Claude Monet :โคล้ด โมเนต์ French impressionist painter
Claude Monet also known as Oscar-Claude Monet or Claude Oscar Monet (November 14, 1840 December 5, 1926
ชื่อนักบุณ โมเนต์นำหน้า Saint-Claude, the cradle of the diocese, was one of the most distinguished in the Christian world.
he was baptized in the local parish church, Notre-Dame-de-Lorette Claude Oscar Monet
เค้าเป็นพวกหัวคอนเซอร์เวทีฟ
ศิลปะแบบอิมเพรสชันนิสม์ (Impressionism) กลุ่มศิลปินอิมเพรสชันนิสม์เริ่มเบื่อรูปแบบที่มีหลักความงามแบบเหมือนจริงตามธรรมชาติ เปลี่ยนเป็นสิ่งเชื่อมโยง เน้นด้วยแสง สี บรรยากาศ ศิลปินที่สำคัญของกลุ่มอิมเพรสชันนิสม์
Impressions, Rising Sun. Artist: Claude Monet Claude Monet, 1840 - 1926
ศิลปินผู้หลงใหลสายลม แสงแดด และสายน้ำ
โคล้ด โมเนต์ เกิดที่ปารีสเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1840 แต่ก็ย้ายมาอยู่ที่เมืองเลออาฟร์เมื่ออายุได้ 5 ขวบ ในวัยเด็กโมเนต์ไม่ชอบเรียนหนังสือ แต่ใจของเขามักจดจ่อและหลงใหลในความงดงามของทะเล และแสงแดดของเมืองชายทะเลแห่งนี้ เขาเริ่มต้นการวาดภาพด้วยการ วาดรูปการ์ตูนเล่นในห้องเรียนรูปครูผู้สอนในขอบสมุดของเขา ซึ่งต่อมาเขาก็ได้เป็นนักเขียนการ์ตูนล้อบุคคลมีชื่อเสียงจนเป็นที่รู้จักทั่วเลออาฟร์ เมื่อเขาอายุเพียง 15 ปีเขาทำงานเป็นนักเขียนการ์ตูนภาพล้อได้ซักพักก็มารู้จักกับ บูแดง ( Eugene Boudin ) ซึ่งเห็นความสามารถของโมเนต์ ที่มีมากมายเกินกว่าจะเป็นแค่ นักเขียนการ์ตูนภาพล้อ จึงชักชวนให้โมเนต์หันมาทำงานศิลปะอย่างจริงจัง ดังนั้นปี ค.ศ. 1859 โมเนต์ได้เดินทางมาเรียนศิลปะในปารีส โดยเข้าเรียนในอะคาเดมีสวิสส์ ที่นี่เขาได้รู้จักกับปิสซาโร ( Camille Pissaro, ค.ศ. 1830-1903 ) และเมื่อเขาเดินทางกับเลออาฟร์ก็ได้มีโอกาสรู้จักกับยงคินส์ ( Johan Barthold Jongkind ) ทั้งบูแดงและยงคินส์เป็นศิลปินที่ให้อิทธิพลแก่โมเนต์ในการทำงานช่วงแรกอย่างมากทีเดียว
Japanese Bridge, Water Lilies Pond. Artist: Claude Monet
เมื่อโมเนต์เดินทางมาปารีสในค.ศ. 1862 เขาก็ได้ศึกษาศิลปะในสตูดิโอของแกลร์ ช่วงนี้โมเนต์และเพื่อนศิลปิน เช่น บาซีญ์ ซิสลีย์ และเรอนัวร์มักจะชักชวนกันออกไปเขียนภาพกลางแจ้งในป่าฟองแตนโบล ภายหลังจากที่โมเนต์ได้รู้จักกับกามีญ์ ซึ่งต่อมากลายเป็นภรรยาคนแรกของเขา เธอได้เป็นนางแบบในหลายๆภาพของเขา เช่น Camille ( หรือ The Green dress ), 1866 และในปีค.ศ. 1867 เธอก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายคนแรกของมาเนต์ชื่อ ฌอง ( Jean ) ภาพเขียนจำนวนมากในระยะนี้มักจะเป็นภาพทิวทัศน์ในชนบท หรือแหล่งพักผ่อนชานเมืองปารีสที่มักมีกามีญ์เป็นแบบ หรือบางครั้งกามีญ์กับลูกชายในสวนดอกไม้ ภายใต้แสงอาทิตย์ระยิบระยับ ภาพแม่น้ำแซนภายใต้ท้องฟ้าที่สว่างไสวและสายน้ำที่พริ้วเป็นระลอกเมื่อถูกลมพัด หรือยามที่แสงส่องมากระทบผิวน้ำและสะท้อนวัตถุต่างๆอย่างละลานตา อนึ่ง นับแต่กลางทศวรรษค.ศ. 1860 เป็นต้นมาผลงานของโมเนต์ในแนวอิมเพรสชันนิสต์ ก็ได้เบ่งบานเต็มที่ เขาจะใช้ฝีแปรงที่มีขนาดหลากหลายตั้งแต่ขนาดเล็กสุดถึงขนาดใหญ่ ปาดป้ายทิ้งร่องรอยฝีแปรงที่ขาดช่วง ( broken brushstroke )
Venice Twilight by Claude Monet
ในค.ศ. 1869 โมเนต์ได้ย้ายมาอยู่ที่บูชิวาล ( Bougival ) ที่นี่เขาได้สร้างสรรค์งานชิ้นสำคัญอีกชิ้นชื่อ La Grenouillere,1869 โดยทำงานร่วมกับเรอนัวร์เพื่อนศิลปิน ทั้งสองตั้งขาหยั่งใกล้เคียงกัน ทำงานร่วมกัน แลกเปลี่ยนอิทธิพลต่อกันและกัน ภาพเขียนทั้งสองมีลักษณะที่คล้ายกันมาก แม้ศิลปินเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าผลงานชิ้นไหนเป็นของตน แต่ก็ยังแสดงเอกลักษณ์ในการทำงานของศิลปินทั้งสองบางประการ การเขียนภาพสายน้ำเปิดโอกาสให้โมเนต์มีอิสระในการแสดงภาพของน้ำที่แสงตกมากระทบ โดยการใช้ฝีแปรงขนาดใหญ่ปาดเป็นทางยาวเป็นช่วงๆด้วยสีขาว สีน้ำเงิน และสีดำสลับอย่างรวดเร็ว เขาไม่พิถีพิถันกับการแสดงรายละเอียด เพียงใช้ฝีแปรงปาดป้ายไม่กี่ครั้งเพื่อแสดงกิจกรรมของหญิงชายที่กำลังพักผ่อนหย่อนใจ สำหรับภาพของเรอนัวร์นั้น แม้ภาพของเขาจะมีลักษณะเป็นภาพสเก็ตช์เหมือนกับ ภาพของโมเนต์ แต่เขาก็ยังให้ความสนใจวาดรายละเอียดเสื้อผ้าอาภรณ์ของ บุคคลต่างๆในภาพ โดยการใช้ฝีแปรงที่ต่างกันในการวาดภาพสายน้ำและ บุคคล ในขณะที่โมเนต์ใช้ฝีแปรงที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการเขียนทิวทัศน์และบุคคล บริเวณฉากหลังที่เป็นต้นไม้ใหญ่น้อยบนฝั่งตรงกันข้าม โมเนต์ก็แสดงให้เห็นอย่างคร่าวๆ ด้วยรอยฝีแปรงในแนวตั้งและแต่งแต้มต่อเนื่องกันราวกับเป็นการประมวลสีสันต่างๆใน รูปทรงเรขาคณิตมากกว่าจะเป็นการเขียนภาพแสดงรูปวัตถุหรือบุคคลอย่างเด็ดชัด
ClaudeMonet-MadameMonetandChild(1875) สภาวะบรรยากาศที่แปรเปลี่ยนไป การเคลื่อนไหว และการเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วฉับพลัน ( instantaneity ) ของแสง สี สายลม สายน้ำ และสรรพสิ่งทั้งปวงล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่โมเนต์หลงใหลที่จะบันทึกปรากฏการณ์เหล่านี้ จาก La Grenouillere เขาก็มุ่งมั่นก้าวต่อไปในความพยายามที่จะ แสดงวัตถุและสิ่งต่างๆที่เคลื่อนไหว ด้วยฝีแปรงที่อาจหาญและรวดเร็ว ซึ่งบางครั้งเพียงรอยฝีแปรงที่ป้ายอย่างรวดเร็วเพียงครั้งเดียวก็สามารถแสดงภาพของบุคคลที่ กำลังเคลื่อนไหวได้อย่างน่าฉงนฉงาย ดังเช่นภาพ The Boulevard des Capucines, 1873 เป็นภาพที่เขาเขียนขึ้นโดยมองลงมาจากสตูดิโอของนาดาร์ ศิลปินจะสังเกตการเคลื่อนไหวของผู้คนและยวดยานบนท้องถนนจากหน้าต่างชั้นบนของสตูดิโอ ดังคำกล่าวของศิลปินที่ว่า โดยปราศจากการรับรู้ว่าวัตถุที่เขาเห็นเบื้องหน้าคืออะไร ภาพบุคคลที่สัญจรไปมาจึงได้รับการปาดป้าย ด้วยสีและรูปทรงที่แม่นยำ ที่ไม่ผิดเพี้ยนจากภาพที่บันทึกด้วยกล้องถ่ายรูปในยุคสมัยของศิลปิน ซึ่งวัตถุที่เคลื่อนที่ในภาพถ่ายจะเบลอและดูไม่ชัด แสดงให้เห็นว่าการถ่ายภาพก็เป็นอิทธิพลหนึ่งที่มีต่อศิลปินอิมเพรสชันนิสต์
CLAUDE MONET MADAME MONET IN GIVERNY GARDEN OIL PAINTINGS
จิตรกรรมของศิลปินอิมเพรสชันนิสต์ ได้ทำให้ชนรุ่นหลังได้รู้จักทิวทัศน์ของประเทศฝรั่งเศสตามสถานที่ต่างๆที่ศิลปินได้เขียนภาพไว้ ตลอดจนแหล่งสนุกสนานบันเทิงและวิถีชีวิตของคนฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวปารีส ภาพแห่งความงดงามของธรรมชาติ ภาพแห่งความสุขที่สะท้อนให้เห็นเสี้ยวหนึ่งในผลงานของพวกเขาเหล่านี้ ได้ซ่อนภาพชีวิตของศิลปินที่ขมขื่นเบื้องหลังภาพ คือ ความทุกข์ยาก ความยากจน ความหิวโหย การต่อสู้อันยาวนานที่เปี่ยมด้วยความหวัง และความสิ้นหวังในบางครั้ง ตลอดระยะเวลาในการต่อสู้ ตั้งแต่กลางทศวรรษค.ศ. 1860 เป็นต้นมา โมเนต์มักประสบปัญหาการขาดแคลนเงินอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขามีกามีญ์และฌองบุตรเล็กๆร่วมชะตากรรมกับเขา บางครั้งเขาไม่มีแม้แต่สีที่เขียนภาพ ไม่มีอาหารกิน จนเรอนัวร์ซึ่งก็ยากจนเช่นกันต้องนำอาหารมาให้ และจนกระทั่งในปีค.ศ. 1879 กามีญ์ที่เคยงามสง่าปรากฏท่ามกลางธรรมชาติที่งดงามในภาพเขียนของโมเนต์
Wheat Field, 1881 Claude Monet (French 1840-1926) 25 7/16" x 31 7/8" Oil on Canvas The Cleveland Museum of Art, Gift of Mrs Henry White Cannon, 1947.197.
ตลอดเวลาที่เธอร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขา ก็ถึงแก่กรรมลงด้วยโรควัณโรค แม้ในขณะที่เขาสูญเสียกามีญ์และอยู่ในความทุกข์โศกอย่างสิ้นหวัง โมเนต์ก็ยังเขียนภาพวาระสุดท้ายของเธอเขาอยู่ในภวังค์ของความหมกมุ่นที่จะสังเกต และบันทึกช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงที่ปรากฏบนร่างที่หาชีวิตไม่ของเธอ
Claude Monet: Gare Saint-Lazare, 1877 ความสนใจในการสังเกตและบันทึการเปลี่ยนแปลงสภาวะของแสงสี คือเอกลักษณ์ส่วนหนึ่งของศิลปะอิมเพรสชันนิสม์ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า โมเนต์เป็นผู้ที่ศึกษาและแสวงหาอย่างอัตโนมัติตลอดชีวิตการเขียนภาพของเขา รวมทั้งปฏิกริยาและสีที่เปลี่ยนไปตามบรรยากาศต่างๆของทิวทัศน์ในสถานที่เดียวกัน แต่อยู่ในชั่วโมงยามที่ต่างกัน หรือในฤดูกาลที่ต่างกัน ก็ได้กลายเป็นสิ่งที่โมเนต์สนใจที่จะบันทึก ภาพสำคัญที่โมเนต์แสดงในนิทรรศการอิสระของกลุ่มเป็นครั้งแรก จนกระทั่งเป็นที่มาของชื่อ ศิลปินอิมเพรสชันนิสต์ จากการตั้งสมญานามของนักวิจารณ์คือ ภาพ Impression, Sunrise, 1872 ซึ่งเป็นภาพทิวทัศน์ทะเลที่เลอ อาฟร์ในขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังขึ้น อนึ่งมักมีความเข้าใจผิดสับสนว่าภาพ Impression, Sunset ( Mist ), 1872 คือภาพที่แสดงในนิทรรศการครั้งแรก แต่ในความเป็นจริงภาพนี้แสดงในนิทรรศการอิสระครั้งที่ 4 ค.ศ. 1879 และมีชื่อเรียกในสูจิบัตรอันดับที่ 146 ว่า ปฏิกริยาของหมอก, ความประทับใจ ( Effect de Brouillard )
นอกจากปฏิกริยาแสงอาทิตย์ในยามเช้าที่มีหมอกปกคลุม หรือยามเย็นที่พระอาทิตย์กำลังยอแสง โมเนต์ยังสนใจที่จะศึกษาปฏิกริยาของหมอกควันที่พ่นจากหัวจักรไอน้ำรถไฟ ดังนั้น เขาจึงเขียนภาพรถที่หนาทึบก็ได้บดบังวัตถุต่างๆ ที่อยู่เบื้องหลังจนมองไม่เห็น หรือปรากฎเพียงลางๆ
Claude_Monet,_Water-Lily_Pond_and_Weeping_Willow
นับแต่กลางทศวรรษค.ศ. 1860 เป็นต้นมา โมเนต์ได้แสดงความพิถีพิถันในการเขียนภาพบุคคลภายใต้แสงอาทิตย์ในเวลาเฉพาะหนึ่งๆ เขาได้พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งในการวาดภาพทิวทัศน์เดียวกันภายในเวลาที่แตกต่างกัน เช่นภาพชุดสถานีรถไฟแซงต์ ลาซาร์ (St Lazarre), 1877-1879 หรือทิวทัศน์เดียวกันภายในเวลาที่แตกต่างกัน เช่นภาพชุด Rouen Cathedral, 1894 ภาพกองฟาง (Hay Stack) ต้นปอบลาร์ (Poplar) ภาพชุดสะพานญี่ปุ่น (Japanese Bridge), 1899, 1920-1922 และสระบัวที่ชีแวร์นี (Water Lilly),1907-1908 เขาเพียรพยายามที่จะบันทึกแสงต่างๆที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วให้ใกล้เคียงกับสิ่งที่ปรากฏ แก่สายตาของเขา โดยการใช้ผ้าใบประมาณ 12 13ผืนเพื่อเขียนภาพสลับเปลี่ยนไป ตามเวลานั้นๆ ในขณะที่เขากำลังทุ่มเทกับการเขียนภาพปฏิกริยาของแสงใน ภาพเขียนชุดกองฟาง เขารู้สึกสิ้นหวังสลับกับเกิดกำลังใจต่อมาที่จะบรรลุถึง ความพยายามที่จะบันทึกปฏิกริยาที่เกิดขึ้นฉับพลันนี้ จากจุดนั้นสู่ ความก้าวหน้าในทิศทางนั้น ซึ่งนับเป็นเวลาอีก 36 ปีต่อมา จากความพยายามที่จะแข่งกับเวลา เพื่อบันทึกความฉับพลันของปฏิกริยาแสงและสี โมเนต์ก็ได้ก้าวถึงจุดที่สรรพสิ่งทั้งหลายที่อยู่เบื้องหน้าคือ การประสานสีในรูปทรงต่างๆอย่างหลากหลาย และโมเนต์ผู้หลงใหลในสายลม แสงแดด และสายน้ำก็ได้นำศิลปะอิมเพรสชันนิสม์ไปสู่ก้าวสำคัญของศิลปะนามธรรม ( Abstract Art )
Field of Poppies by Claude Monet
Claude Monet Reading
Source : //www.newadvent.org/cathen/13341a.htm
//www.archae.su.ac.th/StudentProj/spestud/spemonet.html
//en.wikipedia.org/wiki/Monet
Create Date : 02 สิงหาคม 2550 |
|
8 comments |
Last Update : 2 สิงหาคม 2550 12:24:18 น. |
Counter : 12605 Pageviews. |
|
|
|
ผมว่าสีสดออกมาจากความประทับใจของศิลปินดี