls) ซึ่งค้นพบในปี ค.ศ. 1947 พบว่ามีข้อเขียนพระคัมภีร์สารบบที่ 1 (Protocanonical)ง เกือบทุกเล่มยกเว้น ก็เพียง เอสเธอร์ และบางส่วนในสารบบที่ 2 (Deuterocononical) จ หนังสือม้วนที่ค้นพบที่ทะเลตายเหล่านี้ มีอายุประมาณ 100 ปี ก.ค.ศ. ทำให้เรายิ่งมั่นใจในในต้นฉบับว่าถูกต้องเพราะอายุของหนังสือม้วนทะเลตายเหล่านี้อยู่ห่างจากยุคที่เขียนหนังสือ “กฎหมาย” (TORAH) หรือ “ปัญจบรรพ” ซึ่งเป็นพระคัมภีร์ 5 เล่มแรกเพียงแค่ 7 หรือ 8 ร้อยปี และเพียงแค่ 3 หรือ 4 ร้อยปีห่างจากช่วงเวลาที่เขียนหนังสือหมวด “ปรีญาณ” และประกาศก”

ต้นฉบับพระคัมภีร์ฉบับคัดลอก (manuscripts) ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับกันมีชื่อดังนี้

- ไซไนติก “เอ็มเอส” ฉ ศตวรรษที่ 4:ประกอบด้วยหนังสือพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่สมบูรณ์ทุกเล่ม / เศษสำเนา (FRAGMENTS) ต้นฉบับของพันธสัญญาเดิมบันทึกเป็นภาษากรีก

- อเล็กซานเดรียน เอ็มเอส ศตวรรษที่ 5 : ประกอบด้วย ส่วนใหญ่ของพันธสัญญาเดิม และพันธสัญญาใหม่

- วาติกัน เอ็มเอส ศตวรรษที่ 4 : ประกอบด้วยพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่เกือบทั้งหมด

3. การแปลพระคัมภีร์ในยุคต้น ๆ

เรามีต้นฉบับพระคัมภีร์ฉบับแปลเกือบทุกสำนวนรวมทั้งต้นฉบับ พระคัมภีร์ที่แปลเป็นภาษาต่างๆ พอภาษาฮีบรูพ้นสมัย (เป็นภาษาตาย ไม่มีคนใช้ในชีวิตประจำวันทั้งการพูดและเขียน) คนธรรมดาสามัญในปาเลสไตน์ก็เรียกร้องให้มีฉบับแปลภาษาอาราเมอิก และชาวยิวที่พูดภาษากรีกก็เรียกร้องให้มีภาษากรีก ดังนั้นคริสตังยุคแรกจึงคุ้นเคยกับพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมอาศัยอ่านพระคัมภีร์ฉบับแปลสำนวนตาร์กุมส์ (Targums) ซึ่งเป็นภาษาอาราเมอิก และฉบับแปลสำนวนเซปตัวจินท์ (Septuagin) ซึ่งเป็นภาษากรีก และฉบับแปลสำนวนวุลเกต หรือ วุลกาตา (Vulgate, Vulgata) อันเป็นภาษาละติน

ก ฟินีเซีย , อักษร (Phoenician alphaber) อักษรฟินีเซียเกิดราว 1150 ก.ค.ศ. เรียกว่า “ต้นฉบับอักษรแบบคานาอัน” (Proto-Canaanite) ชาวฟินิเซียได้แก่ชนชาติที่อาศัยทางตะวันตกเฉียงเหนือของดินแดนปาเลสไตน์โบราณ เรียกว่า “อินโด-เซมิติก” เช่น ชาวโมอับ,ชาวเอโดม อาศัยอยู่ในแผ่นดินคานาอันก่อนชาวอิสราแอลจะเข้ายึดครองเป็นแผ่นดิน พระสัญญา

ข อูการิต (Ugarit) เมืองโบราณรุ่งเรืองช่วง 1500 ก.ค.ศ. ตั้งอยู่บริเวณชายทะเลประเทศซีเรียในปัจจุบัน คือ ราส ซัมรา(Ras-Shamra) นักพระคัมภีร์โบราณคดีฝรั่งเศสนำโดย คลอด เชฟเฟอร์ได้ขุดพบซากเมืองนี้ราวปี ค.ศ.1929 และพบมันตราจารึก(Clay-tablets) หรือก้อนดินแข็งจารึกอักษรจำนวนมาก ที่น่าแปลใจคือ มันตราจารึก เหล่านี้มิได้บันทึกด้วยอักษรคูนิฟอร์ม ของพวกอัคคาเดียนที่ใช้กันในแถบนั้นตั้งแต่ยุคสมัยกษัตริย์ซาร์กอน แต่จารึกด้วยอักษรคูนิฟอร์ม แบบอูการิต 30 แบบ ซึ่งคล้ายกับอักษรของชาวเซมิติกเหนือ และอักษรอูการิตนี้เป็นต้นสายของอักษรภาษาฮีบรู ที่ใช้บันทึกพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม เรื่องราวในมันตราจารึกเหล่านี้ ทำให้เราเข้าใจหนังสือปฐมกาลได้ดีขึ้น

ค กรีก-โรมัน (Graeco-Roman world) โลกในสมัยของพระเยซูเจ้า และบรรดาอัครสาวก ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมกรีกที่เรียกว่า เฮลเลนิสซึ่ม (Hellenistic World) ถูกปกครองโดยจักรวรรดิโรมันจึงเต็มไปด้วยคนเชื้อชาติต่างๆ ที่โรมันปกครองแต่พูดภาษากรีก และรับเอาวัฒนธรรมกรีกแทรกซึมเข้าไปในชีวิตประจำวันที่โรมันปกครองอยู่ จึงเรียกโลกในช่วงเวลานั้นว่า “โลกกรีก-โรมัน”

ง พระคัมภีร์สารบบที่ 1 (Protocanonical) พระคัมภีร์ระบบที่ยึดถือจำนวนในพันธสัญญาเดิมเดียง 39 เล่ม ไม่รับ 7 เล่มเป็นพระคัมภีร์ ได้แก่

1.โทบิต 2. ยูดิธ 3.+4.มัคคาบีทั้ง 2 ฉบับ 5.บุตรสิรา 6.ปรีชาญาณ กับบางส่วนของดาเนียล และบางส่วนของเอสเธอร์ และ 7.บารุค ชาวยิวและคริสตชนนิกายโปรแตสแตนท์ใช้พระคัมภีร์สารบบที่ 1 นี้

จ พระคัมภีร์สารบบที่ 2 (Deuterocanonical) คริสตชนคาทอลิกใช้พระคัมภีร์สารบบนี้ คือ มีเพิ่ม 7 เล่ม ในภาคพันธสัญญาเดิมจาก สารบบที่ 1 โดยเรียก 7 เล่มนี้ว่า “อธิกธรรม”

ฉ เอ็มเอส คือ MS อักษรย่อของ Manuscripts

Souce : Father PHONGTEP PRAMUANPROM BANGKOK THAILAND

//queenchurch.spaces.live.com/?_c11_BlogPart_BlogPart=blogview&_c=BlogPart&partqs=amonth%3d8%26ayear%3d2008


โดย: Bernadette วันที่: 11 สิงหาคม 2551 เวลา:9:41:04 น.  

 

The New Testament LIMITED EDITION 3000 Souvenir given by THE FIRST CADINAL OF THAILAND celebrate 25 years for catholic family.



ตอนที่ 17 (2) ตอนจบ

อักษร – ภาษา – การแปลพระคัมภีร์



ตอนที่ 17 นี้ มี 2 ภาค ตอนจบภาค 1 ในฉบับที่แล้ว กำลังอยู่ในหัวข้อที่ 3 คือ การแปลพระคัมภีร์ในยุคต้นๆ ว่า มีฉบับแปลสำคัญๆ ดังนี้

- ะคัมภีร์ฉบับแปลสำนวน “ตาร์กุมส์”(ภาษาอาราเมอิก)

- พระคัมภีร์ฉบับแปลสำนวน “เซปตัวจินท์” (ภาษากรีก)

- พระคัมภีร์ฉบับแปลสำนวน “วุลเกต” (ภาษาละติน)

บัดนี้ เป็นรายละเอียด พระคัมภีร์ฉบับสำนวนแปลทั้งสามนี้ ...

V ตาร์กุมส์ (Targums) การแปลกระทำกันในศาลาธรรมในเวลามาร่วมพิธีกรรมของชาวยิว จากภาษาฮีบรู เป็นภาษาอาราเมอิก เพื่อผู้มาร่วมพิธีวันสับบาโตของชาวยิวทุกวันเสาร์จะได้เข้าใจพระคัมภีร์ที่อ่าน ไม่นานก็รวมเป็นฉบับภาษาอารา เมอิก

V เซปตัวจินท์ (Septuagin) นำพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู และอาราเมอิก มาแปลเป็นภาษากรีก ภาคพันธสัญญาเดิม รวมกับอีก 7 เล่มในสารบบที่ 2 แปลกันที่อียิปต์ด้วยนักแปลหลายคน ระหว่างปี 250-100 ก.ค.ศ. ชื่อของฉบับกรีกนี้ มาจากความจริงที่รวบรวม นักแปลมาทำงานได้ 72 คน ก็เลยใช้เลขโรมันที่เขียนจำนวน 70 คือ “LXX” มาใช้เรียกชื่อสำนวนกรีกนี้ (เซปตัวจินท์ เป็นคำอ่านจำนวน 70 ในภาษาละติน = Septuaginta) นี่เป็นฉบับแปลที่มี ความสำคัญมาก เพราะมีความใกล้ชิดกับภาษาฮีบรูดั้งเดิมที่สุดก่อนยุคสมัยคริสตังเริ่มแรก เซปตัวจินท์ คือ พระคัมภีร์ภาษากรีกที่ใช้กันในช่วงเวลายุคสมัยของพระเยซูเจ้า โดยบรรดาอัครสาวกและผู้เขียนพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ รวมทั้งปิตาจารย์กรีกออร์โธดอกซ์ของพระศาสนจักร ยุคแรกทั้งยังเป็นพระคัมภีร์ฉบับทางการของพระศาสนจักร ออร์โธดอกซ์

V วุลเกต (Vulgate) เป็นพระคัมภีร์ฉบับแปลภาษาละติน ที่ใช้อย่างเป็นทางการ และดำเนินการแปลเกือบทั้งหมดโดยนักบุญเยโรม ตั้งแต่ ค.ศ. 382 ถึง 405 นักบุญเยโรมนำเอาคำแปลส่วนใหญ่ของหนังสือเพลงสดุดีมาจากโอริเจนช และเอาคำแปลภาษาละตินฉบับเก่าที่มีอยู่แล้วของหนังสือ บุตรสิรา / บารุค / มัคคาบีทั้งสองฉบับ นักบุญเยโรมแปลหนังสือ ทุกเล่มที่มีอยู่ในฉบับคัดลอกภาษาฮีบรู/อาราเมอิกและกรีก มาเป็นภาษาละติน

พระสังคายนาเมืองเตรนท์ ประกาศให้พระคัมภีร์ฉบับแปลภาษาละติน “วุลเกต” เป็นพระคัมภีร์ถูกต้องต่อต้นฉบับเดิม สามารถอ่านได้โดยสาธารณะ นำมาถกเถียง เทศน์สอน อ่านหรือตั้งแสดง เพราะสอดคล้องกับเนื้อหาต้นฉบับ ไม่มีข้อความผิดต่อความเชื่อและศีลธรรมในเนื้อหาเหล่านี้

4. พระคัมภีร์ฉบับแปลภาษาพื้นเมืองแหล่งต่างๆ

ในประวัติศาสตร์เรารู้กันว่า โลกของเรานี้ได้แปลพระคัมภีร์ทั้งเล่ม และพระวรสารทั้งสี่ออกมาเป็นภาษาพื้นเมืองของแต่ละชาติ-ท้องถิ่น ก่อนที่จะมีการประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ ได้แก่ ภาษาสเปน อิตาเลียน ฝรั่งเศส โปลิช เดนนิช นอร์วิเจียน ฮังกาเรียน และโบฮีเมียน

สำหรับภาษาอังกฤษมีสำนวนแปลหลากหลาย แม้บางสำนวนจะแปลเพียงบางส่วนก็ตาม เช่นงานแปลของ

+ เคดมอน (นักพรตแห่งวิตนี่) ศตวรรษที่ 7

+ นักบุญเบเด แปล ในช่วงศตวรรษที่ 8

แต่ที่อ้างกันมากคือ จอห์น ไวคลิฟ เป็นคนแรกที่แปลฉบับภาษาอังกฤษครบทุกเล่มที่เผยแผ่แก่ประชาชน ปี ค.ศ. 1382 แม้ว่านักบุญโทมัส มอร์ จะเคยชี้ว่ามีฉบับแปลภาษาอังกฤษก่อนหน้านี้อยู่แล้วก็ตาม

5. พระคัมภีร์ฉบับแปลภาษาอังกฤษยุคใหม่

ในยุคสมัยของเรามีการแปลฉบับภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้นมากมาย ทั้งนี้เพราะมีกลุ่มผู้ศึกษาพระคัมภีร์เคลื่อนไหวศึกษากว้างขวางอยู่ตลอดเวลา แต่แน่นอนสำหรับคาทอลิก เราถือเอาพระคัมภีร์แปลภาษาอังกฤษฉบับ “นิวอเมริกันไบเบิ้ล” (New American Bible) เป็นฉบับที่ใช้เวลาแปลนานกว่า 25 ปี โดยผู้ศึกษาพระคัมภีร์จาก “สมาคมพระคัมภีร์คาทอลิกแห่งอเมริกา” (ซึ่งมีทั้งผู้ที่เป็นคาทอลิก และไม่ใช่คาทอลิก) ได้รับการสนับสนุนจากบรรดาพระสังฆ-ราชแห่งอเมริกา ผ่าน “สภราดรภาพแห่งความเชื่อคริสตชน” พวกเขาแปลจากต้นฉบับดั้งเดิมอาศัยนักพระคัมภีร์ และวิธีการศึกษาค้นคว้าที่ทันสมัยที่สุด ยังมีสำนวนแปลภาษาอังกฤษฉบับอื่นที่ได้รับรองจากเราคาทอลิก คือ พระคัมภีร์ฉบับแปลภาษาอังกฤษ

+ สำนวน “เยรูซาเล็มไบเบิ้ล” เป็นฉบับแปลจากต้นฉบับมาเป็นภาษาฝรั่งเศส โดยนักพรตคณะโดมินิกันในเยรูซาเล็ม ที่สุดจึงแปลมาเป็นภาษาอังกฤษ

+ สำนวน “ฉบับมาตรฐานปรับปรุงใหม่” (Revised Standard Version, Catholic Version) เป็นการปรับปรุง

พระคัมภีร์ฉบับแปลภาษาอังกฤษสำนวน คิง เจมส์ ที่ใช้ในศตวรรษที่ 16 โดยบรรดานักวิชาการโปรเตสแตนต์ในอังกฤษ นอกนั้นยังมีฉบับแปล ภาษาอังกฤษสำนวน “Douay-Rheims Bible” ซึ่งกระทำในศตวรรษที่ 16 และ17 สำหรับภาษาไทย เชิญผู้อ่านลองค้นคว้าดูนะครับว่าประวัติการแปล พระคัมภีร์เป็นภาษาไทยเป็นมาอย่างไรบ้าง?

6. การแบ่งเป็นบทและเลขวรรค

ปี ค.ศ. 1226 สตีเฟน แลงตัน ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยปารีส ต่อมาท่านได้เป็นพระอัครสังฆราช แห่งเคนเทอเบอรี่ ได้แบ่งตัวบทพระคัมภีร์เป็นเลขบท ก่อเกิดการถกเถียงกันในวงกว้าง และหยุดชะงักไป แต่งานก็ได้รับการสานต่อจนสำเร็จในปี 1551 โดยผู้จัดพิมพ์หนังสือ ชื่อ โรเบิร์ต สตีเฟน (ฉายาเอสเตียนหรือสเตฟานุส) ผู้สามารถพิมพ์ตัวเลขวรรคเข้าในบรรทัด ซึ่งมี ซานเตส ปังญินี่ ผู้ทำให้เป็นรูปแบบเรียบร้อยก่อนหน้านั้นแล้ว ตั้งแต่ปี 1528 การแบ่งเนื้อหาเป็นบทและเลขวรรค ได้นำไปใช้และพบว่า มีคุณประโยชน์อย่างมาก จนมีการกำหนดให้เป็นสากล ตรงกันอย่างที่ใช้อยู่ทุกวันนี้

ช โอริเจน : ปิตาจารย์ของพระศาสนจักรยุคแรก ๆ ช่วง ค.ศ. 185-254




Souce : Father PHONGTEP PRAMUANPROM BANGKOK THAILAND

//queenchurch.spaces.live.com/?_c11_BlogPart_BlogPart=blogview&_c=BlogPart&partqs=amonth%3d8%26ayear%3d2008


โดย: Bernadette วันที่: 20 สิงหาคม 2551 เวลา:18:45:37 น.  

 


The New Testament version new update no.3 release Nov 2007 ISBN:974-90617-7-2
คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อครสตศาสนธรรมแผนกพระคัมภีร์




“พระคัมภีร์มี 2 สารบบ”



เรารู้กันอยู่แล้วว่า พระคัมภีร์ (THE HOLY BIBLE) แบ่งเป็น 2 ภาค คือ

1). ภาคพันธสัญญาเดิม (THE OLD TESTAMENT) มี 46 เล่ม

2). ภาคพันธสัญญาใหม่ (THE NEW TESTAMENT) มี 27 เล่ม

โดยมีพระเยซูเจ้าประสูติมาในโลกนี้เป็นจุดแบ่ง

แต่ชาวยิว หรือศาสนายูดาอิสซึ่ม (JUDAISM) เขามีแต่ภาคพันธสัญญาเดิม และก็มีแค่ 39 เล่ม เท่านั้น ทั้งนี้เพราะ ภาคพันธสัญญาใหม่ พูดถึงองค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ซึ่งชาวยิวไม่เชื่อ และไม่ยอมรับในเรื่องนี้ เขาจึงมีพระคัมภีร์เพียง 39 เล่ม ไม่ต้องมาแบ่งเป็นภาคพันธสัญญาเดิม และพันธสัญญาใหม่ แบบคาทอลิก และโปรแตสแตนท์

แต่แม้พี่น้องโปรแตสแตนท์ จะมีทั้ง 2 ภาคแบบคาทอลิก แต่ภาคพันธสัญญาเดิมของเขากลับมีเพียง 39 เล่มแบบชาวยิว ดังนั้นจำนวนพระคัมภีร์จึงกลายเป็น 2 สารบบ ที่มีจำนวนไม่เท่ากัน คือ

1). สารบบที่ 1 ภาคพันธสัญญาเดิมมีเพียง 39 เล่ม และภาคพันธสัญญาใหม่มี 27 เล่ม รวมเป็น 66 เล่ม

2). สารบบที่ 2 ภาคพันธสัญญาเดิมมี 46 เล่ม ภาคพันธสัญญาใหม่ 27 เล่ม รวมเป็น 73 เล่ม

ทีนี้เราก็ได้รู้แล้วว่า ศาสนายิว (JUDAISM) มีพระคัมภีร์ 39 เล่ม ไม่ต้องมีภาคพันธสัญญาเดิมหรือใหม่ให้วุ่นวาย

- ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ ใช้พระคัมภีร์สารบบที่ 1 (Proto-canonical)

- ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ใช้พระคัมภีร์สารบบที่ 2 (Deutero-canonical)

ในสารบบที่ 2 ที่เราคาทอลิกใช้กันอยู่ มีหนังสือเพิ่มเข้ามา 7เล่ม คือ

1. โทบิต (ทบต) 2. ยูดิธ (ยดธ) 3. มัคคาบีฉบับที่ 1 (1มคบ) และ 4. มัคคาบีฉบับที่ 2 (2มคบ) 5. บุตรสิรา (บสร) 6. ปรีชาญาณ (ปชญ) 7. บารุค (บรค)

ชาวยิวไม่ยอมรับ 7 เล่มนี้รวมทั้งบางส่วนของอีก 2 เล่ม คือ เอสเธอร์ (อสธ) และดาเนียล (ดนล) เราคงต้องหวนกลับไปถึงช่วงเวลา 2-3 ศตวรรษก่อนคริสตกาล เวลานั้นอิสราแอลประชากรของพระเป็นเจ้าพำนักอาศัยอยู่ในดินแดนปาเลสไตน์ และหนังสือศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาเขียนเป็นภาษาฮีบรู และอาราเมอิก ต่อมาจนกระทั่งราว ค.ศ. 100 กลุ่มชาวยิวในปาเลสไตน์จึงได้กำหนดลงไปว่ามีหนังสือใดบ้างที่ต้องถือว่าได้รับการดลใจจากพระเป็นเจ้า ซึ่งก็คือจำนวนหนังสือในสารบบที่ 1 ที่เราพูดถึงข้างต้น แต่ในช่วงเวลาตั้งแต่ ศตวรรษที่ 3 ก.ค.ศ. ชาวยิวที่อาศัยอยู่นอกปาเลสไตน์ได้เริ่มแปลพระคัมภีร์จากภาษาฮีบรู และอาราเมอิกเป็นภาษากรีก กลุ่มชาวยิวนอกปาเลสไตน์มีอยู่ด้วยกันหลายกลุ่มจึงมีพระคัมภีร์สำนวนแปลเป็นภาษากรีกหลายสำนวน รายชื่อหนังสือที่แปลแล้วก็มีจำนวนหนังสือแตกต่างกันอีกด้วย ชุมชนยิวบางกลุ่มได้แปลและยอมรับหนังสือบางฉบับที่ชุมชนชาวยิวอื่นไม่ใช้ และนับถือว่าเป็นพระคัมภีร์ (ลองย้อนกลับไปอ่านตอนที่ 17 ทั้ง 2 ภาค) อย่างไรก็ตามหนังสือสองหมวดแรกในพระคัมภีร์ ของชาวยิวคือ กฎหมาย (TORAH) และประกาศก (NEBIIM) มีรายชื่อหนังสือที่ยอมรับเป็นพระคัมภีร์ ตรงกันทั้งในปาเลสไตน์ และนอกปาเลสไตน์ ส่วนหมวด ข้อเขียน (KETUBIM) ชาวยิว ที่ยึดถือพระคัมภีร์นอกปาเลสไตน์สารบบภาษากรีก และภาษาฮีบรู กลับมีจำนวนหนังสือเพิ่มเข้ามา 7 เล่มและข้อความบางส่วนเพิ่มเติมเข้าในหนังสือบางเล่ม คือ ดาเนียล และเอสเธอร์ แต่ชาวยิวในปาเลสไตน์ที่ยึดถือสารบบภาษาฮีบรู และอาราเมอิก ไม่ยอมรับเลย และพี่น้องโปรแตสแตนท์ก็ใช้พระคัมภีร์สารบบที่ 1 แบบชาวยิวในปาเลสไตน์ เวลาเราไปคุยกับพี่น้องโปรแตสแตนท์จะได้เข้าใจว่า พวกเขามีพระคัมภีร์สารบบที่ 1 เพราะถือเอา ภาคพันธสัญญาเดิม 39 เล่ม แบบชาวยิว ทำไมศาสนาคริสต์นิกาย โรมันคาทอลิกของเราจึงนับเอาพระคัมภีร์ 7 เล่มนี้เป็นพระคัมภีร์ ? คาทอลิกรับหนังสือเหล่านี้ และเรียกว่า “สารบบที่ 2” (Deutero-canonical) หมายความว่า “ปิตาจารย์บางท่านมีความสงสัยอยู่บ้าง” แต่หนังสือเหล่านี้เป็นที่รู้จัก และได้รับการอ้างถึงมาตั้งแต่พระศาสนจักรยุคแรกๆ และอยู่ในสารบบของพระคัมภีร์ของพระศาสนจักรตะวันตก (ศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรม) มาตั้งแต่สมัชชาพระสังฆราชที่กรุงโรม ค.ศ.382 และอยู่ในสารบบของพระคัมภีร์พระศาสนจักรตะวันออก (กรีกออร์โธด็อกซ์) ตั้งแต่ปี ค.ศ.692 (สภาพระสังคายนา “in Trullo” ที่กรุงคอนสตันติโนเปิ้ล)




ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงนิจนิรันดร์

คุณพ่อยอห์น บัปติส พงศ์เทพ ประมวลพร้อม

Source ://queenchurch.spaces.live.com/


โดย: Bernadette วันที่: 20 สิงหาคม 2551 เวลา:19:05:05 น.  

 


เป็นอันว่าทั้งพระศาสนจักรที่กรุงโรม(ตะวันตก) และกรีกออร์โธด็อกซ์ (ตะวันออก) ก็ยอมรับหนังสือสารบบที่ 2 มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 และ 7 ตามลำดับมาแล้ว พระศาสนจักรคาทอลิกยึดถือธรรมประเพณี (Tradition) ที่ปฏิบัติตามความเชื่อสืบต่อมา และเชื่อว่าพระเป็นเจ้าทรงดลใจให้มนุษย์เขียนพระคัมภีร์ แม้ชาวยิวผู้เขียนจะไปเขียนนอกดินแดนปาเลสไตน์ก็ตาม การดลใจและความรอดไม่จำกัดด้วยเขตแดนประเทศ ประสามนุษย์คิดกันตามหลักปักเป็นพื้นที่เท่านั้น แต่ความรอดไปถึงมนุษย์ชาติจนสุดปลายแผ่นดินโลก



ในเมื่อพระคัมภีร์ที่พิมพ์ใช้กันอยู่ในปัจจุบันของไทย เป็นพระคัมภีร์ สารบบที่ 1 เสียส่วนใหญ่ ดังนั้นสภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทยจึงกำลังจัดพิมพ์พระคัมภีร์สารบบที่ 2 ที่คาทอลิกเรายอมรับกัน ระหว่างที่กำลังจัดพิมพ์อยู่นี้ ก็มีการพิมพ์หนังสือพระคัมภีร์ทั้ง 7 เล่ม ที่เราคาทอลิกไม่รู้ว่าจะไปหาอ่านได้ที่ไหนออกมาก่อน เรียกว่า “พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม - สารบบที่ 2 (Deutero - cononical Books)” ภายในประกอบไปด้วย หนังสือ

1. โทบิต (ทบต) เป็นเรื่องราวของชาวยิวเผ่านัฟทาลีผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อพระเป็นเจ้า ถูกจับเป็นเชลยอาศัยอยู่ในนครนินะเวห์ น่าจะเขียนขึ้นระหว่างปี 400-300 ก.ค.ศ. ในประเทศอียิปต์ เพื่อจะพยายามตอบคำถามว่า ทำไมคนดีจึงไม่ได้ดี แต่ดูเหมือนคนชั่วจะเจริญรุ่งเรือง? เพราะโทบิตได้รับผลร้ายคือต้องตาบอดในชีวิต แต่พระยาเวห์ทรงส่งเทวดาราฟาแอลมาในรูปของชายหนุ่มช่วยเหลือโทบิต โดยนำลูกชายของท่าน (โทบิตน้อย) ไปทวงหนี้จากญาติมาจุนเจือครอบครัว แต่ยิ่งกว่านั้นหนุ่มที่เป็นเพื่อนเดินทางนี้กลับช่วยให้โทบิตน้อยนำดีปลามารักษาตาบิดาให้หายบอดและได้แต่งงานกับลูกของญาติเป็นปึกแผ่น นำความสุขมาแก่ครอบครัวและโทบิตผู้บิดาในวัยชรา เหมือนพระเป็นเจ้าทรงคืนความดี แก่คนดีจนหมดสิ้นตั้งแต่ในโลกนี้ (ขณะนั้นพวกชาวยิวยังไม่มีความรู้เรื่องชีวิตหน้า)

ต้นฉบับเขียนเป็นภาษาอาราเมอิก แต่สูญหายไปหมดแล้ว ที่ตกมาถึงเราเป็นเศษของต้นฉบับภาษาฮีบรู และเศษสำเนาภาษาอาราเมอิก 4 ฉบับ ที่ค้นพบได้ในถ้ำกุมราน (Qumran) ฉบับเต็มที่มีอยู่กลับเป็นฉบับคัดลอก ภาษากรีก ซีเรีย และละติน คาทอลิกจัดลำดับหนังสือโทบิตต่อท้ายหมวดประวัติศาสตร์ในพระคัมภีร์

2. ยูดิธ (ยดธ) เรามีต้นฉบับคัดลอกภาษากรีกถึง 3 แบบ ซึ่งเขียนแตกต่างกันอย่างมาก และต้นฉบับคัดลอกภาษาละตินก็แตกต่างจากฉบับภาษากรีกพระคัมภีร์ภาษาละตินที่ชื่อฉบับ “วุลกาตา” (Vulgata) เป็นต้นฉบับที่คาทอลิกเราใช้หนังสือยูดิธ นี้อยู่ ยูดิธเป็นเรื่องราวของวีรสตรีของชาวยิวที่มีทั้งความงาม และสติปัญญา สามารถปลีดชีพโดยตัดศีรษะของ เฮโลเฟอร์แนส ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาชาวอัสซีเรีย ทำให้กองทัพอัสซีเรียหวาดกลัว และยกทัพกลับไป ชาวอิสราแอลจึงรอดพ้นเงื้อมือของศัตรู ดำเนินชีวิตต่อมาอย่างมีความสุข เรื่องราวอาจมีเกล็ดประวัติศาสตร์ ผสมกับจินตนาการในการเขียน แต่ทั้งหมดต้องการเล่าว่าพระเป็นเจ้าทรงช่วยเหลือประชากรของพระองค์ในช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก

มัคคาบีฉบับที่ 1(1มคบ) และมัคคาบีฉบับที่ 2 (2มคบ) ชื่อหนังสือ “มัคคาบี” มาจากชื่อผู้กล้าหาญชาวยิวที่ลุกขึ้นต่อสู้กับการเบียดเบียนศาสนาของอาณาจักรกรีก ที่เล่าไว้ในหนังสือ คือ มัทธาธีอัส ผู้พ่อและบุตร คือยูดาส มัคคาเบียส และพี่น้องในตระกูล หนังสือคงเขียนราวปี 100 ก.ค.ศ. เล่าเรื่องกษัตริย์กรีกราชวงศ์ เซเลวซิด คือ อันติโอคัส เอปีฟาเนส (175 ก.ค.ศ.) จนมาถึงตระกูลมัคคาบีรุ่นหลัง คือ ซีมอน มัคคาเบียส ว่า อิทธิพลของวัฒนธรรมกรีก รุกเข้ามาเบียดเบียนชาวยิวจึงต้องลุกขึ้นต่อสู้ เพื่อจะคงไว้ซึ่งวีถีชีวิต ตามธรรมบัญญัติ ที่โดนข่มเหงบังคับให้ไปปฏิบัติวัฒนธรรมกรีกอันขัดต่อความเชื่อทางศาสนา และศีลธรรมในมัคคาบีฉบับที่ 2 นี้ มีการพูดอย่างชัดเจนถึงความเชื่อเรื่องการกลับคืนชีพของผู้ตาย (2มคบ 7:9 ค;14:46) เรื่องบำเหน็จรางวัล และการลงโทษในชีวิตหน้า (2มคบ 6 :26) เรื่องการภาวนาอุทิศแก่ผู้ล่วงลับ (2มคบ 12:38;41-46) เรื่องผลทางจิตของการเป็นมรณสักขี (2มคบ 6:18-7:41) เรื่องบรรดานักบุญอาจวอนขอพระเจ้าแทนเราได้ (2มคบ 15:12-16) ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่ในสังคมชาวยิว และในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมก็กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้อย่างคลุมเครือ นับเป็นการพัฒนาความเชื่อ และเทววิทยา เพื่อเตรียมการไขแสดงถึงการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูเจ้า และคริสตังทั้งมวล

3. มัคคาบีฉบับที่1 (1มคบ) เขียนเป็นภาษาฮีบรู แต่ตกทอดมาถึงเราเป็นภาษากรีกผู้เขียนเป็นชาวยิวในปาเลสไตน์

4. มัคคาบีฉบับที่ 2 (2มคบ) ไม่ใช่เรื่องราวต่อจากฉบับที่ 1 เรื่องราวอาจซ้ำกันบ้าง แต่กลับเล่าเรื่องก่อนเหตุการณ์ 1มคบ เล็กน้อย คือเริ่มตั้นแต่ปลายรัชกาลของกษัตริย์เซเลวซิดที่ 4 พระราชบิดาของกษัตริย์อันทิโอคัส เอปีฟาเนส และจบลงที่เรื่องยูดาส มัคคาบี รบชนะนิคาโนร์ ดังนั้น

2 มคบ จึงครอบคลุมช่วงระยะเวลา 15 ปี ตรงกับ 7 บทแรกของ 1 มคบ และเขียนเป็นภาษากรีกตั้งแต่เริ่มบันทึกกัน

ครั้งหน้ามาพบกับพระคัมภีร์สารบบที่ 2 สามเล่มที่เหลือ คือ บุตรสิรา ปรีชาญาณ และบารุค อ้อ...อย่าลืมหาหนังสือโทบิต ยูดิธ และมัคคาบี ทั้งสองฉบับมาอ่านดูนะครับ

ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงนิจนิรันดร์

คุณพ่อยอห์น บัปติส พงศ์เทพ ประมวลพร้อม

Source ://queenchurch.spaces.live.com/


โดย: Bernadette วันที่: 20 สิงหาคม 2551 เวลา:19:08:23 น.  

 


FOLLOWING PAGES:46-47
Swathed in scarlet, the College of Cardinals gathers to hear Pope John Paul II appoint 28 newmembers to its ranks.

Organized in the 11th century, the college advises the pope and, on his death elects a successor.


The first cadinal of Thailand

Source :Inside the Vatincan


Bart Mcdowell
Photographs by James L.Stanfield
National Geographic
Language English
ISBN-10: 0792252977
ISBN-13: 978-0792252979



โดย: Bernadette วันที่: 13 ธันวาคม 2551 เวลา:13:05:43 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Bernadette
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




In the name of the Father, and of the Son, and of the Holy Spirit

The Ave Maria asks Mary to "pray for us sinners."

Amen

PaPa for all Father W e pray year of priests.



Card Michael Michai Kitbunchu, Archbishop of Bangkok, is the first member of the College of Cardinals from Thailand.

source :http://www.asianews.it/news-en/Michai-Kitbunchu,-first-cardinal-from-Thailand-3038.html

พระคาร์ดินัล ไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู คณะเชนต์ปอล part1

ฺBishop ฟรังซิส เซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช พิธีรับPallium Metropolitans Bangkok Thailand >

สารคดี เทศกาลแห่ดาว สกลนคร Welcome
Sakonnakorn Christmas Thailand
Metropolitans Tarae Sakornakorn Thailand


Orchestra and four vocal Choir - *Latin* Recorded for the Anniversary of the Pope Benedict XVI April 19 This is the Anthem of the Vatican City. The Songs are called Inno e Marcia Pontificale ...

We are Catholic.

หน้าเฟส อัพรูป หาที่อัพรูปใหม่อยู่ http://www.facebook.com/bernadette.soubirous.3


MusicPlaylist
MySpace Music Playlist at MixPod.com

Friends' blogs
[Add Bernadette's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.