Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2549
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728 
 
4 กุมภาพันธ์ 2549
 
All Blogs
 
ปฏิบัติการเบาแผ่นดิน (ตอนที่ 1 บันทึกการเดินทาง)

ตอนที่ 1 บันทึกการเดินทาง


เกริ่นนำ

ก่อนที่จะบรรยายสรุปโครงการ มีคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบอยากจะถามพวกเราอยู่ 1 ข้อ 2 คำถามด้วยกัน ถามว่า...

ถ้าให้เลือกระหว่าง “มีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับเรา” กับ “มีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นจากมือของเรา” เพื่อน ๆ จะเลือกอย่างไหน ? และสองสิ่งนี้ไปด้วยกันได้ไหม ?

...
จากที่... ในแต่ละปี ชาวโคตรถ่อยจะจัด Meeting อย่างน้อยหนึ่งครั้งหรือมากกว่านั้น ถือเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาหลายปี ซึ่งในแต่ละครั้งพวกเรามักจะจัดกันตามแหล่งสถานบันเทิงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ผับ บาร์ หรือคาราโอเกะ รวมไปถึงร้านหมูกระทะ เหล่าบรรดาขาเมา ขี้เหล้า ก็จะเข้ามากิน มาดื่ม มาสนุก มาอ้วก สุดท้ายแล้วก็กลับ มีหลาย ๆ วีรกรรมเกิดขึ้นในหมู่พวกพ้อง ซึ่งอาจสร้างความประทับใจได้ในจิตใจของใครบางคน แต่... สิ่งเหล่านั้นก็เกิดขึ้นเพียงแค่ “พวกเรา”

เวลาผัน... นานวันเข้า เมื่อเราโตขึ้น (แก่ขึ้น) เริ่มมาคิดกันได้บ้างว่าสังคมในกลุ่มเรา ก็มีสมาชิกอยู่เป็นจำนวนมาก เราน่าจะรวมตัวกันทำอะไรสักอย่างเพื่อ “คนอื่น” บ้างจะดีไหม



ประจวบเหมาะกับที่ คุณพ่อของเว็บมาสเตอร์ของเรา ท่านเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งบนดอย เป็นคุณครูเพียงคนเดียวของที่นั่น ซึ่งมีน้อง ๆ นักเรียนชาวเขากำลังต้องการอุปกรณ์การเรียน ผ้าห่ม ยารักษาโรค ฯลฯ รวมทั้งคุณพ่อได้เคยทำหนังสือขอบริจาคเงินเพื่อนำมาสร้างเสาธงชาติให้แก่โรงเรียน

ปฏิบัติการ “เบาแผ่นดิน” จึงเกิดขึ้น

จากแผนงานคร่าว ๆ ที่ได้กล่าวไว้ จึงมาลงตัวเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โครงการ “สานฝัน ปันรัก แด่น้อง ๆ ร ร. บ้านห้วยปู อ. แม่แจ่ม จ. เชียงใหม่ เนื่องในวันพ่อ 3-5 ธันวาคม 2548” จึงได้เริ่มต้นจากพวกเรา



ก่อนเดินทาง

ก่อนหน้าพวกเราก็ได้จัดทำกล่องรับบริจาคและขึ้นป้ายเพื่อขอรับเครื่องนุ่งห่มไว้แถว ๆ ออฟฟิศแถบย่านตึกแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่ด้วย ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากชาวบ้านละแวกนั้นพอสมควร ไม่นานตรงด้านหน้าออฟฟิศมีสิ่งของที่ผู้มีน้ำใจนำมาวางไว้ประมาณ 7-8 ถุงได้ น่าเสียดายตรงที่เราน่าจะคิดเรื่องกล่องบริจาคได้ก่อนหน้านี้สัก 3-4 สัปดาห์ อีกทั้งเรายังอ่อนเรื่องประชาสัมพันธ์อีกด้วย ไม่เช่นนั้นเราคงจะได้ของและเงินบริจาคมากกว่านี้ ก็เอาไว้แก้ตัวกันปีหน้าครับ


ยอดเงินจากกล่องรับบริจาค ร้อยกว่า ๆ ครับ นี่แค่วันเดียวก่อนขึ้นดอย


จริง ๆ แล้วจากที่สนทนากันผ่านสื่อออนไลน์ เราจะขึ้นไปบนดอยกันในวันที่ 2 แต่เนื่องจากโคตรถ่อยเรามีเพื่อนสมาชิกกระจายอยู่หลายจังหวัด (ซึ่งกลุ่มหลัก ๆ ก็จะมีอยู่ที่ เชียงใหม่ และ กทม.) บางคนไม่สามารถลางาน หรือหนีแม่หนีแฟนเดินทางเพื่อมาให้ทันวันที่ 2 ธันวาคมได้ จึงแยกการเดินทางออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกจะขึ้นไปก่อนในตอนเช้าวันที่ 2 ซึ่งจะขนเอาเหล็กสร้างเสาธง อุปกรณ์ก่อสร้าง และ ของที่จะนำไปบริจาคบางส่วนขึ้นไปก่อน แต่จากจำนวนสิ่งของทั้งหมด รวมทั้งจำนวนคนที่ร่วมเดินทาง ดูเหมือนว่าแค่ 4FWD ของคุณพ่อคันเดียวคงจะบรรทุกได้ไม่หมดแน่ จึงได้จ้างรถกระบะเพิ่ม 1 คัน สำหรับบรรทุกเสาธงโดยเฉพาะ นั่นก็ยังไม่พอ พ่อเลยสั่งให้น้องอั้ม ขี่มอเตอร์ไซด์ซ้อนท้ายเพื่อนอีกคนตามขบวนขึ้นไปอีกคันด้วย

ก็คิดดูแล้วกันนะครับ ระยะทาง 150 กิโลเมตร (แม้ว) ขึ้น ๆ ลง ๆ เขา กับมอเตอร์ไซด์คันจิ๋ว มันจะสุดยอดขนาดไหน


คุณพ่อ (คุณครู) กำลังขนเหล็กสำหรับทำเสาธงและอุปกรณ์ขึ้นรถ


แค่ขนของขึ้นรถก็เหนื่อยแล้ว ของเยอะมากมาก


ก่อนออกเดินทาง ยังยิ้มแย้มกันได้... เดี๋ยวก็รู้!

ก่อนล้อจะหมุนของกลุ่มแรก พอพวกเราเห็นสภาพรถของพ่อ (คุณครู) แล้วก็ร้อน ๆ หนาว ๆ ครับ (ดูจากภาพ) เพราะสภาพรถทางแถบคนขับนั้นเยินไปทั้งแถบ กระจกบานประตู กระจกข้างหลุดหาย คุณพ่อเล่าว่าเพิ่งขับไปตกดอยมาเมื่อตอนขาลงมาตัวเมืองเชียงใหม่เมื่อไม่นานมานี้ ดีที่มีต้นไม้ข้างทางช่วยยันไว้ ไม่เช่นนั้นจะเป็นอย่างไรไม่อยากคิด คุณพ่อต้องตะเกือกตะกายปีนออกมา และเดินลงดอยไปท่ามกลางความมืดทั้งที่บาดเจ็บ เป็นระยะทาง 3 กิโลเมตรเพื่อไปขอความช่วยเหลือจากคนในหมู่บ้าน ให้ช่วยกันมาดันรถขึ้น


สภาพรถก่อนเดินทาง จะเห็นได้ว่าแถบข้างและกระจกหายไปทั้งแถบ พวกกลุ่มแรกก็นั่งกันไปทั้งอย่างนั้น

ระหว่างการเดินทาง (กลุ่มแรก)

กลุ่มแรกออกเดินทางกันประมาณ 9 โมงเช้า ถ้าขับเรื่อย ๆ ก็จะถึงจุดมุ่งหมายก็ประมาณ บ่ายโมงครึ่ง แต่ก็ต้องเกิดอุปสรรคจนได้ เหมือนกับว่าอะไรบางอย่างกำลังพิสูจน์เราอยู่ นั่นก็คือ รถคันที่พวกเราจ้างให้ขนอุปกรณ์ก่อสร้างและเสาธงเกิดเสียกลางทาง ทำให้กว่าจะขึ้นไปถึงบนดอยก็ล่วงเลยไปจนเย็น


แรก ๆ ถนนก็ดี ๆ ราดยางอยู่หรอกนะ


แล้วก็เป็นอย่างที่เห็นในภาพ นี่ยังไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ

เมื่อนั่งกันมาได้แค่ครึ่งทาง ก็มาแวะพักกันที่จุดชมวิว จากทิวทัศน์รอบข้างแล้วทำให้หลาย ๆ คนหายเหนื่อยจากการเดินทางได้นิดหน่อย แต่ก็ยังพร่ำบอกอยู่ในใจว่า “เพิ่งมาได้ครึ่งทางเองหรือ”


ท้องฟ้าฤดูหนาว ตัดกับภูเขาทอดยาวสุดสายตา อยากพักนาน ๆ จัง


ลมพัดเย็น ๆ สูดลมหายใจรับออกซิเจนล้วน ๆ ขอเอนกายหลับสักหน่อยเถอะ


หุบเขาเขียวขจีเสียจนอยากจะตีลังกา กลิ้งกายลงไปเล่น

จากจุดชมวิวที่เห็น ทำให้หลาย ๆ คนอยากเอนกาย แต่ด้วยภารกิจข้างหน้า ทำให้เราต้องกลับมาขึ้นรถและเดินทางต่อไป

เมื่อมาได้ประมาณ 3 ใน 5 ถนนลูกรังชักเริ่มชันและเต็มไปด้วยฝุ่น แต่ก็ยังดีที่เรามากันในฤดูหนาว หากมาในฤดูฝนคงจะดูไม่จืดแน่...


ไฮไลท์ภาพการเดินทาง ภาพทุ่งนาขั้นบันไดในช่วงฤดูแล้ง หากมาในช่วงฤดูฝน เราคงเห็นทุ่งนาเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา

หลังจากนั่งกินฝุ่นอยู่ในรถกันจนเดินทางเข้าใกล้โรงเรียนบ้านห้วยปูซึ่งเหลือระยะทางอีก 8 กิโมแม้ว (ขอใช้คำนี้ครับ เพราะแต่ละเมตรที่ล้อหมุนนั้นมันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน) เราก็มาจอดรถพักกันอีกครั้งที่จุดรับสัญญาณโทรศัพท์ซึ่งอยู่บนหุบเขาสูงที่รถเราไต่ขึ้นมาก่อนที่จะลงเขาอีกเป็นลูกสุดท้ายไปยังโรงเรียน ที่นี่เป็นเพียงจุดเดียวที่เราจะติดต่อกับโลกภายนอกได้ และก็ใช้ได้แค่เครือข่ายเดียวด้วย ส่วนจะเป็นเครือข่ายอะไร ก็ไม่ขอบอกนะครับ


ฮัลโหล ๆ สั่งพิซซ่า 2 ถาดใหญ่ เอาหน้าฮาวาเอี้ยนกะซูเปอร์ซูพริมส่ง รร. บ้านห้วยปูครับ

และแล้ว การเดินทางของกลุ่มแรกก็ไปสิ้นสุดลงในตอนเย็นของวันนั้น หลังจากพักทานข้าวทานน้ำกันแล้วก็มาเริ่มการก่อสร้างเสาธงกัน ซึ่งจะขอเล่าในบทต่อไปครับ



...


ระหว่างการเดินทาง (กลุ่มที่ 2)

หลังจากที่กลุ่มแรกขึ้นไปเอนกายอยู่บนดอยเรียบร้อยแล้ว กลุ่มที่สองซึ่งนำโดย “โอม” ก็ตระเวนเตรียมหาซื้อของสำหรับกิจกรรมที่จะนำไปเล่นกับเด็ก ๆ และต้องคอยไปจองตั๋วรถขากลับให้กับพวกกรุงเทพฯด้วย เพราะนี่ถือเป็นช่วง long weekend เป็นเรื่องยากที่จะมีรถกลับ ทั้งยังต้องขับรถไปรับเพื่อน ๆ ที่เหลือที่นั่งรถไฟมาจากกรุงเทพฯ อีก 6 คน เพื่อมารวมตัวกับพวกที่มารออยู่แล้วอีก 6 คนที่เป็นเพื่อน ๆ น้อง ๆ ชาว ม.ช. รวมแล้วก็ 12 ชีวิตด้วยกัน ทีนี้ละปัญหาจึงเกิด... เพราะรถที่จะขึ้นไปในรอบนี้คือรถกระบะเช่าเพียงคันเดียวเท่านั้น แค่บรรทุกสิ่งของและสัมภาระก็แทบจะไม่พอแล้ว จึงแก้ปัญหาโดยให้เพื่อนคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์ได้ ซ้อนท้ายเพื่อนแล้วขี่ตามรถเราไปอีกคันหนึ่ง โดยตอนตี 5 ครึ่ง เช้าตรูของวันที่ 3 ธันวาคม รถก็มาจอดรอเพื่อนกลุ่มสุดท้ายที่สถานีรถไฟ เมื่อครบแล้วเราก็ออกเดินทางขึ้นดอยกันโดยทันที


จากภาพ นอกจากของบริจาคอื่น ๆ แล้ว ท่าทางน้องบนดอยจะได้ “ปลากระป๋อง” อีกหลายตัว


เอ้า! เตรียมถ่ายรูปเร้ว จัดฉาก ๆ


เอ้า! ยิ้ม

จากสภาพถนนที่ได้บอกให้ทราบแล้วจากกล้องของกลุ่มแรก เรากลุ่มสองเดินทางมาได้ไม่ถึงครึ่งทาง บทพิสูจน์ความยากลำบากก็เริ่มขึ้นอย่างน่าเห็นใจ “น้องมี่” เด็กสาวในกลุ่มผู้ตกเป็นเหยื่อก็เริ่มแสดงฤทธิ์เดชออกมาโดยการ “อ้วก” ออกมาเป็นสายตรงท้ายกระบะ เป็นการบริจาคอาหารให้แก่หมูหมาข้าง ๆ ทางเพื่อเอาฤกษ์เอาชัย (น่าเสียดาย ไม่ได้ถ่ายรูปไว้)

ก็ต้องเห็นใจครับ เธอเดินทางมาจาก กทม. ลงจากรถไฟซึ่งเป็นชั้น 3 กว่าจะถึงก็ตั้ง 15 ชั่วโมง ถึงแล้วก็ต้องมานั่งท้ายกระบะเพื่อขึ้นดอยโดยไม่ได้พัก อีก 4-5 ชั่วโมง ไม่แม้แต่จะแวะอาบน้ำชำระกาย พวกเราก็สงสาร ไล่ให้ไปนั่งข้างหน้าก็ไม่ยอมไป ส่ายหน้าไปมาบอกว่า “ฉันยังไหว” โถ! แต่ก็เอาเถิด... หลังจากคุณเธอสำรอกออกมาได้สักพัก พอมาได้ไม่ถึงครึ่งทาง ก็มีคนที่ 2 ที่ 3 ตามมา

นี่แหละครับ บทพิสูจน์บทแรกของกลุ่มสอง...


ถนนแบบนี้ 70-80 กิโลเมตรขึ้น-ลงดอย ไม่อ้วกก็ยอดคนแล้ว

รถโขยกเขยกมาเรื่อย ๆ พวกเราชมวิวเคล้ากลิ่นอ้วกกันไป สูดกลิ่นออกซิเจนผสมกลิ่นเปรี้ยว ๆ ของน้ำดี ดูแล้วก็สนุกพิลึก จวบจนรถขับเลยครึ่งทางมาได้นิดเดียว ก็เห็นป้ายตัวโตของหมู่บ้านแม่โต๋ ที่ที่อดีตนางงาม เข้าไปถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีเรื่อง “เด็กโต๋” ที่กำลังฉายอยู่ขณะนี้ พวกเราก็คิดในใจว่า โถ! ของเรายังไกลและทุรกันดารกว่าเป็นไหน ๆ และแล้ว เพื่อนที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์ตามมาก็เริ่มไม่ไหวเสียแล้ว ตอนบิดขึ้นเขามีแต่เสียงขึ้นไป แต่รถยังอยู่ตีนเขา เสียงที่ว่านอกจากจะเป็นเสียงไอเสียแล้วยังมีเสียงแหวนลูกสูบด้วย พวกเราจึงตัดสินใจฝากรถไว้กับหมู่บ้านแถวข้างทาง

จวบจนมาถึงอีกประมาณ 50 กิโลเมตรจะถึงโรงเรียน พวกเราก็เห็นอุปกรณ์การสื่อสารชิ้นแรกตลอดระยะทางที่หลุดพ้นจากเมืองมา นั่นก็คือ “โทรศัพท์สาธารณะ” พวกเราก็จอดรถเพื่อโทรศัพท์ไปบอกคุณพ่อที่มากับกลุ่มแรกว่าเราจะเอารถขึ้นไปเอง ไม่ต้องมารับตรงจุดนัดพบ เพราะดูจากสภาพรถแล้วน่าจะขึ้นไหว แต่... (ดูจากภาพครับ)


แล้วฉันจะหยอดเหรียญยังไงล่ะนี่

ก็ต้องเข้าใจครับ มันอยู่บนนี้ เจ้าหน้าที่ที่ไหนจะถ่อขึ้นมาเก็บเงินในตู้ล่ะ วิธีเดียวที่จะโทรได้ก็คงจะเป็นพินโฟนกระมัง สรุปแล้วก็ไม่ได้โทรแต่อย่างใด

ปล. สัญญาณมือถืออย่าไปหวังว่าจะมีครับ โทรศัพท์มือถือของพวกเรากลายเป็นสากกระเบือตั้งแต่ถนนยังไม่เป็นลูกรังเสียด้วยซ้ำ

หลังจากขับมาจนถึงจุดนัดพบที่คุณพ่อมารออยู่นานแล้ว เราก็จัดแจงถ่ายของและคนไปยังรถคันที่มารอ ซึ่งตอนนี้เหลือระยะทางอีกแค่ 20 กิโลเมตร (ไม่รู้ว่าจะพูดว่า “แค่” หรือ “ตั้ง” ดี) พอคนโล่งทำให้อาการเมื่อยล้าเริ่มคลายขึ้นบ้าง สำหรับพวกที่อาเจียนน่ะหรือ ไม่ต้องพูดถึงครับ พวกนี้หยุดไปนานแล้ว ที่หยุดไม่ใช่เพราะหายเวียนหัว แต่เป็นเพราะไม่มีอะไรให้อ้วกอีกแล้ว...

ครั้นพอถึงจุดชมวิว ซึ่งก็คือจุดสัญญาณโทรศัพท์ หนึ่งเดียวของที่นี่ พวกเราก็จอดรถลงถ่ายรูปเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ขบวนรถจะพาเราลงเขาไปยังหมู่บ้านและโรงเรียนอันเป็นจุดหมายปลายทาง
...

ติดตามตอน 2 สร้างเสาธง พรุ่งนี้ครับ


Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2549
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2549 22:12:49 น. 2 comments
Counter : 2234 Pageviews.

 
โคตรเจ๋งเป้งเลยพี่โยครับเจ๋งเป้ง


โดย: นรกบนดิน IP: 58.9.28.118 วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:3:18:01 น.  

 
มันเป็นการเดินทางที่น่าจดจำมาก

สามวันกับสองคืน ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรต่างๆได้มากขึ้น

การปรับตัวเอง การอดทน การอยู่ร่วมกับผู้อื่น รวมทั้งการมีน้ำใจต่อผู้ที่ด้อยกว่าเรา

สิ่งที่เราไปทำนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่เล็กๆ ไม่ยิ่งใหญ่นักในสายตาคนอื่น

แต่สำหรับปอ ในสายตาของนักศึกษาธรรมดาๆ คนหนึ่ง

มันเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่า ที่ในชีวิตนี้อาจจะไม่มีครั้ง ที่2 และ 3 ก็ได้

เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน

แต่การเดินทางครั้งนี้จะถูกจดจำไปนานแสนนาน

ขอบใจเพื่อนๆ พี่ๆ ผู้ร่วมเดินทางและสร้างสรรค์ทุกคน

หากมีโอกาสคงได้ทำอะไรดีๆ แบบนี้กันอีก

รักและเป็นห่วงเสมอนะคับ


โดย: ปอโกะ IP: 61.7.137.183 วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:3:23:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมจ๊อด
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add สมจ๊อด's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.