ปล Film สไตล์ ฮอลี่วู๊ดงะ ปลแฟนแท้แท้หนังสือเรื่องThe Tale of Despereaux อาจทำจายยยากกก
The Tale of Despereaux - Trailer HD
และมันมีคำอยู่คำหนึ่งที่กินใจเราใน Filmอะ
กับคำธรรมดาๆ... แค่คำว่า "I beg one's pardon really ฉันขอโทษอย่างใจจริง,"the world is change. Through forgiveness. มันเปลี่ยนแปลงโลกได้ เนื่องจากการให้อภัย"
และเจ้าหนูรอสคูโร กับการเดินทางบนถนนแห่งการไถ่ถอน "I beg one's pardon really ฉันขอโทษอย่างจริงใจ," เจ้าหญิง "I separately that must beg one's pardon. ข้าต่างหากที่ต้องขอโทษ
และการตัดสิน และความสุขที่เคยเกิดขึ้นได้กลับมาอีกครั้ง รวามถึงเจ้าหญิง และมิ๊กด้วยย และพ่อของเธอกะขอโทษเธอ a Father must beg one's pardon really.
มิ๊ก: Never mind..... ไม่เป็นไรค่ะพ่อ
และแสงสว่างกะส่องถึงพระราชา....พระราชากะขอโทษต่อประชาชน I must beg one's pardon
The Tale of Despereaux:กะเป็นหนังสือชนะเลิศในปี 2003ของ Newbery Medal winning children's fantasy book แต่งโดย Kate DiCamillo
The Tale of Despereaux กะแยกออกเป็นสี่เรื่อง ที่เรียกกันว่า "books". Bookเล่มแรกเรื่องราวของเดสโพโร Bookเล่มที่สองเรื่องราวของ Chiaroscuro Bookเล่มที่สามเรื่องราวเกี่ยวกับ Miggery Sow และคาแร็คเตอร์ของตัวละครทั้งหมดรวมกันในเล่มที่4.
Excuse, excuse me, forgive, I am sorry, I apologize, I beg your pardon, pardon, pardon me, please accept my apology, please forgive me, regret, regrets only
ในภาษาอังกฤษคำว่ายกโทษหรือให้อภัยนั้นมีอยู่หลายคำคือ to excuse, to forgive และ to pardon และในกรณีทั่วๆ ไป ก็อาจใช้แทนกันได้ เช่น
Please excuse (หรือ forgive หรือ pardon) me for coming so late. โปรดให้อภัยด้วยที่มาช้า
แต่คำ to forgive และ to pardon นั้นมีความหมายหนักแน่นกว่า คือแสดงว่าผู้กล่าวคำขอโทษมีความรู้สึกผิดลึกซึ้ง หรือความผิดนั้นอยู่ในลักษณะร้ายแรง เช่น
I have lost the book you lent me. I can only hope you will forgive (หรือ pardon) me. ฉันทำหนังสือที่ท่านให้ยืมหาย ได้แต่หวังว่าท่านจะยกโทษให้
Jail-breaking is a serious offence. So the prisoner will not be forgiven (หรือ pardoned). การแหกคุกเป็นความผิดสถานหนัก ฉะนั้นจะไม่มีการอภัยโทษให้นักโทษ
ในตัวอย่างข้างบนนี้ถ้าใช้ to excuse ก็จะอ่อนไป อย่างไรก็ตาม ในภาษาพูดธรรมดาชาวอังกฤษมักใช้กริยาทั้งสามคำนี้แทนกันโดยสะดวกปาก
แต่มีข้อสังเกตอยู่ว่ามีกรณีที่คำทั้งสามคำนี้มีความหมายแตกต่างกันคือ บางกรณีต้องใช้ excuse me เท่านั้นหรือต้องใช้ I beg you pardon. หรือ pardon me เท่านั้น ใช้อย่างอื่นจะฟังดูแปร่งหูหรือทำให้ไม่เข้าใจทีเดียว ดังจะกล่าวต่อไปนี้
excuse me ใช้ในเมื่อจะพูดสอดที่เรียกว่าทะลุกลางปล้อง หรือจะทำอะไรพรวดพราดออกมาโดยอีกฝ่ายหนึ่งไม่รู้ตัว เช่น
Excuse me, but I dont think thats true. Excuse me for interrupting, but you are wanted on the phone. Excuse me, can you tell me the way to the zoo?
นอกจากนั้นคำว่า excuse ยังแปลว่ายกเว้นให้โดยไม่ต้องทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น Can you excuse me from attending your party? ผมขอตัวไม่ไปในงานคุณได้ไหมครับ? หรือใช้เป็นกริยา reflexive เช่น I should like to excuse myself. ผมอยากจะขอตัวนะครับ ในกรณีเช่นนี้ อีกฝ่ายหนึ่งก็อาจอนุญาติให้โดยพูดว่า You are excused. เมื่อเป็นนาม excuse จึงแปลว่าข้อแก้ตัวหรือคำขอตัว
I beg your pardon. แปลว่าขอโทษหรือขออภัยใช้ในเมื่อทำสิ่งที่คิดว่าอาจทำให้ผู้อื่นโกรธเคืองหรือเสียหายไปแล้ว ต่างกับ excuse me ซึ่งใช้ก่อนที่จะทำสิ่งที่อาจถือว่าไม่สุภาพ ตัวอย่างเช่นเมื่อเราไปเหยียบเท้า หรือเอาข้อศอกไปกระตุ้น หรือทำน้ำหกรดคนอื่นเข้า อย่างนี้จะใช้ excuse me ไม่ได้ ต้องรีบ I beg your pardon. ทันที สมมติว่าเผลอไปพูดว่า excuse me เข้าผู้ที่รับเคราะห์จะตาเขียวปัดทีเดียว เพราะคล้ายๆ กับว่าจะขอทำซ้ำเติมอีกให้หนักขึ้นโดยขออย่าให้ถือโทษเลย
นอกจากใช้ในกรณีนี้แล้ว I beg your pardon. ยังเป็นคำขอร้องให้พูดใหม่อีกที เพราะได้ยินไม่ถนัด ในกรณีนี้ จะต้องออกเสียงคำว่า pardon สูงเล็กน้อยคล้ายๆ กับเป็นคำถามว่าพูดว่ากระไรนะ? แต่ I beg your pardon. เป็นประโยคค่อนข้างยาวเวลาพูดเร็วๆ จึงต้องกลืนคำเสียบ้าง ได้ยินเป็น beg pardon หรือบางทีก็ได้ยินแค่ pardon เฉยๆ ข้อนี้ตามมารยาทสังคมเขาว่าไม่ควรกลืนเสียงให้เหลือแค่ pardon คำเดียว
อนึ่ง I beg your pardon. ยังมีที่ใช้อีกอย่างหนึ่งคือแสดงความไม่เห็นด้วยหรือคัดค้าน เช่น I beg your pardon. I think you are blaming the wrong man. ขอโทษทีผมคิดว่าคุณโทษคนผิดเสียแล้ว
pardon me ใช้ในการทักท้วง เมื่อเห็นมีผู้เข้าใจผิด เช่น Pardon me, this is my hat, not yours. ขอโทษครับนี่หมวกผม ไม่ใช่ของท่าน
please forgive me โปรดให้อภัยด้วย คำนี้มักไม่ใช้ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ และเป็นคำที่ไม่น่าพูดทันทีทันใด มักใช้เมื่อได้ใคร่ครวญแล้วว่าได้ทำความเดือนร้อนหรือรำคาญให้แก่ผู้อื่น คือไม่ใช่คำพูดติดปาก
นอกจาก excuse me, I beg your pardon, pardon me และ forgive me แล้ว คำขอโทษในภาษาอังกฤษยังมีอีกหลายคำ การแสดงความเสียใจก็เป็นการขอโทษในตัว เช่น I am sorry. หรือ I am so sorry. เพราะฉะนั้นแทนที่จะกล่าวคำขอโทษ อาจแสดงความเสียใจก็ได้ เรื่องการแสดงความเสียใจในภาษาอังกฤษเป็นเรื่องน่าสนใจมากอยู่เหมือนกัน ถ้าเราคบค้ากับชาวอังกฤษหรือไปอยู่เมืองอังกฤษจะได้ยินคำว่า I am sorry. วันละหลายสิบครั้ง เขาจะแสดงความเสียใจกันไม่เฉพาะแต่ในเรื่องทุกข์โศกเท่านั้น หากในเรื่องที่ต้องทำให้อีกฝ่ายหนึ่งผิดหวังหรือขุ่นเคือง เรื่องเช่นนี้เราก็พอเข้าใจ แต่ในบางกรณีคนไทยก็รู้สึกว่าแปลกและไม่จำเป็น เช่น ตีบิลเลียดลูกฟลุกลงหลุมไป หรือตีเทนนิสไต่ตาข่ายไปตกอีกข้างหนึ่งซึ่งคู่แข่งขันไม่มีทางรับได้ อย่างนี้ก็ถือเป็นมารยาทที่จะต้องกล่าวว่า I am sorry. ถึงแม้ในใจรู้สึกยินดี
ตัวอย่างวิธีใช้ I am sorry.
I am sorry. I am late. ขอโทษที่มาสาย
(I am) sorry. But I cant lend you any money. ขอโทษที่ทำให้ผิดหวัง แต่ดิฉันไม่อาจให้คุณขอยืมเงินได้
I am sorry. That was a fluke. ขอโทษด้วย นั่นเป็นเหตุบังเอิญ
ส่วนคำว่า I am so sorry. นั้นเป็นคำขอโทษที่ทำความผิดพลาดอย่างหนัก เช่น เหยียบเท้าหรือชนล้ม คำนี้ใช้แทน I beg your pardon. ได้
คำที่แปลว่าเสียใจนั้นนอกจาก to be sorry ยังมีอีกคำหนึ่งคือ to regret แต่คำนี้ออกจะเป็นภาษาหนังสือไปสักหน่อย เช่น เขียนในจดหมายปฏิเสธคำเชิญว่า I regret to be unable to come. คำนาม regrets นั้นแปลว่าความเสียใจที่ไปตามที่เชิญไม่ได้ และในบัตรเชิญมักพิมพ์ไว้ที่มุมล่างว่า regrets only พร้อมทั้งเลขหมายโทรศัพท์ หมายความว่าถ้าไปไม่ได้จึงขอให้โทรศัพท์ไป ถ้าไปได้ก็ไม่ต้องแจ้งไป
คำขออภัยยังมีอีกคำหนึ่งคือ I apologize. หรือ Please accept my apology. ซึ่งเป็นการขอโทษกันอย่างเป็นทางการจริงๆ และไม่ใช้ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น I apologize for my sons bad behavior. ฉันขอโทษที่ลูกชายแสดงมารยาทเลวทรามด้วย
การขอโทษยังมีอยู่อีกอย่างหนึ่ง คือในกรณีที่ขอร้องให้อีกฝ่ายหนึ่งงดเว้นการกระทำที่ก่อความเดือดร้อนรำคาญ แต่เป็นการขอร้องอย่างเกรงใจจึงคล้ายๆ เป็นการขอโทษที่พูดเรื่องนี้ เช่น กำลังทำงานมีคนผิวปากหนวกหู หรือเปิดวิทยุดังลั่น หรือสูบบุหรี่ไม่เป็นแต่มีคนสูบซิการ์พ่นใส่หน้าอยู่เรื่อย อย่างนี้ในภาษาอังกฤษมีคำว่า Would you mind stopping whistling? Would you mind turning off the radio? หรือถ้าไม่ต้องการพูดให้หมดเปลือกก็ใช้เพียงว่า Would you mind? แต่ก็ต้องทำเสียงและทำหน้าตาประกอบให้รู้ว่าเรื่องอะไรกันด้วย
It doesnt matter. You are welcome. Dont mention it. Thats all right. Its a pleasure. Not at all และ Never mind.
ถ้อยคำเหล่านี้ใช้ในกรณีต่างๆ กันทั้งนั้น จึงเป็นความจำเป็นสำหรับชาวต่างประเทศที่จะต้องเรียนรู้และจดจำว่าในกรณีไหนจะใช้ถ้อยคำอย่างไร จะพูดถึง It doesnt matter. ก่อน ประโยคนี้ใช้ในกรณี เช่น เราสั่งซื้อของยี่ห้อหนึ่งจากร้าน แต่บังเอิญยี่ห้อนั้นขาด คนขายเอายี่ห้ออื่นมาให้ซึ่งมีคุณภาพดีเท่ากัน พร้อมทั้งขอโทษเรา ถ้าเรายินดีจะรับของไว้ก็อาจพูดว่า It doesnt matter. หรือ Thats all right. หรือเพื่อนบอกว่าพรุ่งนี้จะโทรศัพท์มารับไปดูที่ทางที่จะซื้อ แต่แล้วก็ไม่ได้โทรศัพท์มาเพราะติดธุระ วันต่อมาจึงมาขอโทษที่บ้าน เราก็อาจพูดว่า It doesnt matter. หรือ Thats all right. ได้ กรณีที่จะใช้ถ้อยคำเช่นนี้มีอยู่อีกมากมาย แต่ขอให้ถือหลักว่าความหมายของคำนี้คือ เรื่องนั้นไม่สลักสำคัญอะไร คือคำกริยา to matter แปลว่ามีความสำคัญ ถ้าเข้าใจความหมายของคำนี้แล้ว ก็ใช้ได้ถูกต้อง
ประโยคที่ว่า Thats all right. ก็ใช้ในกรณีคล้ายคลึงกัน เช่น ใครมาทำอะไรที่อาจทำให้บาดเจ็บเสียหายแล้วมาขอโทษเรา ถ้าเป็นเรื่องไม่ใหญ่โตพอที่จะให้อภัยกันได้ หรือเราใจนักเลงพอที่จะให้อภัยแม้จะเป็นเรื่องค่อนข้างใหญ่ก็อาจพูดว่า Thats all right. เป็นอันว่าแล้วกันไป
ส่วนประโยค You are welcome. เป็นอันว่าแล้วกันไป ใจเราที่เอื้อเฟื้อช่วยเหลือเขา ในกรณีเช่นนี้ ภาษาไทยก็จะใช้ว่าไม่เป็นไรมิได้ ความจริงความหมายของ You are welcome. คือไม่ต้องขอบอกขอบใจอะไรหรอก สำหรับท่านแล้วยินดีเสมอ หรืออนุญาตให้ใช้ได้เสมอ ประโยค You are welcome. นี้ย่อมาจาก You are welcome to it. การใช้ welcome ในที่นี้เป็นสำนวนที่แปลกมาสำหรับคนไทย เราเคยแต่ใช้คำนี้ในความหมายต้อนรับขับสู้ เช่น Welcome to Thailand. ประเทศไทยยินดีต้อนรับท่าน แต่ภาษาอังกฤษมีวิธีใช้คำนี้อย่างพิสดารหลายอย่าง เป็นต้นว่า You are welcome to whatever I have. ฉันมีอะไรก็ยินดีให้ท่าน (เอาไปใช้ได้เลย โดยไม่ต้องขอบอกขอบใจอะไรทั้งนั้น)
อีกประโยคหนึ่งคือ Dont mention it. นี้ใช้ได้เสมอเมื่อมีคนมาขอบใจเรา ความหมายก็คือไม่ต้องขอบอกขอบใจอะไรหรอก (คือไม่ถือว่าเป็นบุญคุณอะไร) คำนี้จะใช้แทน You are welcome. ในกรณีทั่วไปก็ได้
ยังมีวิธีพูดตอบรับคำขอบใจอีกอย่างหนึ่งคือ Its a pleasure. หมายความว่าที่ทำไปนั้นด้วยความยินดี ไม่ใช่ฝืนใจทำ
อีกประโยคหนึ่งที่ได้ยินบ่อยๆ ก็คือ Never mind! คำนี้ก็ความหมายว่าอย่าเอามาเป็นอารมณ์เลย หรืออย่าเป็นทุกข์เป็นร้อนไปเลย ไม่เป็นไรหรอก คำว่า mind นั้นแปลว่าเอาเป็นอารมณ์หรือถือเป็นเรื่องใหญ่โต Never mind นี้เป็นคำปลอบหรือให้กำลังใจ เช่น Never mind! There is still some money left. You wont starve. ไม่เป็นไรหรอกน่ะ ยังมีเงินเหลืออยู่อีก แกไม่อดตายหรอก
มีสำนวนอีกอย่างหนึ่งที่ได้ยินบ่อยอยู่เหมือนกันคือ Not at all. ซึ่งแปลตามตัวว่า ไม่เลย ใช้สำหรับตอบผู้ที่แสดงความขอบใจ เช่น เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งพูดว่า Thank you very much. อีกฝ่ายหนึ่งอาจตอบว่า Not at all. ความหมายก็คือไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่จะต้องขอบใจข้าพเจ้า
Orchestra and four vocal Choir - *Latin* Recorded for the Anniversary of the Pope Benedict XVI April 19 This is the Anthem of the Vatican City. The Songs are called Inno e Marcia Pontificale ...