กินปลาเผา ไหว้พระพิฆเนศ เที่ยวน้ำตก แวะเขื่อน ... นครนายก
กินปลาเผา อยู่ ๆ ก็อยากกินปลาเผาซะงั้น ไปไหนกันดีล่ะ เอาแถว ๆ บ้านละกัน นครนายกเป็นคำตอบสุดท้าย เดินทางหนึ่งวันเช้าไปเย็นกลับ ถึงร้าน "ครัวริมคลอง" คุ้นชื่อเลี้ยวซ้ายตรงแยก จปร. เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ขับรถไปเรื่อย ๆ แล้วก็วนกลับมาที่ร้านนี้ ได้เวลาแบบคาบลูกคาบดอกสิบโมงเช้าพอดี หิวจริงหิวจัง ช่วงเวลานั้นยังเงียบเชียบมีคนมาเปิดร้านอยู่โต๊ะนึง เลยมั่นใจว่าร้านน่าจะเปิดแล้ว มิวายยังอดไม่ได้ที่จะถามเค้าอีกว่าร้านเปิดรึยัง เดินผ่านป้ายทางเข้า มีเป๊ปซี่และมิรินด้าเป็นสปอนเซอร์นี่เอง เข้าไปจอดรถด้านใน เห็นปลาช่อนที่เค้ากำลังเผาพอดี ตัวใหญ่ ๆ เรียงรายพลีชีพเป็นที่เรียบร้อย อาหารที่สั่งขาดไม่ได้คือ ปลาช่อนเผาเกลือตัวละ 300 บาท เค้าเน้นตัวหนังสือใหญ่กว่าเมนูอื่น คือว่าคงต้องลิ้มลองซะหน่อย จริง ๆ ก็ตั้งใจอยู่แล้ว อีกสองอย่างที่สั่งเป็น แกงคั่วหอยขม กับทอดมันปลากราย มีเครื่องเคียง บวบ มะเขือยาว ถั่วฝักยาว กะหล่ำปลี และก็น้ำจิ้มสองอย่าง มาเรียกน้ำย่อยก่อน ภายในร้าน ช่วงเย็น ๆ คนคงเยอะ มีป้ายการันตีผู้มาเยือนมากมาย อีกสองเมนูที่สั่ง แกงคั่วหอยขมอร่อยดี ทอดมันปลากรายเฉย ๆ ส่วนปลาช่อนเผาเกลือไม่มีเหลือ ถ้ามากันหลายคนน่าจะกำลังดี แต่สองคนนี่จะอิ่มม๊าก ไหว้พระพิฆเนศ ผ่านอีกสถานที่หนึ่งเคยมาแล้วครั้งนึง ตอนที่ยังสร้างไม่เสร็จดี "อุทยานพระพิฆเนศ" ฟ้าวอกเลย แดดเปรี้ยง มาคราวนี้เปลี่ยนแปลงไปเยอะเหมือนกัน ผู้ที่นับถือศรัทธาก็ยังวนเวียนมาไหว้ อธิษฐานขอพร ประกอบพิธีกรรมกันตามความเชื่อ ทยอยมากันเรื่อย ๆ พระพิฆเนศองค์นี้เป็นปางไสยยาสน์เสวยสุข เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เสมือนไม่นานเลย ด้านหลังของพระพิฆเนศองค์แรก บริเวณใกล้เคียง มีศาลาร่ม ๆ ให้เราได้พัก และจำหน่ายเครื่องสักการะพระพิฆเนศ เช่นดอกไม้ ผลไม้ ธูปเทียน เป็นต้น เที่ยวน้ำตก เราเดินทางต่อไป "วังตะไคร้" เมื่อไม่นานมาแค่เฉียด ๆ ไม่ได้มานานมากจนจำไม่ได้ว่าเป็นเช่นไร เสียค่าผ่านทาง 150 บาท ต่อรถหนึ่งคัน วันนั้นเป็นวันหยุด คนเยอะ ครึกครื้นแบบไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เสียงเพลงดังกระหึ่ม รถสองแถวกับเด็กทั้งรุ่นและไม่รุ่น เต้น ร้องรำทำเพลง ส่งเสียงกันอึกทึก บดบังธรรมชาติที่ควรจะเป็น กิจกรรมหนึ่งของผู้คนที่มาเที่ยวและพักแรม คือการเล่นน้ำตกและล่องห่วงยางให้ไหลไปตามธารน้ำ น่าสนุกดี บริเวณน้ำตกที่ไหลมาจากแอ่งน้ำที่มีผู้คนกำลังเล่นน้ำกัน ลองเดินข้ามสะพานไปดูอีกด้านหนึ่ง แล้วก็กลับมาที่จอดรถ ขับรถวนไปตามทาง ไปเจอสวนกุหลาบพอดี เป็นช่วงที่ดอกกุหลาบโรย เลยไม่ค่อยมีดอกสวย ๆ ให้ชื่นชม มีน้ำตกน้อยอยู่ภายในสวนกุหลาบ เลือกดอกที่ยังพอสวยมาหนึ่งดอก ดอกนี้บานเต็มที่ จนเกือบจะโรยแล้ว ผ่านจากดงกุหลาบเตรียมตัวออก รู้สึกไม่ค่อยคุ้มกับค่าเข้าเลย อยู่แค่ประเดี๋ยว แวะเขื่อน ออกจากวังตะไคร้ ไปต่อกันที่ "เขื่อนขุนด่านปราการชล" ซึ่งเป็นเขื่อนคอนกรีตขนาดใหญ่ยาวที่สุดในโลก ไปถึงช่วงบ่าย ๆ แดดร้อน เมฆหนาตาทำท่าจะมีฝน เดินเล่น ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกซักพัก เริ่มมีหยดฝนซะแล้ว อีกด้านของตัวเขื่อน มองใกล้ ๆ แบบนี้มีหวิวเหมือนกัน เป็นโรคกลัวความสูง ได้เวลามื้อกลางวัน ตกลงว่าจะไปกินส้มตำกันที่น้ำตก อยากได้บรรยากาศน้ำตกกับส้มตำที่ดูจะเข้ากั๊นเข้ากัน เลือกที่จะไป "น้ำตกสาริกา" ค่อนข้างผิดหวังเล็กน้อย เข้าไปมีคนโบกให้จอดรถเสียค่าที่จอด 40 บาท เป็นของเอกชนทั้งน้าน ส่วนที่เขียนว่าจอดฟรีคือตามร้าน คงต้องซื้ออาหารที่ร้านเค้า ส่วนค่าเข้าเก็บคนละ 40 บาท กะว่าจะไปกินส้มตำกันใกล้ ๆ น้ำตกด้านใน นั่งพักให้คลายร้อน มีคุณพี่คนหนึ่งมารับออเดอร์ พร้อมเมนูแต่ไม่มีราคาติดไว้ให้ เราก็ย่ามใจคิดอยู่แล้วว่ามันจะแพงกว่าปกติแต่ไม่คิดว่าจะโหดร้ายเพียงนี้ นอกจากไม่อร่อยแล้วยังแพงโคตร ๆ ไม่รู้เค้าบวกอะไรเข้าไปอีกรึป่าว ... ทำใจอย่างเดียว หุหุ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว เลยเดินต่อชมด้านในอีกนิดนึง เจอผีเสื้อตัวน้อย กำลังเกาะดอกหญ้าพอดี เดินขึ้นไปถึงชั้นบนของน้ำตกสาริกา น่าจะเป็นจุดที่สวยที่สุดของที่นี่ ขาลงเกิดไถลเกือบกลิ้งตกซะแล้ว ฝากรอยช้ำไว้นิดหน่อย ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยประทับใจกับการเที่ยวน้ำตกเท่าไหร่ แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือได้กินปลาเผาอร่อย ๆ ถือว่าประสบความสำเร็จ ... ได้เวลากลับใกล้หกโมงเย็น ระหว่างทางยังมีอะไรให้เราได้ชื่นชม พระอาทิตย์ดวงกลมโต สวยจริง ๆ ขอบคุณที่พาเที่ยวนะคร๊า ^^
Create Date : 29 ตุลาคม 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 29 ตุลาคม 2555 15:05:55 น. |
Counter : 10798 Pageviews. |
|
|
|