วีรชนเอกชน คนเดือนตุลา

จาก FW mail

สุรชัย แซ่ด่าน:วีรชนเอกชน คนเดือนตุลา
หลายคนอาจสงสัยว่าสัญลักษณ์ดาวแดงบนหมวกเขียว กับแจ็คเก็ตดาวแดง ที่สุรชัย
แซ่ด่าน หรือด่านวัฒนานุสรณ์ สวมใส่ประจำนั้น เป็นชุดอะไรกันแน่ ชุดดังกล่าวเป็นชุดทหารป่า ของ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย การสวมใส่ชุดดังกล่าวได้บ่งบอกถึงบุคลิก ความรู้สึกนึกคิด การเคลื่อนไหว และอะไรอีกหลายอย่าง ของสุรชัยที่ยังยึดติดอยู่กับความ
ล้าหลัง และอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ที่ไม่เคยเป็นจริงไม่ว่าในโลกยุคสมัยใด ณ วันนี้ เขาอายุได้ หกสิบแปดปี มีประสบการณ์เหลือล้นในการต่อสู้ที่เขาเรียกว่าอำนาจเผด็จการมานาน แต่มองอีกมุมหนึ่งเป็นหกสิบแปดปีที่ไม่เคยประสบความสำเร็จในชีวิต ติดคุกสิบหกปี ไม่มีการสรุปบทเรียนเหมือนพี่น้องคนเดือนตุลาอื่นๆ และก็ยังไม่ได้รับการยอมรับจากพวกเดียวกันอีกเช่นเคย
สุรชัย ได้รับฉายาว่า เป็นคอมมิวนิสต์คนสุดท้าย เนื่องจากต้องโทษคดีพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นคนสุดท้ายในประเทศไทย และเป็นอดีตนักโทษประหาร เคยออกมาเคลื่อนไหวเพื่อก่อตั้งพรรคการเมือง เพื่อต่อสู้ในระบบรัฐสภา โดยมีความพยายามดำเนินโครงการรื้อฟื้นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ขึ้นมาจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายเสียใหม่ ในปี ๒๕๔๙ และในช่วงนั้นซึ่งเป็นช่วงการต่อต้านรัฐประหาร เขาออกมาปราศรัยเพื่อรณรงค์การต่อต้านรัฐประหาร ส่วนการจัดตั้งพรรคการเมืองนั้น เขาสามารถจดชื่อทะเบียนพรรคในนามพรรคแนวร่วมสังคมนิยมประชาธิปไตย โดยใช้แนวทางของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เมื่อปี 2552 ต่อมาภายหลังสุรชัยได้กลายเป็นแกนนำ ชุดที่ 2 ของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และเขายังเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นหัวหน้ากลุ่มแดงสยาม ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นกลุ่มต่อต้านสถาบัน
สุรชัยยังคงวนเวียนอยู่กับอดีตคนเดือนตุลา เขามักไปเคลื่อนไหวแถวๆอิสานใต้ เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย โดยมีนัยในการหาฐานสนับสนุนด้วยการปราศรัยโจมตีรัฐบาลและสถาบัน ที่เขาอ้างว่าการใช้ถ้อยคำของเขานั้น เชื่อว่าจะรอดพ้นจากเงื้อมมือกฎหมาย ขณะเดียวกันพรรคแนวร่วมสังคมนิยมประชาธิปไตยก็มีความใกล้ชิดกับพรรคประชาชนปฏิวัติลาว ซึ่งแกนนำ นปช.บางคนได้หลบหนีการจับกุมไปพักพิงอยู่ที่นั่นด้วย สุรชัยอ้างว่ามีความสนิทสนมกับพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ การเคลื่อนไหวของเขานั้น เป็นการยั่วยุ สะสมรอคอยโอกาสในการก่อเหตุรุนแรง
สุรชัยกล่าวว่าเขาเป็นคอมมิวนิสต์มาสามสิบปี และเข้าร่วมกับ นปช. แต่ไม่ค่อยกินเส้นกันนักกับสามเกลอ หรือแกนนำสามคน โดยเฉพาะจตุพร เขามักวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นโดยเฉพาะแกนนำ และเมื่อคุณธิดา ถาวรเศรษฐ์ เข้ามารับรักษาการแกนนำ นปช.สุรชัยก็ไม่ยอมรับ เขาไม่ยอมรับใครก็ตามที่มีบทบาทเกินหน้า เพราะเขาต้องการนำคนเสื้อแดงเอง ในช่วงการชุมนุมของคนเสื้อแดง จตุพรเคยพูดว่าลำบากใจที่รับสุรชัยมาร่วมด้วยกับนปช.เพราะมีแนวคิด คอมมิวนิสต์ ขณะที่สุรชัยก็ดูถูกจตุพร เพราะจตุพรอายุเท่าลูก จตุพรยังเด็กมาก พอมีความเห็นต่างก็กล่าวหาสุรชัยเป็นคอมมิวนิสต์ คิดจะล้มสถาบัน ต้องยกย่องแกนนำที่ไม่ปล่อยให้สุรชัยเข้ามานำการเคลื่อนไหวในช่วงพฤษภาคม ๒๕๕๓ เพราะคนจะตายเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
สุรชัยมักย้ำเสมอว่า สถานการณ์วันนี้แก้ไม่ได้โดยการปฏิรูป แต่ต้องใช้การปฏิวัติ “ความขัดแย้งไม่ใช่ระหว่างประชาชน แต่เป็นชนชั้นนำใหม่กับชนชั้นนำเก่า เรายืนอยู่บนทุนนิยมโลกาภิวัตน์ เราไม่ปฏิเสธ เราต้องต่อสู้กับอำมาตย์ ซึ่งเป็นทุนอนุรักษ์นิยม ผู้นำของเราก็คือ ทักษิณ ยุทธศาสตร์ คือ จัดเตรียมกำลังเพื่อลุกขึ้นสู้เมื่อถึงเวลาทฤษฎี 2 แนวทาง 3 แนวรบ โดย 2 แนวทาง คือ ในสภาฯและเสื้อแดง 3 แนวรบ คือ ในเมือง - ชนบท และต่างประเทศ” การจัดเตรียมกำลังในที่นี้ก็คือการนำมวลชนเสื้อแดง และยังพยายามเรียกร้องให้คนเดือนตุลาออกมาร่วมต่อสู้ แต่คนเดือนตุลา ก็ไม่ออกมาร่วม มีเพียงคนเดือนตุลาไม่กี่คนเท่านั้น ที่ยังมีความคิดล้าหลัง และเข้าร่วมกับเขา และก็ถูกเขาชิงบทบาทนำไปในที่สุด การเป็นวีรชนเอกชน ไม่สามารถทำให้เขามีแนวร่วมได้อย่างที่เขาต้องการได้
สุรชัยอ้างว่ากลุ่มแดงสยามไม่หมิ่นสถาบัน และได้ขับนายจักรภพ เพ็ญแข ออกจากแกนนำแดงสยาม เขาอ้างว่าเพราะนายจักรภพหมิ่นสถาบัน แต่ตัวเขาเองนั้น เพิ่งเข้ามอบตัวในข้อหาหมิ่นสถาบัน เพราะทุกถ้อยคำที่ปราศรัยมีความหมายเป็นที่เข้าใจได้ ต่อมาหลังจากเขาได้รับการประกันตัวก็ไม่เลิกหมิ่นสถาบัน ตัวเขาเองนั้นลืมไปว่าสิ่งที่เขาพูดนั้น สักวันก็จะย้อนกลับไปหาตนเอง ทุกคนไม่มีวันหนีพ้นจากกฎแห่งกรรมไปได้
บทบาทความเคลื่อนไหวของสุรชัย มีเส้นสายโยงใยกับอีก สอง สอ แก่นายสุนัย จุลพงศธรนักกฎหมายที่แนะนำคำพูดที่หลีกเลี่ยงการพาดพิงสถาบันโดยตรง และอีกหนึ่ง สอ ก็คือนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ยังพ่วงด้วยนายจรัล ดิษฐาอภิชัย สามสี่คนนี้มักร่วมวางแผนการต่างๆอยู่เสมอ การเดินสายของสุรชัยไปพบปะบุคคลสำคัญอยู่เสมอนั้น เป็นการเกาะกระแสคนสำคัญ เพื่อให้ตนเอง ไม่ถูกลืมจากผู้ให้การอุปถัมภ์ ซึ่งหมายถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

สุรชัยกล่าวว่า “ ความสัมพันธ์กับพ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนตัวไม่เคยต่อสายหาท่าน ผมไม่ใช่เด็กสร้างท่าน แต่ยอมรับสนับสนุนท่านเพราะเป็นทุนใหม่ ที่มีศักยภาพในการต่อสู้ แต่การต่อสู้จะไม่ไปขอเงิน เราทำตามอุดมการณ์และศักยภาพของเรา วันนี้ต้องปฏิวัติประชาธิปไตยโดยทุนนิยมเสรี ” การที่สุรชัยกล่าวว่าจะไม่ขอเงินนั้น เป็นการสร้างภาพให้ดูว่าเขาต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่การเคลื่อนไหวใดๆไม่มีค่าใช้จ่ายนั้นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน และเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า อดีตนายกนั้นจ่ายไม่อั้น ถ้ามีผลงานไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม
แม้สุรชัยจะเป็นนักเคลื่อนไหวในสายตาคนกลุ่มเดียวกัน แต่ในสายตาชาวบ้านที่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ยังคงมีความรู้สึกติดค้าง กรณีสุรชัยอมเงินที่ดินทำกินที่รัฐจ่ายให้กับชาวบ้าน หลังออกจากป่ามาไม่นาน ทำให้ความเคลื่อนไหวของสุรชัยไม่ได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้าน ซึ่งน่าจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เขาต้องไปเคลื่อนไหวอยู่ในภาคอิสานแทน นอกจากนี้ยังมีข่าวว่าสุรชัยโกรธนายวีระ มุสิกพงศ์อย่างมาก ที่ถูกนายวีระขับไล่จากการชุมนุมของ นปช.และทวงเงิน สามล้านบาทจากนายวีระ จึงเป็นที่น่าสงสัยว่า สุรชัยเอาเงินมาจากไหน และสุรชัยจะต้องมีเงินมากกว่าที่ให้ขอยืมแน่นอน
การให้ความเชื่อถือแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งนั้น เราต้องไม่ฟังคำพูดของเขาแต่เพียงอย่างเดียว แต่เราจะต้องรู้ทัน โดยดูจากพฤติกรรม และวัตรปฏิบัติที่อยู่ในศีลธรรมอันดี ตามแบบฉบับของไทยหรือไม่ รวมทั้งการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงสังคมนั้น จะทำให้สังคมดีขึ้นหรือเลวร้ายลงกว่าเดิม เราจะต้องไม่ให้พวกนี้แสวงหาผลประโยชน์บนความทุกข์ยากโดยอ้างประชาชน เข้ามาชักจูงเราได้โดยง่าย การเปลี่ยนแปลงสังคมไทยในแนวทางของสุรชัย เชื่อว่าจะทำให้เกิดสงครามกลางเมืองอย่างแน่นอน สุรชัยไม่มีความสามารถจะเป็นผู้นำในการเคลื่อนไหวตามที่ต้องการ เพราะสุรชัยยังมีเบื้องหลังที่ไม่ขาวสะอาด และมีแต่โวหารที่ก้าวร้าว ซึ่งขณะนี้ นปช.ได้ปรับการรุกอย่างสันติวิธี และได้รับการยอมรับจากกลุ่มคนเสื้อแดงทั่วไป ฉะนั้นสุรชัยควรถอยไปจาก นปช.โดยเร็วที่สุด

Create Date : 24 มกราคม 2554		0 comments
Last Update : 24 มกราคม 2554 10:47:54 น.
Counter : 752 Pageviews.
Share Tweet