|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
น้ำกับน้ำใจ-ไข้รากสาด
เป็นอย่างไรบ้างครับ เพื่อนๆชีวจิต สงกรานต์ ปีนี้
ผม เตรียมที่จะเขียนเรื่องน้ำเป็นเรื่องใหญ่ พอดีกับเข้าสู่ฤดูสงกรานต์ นึกขึ้นมาว่าจะเขียนเรื่องสงกรานต์ คราวนี้น่าจะเป็นเรื่องสบายใจของคนไทยทั้งชาติ และการฉลองสงกรานต์ซึ่งสนุกสนานของเรานั้นจะขาดไม่ได้เลยก็คือเรื่องการรด น้ำอวยพรผู้หลักผู้ใหญ่ และเล่นสาดน้ำกันเพื่อแสดงน้ำใจและเพื่อความสนุกสนานในเทศกาลสงกรานต์ด้วย
ก็ เลยนึกสนุกล่วงหน้าว่าดีแล้ว เขียนเรื่องสงกรานต์ และเรื่องน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องน้ำ ความสำคัญของน้ำซึ่งสำคัญสูงสุดสำหรับชีวิตของเราพร้อมกันไป
จึง เขียนเรื่องน้ำไว้ล่วงหน้าและได้ลงพิมพ์ในไทยรัฐของเรามาสองตอนแล้ว และก็อยู่ในระหว่างที่จะเขียนตอนต่อไปเกี่ยวกับความสำคัญของน้ำและการจะใช้ น้ำให้เป็นประโยชน์ทางยา และเป็นการช่วยบำบัดให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรงขึ้น สุขภาพดีขึ้น
แต่ ก็เขียนต่อไปไม่ไหว เพราะเรื่องสงกรานต์และ เรื่องน้ำซึ่งเป็นเรื่องที่ดีงามและแสดงถึงการมีน้ำใจให้ต่อกันนั้น ได้กลายเป็นสงกรานต์เลือดไปเสียแล้ว
บอกไม่ถูกว่าผมรู้สึกเศร้า เสียใจและช็อกเพียงไหน เมื่อมาเห็นสภาพของความแตกแยกของคนไทยและความแล้งน้ำใจที่ทำให้เรารู้สึก เหมือนอยู่ต่ำลึกลงไปถึงก้นบึ้งของนรกขุมใดก็ไม่ทราบ
คงไม่ต้องพูด ถึงรายละเอียดของสงกรานต์ แห่งความแตกแยกครั้งนี้ เอาเป็นว่าผมขอทำใจในการจะเขียนเรื่องน้ำไว้ก่อน และครั้งนี้ก็จะขอเล่าเรื่องสบายใจเกี่ยวกับการแสดงน้ำใจจากกลุ่มแพทย์ และนักวิชาการของกระทรวงสาธารณสุขสักเรื่องหนึ่ง
จำเรื่องเมื่อ 3-4 อาทิตย์ที่แล้วมา ที่ผมเขียนเตือนเรื่องนักเดินทาง นักนิยมไพรและนักนิยมธรรมชาติที่ชอบเดินทางไปศึกษาธรรมชาติตามป่าตามเขา และโดย เฉพาะสำหรับเพื่อนๆที่ชอบไปกางเต็นท์นอนตามป่าด้วย ผมได้เตือนไว้ว่าขอให้ระวังเรื่องเห็บ-ไร-เล็น-หมัดหรือแมลงมีพิษในป่ากัด เอา ที่ต้องระวังก็เพราะพวกสัตว์และแมลงเหล่านี้มีเชื้อโรคอยู่ในตัว เมื่อกัดคนเข้าหรือแม้แต่กัดสัตว์ตัวใหญ่กว่ามันมาก เช่น หนู-กระต่าย เชื้อก็จะเข้าสู่คนโดยผ่านทางสัตว์ตัวโตๆเหล่านี้ คนที่ถูกกัดก็จะป่วย ส่วนสัตว์ที่ถูกกัดอาจจะไม่ป่วย แต่ก็สามารถแพร่เชื้อต่อเข้าไปถึงคนได้อีก อย่างเช่น หนูในป่าหรือตามเรือกสวนไร่นา ถ้ามีเชื้อก็สามารถแพร่เชื้อเข้าสู่คนได้อีกต่อหนึ่งเช่นกัน
เชื้อ โรคที่ทำให้คนป่วยนี้เรียกว่า SCRUB TYPHUS หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ RICKETTSIA คำว่า TYPHUS นี้ชื่อโรคภาษาไทยคงจะตรงกับคำว่า ไข้รากสาด หรือไข้รากสาดเทียม (ขอประทานโทษ ชื่อภาษาไทยถ้าหากจะเรียกผิด)
สมัย ก่อนคนที่ป่วยด้วยไทฟัสนี้มีอาการป่วยหนักถึงเสียชีวิตเป็นพันคนก็มี โดยเฉพาะพวกทหารที่รบกันเมื่อสมัยมหาสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในสนามรบและใน ป่าที่รบกันแสนจะสกปรก คนเจ็บคนป่วยนอกจากจะเจ็บหนัก เพราะการรบพุ่งแล้ว โดนเชื้อไทฟัสเข้าอีกก็ตายกันเป็นพันๆคน แม้เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ในประเทศยากจนอย่างใน แอฟริกาและอเมริกาใต้ เมื่อไท-ฟัสและริคเค็ตเซียระบาด คนถูกเห็บ-เล็น-หมัด-ไรกัด แล้วสัตว์ นั้นวิ่งเข้าหมู่บ้านหรือบ้านคน แพร่โรคได้รวดเร็วเป็นสองเท่า มีรายงานว่าตายเพราะโรคระบาดครั้งละหลายร้อยคน
นี่แหละครับเมื่อ สครับ ไทฟัสระบาดมาถึงเมืองไทย จึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เจ็บป่วยหนักจนถึงตายก็มีมาแล้ว ผมเองก็เคยถูกเห็บ-เล็น-ไร พวกนี้กัด ระหว่างไปเที่ยวป่าเมืองกาญจน์หลายปีมาแล้ว ป่วยแทบตายเหมือนกัน จำได้ว่าตอนนั้น ความรู้เรื่อง SCRUB TYPHUS ของเมืองไทยยังไม่ค่อยแพร่หลายดีนัก มีการประชุมทางวิชาการเกี่ยวแก่โรคไทฟัสนี่หลายครั้ง จึงได้พบสูตรชะงัดรักษาไทฟัสนี้ด้วยยาปฏิชีวนะ ผมรอดตายครั้งนั้นมาได้ ก็เพราะความรู้ ใหม่เกี่ยวกับโรคและยารักษาสมัยนั้นนั่นเอง
ทีนี้ก็ มาถึงข่าวดีเกี่ยวกับการทำงานของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการตรวจหาการติดเชื้อสครับ ไทฟัสนี้
หลัง จากเขียนบทความเรื่องสครับ ไทฟัสเพียงวันเดียว ผมก็ได้รับจดหมายและตัวอย่างยาชุดตรวจหาเชื้อสครับ ไทฟัสด้วยวิธี NESTED PCR ซึ่งนายแพทย์ มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมกับคุณกาญจนี หวังถิรอำนวย หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ ได้กรุณาส่งตัวยาและรายงานเกี่ยวแก่การค้นคว้ายาชุด สำหรับตรวจหาโรคไท ฟัสขึ้นมาได้สำเร็จ
ยา ชุด NESTED PCR นี้สามารถที่จะตรวจหาการติดเชื้อโรคได้แม้แต่ระยะขั้นต้นที่ผู้ป่วยอาจจะติด เชื้อมา แต่ยังไม่รู้ตัวว่าได้ติดเชื้อมาแล้ว เพราะตามปกติแล้วเมื่อผู้ป่วยติดเชื้อแล้วกว่าเชื้อจะแสดงอาการก็ต้องใช้ ระยะฟักตัวประมาณ 7-14 วัน และเมื่อพ้นระยะฟักตัวแล้วก็จะมีอาการป่วยหรือความผิดปกติเกิดขึ้น เช่น มีจุดแดงผื่นคันขึ้นตามตัว มีไข้ขึ้นสูง ปวดหัว คลื่นไส้อาเจียน แล้วก็ตามด้วยอาการปวดเนื้อปวดตัวจนทนไม่ได้ และที่สำคัญที่สุดก็คือ อาการทางสมอง สมองเบลอๆ ความจำสับสน มีอาการเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ตลอดเวลา
ที่จะร้ายแรงมากก็คือ ?? ถ้าผู้ป่วยเป็นชาวบ้านธรรมดา ส่วนมากก็มักจะไม่มีความรู้ว่าโรคนี้คืออะไร เมื่อมีอาการก็มักจะใช้วิธีง่ายๆคือ กินยาแก้ไข้ แก้ปวดหัวตัวร้อนไปตามเรื่อง อาการจากป่วยธรรมดาๆก็จะกลายเป็นป่วย
ร้าย แรงจนถึงแก่เสียชีวิตได้ นี่แหละครับ ความร้ายแรงของโรคนี้ก็คือ มันเป็นโรคที่ซ่อนตัว ซ่อนอาการได้ ถ้าไม่มีความรู้หรือไม่มีใครแนะนำตั้งแต่เริ่มมีอาการมันจึงกลายเป็นโรคร้าย แรง?? และก็นับว่าเป็นกรรมของผู้ป่วยที่จะกลายเป็นป่วยหนักไป? เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
แต่ยาชุดสำหรับตรวจหาการติดเชื้อโรค สครับ ไทฟัสตามวิธี NESTED PCR นี้ สามารถตรวจหาการติดเชื้อได้อย่างรวดเร็ว คือถ้าติดเชื้อมาระยะแรกยังไม่พ้นระยะการฟักตัว ยาชุดสำหรับตรวจของกรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์ สามารถจะค้นหาเชื้อพบได้อย่างรวดเร็วภายในวันที่ 3 ของการติดเชื้อ ที่สำคัญก็คือ ช่วยการวินิจฉัยโรคเป็นไปอย่างถูกต้องและรวดเร็ว ทำให้รักษาผู้ป่วยได้ทันท่วงทีและลดค่าใช้จ่ายได้มากยิ่งขึ้น คุณหมอมานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ท่านได้ส่งเอกสารการวิจัยและพัฒนายาชุดตรวจเชื้อมาให้ดูด้วย ผมรู้สึกมั่นใจเมื่อได้ศึกษาการค้นคว้าและการสร้างยาชุดตรวจนี้อย่างละเอียด แล้ว มั่นใจเชื่อใจในความสามารถของคนไทยและโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการไทย-นัก วิชาการของไทยนี้ได้กรุณาส่งรายงานและตัวอย่างยามาให้ผมศึกษา
ท่าน อธิบดียังได้กรุณาส่งชุดตัวอย่างการตรวจเชื้อโรคอื่นมาให้ดูด้วย เช่น ชุดตรวจเชื้อมาลาเรียชนิด รวดเร็ว (RAPID TEST) สามารถทดสอบหาเชื้อมาลาเรียได้ผลแน่นอน แม่นยำ ภายใน 15 นาทีเท่านั้น
นอก จากนี้ยังมีปฏิทินประจำปี ซึ่งนอกจากจะใช้เป็นปฏิทินบันทึกประจำวันได้แล้ว ยังรวบรวมรายงานและผลงานค้นคว้า และได้ผลิตออกสู่ประชาชน อย่างเช่น ยาชุดผลิตจากสมุนไพร และที่ชอบใจมากอีกอย่างหนึ่งก็คือยาและชุดเครื่องมือตรวจสอบอาหารและน้ำดื่ม ทำให้เราได้รู้ว่าอาหารที่เรากินเป็นประจำนั้นสะอาดและปลอดภัยหรือไม่ นี่เป็นผลงานของราชการซึ่งทำให้กับประชาชน ซึ่งผมต้องยอมรับว่าโง่มานานที่ไม่ทราบเรื่องนี้ แต่ เมื่อได้ทราบก็ต้องขอบพระคุณท่านอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์และหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ของท่านที่อุตส่าห์สนใจบทความต่างๆของ ชีวจิตและกรุณาส่งข่าวสารและตัวอย่างยามาให้ผมโดยตรง
อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งแทงใจดำผมมากก็คือ ตั้งแต่ ชีวจิตได้เริ่มทำงานในด้านสุขภาพและการแพทย์แขนงต่างๆของเมืองไทยมาได้ 24 ปีแล้ว ตลอดเวลาเหล่านี้ ผมได้พยายามเสาะหาขอพบนักวิชาการต่างๆทั้งในด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์ใน เมืองไทย แต่โชคไม่ค่อยดี ผมหาไม่ค่อยพบ
เมื่อมาพบผลงานทางวิชาการ ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์คราวนี้จึงดีใจมาก ขอกระซิบดังๆ ต่อผู้นำสังคมในเมืองไทยหน่อยได้ไหมครับ กรุณา ดูแลและส่งเสริมนักวิชาการที่แท้จริงในเมืองไทยให้มากหน่อย เพราะท่านเหล่านี้เป็นผู้ปิดทองหลังพระมานานแล้ว ช่วยดูแลท่านให้ท่านลืมตาอ้าปากมากขึ้น ท่านจะได้ช่วยทำประโยชน์ให้เมืองไทยและคนไทยได้เต็มที่.
Create Date : 19 มีนาคม 2553 |
Last Update : 19 มีนาคม 2553 12:24:06 น. |
|
0 comments
|
Counter : 332 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|